คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ ๑ : หงส์เหิร
หงส์เหมราชเอย สง่าผ่าเผยงามสคราญ
ณ แดนหิมพานต์ หวงตัวรักวงศ์วาน
หิมพานต์สถานสำราญมา*
โครงการอาสาสมัครต่างประเทศของอังกฤษ
หม่อมราชวงศ์เลอมาน บูรพวงศ์ นึกเกลียดคนที่อุตริก่อตั้งโครงการนี้ขึ้นมาครามครัน
ก็เพราะไอ้โครงการบ้านี่ไม่ใช่หรือ ที่ทำให้บุตรชายคนเดียวของเอกอัครราชทูตเช่นเขาต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลจากเมืองศิวิไลซ์อย่างมหานครลอนดอน มายังประเทศที่ล้าหลังอย่างที่นี่
ปกติแล้ว แม้เขาจะทำความผิดไว้รุนแรงแค่ไหน ท่านพ่อก็ลงโทษเขาเพียงแค่ริบเงินค่าใช้จ่าย กักบริเวณ หรือไม่ก็ให้ไปทำงานที่สถานทูตไทยประจำกรุงลอนดอนอันเป็นที่ทำงานของท่านพ่อ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะหนักถึงขั้นนี้ ทั้งที่ความผิดที่เขาก่อก็ไม่ได้รุนแรงอะไรนักหนา
กะอีแค่ตบหน้ารุ่นน้องชาวไทยที่โรงเรียนเพราะมันบังอาจทำอาหารเช้ามาให้เขาไม่ถูกใจ
รุ่นน้องก็ย่อมต้องตกเป็นเบี้ยล่างรุ่นพี่อยู่แล้ว แถมยังเป็นรุ่นน้องที่มาจากประเทศหลังเขาอีกต่างหาก
นั่นคงเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ท่านพ่อทนไม่ไหว จนตัดสินใจส่งเขาเข้าโครงการที่ว่านั่นทันทีที่เรียนจบชั้นไฮสคูล ใช้เส้นสายวางแผนให้เขามาที่ประเทศนี้ ยื่นคำขาดให้เขาไปทำงานเป็นอาสาสมัครที่โรงเรียนในจังหวัดชื่อยาวเรียกยากนั่น
ท่าเตียนในยามนี้พลุกพล่านเหลือแสน หม่อมราชวงศ์เลอมานนั่งไขว่ห้างกอดอกอยู่ในห้องพักผู้โดยสารด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ เสียงเจ๊กร้านข้าวกระแทกตระหลิวกับกระทะเรียกลูกค้าดังลั่น เสียงเอะอะของชาวบ้านเหม็นเหงื่อไคลในร้านกาแฟ ไหนจะเสียงพวกคนเรือที่ขึ้นบกมานั่งโขกหมากรุกกันรอเวลาเรือออกนั่นอีก
แม้ทุกอย่างจะน่ารำคาญจนทำให้ใบหน้างามหวานด้วยเชื้อฝรั่งที่มีอยู่เสี้ยวบูดบึ้งไปบ้าง กระนั้นบรรดาหญิงสาวทั้งหลายก็ชม้ายชายตาคุณชายรูปงามราวพระเอกหนังกันตาหวานหยดย้อย
“โถ..พ่อคุณทูนหัวของย่า” หม่อมดารา หรือหม่อมย่าใหญ่ของเขาเอ่ยประโยคนี้ขึ้นเป็นรอบที่สิบแล้วกระมัง “ลำบากลำบนเหลือเกินแล้ว จากนี้ไปจะกินจะอยู่ยังไงกัน”
“ไม่ต้องไปห่วงเขาหรอกหม่อมย่าใหญ่” หม่อมเจ้าอาทิตย์ธวัชผู้เป็นบิดา และดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอนถึงกับทิ้งงานมาส่งเขาด้วยพระองค์เอง “ดูถูกแผ่นดินพ่อแผ่นดินแม่ดีนัก ต้องโดนแบบนี้ถึงจะเข็ดหลาบ มองไม่เห็นหัวคนอื่นแบบนี้ต่อไปจะเป็นใหญ่เป็นโตได้ยังไง”
พระเนตรที่ทอดมองโอรสดูเด็ดขาดแน่วแน่ จนเลอมานต้องหลบตาวูบ ทั้งโลกนี้มีเพียงท่านพ่อคนเดียวเท่านั้นที่เขาจะยอมอ่อนให้
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ” มือเหี่ยวย่นลูบใบหน้าหลานอย่างรักใคร่ “น่าจะให้คนขับรถไปส่งหรือนั่งรถไฟไปก็ยังดี.. ไปเรือเมล์แบบนี้มัน..”
“ลงไปคลุกคลีกับชาวบ้านเสียบ้าง เผื่อนิสัยชอบดูถูกคนมันจะซาลง” ท่านชายอาทิตย์ตรัสเสียงขุ่น พระเนตรคมวาวจ้องมองบุตรชายที่เอาแต่เสมองทางอื่น
“จะมีพายุลานเทหรือเปล่าก็ไม่รู้” หม่อมย่าใหญ่ยังมิวายเป็นห่วงร่ำไป
“ถ้าพายุมานายท้ายเขาก็จอดรอลมนิ่งเองนั่นละ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” ตรัสพลางหันมองเด็กหนุ่มที่ยังหน้างอง้ำ “ยังไงวันนี้ก็ต้องไป ผัดเขามาหนหนึ่งแล้วนี่”
พลันชายหนุ่มผิวคล้ำร่างสันทัดท่าทางคล่องแคล่ววิ่งเหงื่อโซมมา กระหืดกระหอบรายงาน “ขนของไปไว้ในเรือเรียบร้อยแล้วกระหม่อม”
“เอ้า นี่ก็จวนได้เวลาแล้ว ลงเรือไปหาที่หาทางกันให้เรียบร้อย เดี๋ยวประมาณ ๓-๔ โมงเย็นก็คงจะถึงบ้านแพน จะมีเจ้าหน้าที่จากโรงเรียนมารอรับ”
ร่างโปร่งหยัดกายลุกขึ้นเตรียมบังคมลา ทว่าผู้เป็นบิดากลับเอื้อมหัตถ์กุมไหล่เขาไว้แน่น สายพระเนตรที่ทอดมาเปี่ยมด้วยเมตตานัก
“จงพร้อมที่จะเรียนและพร้อมที่จะสอน การอาสาออกไปช่วยคนอื่นนั้นฟังดูโก้ แต่จะให้ถูกต้องเรียกว่าอาสาไปรับใช้เขามากกว่า เพราะการช่วยส่อให้คิดไปได้ว่าเราวิเศษกว่าเขา แต่การรับใช้นั้น ย่อมช่วยให้รู้จักเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน อย่างน้อยก็ไม่ดูถูกชาวบ้านว่าโง่กว่า การพร้อมที่จะรับใช้คนที่เราไม่รู้จักกัน จะช่วยให้จิตใจของเราเต็มเปี่ยมขึ้น”
“อาสาสมัครหรือ” เลอมานทำเสียงขึ้นจมูกแบบกริยาฝรั่ง “ชายไม่ได้สมัครใจเลยสักนิด ท่านพ่อบังคับชาย”
“ที่ไม่ใช่บทลงโทษ แต่เป็นบทเรียน จงไปอยู่ให้เขาผูกมิตรกับเราเสมอบ่าเสมอไหล่ นับเราเป็นลูกหลาน จะหวังอะไรยิ่งไปกว่านี้ เพราะความสำคัญของมนุษย์กับมนุษย์นั้นอยู่ตรงที่มีน้ำใจไมตรีต่อกัน การให้วัตถุแก่กันนั้นง่าย แต่การให้น้ำใจแก่กันสิยาก”
เขาลาท่านพ่อและหม่อมย่าใหญ่พลางหันหลังมุ่งไปยังเรือเมล์สองชั้นขนาดใหญ่ทาสีแดงฉาดฉาน นับจากนี้เขาจะต้องจากบ้าน จากครอบครัว ไปอยู่กับคนแปลกหน้า ไปอยู่ในดินแดนที่ไม่เคยคุ้นเป็นเวลา ๑ ปีเต็ม คิดถึงตรงนี้แล้วก็อดใจหายไม่ได้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองหน้าหม่อมย่าใหญ่ที่ส่งเสียงร้องไห้กระซิกแว่วมาด้วยซ้ำ
สภาพภายในเรือยิ่งทำให้เขาสะอิดสะเอียนนัก เหล่าชาวบ้านชายหญิงเด็กแก่ นั่งนอนอยู่กับพื้นเกะกะไร้ระเบียบ ทุกสายตาหันมองเขาเป็นตาเดียวราวกับเขาเป็นสิ่งแปลกปลอมที่หลงเข้ามา
ก็น่าอยู่หรอก ชายหนุ่มหน้าตาผิวพรรณขาวสะอาดสะอ้าน ใบหน้างามหวานที่พิมพ์มาจากมารดาผู้เป็นลูกครึ่งไทยอังกฤษ เรือนผมและดวงตาสีน้ำตาลอ่อน การแต่งกายที่พวกชาวบ้านเคยเห็นกันแค่จากพระเอกหนังฝรั่ง อยู่ดีๆมาเดินเฉิดฉายอยู่ในเรือแดงได้อย่างไรกัน
“คุณชายเล็ก เดี๋ยวก่อน เดี๊ยวๆๆๆ” นายแช่มคนรับใช้คนสนิทที่ติดสอยห้อยตามมาจากอังกฤษรีบวิ่งตาลีตาเหลือกจนเรือโคลงเมื่อเห็นคุณชายสุดที่รักเดินลิ่วๆไปยังที่นั่งยกสูงท้ายเรือ “นั่งตรงนั้นไม่ได้ขะรับคุณชาย”
“ทำไม” ตวัดเสียงห้วนเล่นเอาคนฟังขยาด ดวงตาคู่สวยเหลือบมองด้วยหางตาอย่างไม่พอใจ
“คุณชายจะนั่งตรงนั้นไม่ได้นา..” หนุ่มผิวคล้ำมองซ้ายมองขวาก่อนลดเสียงลงเป็นกระซิบ “นั่นมันที่นั่งพระ”
“แล้วนั่งไม่ได้หรือไง”
“ไม่ด๊าย..บาปกรรมตายเลย”
“แล้วจะให้นั่งตรงไหน” คุณชายจอมหยิ่งถามเสียงขุ่น “อย่าบอกนะว่าจะให้นั่งกับพื้นปนกับคนพวกนี้!”
“ชู่วๆๆๆ” สิ้นเสียงนั้นบรรดา’คนพวกนี้’ที่ว่าพากันหันมองขวับ จนบ่าวตัวดีรีบปรามแทบไม่ทัน หวิดจะเอามือปิดปากแดงๆนั่นให้อยู่รอมร่อ “โธ่เอ๋ย คุณชาย เบาๆหน่อยซี่ พวกคนเรือนี่นักเลงเยอะนา ถ้าคุณชายไปไม่ถึงบ้านแพนละก็ ท่านชายอาทิตย์เล่นงานแช่มตายแน่เลยขะรับ”
“แล้วจะให้นั่งไหน”
คนสนิทเดินนำกลับไปยังส่วนหน้าเรือ เขาจึงเพิ่งเห็นว่าหลังห้องนายท้ายมือม้านั่งวางอยู่สองสามตัว
“นี่แหละชั้นหนึ่งแล้วคุณชาย คุณชายนั่งตรงนี้นะ แช่มจะเอนหลังให้ลมโกรกกะพื้น”
“เดี๋ยว!” ยังไม่ทันทรุดลงเอกเขนกให้สบายใจ ผู้เป็นนายก็เรียกไว้เสียก่อน ก่อนจะได้ยินคำสั่งที่เล่นเอาปาดเหงื่อ
“สกปรกแบบนี้ฉันจะนั่งได้ยังไง แกหาอะไรมาเช็ดเก้าอี้ซิ”
“หวังว่าที่นั่นจะดัดนิสัยชายเล็กให้ดีขึ้นได้นะ” หม่อมเจ้าอาทิตย์ธวัชตรัสเมื่อส่งบุตรชายเพียงคนเดียวลงเรือไปแล้ว
“ท่านชายโหดร้ายเสียจริง ปีนี้ชายเล็กเพิ่งจะเต็มสิบแปด ก็ลงโทษให้ไปอยู่ไกลบ้านขนาดนั้น” น้ำตายังไม่แห้งจากดวงตาหม่อมดารา ถึงแม้จะไม่ใช่ย่าแท้ๆ เป็นแค่พี่สาวของย่า แต่หญิงชราก็รักคุณชายเล็กมากราวกับหลานแท้ๆของตัวเอง
“หม่อมย่าใหญ่ตั้งชื่อให้เขาสูงเกินไปรึเปล่า ถึงได้ทำตัวจองหองเย่อหยิ่งมองไม่เห็นหัวคนอื่นแบบนี้” ประโยคนี้คล้ายตรัสรำพึงกับพระองค์เอง ขณะทอดพระเนตรเรือแดงค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากท่าฝ่ากระแสน้ำไป
****************************
ออกจากท่าเตียนตั้งแต่เช้าตรู่ เรือแดงแล่นผ่านเขตหมู่บ้านคับคั่งในเมืองหลวง บ้านเรือนแต่ละหลังค่อยๆห่างออกไปเรื่อยๆ บางคราวก็พบเรือนแพจอดเต็มสองฝั่งแม่น้ำ จนกระทั่งถึงทิวทุ่งนาเขียวขจีกว้างใหญ่
สายน้ำกว้าง ท้องฟ้าสูงโล่ง ทำให้เด็กหนุ่มผู้สูงศักดิ์เบิกบานตื่นตาอยู่ได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น เมื่อนั่งหลังแข็งโต้ลมแรงนานเข้าหน่อย ทนโคลงไปโคลงมากับเรือมากเข้านิด อาการคลื่นเหียนเวียนไส้ก็โจมตีจนหม่อมราชวงศ์หนุ่มผุดลุกผุดนั่งเข้าออกห้องน้ำเป็นว่าเล่น แม้จะเมาเรือแค่ไหนเขาก็ไม่คิดจะลงไปเอนหลังกับพื้นให้เสียเกียรติ ได้แต่นั่งกุมขมับกับเก้าอี้อยู่อย่างนั้น เดือดร้อนนายแช่มที่ต้องมาพัดวีให้ไหวๆ
จนเกือบ ๔ โมงเย็น สองฝั่งแม่น้ำเริ่มเต็มไปด้วยเรือโยงผูกติดกันยาวเหยียด ผ่านโรงสีปล่อยควันโขมง ผ่านบ้านเรือนที่เริ่มคับคั่งขึ้น เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเข้าสู่เขตตลาดบ้านแพน เลอมานจึงเริ่มตรวจสอบความเรียบร้อยของเสื้อผ้า กลัดกระดุมคอผูกไทด์ที่ตนคลายออกเมื่อเช้าให้กระชับ โยนยาดมส้มมือที่จ่อรูจมูกมาตลอดทางคืนนายแช่ม จัดผมเผ้าให้เรียบร้อยแล้วสวมหมวกปีกแคบ และเมื่อเรือจอดนิ่งสนิทที่ท่า เขาก็ก้าวย่างขึ้นฝั่งได้อย่างสง่างาม
สุภาพบุรุษหนุ่มในชุดสูทสีครีม สวมหมวกปีกสีน้ำตาล แม้ดวงตาจะถูกแว่นดำบดบังอยู่ แต่ก็ไม่อาจปกปิดความงดงามของใบหน้านั้นได้ ยิ่งเมื่อมายืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านจอแจที่ท่าเรือ ยิ่งดูโดดเด่นราวกับหงส์ในฝูงกา ไม่ว่าใครจะสนใจมองจนเหลียวหลังอย่างไร เขาก็ยังยืนเชิดหน้ามองตรงราวกับไม่สนใจชีวิตอื่นใดบนโลก
“หม่อมราชวงศ์เลอมาน บูรพวงศ์ใช่ไหม” เสียงทุ้มที่เอ่ยชื่อเขาทำให้เด็กหนุ่มต้องหันไปมอง หน้าที่เชิดอยู่แล้วต้องเชิดยิ่งกว่าเก่าด้วยอีกฝ่ายนั้นสูงกว่าเขามากนัก
“สวัสดี ผมอาจารย์คนึง วนาสัยจากโรงเรียนฝึกหัดครูอยุธยา ผมมารับคุณ” ดวงตาเรียวคมสีสนิมเหล็กมองเขานิ่งอย่างไม่สะท้อนอารมณ์ใด แม้ไม่ยินร้าย แต่ก็ไม่ยินดี
“อ้อ” เด็กหนุ่มผู้สูงศักดิ์เพียงกล่าวรับสั้นๆ ถอดแว่นออกเพื่อสำรวจอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าคมคาย ร่างสูงใหญ่ในเสื้อเชิ้ตขาวกางเกงขายาวสีดำ แต่ปลอกแขนทุกข์ที่แขนซ้ายนั้นสะดุดตาสะดุดใจเขานัก นึกฉุนเฉียวขึ้นมาครามครัน อาจารย์บ้านนอกคนนี้กล้าดียังไงถึงแต่งตัวแบบนี้มารับเขา
นายแช่มหอบสัมภาระมาเต็มสองมือ เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายยืนอยู่กับใคร ก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “สวัสดีครับ”
“สวัสดี” คนึงรับไหว้พร้อมยิ้มด้วยไมตรี เหลือบมองเด็กหนุ่มที่เอาแต่ยืนเชิดหน้า อดคิดอย่างดูแคลนไม่ได้ว่า ไม่อยู่เมืองนอกนานเกินไปก็คงจะเป็นที่กมลสันดานส่วนตัวถึงได้ไม่รู้จักไหว้หรือกล่าวสวัสดีคนอื่น
คนึงและนายแช่มถือกระเป๋าเดินทางของคุณชายไว้คนละสองใบ ในขณะที่เจ้าของกระเป๋ากลับเดินเชิดหน้าเอามือไพล่หลังไม่แยแส อาจารย์หนุ่มเดินนำทั้งสองมายังเรือยนต์ที่จอดรออยู่ที่ท่าเพื่อเดินทางไปยังโรงเรียน
ทัศนียภาพและวิถีชีวิตชาวบ้านสองฝั่งคลองที่ผ่านสายตายิ่งทำให้เด็กหนุ่มผู้สูงศักดิ์รังเกียจนัก ท้องทุ่งนากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ฝูงวัวควายปล่อยทุ่งพากันมากินน้ำ กลุ่มเด็กเปลือยกายล่อนจ้อนโดดน้ำกันโครมๆ หญิงสาวชาวบ้านในผ้าถุงเปียกแนบเนื้อนั่งขัดสีฉวีวรรณที่ท่าน้ำ ทุกอย่างทำให้เขาอดวิพากษ์วิจารณ์ถึงความล้าหลังไร้การพัฒนาไม่ได้
โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตนตกอยู่ในสายตารังเกียจเดียดฉันท์จากผู้มารับอย่างไร
*************************
ท่าน้ำหลังโรงเรียนฝึกหัดครูอยุธยากำลังคึกคักราวกับงานวัด ผ้าแพรเพลาะสีสดใสถูกนำมาตกแต่งจนท่าน้ำเรียบๆดูสวยสด เหล่าคณาจารย์ต่างอยู่ในชุดแต่งกายสุภาพเรียบร้อย นักเรียนบางส่วนที่กินนอนที่โรงเรียนก็มาออกันที่ท่าจนคับคั่ง แม้แต่ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงก็ยังแห่กันมา
ได้ยลโฉมคุณชายนักเรียนนอกจากอังกฤษที่ร่ำลือกันว่ารูปงามนักหนา แถมยังได้ดูมหรสพกลองยาวที่กำนันเสริมหามาเป็นของแถม ในชีวิตอันเรียบง่ายจนน่าเบื่อ นานทีปีหนจะมีเรื่องครึกครื้นให้ดูชม แล้วใครเล่าจะพลาดได้ลง
จ้อยในเสื้อเชิ้ตขาวกางเกงสีกากีอันเป็นเครื่องแบบของนักเรียนโรงเรียนฝึกหัดครูกำลังตื่นตาตื่นใจอยู่กับหาบเร่ที่มาจับจองที่ทางขายของหลังโรงเรียน เดินไปเดินมาก็หยุดอยู่หน้าร้านน้ำแข็งกดสีสันสดใส เด็กหนุ่มร่างเล็กยืนมองตาละห้อยได้ไม่ทันไรก็มีมือมาตบไหล่ดังป้าบ
“ตามหาตั้งนาน ที่แท้ก็มาอยู่นี่เอง” สันติฉายานายสี่ตาเพราะใส่แว่นโอบไหล่เล็กบางของเพื่อนรักไว้อย่างสนิทสนม
“เอาไหมจ้อย เดี๋ยวเราเลี้ยง” สง่าเดินมาประกบอีกคน และไม่ทันที่จ้อยจะอ้าปากร้องห้าม เพื่อนตัวดีก็สั่งน้ำแข็งกดกับแม่ค้าไปแล้ว มิไยจ้อยจะโบกมือห้าม น้ำแข็งกดรดน้ำแดงราดนมจนชุ่มก็ถูกยัดใส่มือ
“ขอบใจนะ เดี๋ยววันหน้าเรากับยายจะทำขนมมาให้” ริมฝีปากบางว่าพลางชิมรสหวานฉ่ำแล้วยิ้มเขิน จริงอยู่ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่จะให้เพื่อนมาเลี้ยงบ่อยๆก็ใช่เรื่อง
จ้อยเป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เล็ก แม่กำไลของเขาไปทำงานที่กรุงเทพ พอคลอดเขาแล้วก็เอามาฝากให้ยายเลี้ยงแล้วตัวก็หายเข้ากลีบเมฆ เด็กหนุ่มเคยเห็นหน้าแม่แต่เพียงในรูปถ่ายเก่าๆ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังอดภูมิใจไม่ได้ที่ตัวเองถอดใบหน้าแม่มาไม่ผิดเพี้ยน ส่วนพ่อนั้นหรือ เติบโตมาจนอายุ ๑๗ ปี จ้อยก็ยังไม่รู้ว่าพ่อบังเกิดเกล้าของตนเป็นใคร และเชื่อว่ายายเองก็คงไม่รู้เช่นกัน
เกิดมาก็กำพร้าพ่อแม่แล้ว เมื่อสี่วันก่อนพี่ชายก็มาตายจากไปอีก ชีวิตจ้อยตอนนี้จึงเหลือเพียงยายคนเดียวเป็นที่ยึดเหนี่ยว แต่ไม่ใช่เพียงความน่าเวทนาที่ทำให้จ้อยกลายเป็นที่รักที่เอ็นดูของอาจารย์และผองเพื่อน หากเป็นเพราะความอ่อนโยนอ่อนน้อม และร่าเริงสดใสเหมือนแสงตะวันยามเช้า อันเป็นนิสัยดั้งเดิมของตัวเขาเองต่างหาก
จ้อยเป็นเด็กดี ไม่มีพิษมีภัยกับใคร แต่ก็ยังไม่วายมีศัตรู
“เฮ้ย ไอ้จ้อย!” เสียงทุ้มห้าวตะโกนเรียกดังลั่นจากด้านหลัง ไม่ต้องหันไปดูจ้อยก็รู้ว่าเสียงใคร เพราะมีเพียงคนเดียวที่จ้องระรานเขาแบบนี้
“โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วยังกินน้ำแข็งกดอีกหรือวะ” จริงดังคาด นายสิงห์ลูกชายกำนันเสริมพร้อมลูกสมุน ๓-๔ คนเดินอาดๆตรงเข้ามาอย่างหาเรื่อง ท่าทางยียวนกวนประสาทจนจ้อยเบ้ปากรังเกียจ ถึงจะร่างเล็กผิดกันเยอะแต่เด็กหนุ่มก็จ้องหน้ามันกลับไปอย่างไม่กลัวเกรง
ดูเอาปะไร เย็นย่ำสนธยาขนาดนี้ไอ้สิงห์มันยังสะเออะใส่แว่นดำ คงจะนึกว่าตัวเองเป็นพระเอกหนังฝรั่งโก้เสียเต็มประดา
“หรือว่าหมายังเลียถึงวะ ไอ้จ้อยมันยิ่งเตี้ยๆอยู่” ไอ้ลอย สมุนคนสนิทของไอ้สิงห์เห่าหอนขึ้น ประโยคที่จ้อยไม่เห็นว่ามันจะขำตรงไหนกลับเรียกเสียงหัวเราะจากพวกมันครื้นเครง
“เออว่ะ ไหนดูหน่อยซิวะ” มือแกร่งคว้าเข้าให้ที่แขนเล็ก อาศัยร่างกายที่สูงใหญ่กำยำกว่าดึงร่างเล็กเข้าหาตัวได้อย่างง่ายดาย จ้อยออกแรงยื้อยุดจนน้ำแข็งกดร่วงลงพื้น
ไอ้สิงห์ทำท่าเสียดมเสียดาย พลางจับแว่นขึ้นคาดผม เผยให้เห็นใบหน้าคมคายและดวงตาวาววับ ดวงตาคู่นั้นจ้องใบหน้าคู่กรณีนิ่งไปอึดใจ
“ไปกันเถอะสันติ สง่า อย่าไปสนพวกอันธพาลเลย” จ้อยว่าพลางหันหลังเดินหนีทั้งยังจับแขนตัวเองป้อยๆด้วยความเจ็บ ยังไม่ทันได้เดินหนีไปดั่งใจ คนตัวสูงกว่าก็ปราดมาขวางหน้าไว้ สายตายังจับจ้องไม่กระพริบ
“ปากแดงอย่างกับผู้หญิงเลยนะเอ็ง” ไม่ว่าเปล่า ดันเอื้อมมือมาหาเสียด้วย มือเล็กรีบปัดมันออกทันทีก่อนจะถึงตัว ร่างสูงทำท่าดังได้สติ แววตาที่มองเปลี่ยนเป็นเอาเรื่องทันที แถมยังเงื้อง่ากำปั้นขึ้น
“หยุดนะไอ้สิงห์!!” เสียงทรงอำนาจดังฟ้าผ่าดังขึ้น ไม่ใช่แค่ไอ้สิงห์กับพรรคพวกเท่านั้นที่ชะงัก ทุกคนล้วนหันไปมองต้นเสียงเป็นตาเดียว ร่างสูงใหญ่ในชุดสีกากีเดินถือตะพดอาดๆมา ปิดหัวล้านเลี่ยนไว้ด้วยหมวกกะโล่ หนวดงอนโง้งเน้นใบหน้าให้ดูดุดันน่าเกรงขามยิ่งขึ้น
“วันนี้อย่าก่อเรื่องเชียวนะ ไม่งั้นพ่อจะแพ่นกบาลแยกให้หมดทั้งหัวโจกหางโจก” แค่กำนันเสริมเงื้อตะพดใส่ ไอ้สิงห์และพวกก็หัวหดกันเป็นแถว
“ขอโทษทีนะครู อย่าถือสาไอ้ลูกชายอันธพาลของลุงเลยนะ” ท่าทีดุร้ายที่มีต่อลูกชายแปรเปลี่ยนเป็นเมตตาอารีต่อนักเรียนฝึกหัดครูทันที จ้อยยิ้มเจื่อน ปากบางขยับจะเอ่ยคำว่าไม่เป็นไร..
“มันยังไม่ได้เป็นครูเสียหน่อย พ่อไปเรียกมันว่าครูทำไม” หัวโจกร่างสูงโพล่งขึ้นขัดเสียก่อน แต่ก็จ๋อยไปอีกครั้งเมื่อผู้เป็นพ่อร่ายยาว
“หุบปากไปเลยไอ้สิงห์ หัดเอาอย่างครูเขาซะมั่ง หนังสือหนังหาก็ไม่ยอมเรียน ดีแต่ระรานชาวบ้านไปทั่ว พวกเอ็งไปอยู่ไกลๆโน่นเลย เดี๋ยวคุณชายเห็นเข้าจะอับอายขายขี้หน้ากันทั้งบาง”
ลูกชายกำนันได้แต่ฮึดฮัด ก่อนจากไปยังมิวายชี้หน้าคู่กรณี พร้อมชี้หน้าขู่อาฆาต
“ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้จ้อย อีกสองสามวันข้าจะไปเก็บดอกที่แผงผักยายเอ็ง เตรียมตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน!”
อาจารย์ปรีชาเจ้าของร่างท้วมและใบหน้าเอื้ออารียืนยิ้มอยู่ที่ท่า รายล้อมด้วยเหล่าคณาจารย์ที่คอยชะเง้อมองคุ้งน้ำข้างหน้าเป็นระยะ การมาเยือนของชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์คนนี้สำคัญยิ่งนัก ด้วยว่าหม่อมราชวงศ์เลอมานคือโอรสคนเดียวของหม่อมเจ้าอาทิตย์ธวัชผู้ให้การอุปถัมภ์โรงเรียนมาช้านาน การต้อนรับจึงจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ
“เอ้าเฮ้ย โน่นไง เรือมาแล้ว ตั้งแถวๆ” กำนันเสริมโวยวายขึ้นเมื่อเห็นเรือยนต์ลำหนึ่งแล่นเข้าคุ้งน้ำมา อาจารย์ปรีชารีบกระชับคอเสื้อให้เรียบร้อย อาจารย์อื่นที่ยืนระเกะระกะในตอนแรกต่างพากันยืนเรียงแถว ส่วนพวกชาวบ้านรวมทั้งจ้อยและพวกพรรคต่างพากันชะเง้อชะแง้ คณะกลองยาวลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อม ทุกคนต่างอยากเห็นหน้าอาจารย์ฝึกสอนคนใหม่ที่มียศศักดิ์สูงส่งคนนี้นัก
เรือยนต์แล่นเข้าเทียบท่า อาจารย์ปรีชาพาใบหน้าเปื้อนยิ้มเข้ามายืนใกล้ๆ ผู้ที่ขึ้นจากเรือคนแรกคืออาจารย์คนึง และร่างโปร่งบางที่ค้อมหัวหลบหลังคาเรือก้าวขึ้นมายืนบนท่าคนต่อมาคือชายหนุ่มที่ทุกคนรอคอย
แม้จะเห็นจากในระยะไกล แต่หม่อมราชวงศ์หนุ่มก็เรียกเสียงฮือฮาจากชาวบ้านได้เซ็งแซ่ บางคนชะเง้อมองคอยาวจนแทบจะตกจากตลิ่ง ส่วนพวกสาวๆก็กระมิดกระเมี้ยนขวยเขินกันหน้าแดงก่ำ
“ท่านนี้คืออาจารย์ปรีชา เป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนเรา” คนึงแนะนำให้คุณชายรู้จักบุคคลที่ยืนอยู่หัวแถว
“ยินดีต้อนรับสู่โรงเรียนของเราครับคุณชาย” อาจารย์ใหญ่วัยกลางคนเอ่ยทักทายพร้อมยิ้มกว้างจนหางตาย่น แต่หม่อมราชวงศ์หนุ่มกลับตอบรับเพียงอาการพยักหน้าน้อยๆ.. เท่านั้น แล้วใบหน้างามงดนั่นก็กลับมาเชิดชูคอเหมือนเก่า
ไม่มีการยกมือไหว้ ไม่..แม้แต่จะถอดหมวกออก
อาจารย์ปรีชาเพียงกระแอมในคอ ก่อนหันไปแนะนำผู้ที่ยืนอยู่ถัดจากเขา “นี่คือกำนันเสริม เป็นกำนันของตำบลนี้ครับ”
กำนันร่างใหญ่หัวเราะแหะๆ ถอดหมวกกะโล่ออกแล้วยกมือขึ้นจะรับไหว้ตามความเคยชิน แต่แล้วก็ต้องหัวเราะเก้อ รับไหว้เก้อ ด้วยเพราะชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ทักทายเขาด้วยอาการเดียวกับที่ทักทายอาจารย์ใหญ่
อาจารย์วิรัช หัวหน้าภาคภาษาอังกฤษก้าวขาออกมาทักทายบ้างอย่างมั่นใจ
“กุดอ๊าบเต้อนูนเซอร์ เวลคั่มทู..”
“ผมพูดไทยได้ ไม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ” เลอมานทะลุกลางปล้องเพราะสุดจะทนกับภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งหู เล่นเอาอาจารย์ร่างสันทัดหน้าม้าน
นายแช่มยกข้าวของขึ้นฝั่งมาได้แล้วก็ตามมายกมือไหว้ผู้มาต้อนรับทีละคนอย่างอ่อนน้อม แนะนำตัวเสร็จสรรพว่าเป็นข้าช่วงใช้ของคุณชาย คนึงมองบ่าวแล้วหันมองนายด้วยสายตาเหยียดหยัน เสียแรงที่มีเชื้อเจ้า กลับทำตัวเย่อหยิ่งจองหอง ไม่ยอมยกมือไหว้กระทั่งอาจารย์ใหญ่หรือกำนัน
ดวงตาคู่สวยทอดมองแถวยาวเหยียดของคนที่พากันมาต้อนรับเขาแล้วนึกเวียนหัวขึ้นมาครามครัน สายตาทุกคู่มองมาทางเขาเป็นจุดเดียว เสียงซุบซิบวิจารณ์ดังเข้าหูเป็นระยะ
“สวยจริงพ่อคุณเอ๊ย ยังกะพระเอกหนังแน่ะ”
“ขาวเป็นหยวกกล้วยเชียวว่ะ”
“ทำไมผมเขาสีอ่อนกว่าเราล่ะ”
“คงอยู่เมืองนอกนานจนเป็นฝรั่งมั้ง”
“ไอ้โง่ ไม่พ่อก็แม่เขาคงเป็นฝรั่งตะหากเล่า”
หม่อมราชวงศ์หนุ่มรู้สึกอึดอัดนัก ไหนจะเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ไหนจะเวียนหัวเพราะเมาเรือตั้งแต่อยู่บนเรือเมล์ มือบางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดจมูกเพราะความรู้สึกคลื่นเหียนพุ่งเข้าโจมตี แต่ก็พยายามฝืนทนเอาไว้
“ที่พักของผมอยู่ไหน” เขาหันไปถามอาจารย์หนุ่มที่เป็นคนพาเขามา ให้รู้สึกตึงหน้าขึ้นมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบ แถมยังมองกลับด้วยสายตาเคียดขึ้ง จนอาจารย์ปรีชาต้องเป็นคนตอบให้
“คุณชายพักที่บ้านพักอาจารย์หลังนั้นครับ” นิ้วอูมชี้ไปทางเรือนไม้เสาคอนกรีตที่ซ่อนกายอยู่ในดงมะม่วงใบหนา “เดี๋ยวให้คนเอาของไปเก็บให้แล้วเชิญคุณชาย..”
“ผมขอตัวไปพักผ่อนก่อน กรุณาอย่าให้ใครไปรบกวน” น้ำเสียงเรียบนิ่งที่เอ่ยขึ้นทำให้หลายคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก นายแช่มถึงกับเข้ามากระซิบประชิดตัว
“คุณชายเล็ก มันจะดีหรือ เขาจัดงานต้อนรับให้นะขะรับ” สีหน้าบ่าวหนุ่มซีดยิ่งกว่าซีด
“แกก็อยู่แทนฉันไปสิ” คุณชายกลับตอบอย่างไม่แยแส และไม่ทันหลายคนจะคัดค้าน ไม่ทันนายแช่มจะทัดทาน ร่างโปร่งบางก็เดินลิ่วๆผ่านกลุ่มคนที่มองตามไปจนสุดตา
นายสิงห์และพรรคพวกก็อยู่ในกลุ่มนั้น ต่างมองตามคุณชายรูปงามด้วยสายตาแสนทึ่ง
“เหมือนตุ๊กตาที่น้องข้าเล่นตอนเด็กๆเลยว่ะ” หัวโจกเอ่ยขึ้น สายตายังมองตามร่างนั้นทั้งที่เดินไปไกลแล้ว
“เสียดายเป็นผู้ชายเสียได้ ถ้าเป็นผู้หญิงละก็..” ไอ้ลอยหยักยิ้มมุมปาก ดวงตาเจ้าเล่ห์พราวระยับ วูบหนึ่งขณะเด็กหนุ่มสูงศักดิ์เดินผ่าน มันได้กลิ่นหอมจางๆจากร่างนั้น
ช่างยวนใจเสียเหลือเกิน
*************************
หม่อมราชวงศ์เลอมานเดินกึ่งวิ่งมาที่โคนต้นหางนกยูงหน้าบ้านพัก มือเล็กใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากแน่น สีหน้าเขาตอนนี้ผะอืดผะอมบอกไม่ถูก เหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นใครจึงตัดสินใจโก่งคออาเจียนกับโคนต้นไม้นั้น
เพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เที่ยง สิ่งที่ผ่านพ้นลำคอออกมาจึงมีแต่น้ำย่อยขมเปรี้ยว ทรมานเหลือเกิน..
มือหนึ่งที่ลูบหลังให้ทำให้เลอมานตกใจสะดุ้งสุดตัว เขาเอี้ยวหลังมองขวับ พบเด็กหนุ่มร่างเล็กคนหนึ่งในชุดที่คาดว่าเป็นนักเรียนของที่นี่ กำลังขยับปากจะไล่ออกไปแต่กลับถูกความคลื่นเหียนโจมตีอีกระลอกจนต้องยอมแพ้แก่รอยมืออ่อนโยนนั้น
หม่อมราชวงศ์หนุ่มทิ้งตัวลงนั่งหอบบนแคร่ไม้ไผ่โคนต้นหางนกยูง ดวงตาคู่สวยจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่เอาแต่ยิ้มด้วยสายตาไม่พอใจ ใครใช้ให้หมอนี่มาเห็นเขาในสภาพน่าอดสูกันเล่า สักพักร่างนั้นก็หันหลังวิ่งขึ้นบันไดไปบนบ้านแล้วประคองขันน้ำใบหนึ่งมายื่นให้
“อาจารย์คนึงก็เหลือเกิน ดูไม่ออกหรือไงนะว่าคุณชายเมาเรือ หน้าซีดออกขนาดนี้” จ้อยวางขันน้ำลงกับแคร่เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมยื่นมือมารับเสียที
“นี่เป็นน้ำฝนครับคุณชาย ไม่ต้องห่วง ที่นี่ใครๆก็ดื่มกันทั้งนั้น” เขาเอ่ยเมื่อเห็นสายตาคลางแคลงใจของอีกฝ่าย “ถ้าไม่ดื่มก็ล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย จะได้สดชื่น”
ผู้สูงศักดิ์กว่าคว้าขันขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ เขาบ้วนปากแล้วลองดื่มดูด้วยความกระหาย ให้นึกแปลกใจว่าน้ำฝนนี้ช่างชื่นใจอย่างน่าประหลาด ดวงตาสีน้ำตาลเพ่งพิเคราะห์สารรูปเด็กหนุ่มตรงหน้า ร่างเล็กผอมบางในเสื้อสีขาวตุ่น กางเกงมีรอยปะชุน รองเท้าที่ใส่ก็เป็นรองเท้าแตะเก่าๆ แต่ดวงตาเป็นประกายและรอยยิ้มสดใสนั้นช่างเป็นมิตรชวนมอง
ไม่ถึงอึดใจ ทั้งสองก็เห็นร่างสูงร่างหนึ่งกำลังเดินตรงมาทางนี้ด้วยสีหน้าขึ้งเครียด
“กลับไปที่งานเดี๋ยวนี้”
ประโยคคำสั่งนั้นทำให้หม่อมราชวงศ์เลอมานโกรธจนลมแทบออกหู ได้แต่พยายามสะกดโทสะเอาไว้อย่างสุดกลั้น ตั้งแต่เกิดมา นอกจากท่านพ่อแล้ว ไม่มีใครหน้าไหนกล้าสั่งเขามาก่อน
“คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังพูดกับใคร อย่ามาใช้น้ำเสียงแบบนี้กับผม” ร่างโปร่งบางลุกพรวดขึ้น อดหัวเสียไม่ได้ที่แม้จะลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงแล้วอีกฝ่ายก็ยังสูงกว่าเขามากนัก
คนึงยิ้มหยัน รู้สิ กำลังพูดกับเด็กไร้มารยาท เย่อหยิ่งจองหองน่ารังเกียจอยู่อย่างไรล่ะ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดไปดั่งใจคิด
“สิ่งที่คุณทำวันนี้มันเสียมารยาทมาก”
“แล้วไง ผมไม่ไปเสียอย่าง คุณจะทำไม”
“ถ้าคุณไม่กลับไป ผมจะโทรศัพท์ไปทูลฟ้องท่านชายอาทิตย์” ชื่อบิดาที่ถูกเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดนั้นทำให้เลอมานชะงัก ยอมจำนนด้วยความไม่เต็มใจ เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ สะบัดหน้าเดินกลับไปที่งานอย่างเสียมิได้
จ้อยได้แต่มองตามทั้งสองพลางถอนหายใจ ความบาดหมางไม่ลงรอยได้เริ่มขึ้นตั้งแต่วันแรกอย่างนี้ แล้วระยะเวลาอีก ๑ ปีที่หม่อมราชวงศ์เลอมานต้องอยู่ที่นี่ รอยร้าวนั้นจะลุกลามใหญ่โตไปสักแค่ไหน จะถึงขั้นแตกสลายเลยหรือเปล่าหนอ
**********************
เวลาผ่านไปจนถึงหัวค่ำ การร่วมรับประทานอาหารเย็นกับคณะอาจารย์ก็ผ่านพ้นไปด้วยดี เลอมานยังจำสีหน้าของนายแช่มได้ดีว่ามันดีใจมากแค่ไหนที่เห็นเขากลับไป และจำสีหน้าของเหล่าอาจารย์ทุกคนได้ดีเช่นกัน
ไม่ว่ามันจะเป็นสายตาอิดหนาระอาใจ เหนื่อยหน่าย ไม่พอใจ อ่อนใจ หรืออะไรก็ตามแต่ สายตาเหล่านั้นก็ไม่อาจทำให้เขาสะดุ้งสะเทือนได้ การถูกเลี้ยงดูมาอย่างฝรั่ง แถมยังถูกหม่อมแม่พะเน้าพะนอเอาใจราวกับไข่ในหิน ไม่ว่าเพื่อนฝูงหรือบ่าวไพร่ก็ปฏิบัติกับเขาเช่นผู้มีศักดิ์สูงกว่า สิ่งเหล่านั้นหล่อหลอมให้หม่อมราชวงศ์เลอมานไม่เคยนึกถึงความรู้สึกใคร ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตาทั้งสิ้น
ระหว่างมื้อเขาทานได้น้อยคำ ด้วยนึกเหยียดหยันในรสชาติสตูไก่ที่พยายามปรุงให้อร่อยเท่าต้นตำรับ สีหน้าเขาคงแสดงออกไม่น้อยตอนที่อาจารย์ปรีชาบอกว่าแม่ครัวปรุงให้สุดฝีมือ ทุกคนในโต๊ะถึงได้ทำหน้ากระอักกระอ่วนอย่างนั้น
หลังมื้ออาหารที่น่าเบื่อหน่าย อาจารย์หนุ่มร่างสูงก็พาเขาและนายแช่มมายังห้องพักบนเรือนไม้ใต้ถุนสูงขนาด ๑๕ เสา คะเนด้วยสายตาแล้วพบว่ามีห้องพักอื่นอีก ๓-๔ ห้อง ผ่านห้องนั่งเล่นตรงกลาง พวกเขาถูกพามายังห้องหนึ่ง ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปพบเตียงสองหลังตั้งอยู่คนละฝั่งห้อง คิ้วเรียวถึงกับขมวดมุ่น
“นั่นเตียงใคร” ใบหน้างดงามเชิดขึ้นถามอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหันไปสำรวจทั่วห้องกว้าง เครื่องเรือนทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า หรือโต๊ะเขียนหนังสือ ทุกอย่างมีเป็นคู่และถูกจัดวางในลักษณะแบ่งพื้นที่ครึ่งห้อง โดยกั้นกลางไว้ด้วยชั้นหนังสือ
“เตียงผมเอง” คำตอบของอีกฝ่ายทำให้หม่อมราชวงศ์หนุ่มแทบสำลักอากาศ “ห้องพักอาจารย์กำหนดให้อยู่ห้องละสองคน และพอดีอาจารย์ที่เคยอยู่ห้องนี้กับผมตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว ที่สำคัญผมก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลคุณด้วย”
“ไม่มีห้องเดี่ยวหรือ”
“ไม่มี” คนึงเอ่ยเสียงเรียบ เรียบพอๆกับใบหน้านิ่งขึง “ที่นี่บ้านพักไม่ใช่โรงแรม”
นายแช่มเห็นประกายตาเจ้านายวาววับด้วยความไม่พอใจ และเห็นอาจารย์ร่างสูงใหญ่ปลีกตัวไปที่โต๊ะทำงานอย่างไม่แยแส มันก็เริ่มเห็นท่าไม่ดี รีบเข้าไปประคองคุณชายที่รักไปนั่งพักที่เตียงอย่างประจบ และจัดแจงสัมภาระในกระเป๋าเก็บเข้าที่
คนึงพยายามข่มอารมณ์ไว้ เมื่อได้ยินเสียงเลอมานบ่นแต่เรื่องความคับแคบของห้องพักและไร้สิ่งอำนวยความสะดวกจากอีกฝั่งห้องแว่วมา ฝ่ายนั้นจงใจพูดให้เขาได้ยิน เขาแน่ใจเช่นนั้น
“นี่คุณ คุณน่ะ” ร่างโปร่งเดินมาหยุดเรียกเขาอยู่ข้างชั้นหนังสือใหญ่ที่ถูกใช้กั้นกลางห้อง “คุณชื่ออะไรนะ”
ดวงตาคมวาวขึงตาใส่อีกฝ่าย คิ้วหนาขมวดมุ่น เจ้าเด็กไร้มารยาทนี่จำชื่อเขาไม่ได้จริงๆหรือจงใจแกล้งถาม
แต่ไม่ว่าจะสาเหตุไหนก็แสดงถึงความไม่น่าคบได้พอๆกัน
“เอ่อ..อ-อาจารย์คนึงขะรับ คือ..” บ่าวหนุ่มผิวคล้ำยืนกุมเป้าถาม “คุณชายจะอาบน้ำแล้ว ไม่ทราบว่าห้องน้ำอยู่ไหนหรือขะรับ”
**************************
“นี่น่ะหรือห้องน้ำ”
เลอมานพึมพำแผ่ว สองนายบ่าวถือไฟฉายฝ่าความมืดจากบ้านพักมาหยุดอยู่หน้าห้องน้ำตามที่คนึงชี้บอก ความจริงแล้วเรียกว่าโรงอาบน้ำน่าจะถูกกว่า ดวงตาคู่สวยมองผนังก่อด้วยสังกะสีอย่างหยาบๆด้วยความแคลงใจ เมื่อเปิดประตูเข้าไป เปิดไฟสว่าง มีอ่างใส่น้ำที่ก่อด้วยปูนขนาดใหญ่อยู่กลางห้องกว้าง พื้นปูนเฉอะแฉะ กลิ่นอับน่ารังเกียจทำให้ต้องยกมือขึ้นปิดจมูกโด่งรั้น
“ไม่มีห้องน้ำที่ดีกว่านี้แล้วหรือ” ความขยะแขยงแล่นพล่านจนเด็กหนุ่มอดบ่นไม่ได้
“แต่อาจารย์คนึงบอกว่าใครๆก็อาบที่นี่นะขะรับ”
เลอมานจึ๊ปากอย่างขัดใจ รับผ้าขนหนู,เสื้อคลุมและสบู่ฝรั่งจากบ่าวมาถือไว้ แล้วไล่ให้มันออกไปเฝ้าที่หน้าโรงอาบน้ำ กำชับนักหนาว่าอย่าให้ใครเข้ามาเด็ดขาด
นายแช่มออกไปแล้ว.. เหลือเขาอยู่คนเดียวในห้องน้ำโล่งกว้าง..
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองไปรอบๆห้องอย่างประดักประเดิด เขาไม่เคยอาบน้ำในห้องน้ำที่กว้างขนาดนี้มาก่อน มันโล่งเสียจนไม่ต่างอะไรกับอาบน้ำในที่แจ้ง แต่ยังอุ่นใจอยู่บ้างเพราะมีนายแช่มเฝ้าอยู่ข้างนอก
ไม่มีฝักบัว ไม่มีน้ำอุ่น ไม่มีอ่างอาบน้ำให้นอนแช่ มีแต่ขันเงินบุบๆวางอยู่บนขอบอ่าง
เขาเหลียวมองไปรอบๆอีกครั้ง ก่อนค่อยๆปลดเปลื้องเสื้อผ้าตนออกจนเหลือแต่ร่างเปลือยเปล่า ค่อยๆอาบน้ำอย่างทุลักทุเล
เพียงน้ำขันแรกรดกายก็ร้องคราง.. มันช่างเย็นเหลือใจ
ขันแล้วขันเล่าราดรด มือบางค่อยๆบรรจงทำความสะอาดไปทั่วร่าง เรือนผมสีน้ำตาลเปียกลู่ หยดน้ำเกาะพราวทั่วผิวเนียนเรียบ จู่ๆเด็กหนุ่มก็พลันได้ยินเสียงแกร๊กที่ประตู
มือที่กำลังละเลงฟองบนศีรษะชะงัก
ใคร!?
นายแช่ม!?
เสียงคนคุยกันแว่วๆดังขึ้นพร้อมประตูไม้บานเก่าเปิดผางออก ฟองสบู่ราคาแพงที่อยู่บนศีรษะเริ่มไหลเข้าตา ทำให้เขาเห็นหน้าคนบุกรุกเข้ามาได้ไม่ชัดนัก รู้แต่ว่าพวกนั้นมีไม่ต่ำกว่า ๒ คน!
“นั่นใคร!”
โปรดติดตามตอนต่อไป
*เพลงหงส์เหิร, แก้ว อัจฉริยะกุล ประพันธ์, เพ็ญศรี พุ่มชูศรี ขับร้อง
ความคิดเห็น