ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักคือเธอ (พุทธชาด + เทียนกัลยา)

    ลำดับตอนที่ #21 : ...๑๙ ความจริงภายในใจ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.98K
      9
      8 เม.ย. 59

    19

    ความจริงภายในใจ

    “พวกเขาคือพ่อแม่ที่แท้จริงของเทียนค่ะ” เจ้าของเสียงหวานที่คิดอยู่เสมอว่าเพราะจับใจกำลังสาปพุทธชาดให้แข็งเป็นหิน ออกจากบ้านคนสูงวัยแล้วเขาพาเทียนกัลยามาที่บ้านสวน ตลอดทางหญิงสาวร้องไห้สะอึกสะอื้นกับแผ่นหลังของเขา ชายหนุ่มคิดว่าตัวเองจะขาดใจตายไปเสียตรงนั้น เสียงสะอื้นของเธอเหมือนมีดที่กรีดลงกลางใจเขาไม่มีผิด รอยชื้นจากน้ำตาที่ซึมผ่านเสื้อปรียบเหมือนน้ำกรดก็ไม่ปาน

    “เทียนกำลังล้อพี่เล่นใช่ไหม” ชายหนุ่มทวนถาม แม้จะคิดว่าเทียนกัลยาเหมือนบันทะวงกับราตรี แต่เขาไม่คิดว่าทั้งสามจะเป็นพ่อแม่ลูกกัน

    ใบหน้าที่กำลังซุกซบกับอกอุ่นส่ายไปมา “ไม่ค่ะ เทียนไม่ได้ล้อเล่น พวกเขาคือพ่อแม่ของเทียน” หญิงสาวบอกเสียงแหบพร่า เธอร้องไห้จนแทบหมดแรง ภาพใบหน้าของแม่กับพ่อที่นองด้วยน้ำตาทำให้เธอแทบบ้า ไม่กล้าคิดว่าพวกท่านจะเสียใจมากแค่ไหน เจ็บปวดกันมาเท่าไรถึงมีวันนี้ได้ วันที่ไม่มีลูกสาวอยู่เคียงข้าง

    รูปร่างที่ผอมบางราวกับคนอมโรคและแววตาอมโศกทำให้มือเท้าเธอชา หัวใจเหมือนจะหยุดเต้นเข้าไปทุกที ชั่วขณะเทียนกัลยาคิด…บางทีเธอตายๆ ไปได้เสียก็ดี

    “บางทีถ้าเทียนตายๆ ไปเสีย...”

    “ไม่!” พุทธชาดขัดขึ้น ใช้มือกุมแก้มสองข้าง มองเข้าไปในดวงตาของหญิงสาวก็พบกับความสูญเสีย ชายหนุ่มถึงกับลืมหายใจ แววตาคู่นี้เหมือนแววตาของบันทะวงไม่มีผิดเพี้ยน ชายหนุ่มส่ายหน้า “เทียนจะไม่ตาย พี่จะปกป้องเทียนเอง ตั้งสติสิสาวน้อย พ่อกับแม่เขายังอยู่ดี ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร พบเจอกับสิ่งไหนมา ทั้งเทียนและพวกท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ มีโอกาสที่จะได้แก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด ดังนั้นพี่ขอสั่งให้เทียนเลิกคิดเรื่องตาย”

    พุทธชาดรู้ว่าน้องเสียใจจนขาดสติพูดออกมา แต่ชายหนุ่มรับไม่ได้ เพราะหากเธอตาย เขาก็จะตายตามไปด้วย ความคิดรุนแรงฉับพลันทำให้ชายหนุ่มนึกกลัวความรู้สึกของตัวเองไม่น้อย

    เขาจะตายตามเธอไปอย่างนั้นหรือ

    เมื่อก่อนชายหนุ่มรู้แต่เพียงว่า ‘รัก’ เด็กในปกครอง มาวันนี้เขาเพิ่งรู้…ว่ารักเธอมากแค่ไหน

    คำพูดของชายหนุ่มดึงสติเทียนกัลยา หญิงสาวกอดชายหนุ่มแน่นๆ แม้ชีวิตจะพบพานความสูญเสียมามากนัก แต่คนบนฟ้าก็ไม่ได้ใจร้าย ยังส่งเขามาให้เธอกอด

    “คุณพุดไม่โกรธที่เทียนปิดบังใช่ไหมคะ” สาวน้อยถามเสียงปนสะอื้นฟังดูน่าสงสารนัก

    “พี่ไม่เคยโกรธเทียน แต่เทียนสัญญากับพี่ได้ไหม ห้ามเทียนคิดเรื่องตายอีก”

    เทียนกัลยาพยักหน้าตอบ ก่อนก้มกราบที่อกเขา “เทียนสัญญาค่ะ เทียนขอโทษนะคะที่ปิดบังและทำให้คุณพุดเป็นห่วง”

    พุทธชาดกอดคนร่างบางไว้แน่น คงไม่ใช่แค่เธอที่เสียใจ แต่เขาเป็นอีกคนที่ช็อกและยังตั้งตัวไม่ติด เรื่องที่เกิดขึ้นมันเหลือเชื่อเกินไป แม้จะเคยสงสัยชาติกำเนิดของหญิงสาวตั้งแต่ตอนที่ดาวเรืองถูกจับตัวไป แต่เขาก็ไม่ได้ให้คนสืบค้นหรือขุดคุ้ย เพียงเพราะอยากให้หญิงสาวได้ตั้งต้นชีวิตใหม่ และย้ำกับตัวเองมาตลอด เทียนกัลยาเป็นหลานเสริม เสริมเคยบอกว่าลูกสาวคนเดียวได้ตายไปแล้ว 

    “เทียนพร้อมจะเล่าให้พี่ฟังหรือยัง” คนที่คิดจนหัวแทบแตกถาม ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ออกว่าทั้งหมดเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร ในวันนี้พุทธชาดรู้สึกเหมือนเขาไม่รู้จักเทียนกัลยาเลยสักนิด ทั้งๆ ที่เคยคิดมาตลอดว่าเขาเข้าใจเธอที่สุด

    “ค่ะ”

    “เทียน…รู้ได้ยังไงว่าตัวเองเป็นลูกของป้าตรีกับลุงเป้” ชายหนุ่มเริ่มตั้งคำถาม

    “ตาบอกเทียนไว้ก่อนจะตายค่ะ ตาบอกว่าเทียนไม่ใช่ลูกของแม่…ยี่โถ” หญิงสาวรู้สึกคับแค้นใจเมื่อเอ่ยถึงผู้หญิงอีกคน คนที่สร้างปมปัญหาให้แก่เธอ คนที่พรากเธอมาจากอกพ่อกับแม่

    “หมายถึงเทียนไม่ใช่หลานของตาเสริมอย่างนั้นเหรอ” พุทธชาดรอให้อีกฝ่ายเล่าต่อไม่ไหว

    “ค่ะ ลูกสาวของตาเป็นคนลักพาตัวเทียนมาจากพ่อแม่แท้ๆ ตาบอกว่าแม่เคยเป็นเพื่อนกับลูกสาวตา” เทียนกัลยาใช้คำว่าลูกสาวแทนการเรียกชื่อคนใจร้าย “ตาไม่รู้หรอกค่ะว่าแม่ไปทำอะไรให้ลูกสาวตา แต่เขาได้สารภาพกับตาเอาไว้ก่อนไปว่าเทียนไม่ใช่ลูกเขา เทียนเป็นเด็กที่เขาแย่งมาจากเพื่อน และทำไปทั้งหมดเพื่อ…ความสะใจ” น้ำเสียงหวานสั่นระริก เพียงแค่ความสะใจของคนหนึ่งคนทำลายชีวิตคนถึงสี่คน ทั้งพ่อ แม่ ตา รวมถึงตัวเธอต่างเหมือนตกอยู่ในนรก

    “แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นเคยเป็นเพื่อนของแม่เทียน และที่สำคัญ…เขายังไม่ตาย” พุทธชาดสรุป

    “ค่ะ เอ่อ…ทำไมคุณพุดคิดว่าผู้หญิงคนนั้นตายไปแล้วล่ะคะ”

    “อ้อ คือพี่คิดว่าเขาน่าจะเสียแล้ว” ชายหนุ่มตอบเลี่ยงๆ จะให้เขาพูดอย่างไรว่าเสริมเป็นคนบอกว่าลูกสาวตนได้ตายไปแล้ว 

    “เขายังไม่ตายหรอกค่ะ คงอยู่ดีกินดี ตอนตาจะเสียเหมือนตาเคยพูดว่าเขาไปได้ดิบได้ดีแล้วลืมพ่อแม่”

    “อืม…ถ้าเรื่องเป็นอย่างที่เทียนเล่าให้พี่ฟัง เทียนจะทำยังไงต่อ จะบอกพ่อแม่ไหม”

    เทียนกัลยาส่ายหน้า “บอกไม่ได้หรอกค่ะ พ่อกับแม่คงได้หาว่าเทียนบ้า เผลอๆ พวกท่านจะไม่ให้เทียนเข้าใกล้ เทียนกลัว…”

    “แล้วจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้หรือ”

    “เทียนไม่มีพยานนี่คะ ถ้าตายังอยู่ก็คงดี ตาจะได้ช่วยยืนยัน”

    พุทธชาดจ้องใบหน้าเศร้าสร้อยก่อนนึกถึงคนที่เทียนกัลยาคิดว่าตายไปแล้ว ชายหนุ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเสริมถึงไม่อยากให้หลานสาวรู้ เจ้าตัวคงจะรู้สึกผิดกับสิ่งที่ลูกสาวคนเดียวก่อบาปเอาไว้

    “พี่ว่าน่าจะมีทาง ถ้าพาตรวจดีเอ็นเอ เรื่องนี้ปรึกษาพี่หมอได้นะ” วิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าทำให้พุทธชาดเชื่อว่ายังไม่หมดหนทาง

    “ไม่ดีหรอกค่ะ ก่อนหน้านั้นพ่อกับแม่ก็คงไม่เชื่อใจเทียน” คนที่กลัวการสูญเสียบอกเสียงแผ่วๆ “คุณพุดอย่าเพิ่งบอกใครนะคะ เทียนอยากอยู่กับแม่พ่ออย่างนี้ก่อน ตอนนี้เทียน…มีความสุขมากแล้วค่ะ” แม้จะไม่ได้กอดให้สมกับความคิดถึง ได้หอมให้ชื่นใจ แต่ก็ยังได้มองได้เห็นว่าพวกท่านอยู่ดี

    “เด็กโง่” พุทธชาดลูบศีรษะทุย ยังให้แขนเรียวกระชับตัวเขาแน่นขึ้น ใบหน้าที่ซุกซบอกบัดนี้ถูไถอย่างออดอ้อน

    “เทียนมีความสุขจริงๆ ค่ะ ถึงจะยังไม่มาก แต่ก็สุขที่สุดในชีวิตแล้ว”

    ใบหน้าหล่อเหลาซบกับกระหม่อมบาง มืออีกข้างลูบแผ่นหลังอย่างปลุกปลอบให้คลายโศก

    “พี่สัญญา…ว่าจะทำให้เทียนพบกับความสุขมากที่สุดในชีวิตให้ได้”


    ที่ดินเปล่านับร้อยไร่ที่เคยเป็นป่าบัดนี้ถูกแผ้วถางปูทางไว้สำหรับสร้างรีสอร์ตหรูที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ธีรเมธดูรูปและแปลนแบบที่วิศวกรกำลังอธิบายให้ฟัง ถัดจากเก้าอี้เขามีผู้หญิงร่างบอบบางผมสีแดงนั่งเชิดหน้า เจ้าหล่อนสวมชุดเดรสสีเดียวกับผม เสี่ยใหญ่วัยเกือบห้าสิบแต่ยังดูหนุ่มแน่นแอบถอนหายใจ

    “เร็วๆ สิคะคุณเมธ ป่านนี้ลูกรอแย่แล้ว” เสียงแหลมๆ ของคนหน้าเชิดดังขึ้นอย่างหงุดหงิด ใบหน้าที่น่าจะฉายความสุขหลังจากเพิ่งเปิดสถาบันความงามไปเมื่อวันก่อน บูดบึ้งคล้ายคนไม่ได้ดั่งใจ

    “ถ้าเธออยากไปก่อนก็เชิญ หรือไม่ถ้าเบื่อก็ไปรอที่รถ” ธีรเมธที่ไม่เคยง้อหญิงข้างกายบอกอย่างไม่สนใจความรู้สึกอีกฝ่าย ผกามาศเสนอตัวเข้ามาหาเขาเอง ธีรเมธซึ่งเป็นม่ายภรรยาตายยอมรับความสัมพันธ์ที่ไม่ผูกมัด แต่ดูเหมือนเขาจะพลาด เมื่อลูกสาวที่หายตัวไปนานหลายปีกลับมาสู่อ้อมอกคนเป็นพ่ออีกครั้งดันติด ‘ว่าที่แม่เลี้ยง’ คนนี้แจ มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังเป็นคนไปตามหาลูกกลับมาให้เขาอีกด้วย ผกามาศรับหน้าที่ดูแล ดาวประดับ พิจักษณ์ ด้วยตัวเอง แรกๆ เสี่ยใหญ่ก็ขัดขวางบ้างเพราะกลัวอีกฝ่ายวางแผนจับ แต่ผกามาศยืนยันว่าเธอรักดาวประดับจากหัวใจและไม่ต้องการขึ้นมาแทนที่ภรรยาของเขาอย่างแน่นอน เขาจึงปล่อยให้เธอดูแลลูกสาวของเขาต่อไป จนใครๆ ต่างเข้าใจว่าเธอคือว่าที่คุณนายใหญ่ของตระกูลพิจักษณ์

    ผกามาศเก็บกักความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้ในอก มันแทบเผาไหม้ให้เธอตายวันละหลายร้อยรอบ ผ่านไปกี่ปีๆ ผู้ชายคนนี้ก็ยังเฉยชาเสมอต้นเสมอปลาย หญิงสาววัยสี่สิบต้นๆ นึกถึงวันวานด้วยความเจ็บปวด อะไรหนอ…ผลักดันให้เธอเดินเส้นทางนี้ เส้นทางที่อยู่กับผู้ชายซึ่งไม่ได้รักเธอ แต่เธอกลับรักและอยากเอาชนะเขา

    “งั้นมาศขอไปรอที่รถก่อนนะคะ” ผู้หญิงวัยสี่สิบต้นๆ ที่ยังงดงามตั้งแต่หัวจดเท้าสมกับเป็นเจ้าของสถาบันความงามก้าวฉับๆ ออกจากห้องประชุม

    “เข้าเรื่องต่อเถอะ อย่าไปสนใจเลย” 

    หลายคนในห้องต่างทำหน้าอีหลักอีเหลื่อ ข่าวที่เคยได้ยินว่าเสี่ยใหญ่ผู้นี้ไม่ใส่ใจผู้หญิงข้างกายคงเป็นจริง

    “เสี่ยจะให้เริ่มก่อสร้างเมื่อไหร่ครับ”

    “เร็วที่สุด โครงการนี้ความจริงฉันอยากทำหลายปีแล้ว ยังไงฝากคุณเทวันด้วยนะ”

    “ได้เลยครับเสี่ย งานนี้ผมรับรองว่าเสี่ยจะไม่ผิดหวัง”

    ธีรเมธพยักหน้าก่อนลุกขึ้นขอตัวกลับ ทุกคนในห้องประชุมลุกตามและทำความเคารพ พ้นร่างเสี่ยใหญ่ที่ดูอย่างไรก็ยังหนุ่มยังแน่น ทุกคนต่างผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ในที่สุดโพรเจกต์ใหญ่ก็เดินหน้าเสียที หลังจากติดขัดอยู่หลายปี 

    ธีรเมธเดินไปขึ้นรถที่ผกามาศนั่งรออยู่ก่อร วันนี้เป็นวันเกิดดาวประดับลูกสาวเขา ช่วงนี้ที่โรงเรียนปิดเทอม สาวน้อยเลยได้กลับมาอยู่กับครอบครัว ในหนึ่งปีธีรเมศได้เจอลูกสาวหลายครั้งเพราะเทียวไปเยี่ยมทุกสองถึงสามเดือน แต่ยังไม่เท่าผกามาศที่ไปทุกเดือน เรียกว่าเดินทางเป็นว่าเล่น บางเดือนไปถึงสองครั้งก็ยังมี

    รถเบนซ์คันงามแล่นออกสู่ถนน จุดหมายคือโรงแรมใจกลางเมืองหลวงซึ่งมีลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของคนที่นั่งตอนหลังรออยู่ ด้วยสภาพการจราจรที่ติดขัดทำให้มาถึงช้าไปห้านาที เพียงแค่ห้านาทีเท่านั้นแต่ธีรเมธต้องนั่งฟังคนข้างตัวบ่นแล้วบ่นอีก หลายครั้งที่เขากลัวคนขับรถซึ่งน่าจะหงุดหงิดกับสภาพการจราจรที่ติดขัดหันมาขบหัวผกามาศ เสี่ยใหญ่คิดอย่างขบขัน ก่อนก้าวลงจากรถเดินเข้าโรงแรมโดยไม่รออีกคน


    ร่างบางของเด็กสาววัยสิบหกปีซึ่งสวมชุดเดรสสีเหลืองสดน่ารักเหมาะสมกับวัยทำให้อารมณ์ของธีรเมธเย็นขึ้น ดาวประดับซึ่งนั่งรออยู่ภายในร้านอาหารลุกขึ้นโผกอดผู้เป็นพ่อทันที คนเป็นพ่อกอดตอบด้วยความรู้สึกรักอย่างสุดหัวใจ เขากล้าพูดได้เลยว่าคนร่างน้อยเป็นทั้งหมดของชีวิตเขา ตอนเด็กดาวประดับมีใบหน้าคล้ายภรรยาคนแรกของเขามาก แต่พอโตขึ้นใบหน้าก็เปลี่ยนไป แต่ก็ยังมีส่วนที่คล้ายคลึงอยู่บ้าง

    “คุณพ่อมาช้า” เจ้าของเสียงเล็กๆ ออด

    “พ่อขอโทษจ้ะ ว่าแต่หนูกินอะไรรองท้องหรือยัง”

    “ยังค่ะ ดาวรอกินพร้อมคุณพ่อกับน้ามาศค่ะ” ดาวประดับหันไปยิ้มให้คนที่เพิ่งเดินมาถึง ผกามาศยืนยิ้มให้เด็กสาว มองพ่อลูกกอดกันกลมด้วยความรู้สึกชิงชัง

    “งั้นไปสั่งอาหารกันเถอะ” ธีรเมธพาลูกสาวไปนั่งที่โต๊ะ เลื่อนเก้าอี้ให้คนเป็นลูกแล้วทิ้งตัวนั่งลงเก้าอี้ข้างกัน ปล่อยให้ผกามาศยืนเก้อ

    “ทำไมน้ามาศมาทีหลังคุณพ่อล่ะคะ” เจ้าของเสียงใสซื่อยิงคำถามให้ว่าที่แม่เลี้ยง ความชิงชังที่ซ่อนเร้นปะทุขึ้นในอกผกามาศ

    “พอดีน้าแวะเข้าห้องน้ำค่ะ น้องดาวรีบสั่งอาหารเถอะค่ะ เดี๋ยวจะหิวจนโรคกระเพาะถามหาอีก” แม้จะจงเกลียดจงชังเด็กสาวแค่ไหน แต่ก็จำต้องทำดีกับอีกฝ่าย แม้ความดีนั้นจะส่งไปไม่ถึงผู้เป็นพ่อ แต่อย่างน้อยๆ การทำเช่นนี้ก็ทำให้เธอได้อยู่เคียงข้างกายเขา

    “งั้นดาวสั่งเลยนะคะ เอ…ที่นี่มีเป๋าฮื้อของโปรดคุณพ่อหรือเปล่านะ”

    ธีรเมธยิ้มกว้างเมื่อลูกสาวจำของโปรดเขาได้ สองพ่อลูกจี๋จ๋ากันท่ามกลางสายตาเกลียดชังของอีกคน คนภายนอกอาจมองว่าครอบครัวนี้สุขสันต์เหลือเกิน แต่ใครเลยจะรู้…คนที่มีความสุขมีเพียงแค่สองคน ส่วนอีกคนทั้งชิงชังทั้งรักระคนกันไป

    “เดี๋ยวอาทิตย์หน้าพ่อจะลงไปดูงานสร้างรีสอร์ต ยายหนูอยากไปกับพ่อไหมลูก”

    “หือ รีสอร์ตที่คุณพ่อเคยบอกจะสร้างเหรอคะ”

    “ใช่ พ่อสั่งให้วิศวกรลุยโพรเจกต์นี้ต่อแล้ว”

    ดาวประดับหน้าซีดเผือด หันไปสบตากับผกามาศซึ่งฝ่ายนั้นเมินหน้าหนีไปทางอื่น

    “หนูไม่ต้องกลัวนะดาว พ่อนิมนต์พระไปสวดส่งวิญญาณไร้ญาติแล้ว” ธีรเมธบอกเมื่อเห็นสีหน้าซีดเซียวของลูกสาว เกือบหกปีที่แล้วดาวประดับเอาแต่ร่ำร้องว่าเห็นวิญญาณคนตายมาบอกว่าไม่ให้สร้างรีสอร์ตบนผืนดินแห่งนั้น ตอนนั้นเขาต้องพาลูกไปพบจิตแพทย์ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เป็นผล สุดท้ายจึงระงับการก่อสร้างและส่งลูกสาวไปเรียนต่อต่างประเทศ

    “ค่ะคุณพ่อ” ดาวประดับตอบรับเสียงแผ่ว อาหารมื้อนั้นฝืดคอเด็กสาวยิ่งนัก ผิดกับธีรเมธที่รับประทานอย่างมีความสุข ส่วนอีกคนก็ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันที่ถูกเมินเฉย


    ข่าวความคืบหน้าการก่อสร้างรีสอร์ตที่พับโพรเจกต์ไปหลายปีทำให้ชาวบ้านพูดถึงกันไม่หยุด มีทั้งในแง่ดีและแง่ร้าย บางส่วนแสดงความเห็นในเชิงลบ บางส่วนก็ว่าดีเพราะจะได้เกิดการจ้างงาน คนในหมู่บ้านจะได้ไม่ต้องกระเสือกกระสนไปหางานในเมือง พรรษชลเป็นอีกคนที่ติดตามข่าวหลังจากผิดหวังจากการเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อหาข่าว ปรากฏว่าชายหนุ่มสวนทางกับธีรเมธ

    “คุณหมอไปไงมาไงครับ” ผู้ใหญ่บ้านโคกอีเม้งทักคุณหมอหม่อมหลวงที่รู้จักหน้าค่าตาเป็นอย่างดี อีกอย่างพรรษชลยังเป็นหลานชายของผู้ใหญ่บ้านคนก่อนอีกด้วย ผู้ใหญ่เสือ ตาของชายหนุ่มเป็นที่นับหน้าถือตาของชาวบ้าน

    “มาเยี่ยมลุงผู้ใหญ่ครับ ตาฝากกล้วยน้ำว้ามาให้เครือหนึ่ง” ชายหนุ่มยกกล้วยหนึ่งเครือจากหลังรถ ทิวรีบวิ่งมารับของฝาก

    “ไม่น่าลำบาก แต่ก็ฝากขอบใจพี่เสือแกด้วย เชิญๆ หมอมากินน้ำกินท่าก่อน”

    พรรษชลเดินตามเจ้าของบ้านเข้าไปนั่งในห้องรับแขก ชายหนุ่มพบกับหนุ่มใหญ่ท่าทางภูมิฐานนั่งอยู่ก่อน ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองเขาก่อนจะเลิกคิ้วไปทางผู้ใหญ่ทิว

    “หมอน้ำที่เคยเล่าให้ฟังไงครับเสี่ย คุณหมอเป็นลูกคุณชายชล เจ้าของวังกุลวารีไงครับ”

    “กุลวารี? อ้อ ผมเคยพบคุณพ่อของหมอบ่อยๆ” ธีรเมธรับไหว้ชายหนุ่มรุ่นน้อง เขาพอรู้จักมักจี่กับหม่อมราชวงศ์ชลธาร กุลวารี คนอายุมากกว่ามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความชื่นชม ท่าทางดูอบอุ่นสมกับคนเป็นหมอ ไม่แปลกที่ทิวจะคุยนักคุยหนาว่าชาวบ้านต่างนับหน้าถือตา

    “ผมก็ได้ยินชื่อพี่มานานครับ เพิ่งได้พบวันนี้”

    “ชื่อผม? ชื่อเสียงในทางไหนล่ะคุณหมอ” คนถามยิ้มมุมปาก

    “ก็ที่เขาบอกว่าพี่ยังหนุ่มแน่นกว่าอายุจริง”

    คนถูกชมถึงกับหัวเราะร่วนอย่างชอบใจ เขาได้ยินคนอื่นพูดชมบ่อยๆ แต่ไม่ยักชอบใจเท่าคุณหมอคนนี้พูด อาจเพราะท่าทางจริงใจของอีกฝ่ายก็เป็นได้

    “ขอบใจ คุณหมอก็ดูดีสมกับราชสกุลเหมือนกัน”

    “เลยกลายเป็นว่าเราต่างชมกันไปมา ว่าแต่พี่มาทำอะไรที่นี่ครับ”

    “เรียกพี่เมธก็ได้ถ้าคุณไม่รังเกียจ ส่วนเรื่องผมมาทำอะไร ผู้ใหญ่ทิวยังไม่บอกหรอกเรอะ” ธีรเมธมองไปทางทิวที่นั่งฟังด้วยท่าทางยิ้มแย้ม

    “ยังไม่ได้บอกครับเสี่ย พอดีหมอแกเอาของฝากมาให้เหมือนเคย เลยกะจะพามาแนะนำกับเสี่ย แต่ที่ไหนได้ ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันนี่เอง”

    “อืม ผมเจอกับคุณพ่อของหมอบ่อยๆ ตามงานการกุศล คุณชายชลท่าโก้เหมือนลูกชายนี่แหละ”

    “ผมสู้คุณพ่อกับพี่น้องไม่ได้หรอกครับ อยู่ทางนี้เจอแต่หน้าคนไข้ ไม่เหมือนคนอยู่ทางโน้นยังพอได้เจอสาวๆ สวยๆ บ้าง”

    “แหมพูดไม่กลัวเลยนะครับหมอ เกิดคุณนายมาได้ยินเข้า ประเดี๋ยวเสาเรือนจะโยกเอานา”

    “พี่เมธไม่พูด ลุงผู้ใหญ่ไม่พูดก็ไม่มีใครรู้หรอกครับ” คนมากวัยกว่าทั้งสองได้ยินเข้าจึงหัวเราะกันอย่างชอบใจ พรรษชลแอบผ่อนลมหายใจ ชักกลัวๆ ภรรยารู้เหมือนกัน แต่จะให้ทำอย่างไรล่ะ เพื่อหาข่าวเขาก็ต้องสวมวิญญาณคาวีซึ่งวันนี้ไม่ว่างมาด้วย

    “เห็นอย่างนี้หมอก็ไม่เบาเหมือนกันนะ” ธีรเมธบอกกลั้วขำ รู้ดีว่าคนตรงหน้าชวนคุยไปอย่างนั้นเอง ท่าทางพรรษชลไม่น่าจะใช่คนใจโลเล

    “ธรรมดาของผู้ชายครับพี่ ว่าแต่พี่มาทำอะไรที่นี่ครับ”

    “เสี่ยเป็นเจ้าของรีสอร์ตที่กำลังสร้างน่ะหมอ” ทิวตอบแทน

    “อ้อ รีสอร์ตตรงตีนเขาทางด้านโน้นเหรอครับ”

    “ใช่ ผมอยากทำมาหลายปีแล้ว แต่เพิ่งจะสบโอกาสได้ลุยเต็มๆ สักที”

    “อ้อครับ ว่าแต่ทำไมถึงหยุดไปครับพี่” พรรษชลถามต่อเหมือนชวนคุยธรรมดา กักเก็บสีหน้าอยากรู้ไว้อย่างมิดชิด

    “ก็ลูกสาวผมน่ะสิ หาว่าที่ดินนั่นมีผี แกกลัว แกไม่ยอมให้ผมสร้าง”

    “ผี? เอ่อ ผมเพิ่งรู้ว่าพี่มีลูกด้วย”

    “มี กับเมียคนแรก ตอนนี้เขาเสียไป ผมก็เหลือแต่ลูกสาวนี่แหละหมอ”

    “คุณหนูดาวมาพอดีครับเสี่ย”

    สายตาพรรษชลพุ่งไปยังเด็กสาววัยสิบหกปีที่เดินหน้าบึ้งออกจากห้องพอดี เธอสวมชุดเอี๊ยมตัวสั้นน่ารักสมวัย ผมยาวรวบขึ้นสูงอย่างที่สาววัยรุ่นนิยมทำกัน เจ้าของใบหน้าขาวอมชมพูน่ารักมองมาที่เขา เธอทำตาโตก่อนจะรีบเก็บอาการเมื่อได้ยินเสียงกระแอมไอของผู้เป็นพ่อ

    “ดาวมาพอดี มารู้จักน้าหมอเขาสิ” ธีรเมธยกตำแหน่งน้าให้พรรษชลทันที

    “สวัสดีค่ะน้าหมอ” ดาวประดับยกมือไหว้อีกฝ่าย 

    พรรษชลรับไว้ด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก…นี่หรือยายนกกระปูดตาแดงของอ้ายหมอ

    “ทำหน้าบึ้งออกจากห้อง มีใครทำอะไรให้ไม่พอใจล่ะลูก” ธีรเมธถาม

    “ก็น้ามาศน่ะสิคะ ไม่ยอมมาที่นี่ บอกจะรอให้ดาวไปหาที่กรุงเทพฯ คุณพ่อขา…โทร. ไปบอกน้ามาศให้มาที่นี่หน่อยไม่ได้เหรอคะ” เด็กสาวออดอ้อนผู้เป็นพ่อ

    “เหงาสิเรา ไว้พ่อหาเพื่อนให้ดีไหม คุณหมอพอรู้จักใครที่อายุไล่ๆ กับลูกสาวผมไหมครับ เอาผู้หญิงนะ ผู้ชายไม่รับ” ธีรเมธหันไปถามพรรษชล

    “เอ่อ ไม่ทราบว่า ‘หลาน’ อายุเท่าไหร่ครับพี่เมธ”

    “สิบหก ปีนี้เราสิบหกใช่ไหมยายหนู”

    “ค่า ว่าแต่จะให้ดาวเรียกน้าหมอจริงๆ เหรอคะ ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะเรียกพี่ได้นะคะพ่อ” เด็กหัวนอกถามเสียงฉะฉาน

    “ถ้าอย่างนั้นเราก็เรียกพ่อว่าพี่ด้วยเถอะ”

    “แหม…คุณพ่อก็ ถึงไม่แก่ยังไงก็เป็นพ่อดาวนะคะ ไม่เอาละ เรียกน้าหมอเหมือนเดิมก็ได้ค่ะ”

    พรรษชลมองสองพ่อลูกด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เขาพอมองออกว่าธีรเมธนั้นทั้งรักทั้งหวงลูกสาวมากขนาดไหน ชายหนุ่มพูดคุยต่ออีกสักพักก่อนจะขอตัวกลับไปด้วยหัวใจหนักอึ้ง ขอบตาชายหนุ่มยามนั่งอยู่ในรถแดงก่ำ น้ำตาลูกผู้ชายที่ไม่ค่อยได้ไหลบ่อยหนักทะลักออกมา

    เย็นนั้น…อ้ายหมอของยายนกกระปูดตาแดงน้ำตาไหลตลอดทางขับรถกลับบ้าน



    อ้ายหมอน้ำร้องไห้ กอดๆๆๆ ซบๆๆๆ ช่วยซับน้ำตา อิอิ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×