คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
บทนำ
จะมีสักกี่ครั้งในชีวิตที่คนเราตัดสินใจพลาด...
‘พลับพลึง’
คิดว่าเธอกำลังผจญกับการตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่
นำมาซึ่งปัญหาที่ตัวเธอไม่อาจแก้ไขได้ หญิงสาวมองไปรอบห้องซึ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะพูดคุย
วรนิตผู้เป็นน้าปิดปากขำอย่างมีจริตจกร้าน เปาโลผู้เป็นสามีเองก็แหงนหน้าปล่อยเสียงหัวเราะอย่างเบิกบาน
ส่วนแขกหนุ่มใหญ่อย่างดาวิดกำลังมองเธอตาหวานเชื่อม
ขนในกายหญิงสาวลุกชันยามนึกถึงบทสนทนาก่อนหน้าของบุคคลทั้งสาม
แค่เธอขอไปเข้าห้องน้ำ คนพวกนี้ก็จับกลุ่มสุมหัวกันพูดลับหลัง
หากบทสนทนาออกไปในแง่นินทาหรือตำหนิสิ่งที่เธอทำไม่ถูกไม่ควร
พลับพลึงจะไม่กลัดกลุ้มเท่านี้เลย
ผู้เป็นน้าพูดชมเธอว่าทั้งสวยทั้งน่ารักกับดาวิด
หนุ่มใหญ่วัยสี่สิบแปดปีที่ตกพุ่มม่ายหัวเราะชอบใจพร้อมบอกเห็นด้วย
แค่บทสนทนานั้นก็ทำให้พลับพลึงรู้สึกสะอิดสะเอือนวาจาของผู้เป็นน้าที่ทำเหมือนกำลังพรีเซ้นสินค้ามากพอแล้ว
หญิงสาวยังต้องผงะกับประโยคถัดๆ มาที่เกี่ยวเนื่องกับ...
‘สินสอด’ กับ ‘หนี้สิน’ ที่จะหักลบกัน
เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของสาวดอกไม้
เธอไม่เคยรู้เลยว่าน้าสาวผู้มีอันจะกินได้เป็นหนี้ก้อนใหญ่และเจ้าหนี้คือดาวิดเพื่อนสนิทสามี
ในสายตาของคนในหมู่บ้านรวมถึงสายตาของยายกับแม่
น้านิตผู้นี้วาสนาดีที่จับผลัดจับผลูได้แต่งงานกับหนุ่มต่างชาติซึ่งทุกคนล้วนเข้าใจว่าเป็นเศรษฐี
เหนือกว่านั้นเวลาทั้งสองกลับไปเยี่ยมบ้านปีละครั้ง
มักจะจัดงานใหญ่โตอย่างเช่นจ้างอีเล็กโทนเหมาโต๊ะจีนราวครึ่งร้อยเพื่อเลี้ยงบรรดาผองเพื่อนและคนในหมู่บ้าน
ภาพลักษณ์เศรษฐีนีที่ได้สามีต่างชาติทำให้ผู้คนกล่าวขานถึงวรนิตในแง่ดี
ใครมีลูกสาวล้วนแต่อยากให้ได้สามีเหมือนวรนิตด้วยกันทั้งนั้น
แม้กระทั่งยายกับแม่ก็ยังเคยเอ่ยปาก หากเธอได้คู่ชีวิตเหมือนเปาโลก็คงจะดีไม่น้อย
เพราะน้านิตมีความสุขมากเวลาเล่าเรื่องความเป็นอยู่ในอิตาลีให้ยายฟัง
ยายกับแม่ฟังด้วยความปลาบปลื้มสุดหัวใจที่ลูกสาวและน้องสาวได้ดิบได้ดี
สิ่งเหล่านั้นเองที่ก่อให้เกิด ‘ความหวัง’ ปรารถนาจะให้หลานสาวและลูกสาวซึ่งก็คือพลับพลึงได้ดีตามรอยผู้เป็นน้า
และสิ่งเหล่านั้นเองที่ผลักดันให้หญิงสาววัยยี่สิบเอ็ดปีซึ่งเพิ่งจบการศึกษาระดับปริญญาตรี
สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลถึงอิตาลี
ตอนน้านิตขอยายกับแม่พาเธอมาเที่ยว
พลับพลึงรู้สึกดีใจเหมือนได้ของขวัญการเรียนจบอย่างไรอย่างนั้น
การออกท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นความใฝ่ฝันของเธออยู่แล้ว
แต่พอเห็นสีหน้าแววตาของยายกับแม่ สาวดอกไม้พลันรู้สึกห่อเหี่ยวใจ
การมีสามีชาวช่างชาติไม่เคยอยู่ในหัวเธอ
อีกทั้งความรุ่มรวยก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอใฝ่ฝัน
‘ความสุข’ ที่ได้อยู่กับคนในครอบครัวอย่างแม่กับยายต่างหากล่ะคือสิ่งที่เธอใฝ่ฝัน
หญิงสาววางแผนสมัครงานในจังหวัดบ้านเกิด เพราะอยากอยู่ใกล้แม่กับยายเพื่อดูแลท่านทั้งสอง
พลับพลึงปฏิเสธทันทีที่ผู้เป็นน้าชักชวนต่อหน้าแม่กับยาย
เธอไม่อยากแบกรับความหวังของท่านทั้งสอง แม้อิตาลีจะเป็นประเทศในฝันก็ตาม
เธอตั้งใจจะเก็บเงินไปท่องเที่ยวเอง อีกทั้งลึกๆ เธอไม่ชอบเปาโลสักเท่าไหร่
ต่อหน้าคนอื่นมักทำตัวเป็นปกติ เอ็นดูเธอเหมือนหลานในไส้
แต่พอลับหลังเขามักมองเธอด้วยสายตาเจ้าชู้
สาวดอกไม้เคยคิดว่าตัวเองคิดมาก
มองโลกในแง่ร้ายเกินไป ครั้นพอเจอสายกรุ้มกริ่มหลายครั้งเข้า
เธอจึงปักใจว่าน้าเขยชาวต่างชาติไม่ได้ดีอย่างที่ทุกคนเชื่อ พลับพลึงพยายามหลีกเลี่ยงการพูดคุย
อยู่สองต่อสองกับเปาโล แต่อีกคนไม่วายจ้องหาโอกาสอยู่ร่ำไป
หนักเข้าเธอจึงหาทางเลี่ยงออกจากบ้านยามผู้เป็นน้าพาสามีมาเยี่ยมยายกับแม่
สุดท้ายเธอก็ขัดความต้องการของผู้มีพระคุณทั้งสองไม่ได้
แม่กับยายถึงกับไปโอนเงินเข้าบัญชีให้เธอ บอกเอาไว้เป็นค่าใช้จ่าย
เรื่องตั๋วกับที่พักน้านิตอาสาจัดการให้เอง
ส่วนเรื่องเที่ยวผู้เป็นน้าออกปากว่าถ้าเธออยากไปคนเดียวก็ย่อมได้
เพียงแต่ต้องระมัดระวังตัว หรือหากจะให้พาเที่ยวสองคนน้าหลานก็จะพาไปเพราะเปาโลผู้เป็นสามีคงไม่ว่าง
ประโยคที่บอกว่าเปาโลจะไม่ว่างจากปากผู้เป็นน้าและการคะยั้นคะยอของแม่กับยายทำให้พลับพลึงตอบตกลง
การเดินทางโดยมีที่นั่งในชั้นธุรกิจยิ่งทำให้เธอเชื่อว่าผู้เป็นน้าร่ำรวย
กระทั่งได้มาเจอดาวิดที่วรนิตอ้างว่าเป็นเพื่อนสนิทสามี
...การมองโลกในแง่บวกของสาวดอกไม้พลันติดลบ
ชีวิตติดหรูของน้านิตกับสามีนำมาซึ่งหนี้ก้อนใหญ่
ดวงตางามล้อมด้วยกรอบขนตาสีดำมีน้ำขังคลอ แน่นอนว่าน้านิตอาจไม่ได้คิดว่าตัวเองเอาหลานมาเร่ขายใช้หนี้
แต่หากคนภายนอกหรือคนในหมู่บ้านทราบเรื่อง
ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ฟันธงว่าน้าขายหลานใช้หนี้อย่างแน่นอน
พลับพลึงไม่รู้จำนวนหนี้ หากแต่พอได้ยินดาวิดพูดถึงดอกเบี้ยต่อเดือนที่ทั้งสองยังค้างจ่ายซึ่งตีเป็นเงินไทยเป็นเลขหกหลักแล้วเธอถึงกับลมจับ
ต้องเป็นหนี้จำนวนเท่าไหร่ถึงได้ส่งดอกเบี้ยหลักแสน!
พลับพลึงนึกถึงผู้เป็นพ่อที่จากไปได้สองปีพลันกระกอกบอกตาร้อนผะผ่าว
หญิงสาวจำได้ว่าพ่อเคยเอ่ยปากเตือนยายกับแม่เรื่องการใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยของวรนิต
ครานั้นยายถึงขนาดตวาดหาว่าพ่อของเธออิจฉา
เธอในตอนนั้นเห็นด้วยกับผู้เป็นพ่อแต่ไม่ได้แย้งอะไร
ลับหลังแม่กับยายพ่อสอนเธอเสมอว่าอย่าใช้ชีวิตไปกับความฟรุ้งเฟ้อ
ในยามมีเงินมีทองให้รีบเก็บหอมรอมริบเอาไว้เพื่อกาลข้างหน้า
‘สำหรับพ่อแล้ว
การที่เรามีกันและกันมันมีค่ามากกว่าเงินทอง ต่อให้วันหนึ่งเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ยายหนูอาจมีเงินเป็นสิบเป็นร้อยล้าน พ่อเชื่อว่าสิ่งหนึ่งที่ยายหนูจะจดจำได้มากกว่าจำนวนเงินทองคือความรักและคำสั่งสอนของพ่อที่มอบให้’
ในตอนนั้นเธอหัวเราะพร้อมเข้าไปกอดพ่อ
เธอไม่เคยนึกถึงวันที่ครอบครัวจะไม่มีกันและกัน กระทั่งพ่อได้จากไปด้วยอุบัติเหตุ
แน่นอนว่าความรักและคำสั่งสองของพ่อได้จารจำในหัวใจเธอเหมือนอย่างที่พ่อเคยบอก
แต่ไอ้เรื่องเธอจะมีเงินเป็นสิบเป็นร้อยล้านเห็นจะไม่ใช่
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา...พลับพลึงหนีออกจากบ้านในคืนวันที่มีงานเลี้ยงอีกครั้ง
วรนิตคุยเรื่องสินสอดที่จะหักลบกลบหนี้กับดาวิดพร้อมกับเงินหลักล้านที่จะนำไปอ้างว่าเป็นเงินสินสอดกับวงเดือนและผาณิตที่เมืองไทย
หลังจากทราบเรื่องหนี้สินของผู้เป็นน้าสาวดอกไม้ตัดสินใจเดินทางกลับบ้าน
หญิงสาวจองตั๋วเครื่องบินและโรงแรมที่พักใกล้สนามบินไว้เรียบร้อย
เธอไปผูกมิตรกับเพื่อนบ้านของน้านิตซึ่งดูจะไม่มิตรแม้กับเธอแต่น้อย
ความพยายามของพลับพลึงประสบผลสำเร็จ แม้ทุกคนจะรู้สึกไม่ค่อยดีกับวรนิตและสามี
แต่ความนอบน้อมช่างยิ้มแย้มของพลับพลึงทำให้คนเหล่านั้นรับไมตรีด้วยการพูดคุย
พลับพลึงขอติดรถเพื่อนบ้านคนหนึ่งที่จะออกมาทานอาหารในเมือง
หญิงสาวขอลงย่านใจกลางเมืองก่อนจะพบว่าตัวเองลืมพาสปอร์ต
สาวดอกไม้ถึงกับสะอื้นไห้กับความสับเพล่าของตัวเอง
เพราะกังวลมากเกินไปจึงหยิบออกมาดูแล้วลืมเก็บใส่กระเป๋าเป้ ยังดีที่มีกระเป๋าเงินติดมาด้วย
ไม่งั้นหญิงสาวคงต้องนั่งรถกลับไปยังบ้านน้าสาวและหาคำตอบให้กับคนเหล่านั้น
เป็นความโชคดีของเธอในระหว่างที่คิดไม่ตกและตัดสินใจแวะหาอะไรกินก่อน
พลับพลึงเจอร้านอาหารจีน หญิงสาวเข้าไปสั่งอาหารพร้อมกับเห็นว่าที่ร้านมีคนไทยเป็นเด็กเสิร์ฟอยู่ด้วย
ที่เธอรู้เพราะหญิงสาวทั้งสองต่างสนทนากันโดยใช้ภาษาไทย
“จุ๊บพรุ่งนี้มีเรียนกี่โมง” สาวไทยร่างอวบคนหนึ่งกระซิบถามเพื่อนระหว่างที่เดินผ่านโต๊ะเธอ
ใจสาวเต้นรัวแรงยามรับรู้ว่าเจอคนเชื้อชาติเดียวกัน
“เรียนเช้าเลยล่ะ
พรุ่งนี้มีทำงานกลุ่มด้วยเลยลางาน”
“อืม งั้นเลิกงานกลับบ้านพร้อมกันนะ”
บทสนทนาของสองสาวดังห่างออกไป
อีกพักใหญ่หนึ่งในสองจึงเดินกลับมาเสิร์ฟอาหาร
เด็กเสิร์ฟสาวไทยส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“พี่เป็นคนไทยใช่ไหมคะ” สาวดอกไม้ถามด้วยความหวังอันล้นปรี่
เธอหวังเหลือเกินว่าหญิงสาวตรงหน้าจะช่วยเหลือเธอได้ในระหว่างที่ขบคิดเรื่องกลับไปเอาหนังสือเดินทาง
“ใช่จ้ะ ว่าแล้วเชียว
เมื่อกี้พี่คุยกับเพื่อนว่าน้องต้องเป็นคนไทยแน่ๆ”
สาวเสิร์ฟชื่อจุ๊บพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะหุบยิ้มเมื่อเห็นลูกค้าสาวชาวไทยน้ำตาคลอเบ้า
“พี่...”
“มีอะไรหรือเปล่าน้อง ทำไมถึงร้องไห้”
สาวดอกไม้เริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆ
พร้อมทั้งสอบถามเรื่องที่พักราคาถูกในละแวกนี้
เธอต้องอยู่ต่ออีกพักหนึ่งเพื่อคิดหาทางกลับไปเอาหนังสือเดินทาง
จุ๊บนิ่วหน้าก่อนจะทำหน้าเหวอเมื่อมองไปด้านหลังลูกค้าสาว
“เขามาสมัครงานเหรอ”
เสียงถามเป็นภาษาไทยชัดแจ๋วดังจากด้านหลัง
อะไรบางอย่างผลักดันทำให้พลับพลึงรีบพยักหน้ารับทั้งๆ ที่ยังไม่ได้หันไปมองด้วยซ้ำ
“เอ่อ” จุ๊บอ้ำอึ้ง
ยังไม่ทันบอกว่าสาวน้อยตรงหน้าสอบถามถึงที่พักราคาถูก อีกคนก็...
“รับเลย ส่วนเรื่องที่พักไม่มีปัญหา”
“!!!”
มันคงเป็นเพราะโชคชะตาที่นำพาเธอมาสู่จุดนี้ ‘คุณพริก’ คือคนที่รับเธอเข้าทำงาน
เขาเป็นผู้จัดการร้านอาหารจีนนาม ‘ซือเป่า’ หะแรกที่หันไปเห็นใบหน้าของชายหนุ่ม หญิงสาวยอมรับว่าตะลึงกับความหล่อเหลาของเขา
ชายหนุ่มเหมือนหลุดออกจากนิตยสารเพลย์เกิร์ลอย่างไรอย่างนั้น
ใบหน้าหล่อเหลามีเครื่องหน้าราวจิตกรเอกปั้นแต่ง
คิ้วเข้มที่รับกับดวงตาสีเปลือกไม้คมกริบชนิดที่เผยสบเข้าเป็นต้องรีบหลบตา
จมูกโด่งคมสัน ริมฝีปากหยักได้รูปมีสีระเรื่ออย่างที่มองแวบเดียวก็รู้ว่าชายหนุ่มไม่สูบบุหรี่
ผิวพรรณขาวดูสะอาดสะอ้าน เขามีรูปร่างสูงแต่ไม่หนา
เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวบางพอให้เห็นว่าเขามีมัดกล้ามสมชายชาตรี
ทั้งหมดทั้งมวลนั้นทำให้พลับพลึงตะลึง คุณพริกเป็นหนุ่มเชื้อสายไทย – ลาว – ฮ่องกง
หลังจากรับเธอเข้าทำงานเขาก็แนะนำตัวกับเธออย่างละเอียดยิบ ...ซึ่งเธอที่มัวแต่ตะลึงกับความหล่อของเขาจำได้ไม่หมด
พลับพลึงลากกระเป๋าเดินตามชายหนุ่มไปยังตรอกเล็กๆ
ห่างจากร้านอาหารจีนที่เธอเพิ่งได้งานสดๆ ร้อนๆ
หลังจากเขาตกลงรับเธอเข้าทำงานที่ร้าน ทุกคนในร้านที่ตอนแรกต่างให้ความสนใจเธอก็เมินเฉยถึงขั้นไม่พูดคุย
หญิงสาวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขนาดจุ๊บยังแค่ส่งยิ้มแหยๆ ให้เธออยู่ไกลๆ
เรียกว่าไม่มีใครกล้าเดินเฉียดเธอในระยะหนึ่งเมตรด้วยซ้ำ
เรื่องที่พักที่ไม่มีปัญหาของเขากลับกลายเป็นปัญหาของเธอ
เพราะชายหนุ่มถามคนในร้านแล้ว ไม่มีใครสะดวกให้เธอพักด้วย
ตอนแรกหญิงสาวออกปากว่าพักโรงแรมในละแวกนี้สักสองสามวันก่อนค่อยขยับขยายก็ได้
ถึงอย่างนั้นพอชายหนุ่มแจ้งค่าห้องพักเธอถึงกับลมจับ
ช่วงนี้เป็นช่วงไฮซีซั่นโรงแรมส่วนใหญ่ต้องจองก่อน ส่วนที่พักระดับสามดาวลงมา
คุณพริกให้เหตุผลว่าไม่ควรเข้าพักคนเดียว
...สุดท้ายเขาก็เสนอทางออกให้
ด้วยการให้เธอมาพักกับเขาก่อน
ความจริงเธอไม่ควรใจง่ายตามชายหนุ่มมา
ไม่ควรไว้ใจคนแปลกหน้าแต่เพราะก่อนหน้าจะออกจากร้านเธอได้วิ่งไปถามจุ๊บเกี่ยวกับชายหนุ่ม
เธอก็ได้คำตอบในแง่ดี
‘คุณพริกไว้ใจได้ พี่รับรองเลย’
ในตอนนั้นเธอเชื่อครึ่งๆ กลางๆ
พอหันหลังกลับก็เจอกับ ‘มะเหงก’
ลูกโตที่หล่นตุ้บกลางกระหม่อม คุณพริกเขลกหัวเธอพร้อมกับเท้าสะเอวทำหน้าเครียด
‘ถ้าไม่ไว้ใจกัน ก็ไปพักที่โรงแรมก็ได้นะ’
สุดท้ายหญิงสาวก็ตามเขามาแต่โดยดี
เพราะมะเหงกที่เขลกหัวแท้ๆ สาวดอกไม้คิดในแง่ดี โจรที่ไหนจะเขลกหัวเหยื่อกันเล่า
และนี่คงไม่ใช่วิธีการทำให้เหยื่อตายใจของฆาตกรอย่างแน่นอน
เพราะขืนใช่คงต้องเรียกว่าคุณพริกเป็นฆาตกรที่ล้ำและฉีกบทโหดๆ
ที่เห็นตามภาพยนต์และซีรีย์ดังๆ เสียกระจุย
ตากลมสีนิลมองด้านหลังชายหนุ่มที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
เขานับว่าเป็นชายหน้าตาดีมากถึงมากที่สุด
เขาเป็นหลานชายของลุงหม่าพ่อครัวใหญ่ในร้านซือเป่า
...เป็นหลานที่ลุงเห็นแล้วมีท่าทางเกรงอกเกรงใจเหลือเกิน!
หญิงสาวเดินตามชายหนุ่มไปด้วยสีหน้าหมองเศร้า
ไม่รู้เพราะอะไรเธอถึงได้เจอเรื่องร้ายๆ แบบนี้ คิดถึงแม่กับยายแล้วน้ำตาพาลจะไหล พลับพลึงสูดลมหายใจลึกเข้าปอดเพื่อเรียกกำลังใจ
อย่างไรเสียเธอก็ต้องหาทางไปเอาหนังสือเดินทางหรือไม่ก็แก้ไขปัญหานี้เพื่อจะได้เดินทางกลับบ้านไวๆ
สาวดอกไม้ไม่รู้เลยว่านอกจะไม่ได้กลับไวอย่างใจหวัง
หญิงสาวยังต้องทิ้งหัวใจไว้ที่นี่ เพราะ ‘บ่วงลวง’ ที่ชายหนุ่มซึ่งเดินนำหน้าดักล่อเอาไว้
ไม่บ่อยนักที่กัลปพฤกษ์จะได้พูดคุยกับสาวไทย
นอกเสียจากคนที่เป็นพี่น้องหรือคนรู้จักซึ่งมีไม่กี่คน
นั่นเพราะชายหนุ่มใช้ชีวิตส่วนใหญ่ที่อิตาลี หะแรกที่ได้ยินเสียงหวานจับใจพูดกับเด็กเสิร์ฟอยู่ภายในร้านพร้อมกับเล่าปัญหาให้ฟัง
หัวใจที่แกร่งปานหินผาเหมือนถูกเล็บข่วนขูดเบาๆ ให้รู้สึกคันยุบยิบ
เรือนผมสลวยที่มัดรวบตึง
แผ่นหลังภายใต้เสื้อยืดสีเหลืองอ่อน ทำให้เขาอยากเห็นใบหน้าเธอพร้อมๆ
กับคิดอยากลองใจ จึงพลั้งปากถามเรื่องเธอมาสมัครงานหรือเปล่า
ไม่คิดว่าหญิงสาวจะตอบรับ หนุ่มดอกไม้ตั้งใจจะให้ผู้จัดการร้านซือเป่าตัวจริงเป็นคนสัมภาษณ์
ทว่าพอสานสบเข้ากับดวงตาใสซื่อ ได้เห็นดวงหน้าน่ารัก หัวใจที่คันยุบยิบพลันกระตุก
กัลปพฤกษ์จำได้ว่าในตอนนั้นเขาถึงกับกลั้นลมหายใจด้วยซ้ำ
ไม่รู้เพราะสมองขาดออกซิเจนหรืออย่างไร ปากพล่อยๆ จึงทำงานอีกครั้ง
เขาปั้นเรื่องราวซะใหญ่โต
ทั้งที่ปัญหาของเธอเล็กแค่นิดเดียว!
การบอกว่าเป็นผู้จัดการร้านซือเป่า
แถมยังเป็นหลานชายซูหม่าพ่อครัวใหญ่ของร้านไม่ได้ร้ายแรงเกินไปนัก
สิ่งที่ร้ายไปกว่านั้นคือการคิดกลั่นแกล้งยายเด็กตาใสที่เนียนรับว่ามาสมัครงานด้วยการเสนอที่พักให้หญิงสาวอีกด้วย
ยิ่งบังเอิญได้ยินหญิงสาวสอบถามเกี่ยวกับตัวเขาจากเด็กในร้านก็ยิ่งเกิดความหมั่นไส้
เลยพลอยต้องโกหกไปอีกชุดใหญ่ไฟกระพริบตามประสาหนุ่มแสบ เอ๊ย หนุ่มแซบพริกสิบเม็ด
กัลปพฤกษ์แหงนหน้ามองตึกกลางเก่ากลางใหม่ในตรอกเล็กๆ
ห่างจากร้านอาหารซือเป่า นับว่ามันไม่เลวร้ายเกินไปนัก ทว่าสำหรับเขาแล้วเพิ่งเคยเหยียบย่างมาแถวนี้
ชายหนุ่มจดจำเลขห้องเอาไว้ในใจพรางสาวเท้าเดินนำด้วยท่าทางมาดมั่น
ไม่เผยพิรุธให้คนด้านหลังจับได้ว่านี่ไม่ใช่ห้องของเขา
เพราะความหมั่นไส้ยายเด็กหน้าซื่อตาใสแท้ๆ เลย
กัลปพฤกษ์จึงแอบไปขอยืมห้องเด็กในร้านสักสองสามวันแล้วสั่งให้คนเปิดโรงแรมพร้อมกับจัดหาเสื้อผ้าใหม่ให้
เจ้าของห้องยิ่งกว่าเต็มใจ บอกเขาจะอยู่นานกว่านั้นก็ได้
พอเจอหมายเลขห้องซึ่งติดอยู่ข้างประตู
หนุ่มดอกไม้จึงรีบไขกุญแจ พอประตูเปิดแล้วต้องนิ่วหน้าก่อนปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
นี่มัน... โหดร้ายกว่าที่เขาคิดไว้!
ดวงตาคมกวาดมองภายในห้องอย่างรวดเร็วเพื่อเก็บรายละเอียด
ทว่ากลับสะดุดต่อข้าวของซึ่งวางระเกะระกะทั่วทั้งห้อง
“อึ๋ย...” เสียงอุทานเบาๆ
หลังจากเห็นสภาพห้องดังจากด้านหลัง ทำให้คนกำลังคิดล้มเลิกแผนการกลั่นแกล้งเล็กๆ
น้อยๆ แล้วบอกความจริงแผ่นหลังเกร็งเหยียด ...ถอยตอนนี้ได้อย่างไร
ตอนอยู่ที่ร้านยายเด็กเอ๋อทำหน้าเหมือนไม่ไว้ใจเขา ให้นอนสักคืนคงไม่เป็นไร
ความตั้งใจแรกของชายหนุ่มคือพาเธอมาส่งที่นี่
แกล้งอำเล็กน้อยว่ามีธุระ แล้วปล่อยให้เธอพักอยู่คนเดียวสักคืนสองคืน
ระหว่างนั้นหญิงสาวคงแก้ไขปัญหาของตัวเองได้ ความตั้งใจของชายหนุ่มนอกเสียจากไม่เป็นดังหวัง
แต่มันเลยเถิดจนค่ำมืด
ชายหนุ่มนั่งมองสาวไทยใจกล้าที่ตามเขามาเก็บห้องอย่างเพลินตา
รู้ตัวอีกทีก็ค่ำมืดเสียแล้ว เกือบสองชั่วโมงที่เธอเก็บข้าวของรกๆ ระหว่างนั้นเขาและเธอต่างไม่ได้สนทนากัน
พลับพลึงพ่นลมหายใจออกทางปากหลังจากเก็บข้าวของรกๆ
ใส่ถุงรวมถึงเสื้อผ้าที่ถอดกระจัดกระจายพาดวางไปทั่วห้องใส่ตะกร้า
เกิดมาหญิงสาวเพิ่งเคยได้พานพบกับคนหล่อแต่ซกมกก็ครานี้เอง หน้าตาหล่อเหลา
เนื้อตัวเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านแบบนั้น ไม่คิดเลยว่าเขาจะอาศัยอยู่ในรังหนูแห่งนี้
ตอนแรกคิดว่าเขาเป็นคนดี ไม่ใช่ฆาตกรที่ลวงเธอมาฆ่าข่มขืน
แต่พอได้เห็นสภาพห้องเธอคิดขึ้นมาทันทีเลย ห้องไม่ได้รกธรรมดา
มันยังสกปรกมากอีกด้วย คราบอาหาร เศษขนม ถ้วยมาม่าวางระเกะระกะไปทุกมุม
เตียงนอนภายในห้องส่งกลิ่นเหม็นอับลดคะแนนความหล่อของชายหนุ่มลงฮวบฮาบ
หน้าตาเขาขัดกับสภาพห้องแบบฟ้ากับดินเลยทีเดียว!
หญิงสาวคิดอยากขอยกเลิกการเข้าทำงานและเข้าพักกับเขาเสียหลายครา
หากไม่ใจอ่อนไปเพราะความสกปรกที่ขัดกับบุคลิกของชายหนุ่ม เธอลงมือทำความสะอาดทันที
ตั้งใจว่าจะพักค้างคืนแค่คืนเดียวเท่านั้น
พรุ่งนี้อย่างไรเธอต้องหาทางกลับไปเอาหนังสือเดินทาง ไม่ก็หาโรงแรมอยู่ชั่วคราว
ต้องให้เสียเงินจำนวนมากก็ยังดีกว่ามาอยู่แบบนี้
เสียงเคาะประตูทำให้หนุ่มสาวที่อยู่กันอย่างเงียบสงบได้อย่างไม่น่าเชื่อสบตากัน
ก่อนที่ฝ่ายชายจะเป็นคนลุกไปเปิดประตู
“อ้อ มาแล้วเรอะ เอาเข้าไปวางข้างในเลย”
ชายหนุ่มบอกเมื่อเห็นว่าใคร เขาเปิดประตูออกกว้าง
ทำให้พลับพลึงเห็นชายหนุ่มผิวขาวสวมแว่นสายตาเดินหอบที่นอนพะรุงพะรังเข้ามาในห้อง
“สวัสดิการจากทางร้าน
ที่นอนหมอนพร้อมผ้าห่มใหม่”
ยี่ห้อที่ติดมากับถุงพลาสติกห่อหุ้มบ่งบอกราคาที่ไม่ธรรมดา
สาวดอกไม้เกือบขมวดคิ้ว เธอยั้งไว้ได้ทันก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ ตอบรับไปโดยดี
นั่นทำให้คนเจ้าแผนการอมยิ้มพอใจกับความเอ๋อของสาวเจ้า
“นี่อาตง ชื่อจริงว่าเสี่ยวตงเป็นเพื่อนพี่”
พลับพลึงมองเพื่อนคุณพริกที่เหงื่อแตกพลั่ก
หญิงสาวยกมือไหว้ก่อนตวัดมองรอบห้องสลับกับสองหนุ่มแวบหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรบุคลิกและราศรีของสองหนุ่มก็ไม่เหมาะกับห้องพักขนาดเล็กแห่งนี้
ขนาดว่าเธอเก็บจนเลี่ยม พอสองหนุ่มเข้ามาอยู่ในห้องมันก็ยังหมองๆ ดูขัดๆ อยู่ดี
เสี่ยวตงที่รู้จักกับกัลปพฤกษ์จนพอรู้ธรรมเนียมไทยรีบรับไหว้พร้อมกับปาดเหงื่อ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อน”
“ฮื่อ ขอบใจนะเพื่อน”
ใบหน้าขาวของหนุ่มเชื้อสายฮ่องกงถึงกับกระตุกยามอีกฝ่ายเรียกตนว่าเพื่อน
หน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็กเม็ดน้อยผุดขึ้นไม่เท่าไหร่
ตอนนี้มือเขายังชื้นเหงื่ออีกด้วย เสี่ยวตงเร้นกายออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
ชนิดที่ยังไม่ทันรับไหว้พลับพลึงอีกครั้งด้วยซ้ำ สาวดอกไม้ได้แต่ยกมือไหว้ลาเก้อ
“เพื่อนพี่ขี้อายน่ะ” หนุ่มดอกไม้ว่าพรางยิ้มขำ
นานแล้วที่ไม่ได้เห็นท่าทางประดักประเดิดของคนสนิท
“อ้อ ดูแล้วไม่น่าจะใช่นะคะ”
“ขี้อาย... เจอสาวหน่อยไม่ได้”
กัลปพฤกษ์ว่ากลั้วขำ เดินถือถุงอาหารที่เสี่ยวตงติดมือมาด้วยไปยังโต๊ะญี่ปุ่นเล็กๆ
ซึ่งตั้งอยู่อีกมุมหนึ่งภายในห้อง ห่างกันมีทีวีเครื่องเล็กตั้งเอาไว้
หนุ่มดอกไม้ยิ้มขื่นๆ กับตัวเอง ไม่รู้อะไรดลใจเขาให้เล่นใหญ่ขนาดนี้
ดวงตาคมเหลียวมองสาวร่างเล็กแต่ไม่บอบบางอีกครั้ง
เธอกำลังยืนจ้องที่นอนใหม่ตาไม่กะพริบ มุมปากชายหนุ่มกดลึก ไม่รู้อย่างไร...เห็นแค่นี้เกิดนึกเอ็นดู
“มากินข้าว”
สาวดอกไม้หันไปทางคนที่กำลังหยิบกล่องออกจากถุงมือเป็นระวิง
ในขณะที่เขานั่งอยู่กับพื้นหน้าโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กซึ่งเธอเพิ่งทำความสะอาดไป
เธอก็ยังคิดว่าเขาไม่เหมาะกับพล็อพเหล่านั้นอยู่ดี
“หนู...”
“อย่าบอกนะว่าไม่หิว เราใช้แรงไปตั้งเยอะ”
ชายหนุ่มว่าพรางนึกอยากตบกะโหลกไอ้เจ้าของห้องตัวจริง มันอยู่เข้าไปได้ยังไง
รกยิ่งกว่ารังหนู!
“หิวก็ได้ค่ะ”
สาวดอกไม้เหวี่ยงค้อนให้คนช่วยหยิบจับนิดหน่อย หลังจากนั้นก็เอาแต่นั่งดู
หญิงสาวเดินไปนั่งตรงข้ามชายหนุ่ม ตากลมกวาดมองอาหารบนโต๊ะแล้วอดยิ้มไม่ได้ นับเป็นอย่างแรกที่เธอคิดว่าเหมาะกับเขา
อาหารญี่ปุ่นทำสดใหม่ หน้าตาดูแพง
“เจ้านี้ดังและอร่อยมาก กินได้ไหมเรา”
เพราะคิดว่าเธอคงเบื่ออาหารไทยและจีนแล้ว
กัลปพฤกษ์จึงสั่งให้เสี่ยวตงซื้ออาหารญี่ปุ่นเจ้าดังมาฝาก
“กินได้ค่ะ ว่าแต่มันไม่แพงไปเหรอคะ”
แพ็คเกจจิ้งที่ดีงามหรูหราแถมอาหารจัดได้น่าอร่อยแม้ใส่กล่องยังความกังขามาสู่หญิงสาว
“ไม่หรอก สวัสดิการของร้าน กินๆ ไปเถอะ”
ชายหนุ่มตอบอย่างขอไปที ก่อนลงมือคีบซูชิปลาแซลมอลเข้าปากแล้วเคี้ยวกร้วมๆ
อย่างเอร็ดอร่อย ความจริงแล้วชายหนุ่มโปรดปรานอาหารไทยที่สุด แต่เพราะย่านนี้นอกจากร้านซือเป่าที่ทำอาหารถูกปากแล้ว
ก็ยังมีร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังอีกเจ้าที่เขาชอบ
“อ้อ”
สาวที่เพิ่งเคยได้ยินว่าร้านอาหารมีสวัสดิการแบบนี้พยักหน้ายิ้มๆ
ก่อนคีบเนื้อปลาแซลมอน เนื้อหวานๆ บวกกับรสชาติของวาซาบิทำให้หญิงสาวหลับตาปี๋
“จิ้มวาซาบิเยอะไปไหมนั่น” คนนั่งตรงข้ามหัวเราะ
ก่อนใช้นิ้วเช็ดวาซาบิที่ติดมุมปากหญิงสาว ท่าทางนั้นเป็นไปโดยอัตโนมัติ
ทั้งสองต่างพากันชะงัก กัลปพฤกษ์ดึงมือกลับพร้อมกับที่ลมหายใจสะดุดห้วง
“เอ่อ ขอบคุณค่ะ”
สาวที่ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เอ่ยขอบคุณเสียงแผ่ว
“อืม” ชายหนุ่มอือออเบาๆ ในลำคอ ก่อนกระแอมไอ
“เล่าเรื่องเราให้พี่ฟังหน่อย”
น้อยครั้งที่กัลปพฤกษ์แทนตัวเองว่าพี่กับคนที่ไม่ญาติพี่น้อง
ส่วนใหญ่ชายหนุ่มแทนตัวว่าผมกับคุณ
ไม่รู้อย่างไร...กับยายเด็กหน้าซื่อตาใสตรงหน้าเขากลับไม่อยากพูดคุณๆ ผมๆ
ที่มันดูห่างเหิน
“หนูไม่ได้มาสมัครงานในร้านหรอกค่ะ
หนูกำลังจะกลับบ้าน แต่ดันลืมหนังสือเดินทางไว้ที่บ้านน้า”
พลับพลึงเลือกที่จะพูดความจริง เธอเล่าเรื่องผู้เป็นน้าให้เขาฟังอย่างละเอียด
“แสดงว่าเราหนีมางั้นสิ”
ชายหนุ่มทวนถามหลังจากฟังจบ สาวดอกไม้พยักหน้าหงึกๆ
“หนูติดรถเพื่อนบ้านของน้ามาค่ะ ตั้งใจไปนอนค้างที่โรงแรมข้างสนามบิน
แต่...หนูสับเพร่าลืมหนังสือเดินทาง เมื่อคืนหนูกังวลเกินไป
หนูหยิบมันออกมาดูแล้วมัวแต่คิดจนผล็อยหลับ
พอตอนเช้าน้านิตมาปลุกหนูรีบลุกเลยลืมไปว่าหนังสือเดินทางยังอยู่บนเตียง”
กัลปพฤกษ์ถอนหายใจ
ปัญหาของหญิงสาวนับว่าไม่หนักหนาเท่าไหร่
หากกลับไปเอาไม่ได้ก็แค่ไปแจ้งหนังสือเดินทางหายแล้วไปที่สถานกงสุล
แค่นั้นเธอก็จะเดินทางกลับบ้านได้อย่างสะดวกโยธิน
“อืม แสดงว่าตั้งใจมาเที่ยวแต่แรก”
แม้ใจคิดไปแบบนั้น หากแต่ปากกลับพูดไปอีกแบบ
“ค่ะ ตั้งใจจะไปหลายที่เลย”
“แล้วได้เที่ยวบ้างหรือยัง” ถามออกไปแล้วหนุ่มดอกไม้ก็ใคร่นึกว่าตัวเองเหมือนพ่อบุญทุ่ม
นี่ไม่ใช่ว่าเขาเสนอตัวอยากพาเธอเที่ยวหรอกนะ
“ได้เที่ยวในตัวเมืองมิลานแล้วค่ะ แต่ยังไม่ทั่ว
น้านิตยุ่งกับเรื่องหนี้ ส่วนหนู...พอรู้เรื่องที่น้านิตคิดทำก็หมดอารมณ์จะเที่ยว”
ท่าทางหงอยๆ เหมือนเล็บเจียนมนที่มาขูดข่วนหัวใจกัลปพฤกษ์อีกแล้ว
“เอาอย่างนี้สิ อยู่เที่ยวก่อนก็ได้”
ไม่รู้อะไรดลใจชายหนุ่มให้พูดไปแบบนั้น
“ไม่ได้หรอกค่ะ หนูไม่ได้มีเงินเยอะขนาดนั้น”
หญิงสาวปฏิเสธทันที
“ถ้างั้นก็ทำงานไปด้วยก็ได้
กลับก่อนกำหนดเราไม่กลัวที่บ้านสงสัยหรือไง”
สาวดอกไม้ได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าหงึกๆ
แน่นอนว่าเธอกลัวที่บ้านรู้
“คุณพริกรับหนูทำงานจริงๆ เหรอคะ”
“อืม ไปทำงานที่ร้านอาหาร วันหยุดก็เที่ยว
ส่วนเรื่องหนังสือเดินทางไม่ต้องกังวล เดี๋ยวพี่จัดการให้เอง”
พอสานสบดวงตาใสซื่อคู่นั้นทำให้กัลปพฤกษ์ถึงลงทุนหว่านล้อม แยกไม่ออกว่าสงสารหรือเอ็นดู
“แล้วเรื่องที่พัก...”
“ก็พักด้วยกันนี่แหละ พี่รับรองความปลอดภัย”
“คุณพริกเป็นผู้ชาย” พลับพลึงแย้งเสียงเบา
บอกให้เธอไปขออาศัยจุ๊บอยู่ก่อนยังดีกว่า
“พี่รู้ แล้วก็รู้ด้วยว่าเราเป็นผู้หญิง”
คิ้วโก่งเรียวขมวดเป็นปม หญิงสาวเงยหน้าสานสบดวงตาคู่คมก็พบว่ามันหาได้เจือไปด้วยความไม่จริงใจเหมือนดวงตาของเปาโล
เอ...หรือนี่เป็นดวงตาของฆาตกรที่กำลังลวงเหยื่อไปฆ่ากันนะ
เขากำลังทำให้เธอตายใจใช่ไหม
“อยู่ที่นี่พี่รับรองความปลอดภัย
คนที่ร้านเองก็ยืนยันมาแล้วไม่ใช่เหรอ” นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่กัลปพฤกษ์กล่าวอ้างถึงคนอื่นเพื่อรับรองตัวตน
“ค่าพี่พักเราไม่ต้องแชร์ ทำงานกับเที่ยวไปเถอะ
ส่วนเรื่องน้ามีโอกาสก็คุยกับเขาว่าเราไม่โอเคกับสิ่งที่เขาทำ”
พลับพลึงพยักหน้าตอบรับ
คิดว่าจะนอนพักกับเขาเพียงแค่หนึ่งคืนแล้วค่อยหาทางแก้ไขปัญหา
โดยไม่รู้เลยว่าเผลอแป๊บเดียว ...เวลาก็ล่วงผ่านไปเป็นเดือน!
ความคิดเห็น