คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #65 : Chance Encounter เคล้าส์ (2)
สถานที่ที่เคล้าส์ถูกพาตัวมาดูผิดกับที่เขาจินตนาการไว้มาก
เมื่อพูดถึงการสอบปากคำ เคล้าส์มักนึกถึงเรื่องเล่าของพวกอัศวินรุ่นพี่ที่พูดถึงห้องทรมานที่เหม็นอับไปด้วยกลิ่นเลือด กลิ่นฉี่ กลิ่นอาจมของเหยื่อที่ถูกทรมาน ในห้องเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทรมานในรูปแบบที่คนวิปริตจิตเฟื้องเท่านั้นจะนึกภาพออก เป็นสถานที่ที่จงภาวนาว่าจงอย่าได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนเสียเลย
เปล่าเลย... ห้องที่เขายืนอยู่เป็นเพียงห้องนอนของบ้านที่ถูกดัดแปลงเป็นห้องทำงานส่วนตัว เตียงถูกยกออกไป เหลือแต่เพียงโต๊ะทำงานกับกองหนังสือปกเขียวกองอยู่เต็มห้อง หน้าต่างบานเล็กเปิดออกรับลมยามเช้าและแสงแดดอ่อน ๆ ที่เริ่มหาดูได้ยากในฤดูกาลนี้
เบื้องหลังโต๊ะทำงานมีนายทหารของพวกฟรานส์มานนั่งอยู่ เครื่องแบบสีน้ำเงินดูสะอาดและเรียบแปร้ ผิดกับชุดเครื่องแบบอันมอมแมมของทหารเลวที่ยืนเฝ้าอยู่เบื้องหลัง ดาวบนปกเสื้อบ่งบอกว่าเขามียศพันโท ใบหน้าดุดันและร่างกายใหญ่โตชวนให้นึกถึงราชสีห์ดูน่าหวั่นเกรง แต่กระนั้นนัยน์ตาที่จ้องเคล้าส์เขม็งนั้นเป็นนัยน์ตาที่ดูแห้งแล้งราวกับทะเลทราย
“เข้าใจที่ผมพูดหรือเปล่า ?”
เคล้าส์ต้องรีบกลั้นเสียงหัวเราะทันทีที่ได้ยินเสียงของนายทหารฝั่งศัตรู สำเนียงของนายทหารฟรานส์มานช่างเหมือนกับสำเนียงของพวกตัวร้ายชาวฟรานส์มานบนละครเวทีชอบใช้อยู่เสมอ เป็นสำเนียงคล้ายพวกผิดเพศที่เมาสุราพูด เคล้าส์นึกว่ามันเป็นเพียงเรื่องโจ๊กที่ล้อเลียนประเทศคู่อริเสียอีก นึกไม่ถึงว่ามันเป็นเรื่องจริงอย่างที่เคยได้ยินมา
“ผมพันโท วิคเตอร์ เดเวโรว์ ผบ. ของที่นี่ แล้วหมวดล่ะชื่ออะไรรึ ?”
เคล้าส์ไม่ตอบ เขาไม่แน่ใจว่าเขาควรจะเปิดเผยข้อมูลแก่ศัตรูมากแค่ไหน ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงยืนเงียบอยู่อย่างนั้นท้าทายสายตาที่แห้งกรากของนายทหารฝ่ายศัตรู
“ผมนึกว่านายทหารของไคเซอร์จะถูกสอนด้วยมารยาทที่ดีกว่านี้นะ พวกครูฝึกที่โรงเรียนเตรียมทหารเธริเซียนไม่เคยสอนหรือไงว่าให้แนะนำตัวเองเมื่อพบหน้าอีกฝ่ายเป็นครั้งแรกนะ”
ประโยคนั้นราวกับตบหน้าเด็กหนุ่มเสียหนึ่งฉาด เคล้าส์รู้สึกเหมือนกับโดนดูหมิ่นอย่างแรง... ไม่ใช่เฉพาะกับตัวเขา หากแต่ลามปามไปถึงสถาบันที่สอนสั่งมา และยังรวมไปถึงนามขององค์พระจักรพรรดิอีกด้วย
กระนั้นเขาก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าอดกลั้น เบื้องหลังของเขาที่ยืนอยู่ริมประตูของทหารเลวตัวโตสองนายที่ยืนคุมเชิงเขาอยู่
“ร้อยตรี เคล้าส์ ฟอน เวสเตอร์โรส” เด็กหนุ่มตอบ
“ไม่คิดจะบอกหน่วยสังกัดหน่อยรึ ผู้หมวดเคล้าส์ ?”
นายทหารหนุ่มแห่งจักรวรรดิไม่ตอบ ทว่าท่าน ผบ. เดเวโรว์ดูไม่สนใจกับความเงียบนัก ท่าน ผบ. อ่านบางสมุดบางอย่างที่เคล้าส์จำได้ว่าเป็นสมุดประจำตัวของทหารแห่งพระจักรพรรดิ สายตาอันแห้งผากพิจารณาสิ่งที่อยู่ในสมุดกับใบหน้าของเขาอย่างถี่ถ้วน ก่อนท้ายที่สุดท่านจึงโยนสมุดเล่มน้ำรวมกับเอกสารอื่นและลุกขึ้นยืน
“เอาล่ะ ก่อนอื่นก็ต้องบอกสินะว่า ยินดีต้องรับสู่กองทัพปลดปล่อยแห่งสาธารณรัฐ ถึงแม้ผมเองก็ไม่ทราบหรอกว่าสงครามในครั้งนี้จะจบเมื่อไหร่ แต่สงครามของหมวดจบลงแล้วล่ะ”
ประโยคที่ท่าน ผบ. กล่าวออกมาทำเอาคล้าส์แทบจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ขำอะไรหรือหมวด ?” ผบ. เดเวโรว์รี่ตามองด้วยอารมณ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้
“เปล่าหรอกครับ” เคล้าส์พยายามกลั้นหัวเราะและตอบคำถามที่ว่า แต่มันช่างเป็นความพยายามที่ยากลำบากเหลือเกิน “ท่านทราบไหมครับว่าพวกเราในหน่วยมักจะเล่าเป็นเรื่องโจ๊กเสมอว่า พวกคุณมักจะพูดประโยคเมื่อสักครู่เป็นประโยคแรกกับเชลยศึกที่จับได้นะ ซึ่งตอนแรกผมไม่มีคิดว่าจะมีใครคนพูดประโยคเชย ๆ อย่างนั้นออกมานะสิ แต่ผมก็ไม่นึกว่าท่านจะพูดตามที่เขาเล่ากันมาเป๊ะอย่างนั้น เลยอดที่จะขำไม่ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่าน ผบ. วิคเตอร์เพียงแต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
“ถ้าอย่างนั้นหมวดก็น่าจะรู้จักถึงกิตติศักดิ์ของหน่วยตำรวจลับของฝ่ายเราด้วยสินะ” นายทหารยศพันโทกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่เข้ากับใบหน้า “อยากลองพิสูจน์ไหมว่าเรื่องของพวกหน่วยตำรวจลับเป็นอย่างที่เขาร่ำลือจริงหรือไม่”
ควาวนี้เคล้าส์ขำไม่ออก เมื่อนึกถึงสิ่งที่พวกอัศวินรุ่นพี่เล่าให้ฟังแล้ว มันเป็นการดีกว่าที่เขาจะเลิกยั่วโทสะนายทหารผู้นี้เสีย
“ครับผม” เคล้าส์ตอบ
“ดี ผมเองก็ไม่อยากให้เด็กหนุ่มอย่างคุณต้องเจอกับพวกโรคจิตอย่างนั้นหรอก” ท่าน ผบ. กล่าวเสริมก่อนกลับลงไปนั่งบนเก้าอี้
ในตอนนั้นเองที่เหมือนกับมีใครสักคนพยายามเดินบุกเข้ามาในห้อง ก่อนที่จะถูกทหารสองนายที่เฝ้าอยู่รั้งตัวเอาไว้ พวกเขากล่าวด้วยภาษาของฟรานส์มานที่เคล้าส์ฟังไม่ออก ส่วนอีกฝ่ายเองก็โต้ตอบด้วยภาษาเดียวกัน ทว่าน้ำเสียงของผู้มาเยือนทำให้เขาต้องหันไปมองด้วยความสนใจ
น้ำเสียงที่เขาได้ยินเป็นเสียงของผู้หญิง
ผู้ที่ถูกทหารเลวสองคนกันไว้คือสาวสวยอายุไม่เกินยี่สิบห้า ผมสีแดงยาวรวบเป็นหางม้าดูคล้ายกับหางกระรอก สวมชุดเครื่องแบบทหารฟรานส์มานสีน้ำเงินที่ดูหลวมโครก นอกเสียจากส่วนอกที่ดูคับแน่นผิดกับส่วนอื่นของร่างกาย เธอพยายามพูดคุยอะไรบางอย่างกับท่าน ผบ. เดเวโรว์ แต่กระนั้นเธอก็หยุดปากเมื่อนัยน์ตากลมโตของหล่อนสบกับตาของเคล้าส์
เคล้าส์จำเธอได้... ในช่วงเวลาที่เขาถูกกู้มาจากหุ่นกลหลังจากความพ่ายแพ้ เธอเป็นหญิงสาวที่เขาเห็นก่อนหมดสติไป เคล้าส์นึกมาตลอดว่าเธอเป็นเพียงภาพหลอนระหว่างที่บาดเจ็บ นึกว่าเป็นเพียงเรื่องตลกของยมทูตที่มาล่อลวงให้เขาตามลงไปสู่ยมโลก
กระนั้นเธออยู่ตรงนี้แล้ว แถมยังจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาที่ควรจะเป็นของเขามากกว่า... แววตาของคนที่กำลังหวาดกลัว
เวลาที่ทั้งสองรับรู้การมีตัวตนของอีกฝ่ายจบลงในชั่วพริบตา เมื่อคำพูดของท่าน ผบ. ดึงความสนใจของหล่อนไปจากเขา หญิงสาวมีท่าทางไม่พอใจ แต่หล่อนก็ยืนตรงทำความเคารพอย่างไม่ค่อยเต็มใจก่อนเดินจากไป
“ต้องขอโทษด้วยที่ลูกน้องของผมทำให้วุ่นวายไปหน่อย”
ทว่าเคล้าส์มิได้สนใจคำพูดของท่าน ผบ. เลย สายตาของเขายังคงจับจ้องแผ่นหลังของสาวผมแดงที่เดินจากไป
ปัง !
ทหารที่เฝ้ายามปิดประตูราวกับไม่อยากให้เขาเห็นอะไรอีก เคล้าส์หันไปก็พบว่ามันเป็นท่าน ผบ. เดเวโรว์ที่สั่งให้ลูกน้องปิดประตูเอง
“ดูเหมือนผู้หมวดจะสนใจ อส. หญิงของเราสินะ”
เคล้าส์ไม่ได้ตอบ เขายังคงยืนตรงอยู่กลางห้อง เผชิญหน้ากับผู้บัญชาการของศัตรูอย่างกล้าหาญ
“คงคิดสินะว่าผู้หญิงมาทำอะไรแถวนี้ ขอบอกไว้เลยว่าไม่ใช่อย่างที่หมวดคิดหรอกนะ”
แน่นอนว่าเขาคิดไปแล้ว... หน้าตาของหญิงสาวสวยขนาดนี้คงเป็นนางบำเรอของท่าน ผบ. อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ดูเหมือนนายทหารฟรานส์มานจะอ่านใจเด็กหนุ่มออก คำพูดของท่าน ผบ. ปฏิเสธความคิดนั้นเสียก่อนที่จะได้พูดออกมาเสียอีก
“เธอเป็นคนที่ยิงหมวดตกนั่นล่ะ อัศวินพลขับหุ่นกลฝีมือเยี่ยมที่กองพันเราภาคภูมิใจ”
เคล้าส์เข้าใจว่าท่าน ผบ. คงจะหมายถึงตอนที่เขาโดนค้อนสงครามฟาดจนหมดสภาพ แต่เนื่องจากภาษากลางของจักรวรรดิไม่ใช่ภาษาแม่ของท่าน ผบ. ฝ่ายศัตรู มันจึงทำให้เขาใช้คำศัพท์แปลก ๆ ออกมา
แต่ถึงอย่างนั้น คำพูดที่ว่าทำให้เคล้าส์นึกย้อนไปถึงการบังคับหุ่นกลอย่างบ้าระห่ำของหุ่นกลสีเขียวในตอนนั้น
“คงไม่เชื่อสิ ว่าสาวน้อยอย่างนั้นจะเป็นคนที่บังคับหุ่นกลได้พิศดารเยี่ยงนั้นนะ” ผบ. เดเวโรว์กล่าวเสริมสิ่งที่อยู่ในใจของเด็กหนุ่ม เคล้าส์ทราบในทันทีว่าผู้การฝ่ายศัตรูต้องการข่มผู้เขาให้หวาดเกรงต่อแสนยานุภาพของกองทัพปลดปล่อยแห่งสาธารณรัฐ ที่แม้แต่ผู้หญิงยังสามารถบังคับหุ่นกลได้อย่างเก่งกาจขนาดนั้น
ทว่าร้อยตรี เคล้าส์ ฟอน เวสเตอร์โรส กลับเผยรอยยิ้มออกมาราวกับว่าสิ่งที่ท่าน ผบ. กล่าวออกมาไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดเลยสักนิด
ใช่แล้ว เธอไม่ใช่สตรีคนแรกที่อัดเขาจนหมดสภาพอย่างนี้นี่นา...
..................................
.......................
.........
ในหัวของเคล้าส์ไม่ได้นึกถึงความเป็นไปได้ที่ว่าหญิงสาวตรงหน้าจะเป็นแกรนด์มาสเตอร์ของภาคีเลยสักนิด แค่นึกว่าผู้หญิงบังคับหุ่นกลก็เป็นเรื่องชวนหัวอยู่แล้ว จะให้นึกว่าแกรนด์มาสเตอร์แห่งภาคีอัศวินผู้เป็นอัศวินในหมู่อัศวินเป็นอิสตรีคงเป็นเรื่องโจ๊กที่ไร้สาระที่สุดเท่าที่เคล้าส์จะนึกออก
ใช่แล้ว... ในเมื่อสตรีไม่อาจเป็นผู้สืบทอดฉายาในตำนานไปได้ในความเข้าใจของเด็กหนุ่มแล้ว สมองอันน่ามหัศจรรย์ก็เรียบเรียงเหตุและผลเสียใหม่ให้เข้ากับความเข้าใจอันโง่เขลาของเขาในเวลานั้น
สาวสวยในชุดนอนเนกลิเยที่บางเบากลางวันอย่างไม่รู้จักอายเป็นใครกัน ? มาทำอะไรอยู่ในห้องของแกรนด์มาสเตอร์ ? เป็นลูกสาว ? เป็นภรรยา ? หรือจะเป็นโสเภณีที่แกรนด์มาสเตอร์จ้างมา แล้วถ้าอย่างนั้นแกรนด์มาสเตอร์หลบอยู่ที่แห่งหนใดในห้องเล่า ?
“กิยอร์ก เมื่อสักครู่ท่านเหมือนคุยกับแกรนด์มาสเตอร์นี่ แล้วแกรนด์มาสเตอร์อยู่ที่ไหนล่ะ ?”
“ท่านอยู่ตรงหน้านี่แล้วล่ะ” กิยอร์กกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน
“ตรงหน้า ? เราเห็นแต่เพียงหญิงไร้ยางอายที่นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนม้านั่งเท่านั้นล่ะ”
อัศวินรุ่นพี่มีสีหน้าลำบากใจยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
“เอ่อ... เคล้าส์น้องรักโปรดระวังคำพูดด้วย น้องกำลังเสียมารยาทกับท่านแกรนด์มาสเตอร์อยู่นะ”
“แกรนด์มาสเตอร์ ผู้หญิงคนนี้นี่นะ ช่างเป็นโจ๊กที่ไม่ขำเลย...” ทว่าเคล้าส์ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อเขาหันไปมองหญิงสาวในห้องอีกครั้ง
เคล้าส์ตกใจกับแววตาของหญิงสาวตรงหน้า มันเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส เป็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความทุกข์ระทมจนแม้แต่เคล้าส์ผู้เย่อหยิ่งยังต้องรู้สึกแย่ไปด้วย
ทว่าก่อนที่เคล้าส์จะได้กล่าวอะไร หญิงสาวก็ทำท่าพะอืดพะอมก่อนที่เธอจะรีบมุดกลับไปหลบอยู่หลังพนักพิงม้านั่งอีกครั้ง เด็กหนุ่มสาบานได้เลยว่าได้ยินเสียงหล่อนกำลังสำรอกดังโอ๊กอ๊าก มันใช้เวลาสักพักที่หญิงสาวจะโผล่ขึ้นมาจากพนักพิงอีกครั้ง คราวนี้เธอยืนงุ้มตัว มือหนึ่งกุมหน้าท้อง ส่วนอีกมือชี้ตรงมายังเคล้าส์พร้อมด้วยนัยน์ตาทิ่มแทงที่เต็มไปด้วยความทรมาน
“เจ้าหนู รู้ไหมว่าคำพูดจำอวดของเธอเมื่อสักครู่ทำเราปวดท้องแทบตายแน่ะ”
“หา ?” เคล้าส์อุทานออกมาอย่างไม่พอใจ เขาอุตส่าห์รู้สึกแย่ไปชั่วขณะกับแววตาของหล่อนในตอนนั้น แต่สิ่งที่พ่นออกมาจากหล่อนกลับเป็นน้ำเสียงที่ล้อเล่นกับความรู้นั่นของเขาเสียอย่างไม่น่าอภัย
กระนั้นก่อนที่เขาจะได้แย้งอะไร หญิงสาวก็สะบัดผมบลอนด์แพลตินั่มหันไปหากิยอร์กที่มีสีหน้าดูไม่ถูก “กียอร์ก เธอไปเอาเด็กน้อยคนนี้มาจากไหนเนี่ย หายากนะเนี่ยที่เด็กตัวเท่านี้จะทำให้เราขำกลิ้งได้ขนาดนี้เนี่ย นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้ยินพูดอย่างนี้กับเรานะ”
เคล้าส์พยายามจะโต้แย้ง แต่คราวนี้กิยอร์กไม่ปล่อยให้เด็กหนุ่มเสียมารยาทอีกต่อไป เขาบีบไหล่เคล้าส์แน่นก่อนจะคุกเข่ากับพื้นต่อหน้าหญิงสาวอย่างไม่ลังเล
“ต้องขออภัยด้วยขอรับท่านแกรนด์มาสเตอร์” กิยอร์กกล่าวด้วยความนอบน้อม “แฮร์เคล้าส์เพิ่งเป็นอัศวินใหม่ ยังไม่รู้จักธรรมเนียมของที่นี่...”
“ไม่ต้องพูดอะไรต่อแล้วกิยอร์ก” หญิงสาวผู้ถูกเรียกว่าเป็นแกรนด์มาสเตอร์ปรามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด “พวกคุณเองก็เคยเป็นเหมือนกับเจ้าหนูน้อยคนนี้มาแล้ว ให้เด็กมันได้เรียนรู้หน่อยสิ”
กิยอร์กได้แต่ก้มหน้าก้มตาอย่างจำนนอยู่เช่นนั้น เคล้าส์ได้แต่ทั้งแปลกใจและผิดหวังที่อัศวินผู้นี้กลับก้มหัวนอบน้อมแก่หญิงสาวที่อายุอ่อนกว่าสิบปีเห็นจะได้
“เจ้าหนู เราไม่ได้ยินที่เธอแนะนำตัวเมื่อสักครู่ ช่วยแนะนำตัวอีกครั้งจะได้หรือไม่” แกรนด์มาสเตอร์สาวกล่าว “ส่วนนามของเรานั้นคือ มาเรีย กิยอร์กอาจเรียกเราว่าแกรนด์มาสเตอร์ ผู้อื่นอาจรู้จักเราในนามของผู้สืบทอดฉายารุ่งอรุณแห่งแบรนแดนเบิร์ก หรือพยัคฆ์แห่งทุ่งหิมะอาสเตอร์ลิงก์ ศัตรูอาจก่นด่าเราด้วยชื่อ ‘บารอนขาว’ หรือว่าเจ้าจะเรียกเราว่า “หญิงสาวไร้ยางอาย” ก็ได้นะ”
เคล้าส์โกรธเกรี้ยวมากที่คำสองคำก็เรียกเขาว่า “เจ้าหนู” หรือ “เด็กน้อย” เขาได้แต่ยืนโกรธจนตัวสั่นอยู่ตรงนั้น ทว่าเขาก็ไม่อาจหุบปากได้นานนักเมื่อแกรนด์มาสเตอร์ที่แนะนำตัวว่าชื่อ มาเรีย กล่าวกับเขาต่อไปว่า “นี่เจ้าหนู เราแนะนำตัวแล้วใยเจ้ายังเงียบอยู่ล่ะ ที่เธริเซียนน่าจะสอนมารยาทให้การแนะนำตัวไม่ใช่หรือ ?”
“เราคือเคล้าส์ ฟอน เวสเตอร์โรส ผู้สืบเชื้อสายของตระกูลเวสเตอร์โรสอันทรงเกียรติ อย่าเสียมารยาทเรียกเราว่า ‘เจ้าหนู’ หรือ ‘เด็กน้อย’ นะ !” เคล้าส์ตะคอกออกไปอย่างขุ่นเคือง เด็กหนุ่มหันไปมองทั้งกิยอร์กที่ดูสงบนิ่ง กับหญิงสาวที่อ้างตัวว่าเป็นแกรนด์มาสเตอร์มีท่าทางไม่ยี่หร่ะต่อความไม่พอใจของเขาเลยสักนิด มันทำให้รู้สึกว่าโดนดูถูกเข้าอย่างจัง “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับภาคีอัศวินแห่งทิวโทนิกอันทรงเกียรติกัน ? แค่คิดว่าผู้หญิงเป็นอัศวินหุ่นกลก็น่าขำอยู่แล้ว นี่จะบอกว่าผู้หญิงเป็นแกรนด์มาสเตอร์แห่งภาคีอย่างนั้นหรือ ? นี่มันเรื่องตลกอะไรกันแน่ !”
คราวนี้มาเรียกลับหัวเราะออกมาด้วยความทรมาน ช่างเป็นส่วนผสมอันแปลกประหลาดเหลือเกินที่ได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวแสนสวยกำลังหัวเราะอย่างถูกใจด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“โอย กิยอร์ก เด็กใหม่ของท่านนี่เหนือกว่าที่เราคาดไว้เสียอีก เป็นเด็กแค่นี้ยังปากกล้าได้ถึงขนาดนี้ ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ”
ราวกับว่ามันถึงขีดสุดของเคล้าส์ที่จะถูกหยามเกียรติไปมากกว่านี้ เขาถอดถุงมือก่อนจะเขวี้ยงใส่หญิงสาว ท่ามกลางสายตาที่เบิกโพล่งตื่นตกใจของกิยอร์ก
“เรามาประลองกัน ! หากภาคีอัศวินมันตกต่ำถึงขั้นนี้แล้ว เราจะเป็นคนฟื้นฟูให้ภาคีนี้กลับมายิ่งใหญ่เหมือนในอดีตอีกครั้ง !”
กิยอร์กแทบตะโกนเสียงหลงกับการกระทำของเคล้าส์ หากแต่เด็กหนุ่มไม่สนใจอัศวินผู้นี้อีกต่อไป เช่นเดียวกับมาเรียที่รับถุงมือไว้ด้วยความเจ็บปวด
“น่าสนใจดีนี่” แกรนด์มาสเตอร์หญิงมาเรียกล่าวทั้งที่มือยังกุมท้องอย่างเจ็บปวด “ช่วงนี้ไม่ค่อยมีใครกล้าท้าประลองชิงตำแหน่งแกรนด์มาสเตอร์มาเสียนานแล้ว ยืดเส้นยืดสายหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
“ท่านแกรนด์มาสเตอร์ แต่ว่าร่างกายท่าน !” คนที่พูดขัดขึ้นมาคือกิยอร์กที่มีสีหน้าวิตก แต่กระนั้นแกรนด์มาสเตอร์มาเรียกลับยกมือขึ้นปรามอัศวินอาวุโสระดับกลางเสียก่อน
“ท่านห่วงเจ้าหนูนี่ดีกว่า ตอนนี้สภาพร่างกายของเรากำลังปั่นป่วน เราไม่แน่ใจได้ว่าจะยั้งมือได้เหมือนตอนปรกติแค่ไหน”
เมื่อไม่อาจเปลี่ยนใจหัวหน้าได้ กิยอร์กจึงหันไปโน้มน้าวพยายามให้เด็กหนุ่มขออภัยแกรนด์มาสเตอร์เสีย แต่สภาพของเคล้าส์ในตอนนั้นดูจะยอมหักไม่ยอมงอเสียยิ่งกว่าหญิงสาวตรงหน้าเสียอีก
“ไม่ได้หรอกท่านกิยอร์ก” เคล้าส์กล่าว “เราเป็นถึงผู้สืบทอดนามแห่งตระกูลเวสเตอร์โรสอันทรงเกียรติ การดูถูกเราก็เหมือนกับดูถูกเกียรติของทั้งตระกูล โดนดูถูกถึงเพียงนี้เราไม่อาจปล่อยวางได้หรอก !”
“ช่างเป็นคำพูดใหญ่โตเกินฐานะตระกูลเล็ก ๆ อย่างตระกูลเวสเตอร์โรสเลยนะ อยากรู้เหลือเกินว่าถูกเลี้ยงดูมาเช่นไรถึงได้เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจขนาดนี้” เมื่อถึงจุดนั้นแกรนด์มาสเตอร์มาเรียก็ชะงักสักครู่เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก ก่อนจะหันไปถามกิยอร์กที่อยู่ไม่ห่าง “กิยอร์ก เจ้าหนูนี่คือเด็กใหม่ที่บอกว่าเป็นเคยอัศวินฝึกหัดในอุปภัมภ์ของท่านฟลอสท์ ฟอน อุปลานด์ ใช่ไหม”
“ครับ” กิยอร์กตอบ ส่วนแกรนด์มาสเตอร์หันมาสำรวจเคล้าส์ด้วยความสนใจ “แปลก... ไม่น่าเชื่อว่าฟอน อุปลานด์คนนั้นจะอุปถัมภ์อัศวินฝึกหัดจากตระกูลที่ไม่ได้สืบสายเลือดของราชวงศ์น่ะ นี่เจ้าหนู ทั้งท่าทางที่ดูใหญ่โตเกินกว่าตระกูลก็ดี ได้เป็นลูกศิษย์ของฟอน อุปลานด์ก็ดีหรือการที่ได้เข้าภาคีทั้งที่อายุน้อยขนาดนี้ เจ้าหนูน้อย... เธอเป็นใครกันแน่ ?รึ”
เคล้าส์ได้ยินเสียงกิยอร์กสะอึกอย่างชัดเจน แน่นอนว่าเด็กหนุ่มรู้อย่างเต็มอกว่าสิ่งที่กิยอร์กกังวล หรือสิ่งที่มาเรียกำลังพยายามเอ่ยถึงอยู่นั้นหมายความว่าอย่างไร แต่เขาก็ไม่อาจหักห้ามความโกรธเกรี้ยวได้อีกต่อไป
“แต่ก็นะ เข้ามาในภาคีนี้บรรดาศักด์ สายเลือด หรือเพศก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องสนใจอีกต่อไป จำไว้เจ้าหนู ในภาคีนี้เราสนใจแต่ว่าคุณมีศรัทธา มารยาท และฝีมือ แค่ไหนเท่านั้นล่ะ ศรัทธาเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาพิสูจน์ ส่วนเมื่อสักครู่เธอก็ได้แสดงคุณค่าของมารยาทในตัวไปแล้ว เหลือแต่ฝีมือนี่ล่ะที่จะได้รู้กัน” เธอหันไปหากิยอร์ก พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวด้วยความทรมาน “ดูเหมือนว่าเราคงต้องทำพิธีตบสั่งสอนเจ้าหนูนี่ด้วยตัวเองแล้วล่ะ”
“ท่านแกรนด์มาสเตอร์ โปรดอย่าถือสาเด็ก...”
“บอกแล้วว่าเราไม่ใช่เด็ก ! ท่านกิยอร์กเองก็เห็นเราเป็นตัวตลกเหมือนผู้หญิงคนนั้นรึ !”
โอกาสสุดท้ายที่ท่านกิยอร์กจะพยายามระงับเหตุมีอันเป็นหมันไป เหลือแต่เพียงคำพูดเตือนใจที่ดังออกมาจากปากของมาเรียอย่างอ่อนโยนว่า
“ท่านกิยอร์กไม่ต้องกล่าวอะไรต่อแล้วล่ะ ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งแกรนด์มาสเตอร์ของภาคีทำให้เราเรียนรู้สิ่งสำคัญยิ่งอย่างหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็มีแต่ความรัก มิตรภาพ และอำนาจการยิงที่เหนือกว่าเท่านั้นที่จะสร้างความเคารพอย่างยั่งยืนได้”
คงไม่ต้องบอกว่าหลังจากนี้ท่านแกรนด์มาสเตอร์แห่งภาคีอัศวินจะสร้างความเคารพด้วยวิธีใด
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
Edit Log: 2 May, 2012: จบตอน
ความคิดเห็น