ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ใต้ฟ้าสาธารณรัฐ

    ลำดับตอนที่ #36 : Casualty of War พลีชีพ (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 481
      2
      28 ม.ค. 54

     

                    มารีได้แต่ร้องไห้ภายในอ้อมกอดของมิเกล  ตามปรกติแล้วมันเป็นการกระทำที่มารีไม่กล้าที่จะคิดเสียด้วยซ้ำ  แต่บัดนี้มันไม่มีอะไรหยุดยั้งหล่อนจากการหาเสาหลักที่พึ่งทางใจได้อีกแล้ว  แม้ว่าเหล่าทหารหนุ่ม ๆ ที่เดินผ่านมาจะทำผิวปากแซวคู่รักผิดสถานที่มันก็ไม่ทำให้มารีผละออกจากมิเกลเลย  เธอร้องเสียจนชุดของมิเกลเปียกชื้นไปด้วยน้ำตาและน้ำมูก  ซึ่งมิเกลเองได้แต่ลูบผมอันแสนอ่อนนุ่มอย่างแผ่วเบา  หวังว่ามันจะช่วยปลอบประโลมหญิงสาวที่เป็นที่รักได้บ้าง

     

              หญิงสาวผมแดงพร่ำเพ้อโทษตัวเองว่าที่ผ่านมาเธอไม่ได้ใส่ใจซิลวีเลย  เธอทราบว่าซิลวีมีปัญหาบางอย่าง  ท่าทีของเธอดูแปลกไปเหลือเกินภายในสองสามวันที่ผ่านมา  ทว่าเธอกลับละเลยไม่ได้ทำหน้าที่ของเพื่อนอย่างที่ควรจะทำ  เธอปล่อยให้ซิลวีอาสาออกไปรบแทน  ทั้งที่จริงแล้วหากเธอรู้ตัวเธอจะไม่มีทางปล่อยให้ซิลวีทำอย่างนั้นแน่...

     

                    อย่างน้อยเธอน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้

     

    อย่างน้อยเธอก็น่าจะรู้อะไรมากกว่านี้...

     

                    เพราะอะไรกันทำให้เธอตาบอด  มองไม่เห็นสิ่งอื่นรอบข้างเลย

     

              เธอมัวแต่หลงระเริงสิ่งใดกัน...

     

                    ไม่เป็นไรนะมารี  ผมอยู่ตรงนี้แล้ว

     

                    เสียงอันอ่อนโยนของมิเกลนั้นมีความตั้งใจที่จะปลอบประโลมหญิงสาวผู้อ่อนไหว  ทว่า  คำพูดอันอ่อนโยนนั่นกลับทิ่มแทงเข้าไปในดวงใจที่บาดเจ็บของหล่อน  เปิดแผลให้เหวอะหวะจนยากที่จะเยียวยา

     

    ใช่แล้ว  เรามัวแต่หลงระเริงกับความรักที่แสนโง่เขลานี่

     

    เพราะความรักฉันท์ชู้สาวที่กำลังก่อตัว  ทำให้เราตาบอด  มองไม่เห็นสิ่งอื่นรอบข้างเลย

     

    หากเราสนใจซิลวีมากกว่าแต่ก่อน  เราอาจจะเข้าใจปัญหาของเธอได้มากกว่านี้

     

    ถ้าหากเราไม่หลงระเริงไปกับความตื่นเต้นชั่วครู่คราว  เราอาจจะมีเวลาพอที่จะช่วยซิลวีได้...

     

    พระเจ้า... นี่คือการลงโทษลูกต่อบาปที่ได้ก่อลงไปใช่หรือไม่ ?

     

              มิเกลเห็นว่ามารีสงบลงไปมากแล้ว  เขาจึงพยายามที่จะเช็ดน้ำตาของหญิงสาวที่เขาห่วงใย  ทว่า  มารีกลับผละตัวออกจากอ้อมอกที่เธอเคยโหยหามาตลอด  พลางยืนขึ้นเช็ดน้ำตาด้วยตัวเอง

     

                    ท่ามกลางความงุนงงของมิเกล  มารีเอ่ยปากขึ้นโดยไม่หันหน้ามาสบตาชายหนุ่ม  มิเกล  ขอบคุณนะ  ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ  กระนั้น พอมิเกลค้านว่ามารีควรจะพักผ่อนต่อ  เธอกลับกล่าวด้วยเสียงอันเศร้าสร้อยว่า  ฉันพักมานานพอแล้วล่ะ

     

              มิเกลที่ไม่ได้ซื่อบื้อเกินกว่าที่จะไม่รับรู้ความเปลี่ยนไปพยายามที่จะค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับมารีที่เพิ่งอยู่ในอ้อมกอดเมื่อสักครู่  ทว่ามิเกลนั้นก็ต้องถูกขัดจังหวะด้วยเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว  มันไม่ใช่เสียงปืนกระบอกเดียว  หากเป็นเสียงปืนหลายสิบกระบอกที่กระหน่ำยิงในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน  ในตอนแรกทั้งมิเกลและมารีต่างหมอบศีรษะลงด้วยความตื่นตระหนก  แต่พอมองไปรอบ ๆ เห็นทหารคนอื่นไม่มีทีท่าจะก้มหมอบลงเหมือนพวกเขาเลยสักนิด  สุดท้ายทั้งสองจึงกลับขึ้นมายืนเหมือนเดิม

     

                    เสียงปืนชุดนั้นยังสะท้อนก้องไปทั่วหุบเขา  ทั้งมารีและมิเกลต่างส่งสายตาให้กันโดยไม่มีการสนทนาใด ๆ มิเกลนั้นส่ายหัวปฎิเสธทันที  ในขณะที่มารีเพียงแค่จ้องด้วยแววตาที่บวมน้ำแห่งความเศร้า  ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่สนคำทัดทานของมิเกลเลย

     

                    หญิงสาวที่ราวกับเป็นดอกไม้งามท่ามกลางทุ่งสังหารเดินไปตามร่องคันดินที่ถูกขุดขึ้นเป็นหลุมหลบภัย  เมื่อเธอเดินไปจนสุดแนวของรังปืนกลนั้น  มารีก็ได้คำตอบเสียทีว่าเสียงปืนเมื่อสักครู่เกิดมาจากอะไร

     

                    เบื้องล่างไม่ห่างจากเนินที่มารียืนอยู่นักคือหลุมขนาดใหญ่ขนาดประมาณที่เอาหุ่นกลไปทาบได้พอดี  มันไม่แน่ชัดว่าหลุมนั่นเคยเป็นหลุมกระสุนปืนใหญ่มาก่อน  หรือเพิ่งถูกขุดโดยฝีมือมนุษย์  บริเวณโดยรอบปากหลุมมีทหารลาดตระเวนชาเซอร์นับสิบถือปืนด้วยท่าทางที่สนุกสนานกับสิ่งที่เขาทำอยู่  บางคนสูบบุหรี่คุยกับเพื่อนอย่างสบายอารมณ์โดยที่ปากกระบอกปืนของคนเหล่านั้นยังมีควันจาง ๆ ลอยออกอยู่  ที่น่าแปลกคือทหารลาดตระเวนชาเซอร์เหล่าไม่ได้แต่งเครื่องแบบและหมวกแก๊บสีน้ำเงินตามสีมาตรฐานของกองทัพ  หากแต่สวมใส่เครื่องแบบสีเขียวแก่และหมวกไบเล่สีน้ำตาล  ทว่าสิ่งเหล่านั้นหาใช่ประเด็นสำคัญที่ทำให้มารีต้องรีบเบือนหน้าหนี...

     

                    สิ่งที่มารีเห็นกับตาคือร่างนับสิบนับร้อยของชายฉกรรจ์ในชุดเครื่องแบบสีเทาเข้มนอนทับซ้อนระเกะระกะราวกับเศษซากหมูที่ถูกเชือดก่อนเข้าหน้าหนาว  มารีไม่มีทางทราบได้ว่าหลุมนั้นลึกแค่ไหน  แต่อย่างน้อยหลุมที่กว้างขนาดนั้นยังแทบจะถมซะจนเกือบล้น  ควันจาง ๆ ยังลอยออกมาจากซากศพบางร่างเป็นหลักฐานของแห่งกำเนิดเสียงที่มารีได้ยินเมื่อสักครู่ 

     

                    บริเวณถัดไปไม่ห่างจากหลุมฝังศพหมู่คือกองของส่วนตัวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกองรองเท้าบู้ทที่มีทหารหลายคนลองสวมใส่อย่างไม่เกรงใจ  มีทั้งหมวกเหล็กที่จะเอาไปหลอมทำเป็นสิ่งของอย่างอื่น และสัมพาระอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้ถูกฉกชิงไป

     

                    ระหว่างนั้นเอง  มารีก็ได้ยินเสียงอวดครวญดังขึ้นจากกองซากศพ  เมื่อมารีทำใจหันไปดูก็พบกับร่างของทหารจักรวรรดินายหนึ่งกำลังพยายามตะเกียกตะกายปีนออกจากหลุมศพหมู่  ทว่า  ชะตาชีวิตของเขาก็จบลงอย่างรวดเร็วโดยกระสุนปืนพกหนึ่งนัดที่ลั่นเข้าที่กลางหลังศีรษะอย่างไร้ปราณี  ผู้ที่ลั่นกระสุนปลิดนั้นมิได้สวมใส่เครื่องแบบสีเขียวแบบเดียวกับทหารลาดตระเวนชาเซอคนอื่น  หากแต่เป็นเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มอันทรงเกียรติของนายทหารประจำการที่ควรจะเป็นตัวแทนของกฎชิวารี่ที่ผู้สวมใส่ควรพดุงรักษาไว้ยิ่งชีพ... กฎที่นายทหารผู้นั้นเพิ่งทำให้แปดเปื้อนโดยการสังหารผู้ที่ไม่มีทางสู้ 

     

                    และโดยที่มารีไม่ทันตั้งตัว  นายทหารผู้นั้นหันหน้ามาสบตากับมารี  ใบหน้าของฆาตกรผู้นั้นยิ้มให้มารีอย่างเป็นกันเอง  แถมเขายังยกหมวกขึ้นเป็นแบบการทักทายต่อสุภาพสตรีอีกต่างหาก 

     

                    มารียืนทำอะไรไม่ถูก  แน่นอนว่ามารีรู้จักนายทหารผู้นี้เป็นอย่างดี  เพียงแต่เธอไม่คาดว่าจะได้พบกับเขาในตอนนี้  อย่างน้อยในเวลานี้ที่เขาควรจะต้องอยู่ที่กองบัญชาการกับนายทหารผู้อื่น...

     

                    ร้อยเอกเอมิล  ดูบัวร์

     

                    ผู้กองหนุ่มผู้นี้มาถึงก่อนหน้ามารีได้อย่างไร  ในเมื่อหน่วยทหารช่างของหล่อนควรจะมาถึงก่อนใครเพื่อนหลังหน่วยจู่โจมรักษาพื้นที่ได้แล้ว

     

                    เอมิลก้าวเท้าเข้ามาหามารีอย่างปรกติราวกับว่าที่เขาเพิ่งยิงคนไปเป็นเรื่องธรรมดา

     

                    ผมคาดว่ามาดมัวแซลน่าจะทราบเรื่องของคุณซิลวีแล้วนะครับ  สำหรับผมแล้วมันเป็นความเศร้าหมองอย่างหาที่เปรียบไม่ได้เลยล่ะครับ  คุณซิลวีเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญมากเลยนะครับ   ผมเองถึงมีวาสนาได้รู้จักกับคุณซิลวีไม่นาน  แต่ผมก็นับถือในความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้เพื่อเสรีภาพของเธอเหลือเกิน  ช่างน่าเสียดายนักที่วันนี้สาธารณรัฐต้องสูญเสียคนดีไปอีกคนแล้ว  กระนั้นแล้ วผมก็ยังมีความเชื่ออย่างแรงกล้านะครับ ว่าการเสียสละของคุณซิลวีไม่มีทางสูญเปล่าแน่นอน  ไม่สิ  ตัวตนของเธอจะกลายเป็นอมตะ... ความกล้าหาญและเสียสละของเธอจะเป็นตัวอย่างที่จุดประกายผู้รักเสรีภาพทุกคน...

     

                    มารีมิได้เอ่ยปากพูดตอบ  เธอไม่สนสิ่งที่เอมิลพล่ามออกมาเลยสักนิดเดียว  มารีได้แต่เหลือบมองศพร่างนั้นที่นอนคว่ำหน้าอยู่ร่วมกับสหายผู้ล่วงลับคนอื่นในหลุมก่อนจะมองปืนลูกโม่สีดำขลับในอุ้งมือขวาของเอมิลที่ยังมีควันลอยฉุยตรงปากกระบอกปืน

     

                    ผมเข้าใจนะครับว่ามาดมัวแซลยังทำใจไม่ได้กับการจากไปของเพื่อน  เอมิลเดินเข้ามาใกล้พลางจับมือมารีขึ้นมาอย่างอ่อนโยน ผมเข้าใจความรู้สึกของมาดมัวแซลดีครับ  ผมเองก็สูญเสียเพื่อนมากมายเหลือเกินในอดีต... มากมายเสียจนอดคิดไม่ได้ว่าทำไมผมถึงรอด  ในขณะที่คนอื่นต้องจบชีวิตลง  ทำไมผมถึงโชคดีอยู่คนเดียว  ในขณะที่ผองเพื่อนบางคนต้องตายอย่างทรมานในคุกบาสติล  บ้างก็ถูกฆ่าอย่างเลือดเย็นบนท้องถนนแห่งนครหลวง  ทำไมอย่างโน้น  ทำไมอย่างนี้... คำว่า ทำไม มันตามหลอกหลอนผมจนทำผมเกือบคลั่งเลยล่ะ  มันช่างแปลกมากเลยนะครับ  ทั้งที่พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลย  แต่ความรู้สึกผิดกลับก่อตัวขึ้นในหัวใจอันอ่อนล้า  มาดมัวแซลอย่าได้ดูถูกความรู้สึกผิดของผู้รอดชีวิตไปเชียว  การมีชีวิตอยู่เป็นทั้งลาภและคำสาปที่จะกัดกร่อนใจเราไปตลอดชีวิต  บางทีผมเคยนึกด้วยซ้ำว่าหากได้พลีชีพไปพร้อมกับสหายร่วมอุดมการณ์แล้วอาจจะเป็นการดีกว่าก็ได้...

     

                    เมื่อถึงช่วงนี้เอมิลก็หยุดสักครู่  เหม่อมองท้องฟ้าอันกว้างใหญ่อย่างไร้จุดหมาย

     

                    แต่ว่าความคิดเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ผิดนะครับ...    

     

    ว่าแล้วเอมิลก็โอบไหล่แสนบอบบางของสาวน้อยที่หัวใจยังบอบช้ำ  ก่อนจะประคองให้หล่อนหันไปเผชิญหน้ากับหลุมฝังศพหมู่

     

    ใครกันที่พรากชีวิตพวกพ้องไป  ตัวเราอย่างนั้นหรือ  เปล่าเลยครับมาดมัวแซล พวกมันต่างหาก!”  เอมิลชี้ไปยังกองซากศพของทหารจักรวรรดิพลางบีบไหล่มารีแน่น  พวกมันต่างหากที่เป็นคนฆ่าสหายของเรา  ผมเคยโทษผิดคนครับ  ผมโทษตัวเองอยู่เสียนานจนกระทั่งวันนั้น...วันที่ผมเห็นพระราชาห้อยบนขื่อมันทำให้ความคิดแสนโง่เง่าเหล่านั้นหายไปจนหมดสิ้น  การประหารวันนั้นมันไม่ใช่แค่เป็นการปลดปล่อยสาธารณรัฐจากอดีตอย่างเดียวหรอกนะครับ  สำหรับผมแล้วมันยังได้ปลดปล่อยวิญญาณของผมอีกด้วย  มันเป็นการบอกว่าชีวิตเพื่อนพ้องที่เสียไปมันไม่สูญเปล่า  และตัวผมนั้นโชคดีเหลือเกินที่ยังมีชีวิตจนได้เห็นภาพที่หลายคนได้แต่เคยวาดฝัน 

     

    มารียังคงจ้องมองศพเหล่านั้นด้วยความสยองขวัญ  แต่นั่นมันก็ไม่ได้ทำให้เธอเบือนหน้าหนีเหมือนในตอนแรก  เธอกลับจ้องมองนัยน์ตาไร้ชีวิตเหล่านั้นราวกับโดนมนต์สะกดบางอย่างดึงดูดไว้

     

    เพราะฉะนั้นแล้ว  มาดมัวแซลจงอย่าได้โทษตัวเองนะครับ  จงโทษพวกมันที่ทำให้คุณซิลวีต้องตาย  จงโทษพวกมันที่ทำให้เราต้องเศร้าโศก...

     

    และจงฆ่าพวกมันอย่าให้เหลือเลยนะครับ

     

    เมื่อถึงวันนั้นแล้ว  ผมเชื่อว่ามาดมัวแซลจะต้องได้รับการปลดปล่อยเช่นเดียวกับผมในวันนั้นอย่างแน่นอน   

     

    ในตอนนี้มารีแทบจะไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว  ไม่ทราบแม้แต่ว่าเอมิลกล่าวประโยคเหล่านั้นออกมาด้วยรอยยิ้มพิศวงที่ไม่มีใครบอกได้ว่ามันเป็นรอยยิ้มด้วยอารมณ์ขมขื่นหรือหรรษากันแน่ 

    @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
    Edit Log: 27 Jan, 2011: จบตอน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×