คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #36 : Casualty of War พลีชีพ (2)
มารีได้แต่ร้องไห้ภายในอ้อมกอดของมิเกล ตามปรกติแล้วมันเป็นการกระทำที่มารีไม่กล้าที่จะคิดเสียด้วยซ้ำ แต่บัดนี้มันไม่มีอะไรหยุดยั้งหล่อนจากการหาเสาหลักที่พึ่งทางใจได้อีกแล้ว แม้ว่าเหล่าทหารหนุ่ม ๆ ที่เดินผ่านมาจะทำผิวปากแซวคู่รักผิดสถานที่มันก็ไม่ทำให้มารีผละออกจากมิเกลเลย เธอร้องเสียจนชุดของมิเกลเปียกชื้นไปด้วยน้ำตาและน้ำมูก ซึ่งมิเกลเองได้แต่ลูบผมอันแสนอ่อนนุ่มอย่างแผ่วเบา หวังว่ามันจะช่วยปลอบประโลมหญิงสาวที่เป็นที่รักได้บ้าง
หญิงสาวผมแดงพร่ำเพ้อโทษตัวเองว่าที่ผ่านมาเธอไม่ได้ใส่ใจซิลวีเลย เธอทราบว่าซิลวีมีปัญหาบางอย่าง ท่าทีของเธอดูแปลกไปเหลือเกินภายในสองสามวันที่ผ่านมา ทว่าเธอกลับละเลยไม่ได้ทำหน้าที่ของเพื่อนอย่างที่ควรจะทำ เธอปล่อยให้ซิลวีอาสาออกไปรบแทน ทั้งที่จริงแล้วหากเธอรู้ตัวเธอจะไม่มีทางปล่อยให้ซิลวีทำอย่างนั้นแน่...
อย่างน้อยเธอน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้
อย่างน้อยเธอก็น่าจะรู้อะไรมากกว่านี้...
เพราะอะไรกันทำให้เธอตาบอด มองไม่เห็นสิ่งอื่นรอบข้างเลย
เธอมัวแต่หลงระเริงสิ่งใดกัน...
“ไม่เป็นไรนะมารี ผมอยู่ตรงนี้แล้ว”
เสียงอันอ่อนโยนของมิเกลนั้นมีความตั้งใจที่จะปลอบประโลมหญิงสาวผู้อ่อนไหว ทว่า คำพูดอันอ่อนโยนนั่นกลับทิ่มแทงเข้าไปในดวงใจที่บาดเจ็บของหล่อน เปิดแผลให้เหวอะหวะจนยากที่จะเยียวยา
“ใช่แล้ว เรามัวแต่หลงระเริงกับความรักที่แสนโง่เขลานี่”
“เพราะความรักฉันท์ชู้สาวที่กำลังก่อตัว ทำให้เราตาบอด มองไม่เห็นสิ่งอื่นรอบข้างเลย”
“หากเราสนใจซิลวีมากกว่าแต่ก่อน เราอาจจะเข้าใจปัญหาของเธอได้มากกว่านี้”
“ถ้าหากเราไม่หลงระเริงไปกับความตื่นเต้นชั่วครู่คราว เราอาจจะมีเวลาพอที่จะช่วยซิลวีได้...”
พระเจ้า... นี่คือการลงโทษลูกต่อบาปที่ได้ก่อลงไปใช่หรือไม่ ?
มิเกลเห็นว่ามารีสงบลงไปมากแล้ว เขาจึงพยายามที่จะเช็ดน้ำตาของหญิงสาวที่เขาห่วงใย ทว่า มารีกลับผละตัวออกจากอ้อมอกที่เธอเคยโหยหามาตลอด พลางยืนขึ้นเช็ดน้ำตาด้วยตัวเอง
ท่ามกลางความงุนงงของมิเกล มารีเอ่ยปากขึ้นโดยไม่หันหน้ามาสบตาชายหนุ่ม “มิเกล ขอบคุณนะ ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ” กระนั้น พอมิเกลค้านว่ามารีควรจะพักผ่อนต่อ เธอกลับกล่าวด้วยเสียงอันเศร้าสร้อยว่า “ฉันพักมานานพอแล้วล่ะ”
มิเกลที่ไม่ได้ซื่อบื้อเกินกว่าที่จะไม่รับรู้ความเปลี่ยนไปพยายามที่จะค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับมารีที่เพิ่งอยู่ในอ้อมกอดเมื่อสักครู่ ทว่ามิเกลนั้นก็ต้องถูกขัดจังหวะด้วยเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว มันไม่ใช่เสียงปืนกระบอกเดียว หากเป็นเสียงปืนหลายสิบกระบอกที่กระหน่ำยิงในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ในตอนแรกทั้งมิเกลและมารีต่างหมอบศีรษะลงด้วยความตื่นตระหนก แต่พอมองไปรอบ ๆ เห็นทหารคนอื่นไม่มีทีท่าจะก้มหมอบลงเหมือนพวกเขาเลยสักนิด สุดท้ายทั้งสองจึงกลับขึ้นมายืนเหมือนเดิม
เสียงปืนชุดนั้นยังสะท้อนก้องไปทั่วหุบเขา ทั้งมารีและมิเกลต่างส่งสายตาให้กันโดยไม่มีการสนทนาใด ๆ มิเกลนั้นส่ายหัวปฎิเสธทันที ในขณะที่มารีเพียงแค่จ้องด้วยแววตาที่บวมน้ำแห่งความเศร้า ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่สนคำทัดทานของมิเกลเลย
หญิงสาวที่ราวกับเป็นดอกไม้งามท่ามกลางทุ่งสังหารเดินไปตามร่องคันดินที่ถูกขุดขึ้นเป็นหลุมหลบภัย เมื่อเธอเดินไปจนสุดแนวของรังปืนกลนั้น มารีก็ได้คำตอบเสียทีว่าเสียงปืนเมื่อสักครู่เกิดมาจากอะไร
เบื้องล่างไม่ห่างจากเนินที่มารียืนอยู่นักคือหลุมขนาดใหญ่ขนาดประมาณที่เอาหุ่นกลไปทาบได้พอดี มันไม่แน่ชัดว่าหลุมนั่นเคยเป็นหลุมกระสุนปืนใหญ่มาก่อน หรือเพิ่งถูกขุดโดยฝีมือมนุษย์ บริเวณโดยรอบปากหลุมมีทหารลาดตระเวนชาเซอร์นับสิบถือปืนด้วยท่าทางที่สนุกสนานกับสิ่งที่เขาทำอยู่ บางคนสูบบุหรี่คุยกับเพื่อนอย่างสบายอารมณ์โดยที่ปากกระบอกปืนของคนเหล่านั้นยังมีควันจาง ๆ ลอยออกอยู่ ที่น่าแปลกคือทหารลาดตระเวนชาเซอร์เหล่าไม่ได้แต่งเครื่องแบบและหมวกแก๊บสีน้ำเงินตามสีมาตรฐานของกองทัพ หากแต่สวมใส่เครื่องแบบสีเขียวแก่และหมวกไบเล่สีน้ำตาล ทว่าสิ่งเหล่านั้นหาใช่ประเด็นสำคัญที่ทำให้มารีต้องรีบเบือนหน้าหนี...
สิ่งที่มารีเห็นกับตาคือร่างนับสิบนับร้อยของชายฉกรรจ์ในชุดเครื่องแบบสีเทาเข้มนอนทับซ้อนระเกะระกะราวกับเศษซากหมูที่ถูกเชือดก่อนเข้าหน้าหนาว มารีไม่มีทางทราบได้ว่าหลุมนั้นลึกแค่ไหน แต่อย่างน้อยหลุมที่กว้างขนาดนั้นยังแทบจะถมซะจนเกือบล้น ควันจาง ๆ ยังลอยออกมาจากซากศพบางร่างเป็นหลักฐานของแห่งกำเนิดเสียงที่มารีได้ยินเมื่อสักครู่
บริเวณถัดไปไม่ห่างจากหลุมฝังศพหมู่คือกองของส่วนตัวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกองรองเท้าบู้ทที่มีทหารหลายคนลองสวมใส่อย่างไม่เกรงใจ มีทั้งหมวกเหล็กที่จะเอาไปหลอมทำเป็นสิ่งของอย่างอื่น และสัมพาระอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้ถูกฉกชิงไป
ระหว่างนั้นเอง มารีก็ได้ยินเสียงอวดครวญดังขึ้นจากกองซากศพ เมื่อมารีทำใจหันไปดูก็พบกับร่างของทหารจักรวรรดินายหนึ่งกำลังพยายามตะเกียกตะกายปีนออกจากหลุมศพหมู่ ทว่า ชะตาชีวิตของเขาก็จบลงอย่างรวดเร็วโดยกระสุนปืนพกหนึ่งนัดที่ลั่นเข้าที่กลางหลังศีรษะอย่างไร้ปราณี ผู้ที่ลั่นกระสุนปลิดนั้นมิได้สวมใส่เครื่องแบบสีเขียวแบบเดียวกับทหารลาดตระเวนชาเซอคนอื่น หากแต่เป็นเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มอันทรงเกียรติของนายทหารประจำการที่ควรจะเป็นตัวแทนของกฎชิวารี่ที่ผู้สวมใส่ควรพดุงรักษาไว้ยิ่งชีพ... กฎที่นายทหารผู้นั้นเพิ่งทำให้แปดเปื้อนโดยการสังหารผู้ที่ไม่มีทางสู้
และโดยที่มารีไม่ทันตั้งตัว นายทหารผู้นั้นหันหน้ามาสบตากับมารี ใบหน้าของฆาตกรผู้นั้นยิ้มให้มารีอย่างเป็นกันเอง แถมเขายังยกหมวกขึ้นเป็นแบบการทักทายต่อสุภาพสตรีอีกต่างหาก
มารียืนทำอะไรไม่ถูก แน่นอนว่ามารีรู้จักนายทหารผู้นี้เป็นอย่างดี เพียงแต่เธอไม่คาดว่าจะได้พบกับเขาในตอนนี้ อย่างน้อยในเวลานี้ที่เขาควรจะต้องอยู่ที่กองบัญชาการกับนายทหารผู้อื่น...
ร้อยเอกเอมิล ดูบัวร์
ผู้กองหนุ่มผู้นี้มาถึงก่อนหน้ามารีได้อย่างไร ในเมื่อหน่วยทหารช่างของหล่อนควรจะมาถึงก่อนใครเพื่อนหลังหน่วยจู่โจมรักษาพื้นที่ได้แล้ว
เอมิลก้าวเท้าเข้ามาหามารีอย่างปรกติราวกับว่าที่เขาเพิ่งยิงคนไปเป็นเรื่องธรรมดา
“ผมคาดว่ามาดมัวแซลน่าจะทราบเรื่องของคุณซิลวีแล้วนะครับ สำหรับผมแล้วมันเป็นความเศร้าหมองอย่างหาที่เปรียบไม่ได้เลยล่ะครับ คุณซิลวีเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญมากเลยนะครับ ผมเองถึงมีวาสนาได้รู้จักกับคุณซิลวีไม่นาน แต่ผมก็นับถือในความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้เพื่อเสรีภาพของเธอเหลือเกิน ช่างน่าเสียดายนักที่วันนี้สาธารณรัฐต้องสูญเสียคนดีไปอีกคนแล้ว กระนั้นแล้ วผมก็ยังมีความเชื่ออย่างแรงกล้านะครับ ว่าการเสียสละของคุณซิลวีไม่มีทางสูญเปล่าแน่นอน ไม่สิ ตัวตนของเธอจะกลายเป็นอมตะ... ความกล้าหาญและเสียสละของเธอจะเป็นตัวอย่างที่จุดประกายผู้รักเสรีภาพทุกคน...”
มารีมิได้เอ่ยปากพูดตอบ เธอไม่สนสิ่งที่เอมิลพล่ามออกมาเลยสักนิดเดียว มารีได้แต่เหลือบมองศพร่างนั้นที่นอนคว่ำหน้าอยู่ร่วมกับสหายผู้ล่วงลับคนอื่นในหลุมก่อนจะมองปืนลูกโม่สีดำขลับในอุ้งมือขวาของเอมิลที่ยังมีควันลอยฉุยตรงปากกระบอกปืน
“ผมเข้าใจนะครับว่ามาดมัวแซลยังทำใจไม่ได้กับการจากไปของเพื่อน” เอมิลเดินเข้ามาใกล้พลางจับมือมารีขึ้นมาอย่างอ่อนโยน “ผมเข้าใจความรู้สึกของมาดมัวแซลดีครับ ผมเองก็สูญเสียเพื่อนมากมายเหลือเกินในอดีต... มากมายเสียจนอดคิดไม่ได้ว่าทำไมผมถึงรอด ในขณะที่คนอื่นต้องจบชีวิตลง ทำไมผมถึงโชคดีอยู่คนเดียว ในขณะที่ผองเพื่อนบางคนต้องตายอย่างทรมานในคุกบาสติล บ้างก็ถูกฆ่าอย่างเลือดเย็นบนท้องถนนแห่งนครหลวง ทำไมอย่างโน้น ทำไมอย่างนี้... คำว่า ทำไม มันตามหลอกหลอนผมจนทำผมเกือบคลั่งเลยล่ะ มันช่างแปลกมากเลยนะครับ ทั้งที่พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ความรู้สึกผิดกลับก่อตัวขึ้นในหัวใจอันอ่อนล้า มาดมัวแซลอย่าได้ดูถูกความรู้สึกผิดของผู้รอดชีวิตไปเชียว การมีชีวิตอยู่เป็นทั้งลาภและคำสาปที่จะกัดกร่อนใจเราไปตลอดชีวิต บางทีผมเคยนึกด้วยซ้ำว่าหากได้พลีชีพไปพร้อมกับสหายร่วมอุดมการณ์แล้วอาจจะเป็นการดีกว่าก็ได้...”
เมื่อถึงช่วงนี้เอมิลก็หยุดสักครู่ เหม่อมองท้องฟ้าอันกว้างใหญ่อย่างไร้จุดหมาย
“แต่ว่าความคิดเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ผิดนะครับ...”
ว่าแล้วเอมิลก็โอบไหล่แสนบอบบางของสาวน้อยที่หัวใจยังบอบช้ำ ก่อนจะประคองให้หล่อนหันไปเผชิญหน้ากับหลุมฝังศพหมู่
“ใครกันที่พรากชีวิตพวกพ้องไป ตัวเราอย่างนั้นหรือ เปล่าเลยครับมาดมัวแซล พวกมันต่างหาก!” เอมิลชี้ไปยังกองซากศพของทหารจักรวรรดิพลางบีบไหล่มารีแน่น “พวกมันต่างหากที่เป็นคนฆ่าสหายของเรา ผมเคยโทษผิดคนครับ ผมโทษตัวเองอยู่เสียนานจนกระทั่งวันนั้น...วันที่ผมเห็นพระราชาห้อยบนขื่อมันทำให้ความคิดแสนโง่เง่าเหล่านั้นหายไปจนหมดสิ้น การประหารวันนั้นมันไม่ใช่แค่เป็นการปลดปล่อยสาธารณรัฐจากอดีตอย่างเดียวหรอกนะครับ สำหรับผมแล้วมันยังได้ปลดปล่อยวิญญาณของผมอีกด้วย มันเป็นการบอกว่าชีวิตเพื่อนพ้องที่เสียไปมันไม่สูญเปล่า และตัวผมนั้นโชคดีเหลือเกินที่ยังมีชีวิตจนได้เห็นภาพที่หลายคนได้แต่เคยวาดฝัน”
มารียังคงจ้องมองศพเหล่านั้นด้วยความสยองขวัญ แต่นั่นมันก็ไม่ได้ทำให้เธอเบือนหน้าหนีเหมือนในตอนแรก เธอกลับจ้องมองนัยน์ตาไร้ชีวิตเหล่านั้นราวกับโดนมนต์สะกดบางอย่างดึงดูดไว้
“เพราะฉะนั้นแล้ว มาดมัวแซลจงอย่าได้โทษตัวเองนะครับ จงโทษพวกมันที่ทำให้คุณซิลวีต้องตาย จงโทษพวกมันที่ทำให้เราต้องเศร้าโศก...
และจงฆ่าพวกมันอย่าให้เหลือเลยนะครับ
เมื่อถึงวันนั้นแล้ว ผมเชื่อว่ามาดมัวแซลจะต้องได้รับการปลดปล่อยเช่นเดียวกับผมในวันนั้นอย่างแน่นอน”
ในตอนนี้มารีแทบจะไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว ไม่ทราบแม้แต่ว่าเอมิลกล่าวประโยคเหล่านั้นออกมาด้วยรอยยิ้มพิศวงที่ไม่มีใครบอกได้ว่ามันเป็นรอยยิ้มด้วยอารมณ์ขมขื่นหรือหรรษากันแน่
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
Edit Log: 27 Jan, 2011: จบตอน
ความคิดเห็น