ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ใต้ฟ้าสาธารณรัฐ

    ลำดับตอนที่ #33 : Blowing in the wind ลาจาก (4)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 442
      1
      23 ม.ค. 54

                    ในที่สุดก็ทำลงไปแล้ว !

     

                    ซิลวีปลีกตัวออกมาจากนายทหารทั้งสองด้วยหัวใจที่เบาหวิวราวกับขนนก 

     

                    ไม่นึกเลยว่าจะกล้าพอที่ทำอย่างนั้นได้ !

     

              ท่ามกลางแสงตะวันที่อ่อนล้า  หญิงสาวผู้ปลดเปลื้องบ่วงโซ่แห่งจิตใจวิ่งกลับไปหาพวกพ้องที่ยังจมปลักอยู่ในห้วงนิทราอยู่  ซิลวีค่อย ๆ ก้าวเท้าช้าลงเมื่อภาพของโรงนาปรากฎขึ้นต่อหน้า  และหยุดนิ่งเมื่อก้าวถึงทางเข้าที่เปิดกว้าง

     

                    ทุกคนยังหลับอยู่เหมือนเดิม  เธอเห็นกาสตงเกาก้นพลางพลิกตัวเอาเท้าก่ายกับลังเก็บของ  พี่น้องเครเมอร์ยังนอนบนกองฟางได้อย่างไม่รู้จักคัน  มิเชลยังนอนกรนเบา ๆ รวมกับพวกที่ป่วยอย่างไม่น่าจะมีอะไรต้องห่วง  และภาพที่ทำให้ซิลวีต้องถึงกับอมยิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้คือ...

     

                    ภาพของมารีนั่งห่อตัวอยู่เคียงข้างกับมิเกลที่นอนหลับตาพริ้มดูมีความสุขเสียจนเธอรู้สึกหมั่นไส้เหลือเกิน  แต่ดูจากระยะห่างที่ยังมีช่องว่างเหลืออยู่ระหว่างสองคน  ซิลวีก็คงเดาได้ไม่ยากว่าเจ้ามิเกลคงยังมิได้คืบหน้าอะไรมากมายกับมารีนัก  แต่เห็นความห่วงใยของมารีที่มีต่อชายหนุ่มเป็นที่รักแล้วมันก็อดทำให้เธอรู้สึกปลื้มใจแทนเจ้าซื่อบื่อนั่นเสียมิได้

     

                    ทว่า  รอยยิ้มนั้นก็อยู่ได้ไม่นานนัก  มันค่อย ๆ จางหายไปพร้อมกับการมาของบุคคลหนึ่งซึ่งเฝ้าดูเธอจากเบื้องหลังมานานแล้ว

     

                    ไปพบกับท่าน ผบ. มาเป็นอย่างไรบ้างครับ 

     

                    ซิลวีไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็ทราบว่าน้ำเสียงสุภาพจนดูน่ารังเกียจอย่างนั้นเป็นของใคร 

     

                    ผบ. บอกให้ฉันไปรายงานตัวกับหมวดเลอร์วูค่ะ  ซิลวีตอบโดยยังคงหันหลังให้กับเอมิล

     

                    วิเศษมากเลย  ไม่น่าเชื่อเลยว่าโอกาสที่คุณซิลวีจะมาถึงเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้

     

                    โอกาสให้ฉันตายเร็วขึ้นอย่างนั้นสินะคะ  ซิลวีกล่าวแดกดันพลางหยิบมวนบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้  แต่มิได้จุดไฟ

     

                    อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ  จุดประสงค์ของผมไม่ได้ต้องการให้คุณซิลวีตายเลยนะ 

     

                    ช่างมันเถอะ  ซิลวียังคงเหม่อมองเพื่อนคู่รักทั้งสองอย่างเอ็นดู  ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับร้อยเอกเอมิลที่ยังยืนอมยิ้มอย่างไม่มีเปลี่ยนแปลง  ว่าแต่  อย่าลืมข้อตกลงของเราเมื่อคืนนะคะ

     

                    ผมไม่ลืมแน่นอนครับผม  ว่าแล้วเอมิลก็นำหมวกที่เหน็บไว้ข้างแขนขึ้นมาสวม  ประเดี๋ยวผมต้องขอตัวก่อนนะครับ  ผมไม่แน่ใจว่าจะได้พบคุณซิลวีอีกครั้งก่อนเคลื่อนพลหรือเปล่า  แต่อย่างน้อยผมก็อยากอวยพรให้คุณซิลวีโชคดีมีชัย  รอดชีวิตกลับมาสนทนากันต่อนะครับ 

     

                    เอมิลก้มตัวโค้งให้ในฐานะบุรษผู้หนึ่งก่อนจะเดินจากไป  ปล่อยทิ้งให้ซิลวียืนกำหมัดแน่นอยู่คนเดียว

     

                    เมื่อผู้กองเดินลับสายตาไป  ซิลวีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก  ก่อนที่จะคีบบุหรี่ออกจากปากพลางชูมันเข้าหาแสงอาทิตย์ราวกับว่ามันจะจุดไฟบนยาสูบติด  ระหว่างนั้นเธอก็ฮัมเพลง แขวนอยู่บนรั้วลวดหนาม ที่พวกพลทหารเก่า ๆ ชอบร้องกันยามนายทหารไม่อยู่

     

                    แต่สิ่งที่ครอบครองห้วงความคิดของซิลวีนั้นไม่ใช่บุหรี่มวนที่เธอกำลังจะจุด  หรือเนื้อเพลงท่อนที่กำลังร้องว่า ฉันรู้ว่าพวกนายพลอยู่ไหน  แต่หากเป็นเรื่องของเมื่อคืนที่เธอได้เผชิญหน้ากับเอมิลบนเนินแห่งนั้น....

     

                    ..........................

                    ...............

                    .....

     

                    อยากพบบิดาของคุณไหมครับ ?

     

                    เป็นคำถามที่ดูหลุดโลกเหลือเกินสำหรับคำพูดที่หลุดออกมาเป็นคำแรก  แต่สำหรับซิลวีแล้วมันเป็นคำพูดที่เธอรออยู่พอดี  คำว่า ใช่แล้ว เอ่ยออกมาอย่างไม่ลังเล

     

                    ซึ่งเองซิลวีก็คิดไม่ผิด  ข้อเสนอของเอมิลย่อมมีข้อแลกเปลี่ยนแน่นอน ทว่า  ก่อนจะเสนอข้อแลกเปลี่ยน  สิ่งที่เอมิลทำก่อนคือร่ายยาวถึงความสำคัญของตัวป๊าในคณะปฏิวัติ  คุณซิลวีอาจจะนึกไม่ถึง  แต่บิดาของคุณเป็นคนที่มีความสำคัญกับคณะปฏิวัติมากเลยนะครับ  ท่านดำรงตำแหน่งระดับสูงขนาดที่สมาชิกพรรคระดับล่างอย่างผมไม่มีโอกาสเข้าพบได้ง่ายเลย  เพื่อทำให้เรื่องยาวสั้นลง   เอมิลอยากจะบอกกับซิลวีว่ามันยากเหลือเกินในตอนนี้ที่จะเข้าถึงตัวป๊าของซิลวีได้

     

              และด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น  นำมาสู่ผลสรุปถึงข้อตกลงที่ซิลวีเองก็นึกไม่ถึงว่าจะมาลงที่อีหรอบนี้ได้

     

                    ผมอยากได้วีรบุรุษครับ

     

              หากใครได้ยินข้อเสนออย่างนี้เป็นครั้งแรกก็ต้องพากันงงไปตาม ๆ กัน  และซิลวีเองก็เป็นคนธรรมดาที่ไม่อาจตามความคิดอันแสนยิ่งใหญ่ของเอมิลได้เลย  แม้แต่เอมิลจะแอบติดตลกต่อท้ายว่า แต่ในกรณีของคุณซิลวีคงต้องเป็นวีรสตรีเสียมากกว่านะครับ มันก็ไม่ทำให้ซิลวีเข้าใจได้ไปกว่าตอนแรกเลย  จนกระทั่ง...

     

                    ผมอยากได้ที่ตัวแทนของความดีงามที่ผู้คนจะมองเป็นตัวอย่าง  ผมอยากได้เรื่องราวของความกล้าหาญที่จะจุดประกายความหวังในยามที่ทุกอย่างดูมืดมัวไร้หนทางออก  ผมอยากได้วีรสตรีที่เป็นคบเพลิงแห่งอิสรภาพและเสรีภาพ  เป็นตัวแทนของยุคสมัยแห่งสาธารณรัฐแห่งความเที่ยงธรรม  นั่นล่ะคือสิ่งที่ผมต้องการจากคุณ...ผมอยากได้เรื่องราวของวีรสตรีที่จะเป็นความภาคภูมิใจของทั้งชาติ  และเมื่อนั้น มันก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะขัดขวางคุณซิลวีกับบิดาคุณอีกแล้ว ผมอยากจะจัดงานเลี้ยงฉลองการพบหน้าของครอบครัวอีกครั้งของมหาบุรุษของคณะปฎิวัติและวีรสตรีแห่งสาธารณรัฐ มันต้องเป็นเรื่องราวที่ตราตรึงใจคนทั้งชาติอย่างแน่นอน

     

              จากสิ่งที่เอมิลกล่าวมานั้น  มันจัดแจ้งยิ่งแล้วว่าสิ่งที่เอมิลต้องการคืออะไร

     

                    ผู้กองต้องการให้ฉัน...สู้อย่างนั้นหรือ ?  แน่นอนว่ามันมีความหมายอื่นอีกหรือของการเป็นวีรสตรีท่ามกลางสนามรบนอกเสียจากที่กล่าวมา  ซึ่งเอมิลพยักหน้าด้วยสีหน้าที่ไม่แปรเปลี่ยน

     

                    ทำไมต้องเป็นฉัน

     

                    เอมิลเพียงแค่แสยะยิ้มก่อนตอบออกไปว่า เพราะว่าเป็นคุณซิลวีอย่างไรล่ะครับ

     

                    ...............................

                    ...................

                    ......

     

                    ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะตอบตกลงกับข้อเสนอแสนพิศดารนั่น  แต่เธอไม่สนใจอะไรอีกแล้ว  ซิลวีมองพระอาทิตย์ที่ลับตาด้วยใจที่เป็นอิสระดั่งนก  ข้อสงสัยที่ค้างคาได้มลายสิ้น เหลือแต่เพียงความแน่วแน่ที่ไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งได้

     

                    เจ้าผู้กองเอมิลนั่นอาจจะวาดภาพของการพบหน้าของครอบครัวที่พลัดพลาดกันมาอย่างยาวนาน  ความซาบซึ้งสุดแสนน้ำเน่าชวนปลื้ม  เอมิลอาจจะอยากได้ยศหรือชื่อเสียงเพิ่มจากความสำเร็จนี้มันก็เป็นสิ่งที่เกินซิลวีจะคาด   แต่สำหรับซิลวีแล้วหาได้วาดภาพเช่นนั้นในหัวเลย  นับตั้งแต่หล่อนเห็นหน้าเอมิลในตอนนั้นคำตอบมันก็ชัดแจ้งหมดแล้ว

     

                    เธออยากเจอหน้าป๊า  ไม่ใช่เพราะความโหยหา  หรืออยากถามเหตุผลที่ทิ้งสองแม่ลูกไป  สิ่งที่เธออยากจะทำมีเพียงอย่างเดียว...

     

                    เธออยากจะต่อยหน้าผู้เป็นบิดาสักหมัดให้สาสมแก่ใจ

     

                    มันต้องเจ็บแน่ ๆ เลย 

     

                    เธอมองดูฝ่ามือหยาบกร้านที่ใหญ่โตไม่แพ้บุรุษใด ๆ

     

                    ฝ่ามือนี้ล่ะจะตัดขาดความอาลัยอาวรณ์ที่มีต่อป๊าในฝัน  ตัดขาดความเกลียดชังต่อแนวคิดอันไร้ค่า  และฝ่ามือนี้ล่ะที่จะไขว่คว้าอนาคตที่ไม่มีโซ่อันใดจะมาฉุดล่ามตัวหล่อนได้อีก !

     

              เสียงแตรสัญญาณบ่งบอกถึงยามเมื่อธงเขียวแห่งสาธารณรัฐถึงชักลงจากเสา  ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าแล้ว  ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหลอดไฟที่ถูกจุดสว่างขึ้นรอบทั่วทั้งค่าย

     

                    อีกสักพักจะได้เวลารวมพลแล้ว  เธอต้องรีบไปรายงานตัวกับหมวดดูบัวร์เสียก่อนจะไม่ทันการ  แต่ก่อนจะปลีกตัวออกจากโรงนา  ซิลวีก็หันไปมองหามิเกลและมารีอีกครั้ง 

     

                    มิเกล  ตอนฉันกลับมาฉันจะเสนอให้นายย้ายมาอยู่หน่วยทหารช่างแทนฉันเอง เรื่องอย่างนี้ผู้กองเอมิลคงช่วยได้อยู่แล้ว  ตอนนั้นหวังว่าพวกเธอจะไม่ต้องแยกจากกันอีกนะ  ส่วนมารีเอ๋ย... หลังจากภารกิจนี้ฉันจะเล่าทุกอย่างให้เธอฟังเอง  เพราะฉะนั้น  รอจนถึงตอนนั้นหน่อยนะ

     

                    หล่อนยิ้มให้กับอนาคตแสนสุขของทั้งสอง  ก่อนจะเดินอาบแสงสุดท้ายของวัน ลาจากไปตามเส้นทางของตน

    @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

    Edit Log 23 Jan, 2011: จบตอน  ในที่สุด !

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×