ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ใต้ฟ้าสาธารณรัฐ

    ลำดับตอนที่ #19 : Trust/Hatred ความเชื่อมั่นของแต่ล่ะคน (5)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 739
      2
      26 ม.ค. 55


    เปลวเพลิงโชติช่วงสีแดงฉานจากกองไฟแห่งการเฉลิมฉลองสุมใหญ่ ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืน ท้องฟ้าและหมู่ดาว เหมือนถูกฉาบด้วยสีเลือดจากเบื้องล่าง มีเพียงแสงสว่างจาก ดาวเวกา อัลแทร์ และเดเน็บ เท่านั้นที่ยังคงเปล่งประกาย อยู่บนฟากฟ้าอย่างเยือกเย็น ไม่ว่ากี่ร้อยกี่พันปี สัญลักษณ์แห่งฤดูร้อนทั้งสามดวงยังคงเฝ้ามองเหล่ามนุษย์ชาติบนผืนดินทำเรื่องโง่เขลาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

     

    ฆาตกรรม สงคราม การเข่นฆ่า สังหารหมู่ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ทำลายล้าง ปล้นสะดม ข่มขืน ทรมาน ทารุณกรรม ความพินาศย่อยยับ...  

     

    ดาวบนท้องฟ้าสุดท้ายแล้วก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ดูเหมือนว่าธรรมชาติของมนุษย์จะมั่นคงยิ่งเสียกว่าท้องฟ้ายามราตรีอีก      

     

    "ท่านครับ... ทำไมท่านถึงปล่อยเจ้าหมอนั่นไปล่ะครับ"

     

    "ผ่านมาเกือบอาทิตย์แล้วยังจะถามคำถามเดิมอยู่อีกเหรอ บรูโน่"

     

    "ก็ท่านไม่เคยตอบเสียทีนี่ครับ"

     

    "อย่างนั้นหรอกหรือ"

     

    ถึงจะกล่าวเช่นนั้น วิคเตอร์ก็ยังคงปิดปากมองท้องฟ้ายามค่ำที่เขาคุ้นเคยอยู่อย่างเดิม มันเป็นเวลาเกือบสัปดาห์แล้วนับตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น...

     

    ............................

    ....................

    ............

    ....

     

    เสียงปืนที่ดังสนั่นแทบจะหยุดทุกลมหายใจของทุกคน เสียงคำรามกึกก้องเริ่มซาไปแล้ว ทว่าทุกอย่างกลับเงียบกริบจนดูเหมือนจะได้ยินเสียงควันลอยมาจากปากกระบอกปืน

     

    แค่เสี้ยววินาทีนั้น กลับดูยาวนานอย่างไม่น่าเชื่อ จนหลาย ๆ คนในที่นั้นอาจนึกว่ามันจะเป็นอย่างนี้ไปตลอดกาล จนกระทั่งเมื่อหนึ่งในร่างหล่นฟุบไปกองกับพื้น เข็มนาฬิกาจึงเริ่มเดินขึ้นอีกครั้ง

     

    "อยู่ในสนามรบอย่าได้ลังเลอย่างนี้อีกนะ"

     

    วิคเตอร์ก้มกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชากับชายที่นั่งหมดแรงอยู่แทบเท้า พลทหารฟูร์เคมิได้สบตา เขาได้แต่ก้มหน้าตัวสั่นจนอดห่วงความสะอาดในกางเกงเสียมิได้ ในมือของเขาว่างเปล่า ปืนพกแสนสำคัญกลับไปอยู่ในมือของชายที่พลทหารฟูร์เคสมควรที่จะสังหารแทน

     

    มันเป็นที่แน่ชัดว่าวิคเตอร์ได้คว้าปืนสั้นไว้ก่อนที่พลทหารฟูร์เคจะเหนี่ยวไก เบี่ยงเบนทิศทางให้กระสุนวิ่งผ่านแต่ธาตุอากาศ กระนั้น ใบหน้าของวิคเตอร์ก็มีแผลรอยไหม้จาง ๆ เป็นทางยาว

     

    แทบจะในทันใดนั้นเอง บรูโน่ที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วก็รีบวิ่งเข้ามาเตะเข้าที่ชายโครงพลทหารฟูร์เคทันที รองเท้าบู๊ทหนังมันขลับส่งร่างที่ไร้เรี่ยวแรงให้ลอยไปกลิ้งเกลือกบนพื้น

     

    "ไอ้บัดซบเอ้ย จ่อปืนนายทหารอย่างนี้คิดเหรอว่าจะรอดจากตะแลงแกงนะ" บรูโน่ตะโกนด่าด้วยความหงุดหงิด แต่เขาก็ต้องหยุดความเกรี้ยวกราดไว้เมื่อเจ้านายสั่งห้ามไว้

     

    "พอได้แล้ว วันนี้มันมากพอแล้วสำหรับผม" จากนั้นวิคเตอร์ก็หันไปหาพลทหารฟูร์เคที่บรรดาผองเพื่อนต่างกำลังช่วยพยุงร่างอยู่ เขาจ้องอย่างนั้นสักครู่ก่อนจะหันไปประกาศกับทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์

     

    "เหตุการณ์ในวันนี้ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น เข้าใจกันโดยทั่วแล้วนะ"

     

    ........................

    ................

    ......

     

    "อย่าสนเรื่องที่ผ่านไปแล้วเลยบรูโน่ ดูท้องฟ้ายามค่ำครั้งสุดท้ายของฤดูร้อนดีกว่า ต้องรอตั้งปีหน้ากว่าจะได้เห็นสามเหลี่ยมฤดูร้อนชัด ๆ อย่างนี้อีก"

     

    นั่นคือคำตอบที่ทำให้บรูโน่ได้แต่ถอนหายใจยอมแพ้กับความหัวแข็งของเจ้านายตนเหลือเกิน สุดท้ายแล้วเขาก็แหงนมองดูท้องฟ้ายามค่ำตามเจ้านายตน

     

    "ผมน่ะชอบชอบดูดาวมากเลยล่ะ ทั้งที่สมัยก่อนไม่เคยชอบมันเลยแม้แต่น้อย" วิคเตอร์กล่าวขึ้นมาลอย ๆ ราวกับบ่นตามภาษาคนชรา "จำได้เลยว่าตอนเด็ก ๆ ชอบโดนท่านพ่อบังคับให้ไปนอนดูดาวด้วยกันบ่อย ๆ ผมล่ะเกลียดสุด ๆ เลย ยิ่งตอนเข้าโรงเรียนนายร้อยต้องมาท่องจำแผนที่ดวงดาวนี่..."

     

    "แล้วทำไมท่านถึงชอบมันได้ล่ะครับ ?"

     

    "จำสงครามตอนปี 89 ได้ไหม ที่ฝ่ายจักรวรรดิเปิดแนวรุกทวงดินแดนภาคเหนือคืนนะ"

     

    "จำได้สิครับ ผมเพิ่งประดับยศใหม่ ๆ เลย ตอนนั้นรบกันโหดมากเลยนี่ครับ"

     

    "ใช่แล้วล่ะ ตอนนั้นมันแย่มากเลย สถานการณ์มันสับสนไปหมด คนล่ะเรื่องกับการรบแบบผู้ดีที่ผ่านมาเลย ยิงกันหูดับตับไหม้ตะลุมบอนกันจนดูไม่ออกเลยว่าแนวรบของฝ่ายเราอยู่ตรงไหน กว่าจะรู้ตัวว่าผมอยู่กลางแนวหลังข้าศึกคนเดียวก็ตอนที่หุ่นกลผมถูกยิงซะกระจุยไปแล้วนั่นล่ะ จำได้เลยว่าตอนนั้นกลัวมาก ทุกอย่างมืดไปหมด มองไม่เห็นอะไรเลย แถมยังต้องคอยหลบหนีพวกไล่ล่าเก็บตกอีก..." วิคเตอร์หยุดหายใจสักพักก่อนจะเล่าต่อ "ความจริงแล้วจะมอบตัวมันก็ได้อยู่หรอก แต่การรบตอนนั้นมันดูคนล่ะเรื่องกับที่ผ่าน ๆ มา ผมเลยไม่แน่ใจว่าเจ้าพวกนั้นมันจะเคารพกฎของสุภาพบุรุษอยู่หรือเปล่า ผมเลยต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ เคลื่อนที่เฉพาะในตอนกลางคืน ทำอย่างนั้นอยู่สามคืนกว่าจะไปถึงแนวฝั่งเรา..."

     

    "ตั้งแต่ตอนนั้นท่านเลยชอบดูดาวอย่างนั้นหรือครับ ?"

     

    "กลุ่มดาวหมีใหญ่ หมีเล็ก ดาวเหนือ..." วิคเตอร์เริ่มลากนิ้วบนท้องฟ้า "ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนมันจะสวยได้ขนาดนั้น ไม่เคยคิดเลยว่าแสงสว่างเล็ก ๆ บนฟ้าที่ผมเกลียดนักเกลียดหนาจะนำทางให้ผมรอดปลอดภัยได้ ใช่แล้วล่ะ บรูโน่ หลังจากนั้นผมก็เริ่มสนใจมันขึ้นมา จากความสนใจก็เป็นความชอบ และสุดท้ายก็เป็นความหลงไหล เวลาผมต้องการหาคำตอบอะไร ผมก็มักจะแหงนหน้ามองดวงดาว หวังว่ามันจะช่วยนำพาผมไปพบคำตอบเหมือนกับตอนนั้น"

     

    บรูโน่นั้นแม้จะติดตามวิคเตอร์มาได้นานพอสมควร แต่นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเจ้านายตนพูดเรื่องส่วนตัวออกมามากขนาดนี้ มันยิ่งทำให้บรูโน่รู้สึกไม่สบายใจหนักเข้าไปอีก

        

    "แล้วตอนนี้ท่านกำลังหาคำตอบเรื่องอะไรอยู่ล่ะครับ"

     

    วิคเตอร์เพียงแค่ยักไหล่เบา ๆ "นั่นสิ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน..."

     

    นัยน์ตาของวิคเตอร์ที่เฝ้าเหม่อมองสามเหลี่ยมฤดูร้อนกลางฟ้าได้เลื่อนลงมามองกองเพลิงเบื้องหน้า กองฟืนบนลานดินถูกตั้งเรียงซ้อนกันเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมบัดนี้ถูกครอบคลุมโดยเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชน ราวกับมันกำลังเต้นรำไปตามสายลม เสียงเพลงบรรเลงโดยไวโอลินกับฮาโมนีก้าขับกล่อมไปพร้อมกับเสียงสรวลเสเฮฮาของเหล่าผู้คนในหน่วยยานเกราะเคลื่อนที่เร็วอิสระที่สี่ที่กำลังเฉลิมฉลองเทศกาลหว่านเมล็ดพันธุ์อย่างสนุกสนาน

     

    ผู้คนที่กำลังเต้นรำ ร้องเพลง และยิ้มหัวเราะอย่างเริงร่า วิคเตอร์ยืนบนเนินตรงเส้นแบ่งระหว่างแสงสว่างสีส้มกับความมืดมิด มองภาพเหล่านั้นด้วยสายตาแห้งผาก ไร้ซึ่งความรู้สึก...

     

    "อีกสองวันต้องไปแนวหน้าแล้ว ทั้งที่ยังเดินแถวได้ไม่พร้อมกันเลยแท้ ๆ" วิคเตอร์รำพึงออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "อยากจะรู้เสียจริงว่า หลังจากตอนนี้ไป ยังยิ้มได้อย่างอยู่อีกสักแค่ไหนกัน"

     

    "พวกเราเองก็สอนทุกอย่างเท่าที่สอนได้ไปแล้วล่ะครับ มันก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกนั้นจะเอาออกมาใช้ได้มากแค่ไหน..."

     

    "นั่นสินะ"   

     

    วิคเตอร์ยังคงจ้องมองเหล่าลูกน้องในสังกัดตนเฉลิมฉลองงานอย่างเฉยเมย กระนั้น บรูโน่กลับรู้สึกได้ว่า ภายใต้หน้ากากอันแข็งกระด้างคือใบหน้าร่ำไห้ของชายที่กำลังแตกสลาย

     

    บรูโน่รู้ดี รู้ดีเกินไปจนทำให้เขารู้สึกเจ็บแค้น ทั้งที่เจ้านายของตนเป็นคนที่เจ็บปวดที่สุด แต่เขากลับกลายเป็นเป้าหมายของความแค้นกับคำเหยียดหยามต่าง ๆ นานา อย่างตอนที่วิคเตอร์โดนปืนจ่อก็ดี เหตุที่เจ้านายตนสามารถนิ่งเฉยได้ขนาดนั้น ไม่ใช่เพราะความกล้าหาญ หรือความสงบเยือกเย็นของผู้ที่ผ่านสถานการณ์เสี่ยงภัยมานับไม่ถ้วน...

     

    วิคเตอร์อยากตาย

     

    ปืนไม่ทำให้เขากลัว เขาจะกลัวกับสิ่งที่จะพรากชีวิตเขาไปทำไมในเมื่อเขาประสงค์ที่จะจบชีวิตของตัวเอง ดังนั้นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่พลทหารผู้นั้นทำคือการที่ไม่ลั่นไกดับชีวิตเขาเสีย...

     

    "ท่านครับ คือว่า..."

     

    ทว่า ก่อนที่บรูโน่จะได้กล่าวอะไรต่อ เขาก็ถูกขัดจังหวะด้วยการมาของบุคคลหนึ่ง

     

    "อ้าว ผู้การกับผู้หมวดมาหลบอยู่ที่นี่เองหรือคะ"

     

    ผู้ที่มาปรากฏตัวตรงหน้าคือหญิงสาวรูปร่างสูงใหญ่ราวกับหมี ซิลวีนั่นเอง ถ้าหากทั้งสองไม่เคยพบเห็นสาวผู้นี้มาก่อนอาจจะนึกว่าเป็นผู้ชายอุตริแต่งตัวชุดผู้หญิงกระโปรงบานสีชมพูซะหวานแหวว ผมบลอนด์ยาวที่ถูกมัดเป็นเปีย กับเครื่องสำอางที่ปรุงแต่งก็ไม่อาจทำให้เธอดูน่ารักขึ้นได้เลย อย่าว่าแต่จะทำให้ดูสมหญิงขึ้นด้วยซ้ำ 

     

    "มีธุระอะไรอย่างนั้นหรือพลทหารอาสาหญิง" บรูโน่กล่าวขึ้นอย่างลำบากใจ

     

    "แหม่ ผู้หมวดก็... นี่มันงานเทศกาลนะคะ ไม่เห็นลงมาร่วมสนุกกับพวกหนูเลย หนูเลยคิดว่าผู้หมวดจะรังเกียจไหมถ้าจะไปเต้นคู่กันสักเพลง" ซิลวีทำเล่นหูเล่นตากับบรูโน่จนตัวบรูโน่ต้องกลืนน้ำลายรู้สึกสยองขวัญขึ้นมาอย่างประหลาด ขนาดผู้การเดเวโรว์เองยังอดหลุดหัวเราะเบา ๆ อยากมาเสียมิได้

     

    กระนั้น วิคเตอร์ก็หัวเราะไม่ได้นานนัก

     

    "อ้อ... ส่วนผู้การเองก็ไม่ต้องน้อยใจไปหรอกนะคะ หนูพาเพื่อนอีกคนมาด้วย" ว่าแล้วเธอก็หันไปหากับเพื่อนอีกคนที่ถูกร่างกายมหึมาของหล่อนปิดบังไว้เสียมิด "เอ้า มารี จะมัวแต่หลบอยู่หลังฉันนานแค่ไหนล่ะ"

     

                    มารีที่หลบอยู่เบื้องหลังเพื่อนหญิงตัวดีก็ถูกดันขึ้นมาเบื้องหน้า...

     

    แสงเพลิงจากกองไฟเบื้องหลังย้อมผมยาวสยายที่ปรกติเป็นสีแดงอยู่แล้วแล้วให้ดูลุกโชติช่วง เรือนร่างของอิสตรีเต็มวัยในชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีน้ำตาลขาวถูกฉาบด้วยเส้นแบ่งระหว่างแสงสว่างกับเงามืด ทำให้ดูราวกับเธอเป็นนกฟีนิกซ์ที่เพิ่งฟื้นชีพจากกองเพลิง จากนั้น ใบหน้าขาวนวลที่แต้มด้วยเลือดฝาดก็ค่อย ๆ เผยโฉมความงามออกมาภายใต้แสงเพลิงอันอบอุ่น

     

    "เอ้า เพื่อนของหนู มารี จะกล่าวอะไรกับผู้การหน่อยนะค่ะ" ซิลวีดันหลังเพื่อนซี้ของหล่อนที่ยังดูลังเลให้ไปเผชิญหน้ากับผู้การ

     

    "เอ่อ คือว่า..."

     

    ไม่ว่าจะเพราะความเขินอาย ความยำเกรงในยศบรรดาศักดิ์ หรือความเย็นชาของผู้การ ดูเหมือนว่ามารีต้องรวบรวมความกล้าสักพักใหญ่กว่าจะยื่นดอกเดซี่สีขาวให้

     

    "ถ้าผู้การไม่รังเกียจ กรุณาเต้นรำคู่กับดิฉันด้วยค่ะ"

     

    ..........................................

    .................................

    ....................

    ........

     

     เสียงไวโอลินและฮาโมนิก้าที่ต่างบรรเลงเพลงเผ็ดร้อนเมื่อสักครู่ค่อย ๆ ผ่อนคลายลงไปเป็นท่วงทำนองช้า ๆ ราวกับสายน้ำไหลรินอย่างสงบ พื้นที่รอบกองเพลิงที่เคยพลุกพล่านไปด้วยชายฉกรรจ์ก็ต้องหลีกทางให้กับคู่ชายหญิงที่มีเพียงไม่กี่คู่ ถึงจะได้เหล่าสาวนางอาสาสมัครจากกาชาดมาร่วมงานเทศกาลด้วยจำนวนหนึ่ง แต่จนแล้วจนรอดชายหนุ่มมากกว่าสามในสี่ก็ต้องถอยร่นไปหลบริมลาน นั่งกัดฟันมองเจ้าพวกคู่เต้นบนลานด้วยความหมั่นไส้...

     

    แน่นอนว่า คนที่นั่งกัดเล็บด้วยความเจ็บแค้นมากที่สุดคงหนีไม่พ้นมิเกล ผู้ที่ต้องนั่งบนขอนไม้ข้างลานอย่างเดียวดาย จ้องมองมารี หญิงสาวที่ตนหมายปองเต้นรำคู่กับชายผู้อื่นอยู่อย่างไม่มีทางทำอะไรได้

     

    ท่ามกลางแสงสว่างอันอบอุ่นจากกองไฟข้างเคียง ชายวัยกลางคนดูเคร่งขรึมกับหญิงสาววัยสะพรั่งต่างกุมมือโอบเอว เต้นไปตามเสียงเพลงพร้อม ๆ กับคู่เต้นคู่อื่น เหมือนกับชายหนุ่มคนอื่นบนลาน ที่กระเป๋าหน้าอกด้านซ้ายของเครื่องแบบสีน้ำเงินของผู้การมีดอกเดซี่เล็ก ๆ สีขาวทัดไว้ เป็นสัญลักษณ์ของการเชิญจากหญิงสาว  กระนั้น  แม้มิเกลอาจจะเป็นเหมือนหมาหวงก้างกับชายทุกคนที่เข้าใกล้มารี แต่จากสายตาคนอื่นโดนรอบแล้วดูสองคนนี้ไม่ต่างอะไรจากพ่อกับลูกเลย

     

    ตั้งแต่เริ่มเต้นมา ทั้งสองยังมิได้พูดคุยกันเลยสักคำ อย่าว่าแต่จะสบสายตาเลย ดูเหมือนว่าแม่หนูผู้นี้จะหวั่นเกรงท่าทางอันเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลาเสียจนได้แต่ก้มหน้าก้มตาเต้นรำไปอย่างกระอักกระอ่วน

     

    วิคเตอร์ไม่อยากเชื่อเลยว่าสาธารณรัฐจะย่ำแย่ถึงขนาดต้องเกณฑ์หญิงสาวเช่นเธอมาร่วมรบด้วย การเต้นรำกับหญิงสาวน่ารักอย่างนี้ควรจะทำให้ใจชายเยี่ยงเขาพองโตด้วยความสุข ทว่า ในตอนนี้วิคเตอร์กลับไร้ซึ่งความรู้สึกหรรษาใด ๆ ทั้งนั้น

     

    ถึงจะนึกคิดออกมาเช่นนั้น วิคเตอร์ก็มิอาจปฏิเสธได้ว่า มือข้างเล็ก ๆ ที่เขากำลังประคองอยู่นั้นมันช่างอบอุ่นเหลือเกิน เขาไม่เคยรู้สึกถึงความอบอุ่นอันอ่อนโยนอย่างนี้มานานแค่ไหนแล้ว จะนั่งข้างเตาผิง หรือยืนอยู่ข้างกองเพลิงเยี่ยงนี้ก็มิอาจทำให้ความหนาวเหน็บในห้วงจิตใจอบอุ่นขึ้นมาได้เลย

     

    "เอ่อ... ผู้การคะ คือว่า..." ในที่สุด ริมฝีปากเรียวบางที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงอ่อน ๆ ก็เอ่ยปากออกมา ใบหน้าอ่อนเยาว์ของหล่อนยังจ้องมองลงพื้น แต่มันก็ไม่อาจหลบซ่อนกระแสเลือดฝาดบาง ๆ บนแก้มได้ "ผู้การเคยบอกว่าให้ลืมเรื่องในนั้นไปเสีย... ดิฉันก็ยังอยากจะบอกว่า ถึงคนอื่นจะว่าผู้การเสีย ๆ หาย ๆ อย่างไร แต่ดิฉันก็เชื่อมั่นในตัวผู้การนะคะ ไม่สิ ทุกคนในหน่วยต่างเชื่อมั่นในตัวผู้การนะคะ เพราะฉะนั้นแล้ว..."

     

    คำพูดของมารีมันเสียบแทงเข้าไปในใจเขาราวกับโดนมีดกรีด เขายังจำได้ถึงใบหน้าอันมีชีวิตชีวาของเหล่าลูกน้องใต้สังกัดในกองร้อยเก่า กับคำพูดอย่างนั้นได้ดี

     

    ใบหน้าและคำพูดที่จมหายไปในเศษซากของกองดิน เศษเนื้อ และมูลโคลนเน่าเหม็น

     

    "ไม่ต้องพูดต่อแล้วล่ะครับ"

     

    คำพูดของวิคเตอร์กล่าวออกมาหยุดคำพูดของมารีไว้แต่เพียงเท่านั้น ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันต่ออีกจนจบเพลง มือทั้งสองข้างที่กุมอยู่ก็ค่อย ๆ คลายออก วิคเตอร์คิดว่าเด็กสาวผู้นี้คงจะไม่พูดอะไรต่อ แต่ทว่าเขาก็ต้องคิดผิด ใบหน้าของมารีกลับเงยขึ้นมาจับจ้องกับผู้การตรง ๆ เป็นครั้งแรก

     

    "เมื่อสักครู่ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะ ถ้าดิฉันพูดอะไรไม่เหมาะสมออกไป แต่อย่างน้อย..." เธอหยุดพูดประหนึ่งรวบรวมคำพูดที่ตั้งใจจะกล่าว "ดิฉันก็ต้องขอขอบคุณท่านผู้การจากใจจริงเลยนะคะ ถ้าผู้การไม่มาช่วยในตอนนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกดิฉันจะ..."

     

    ทันใดนั้น มารีก็หยุดพูดเสียแค่นั้น วิคเตอร์ไม่รู้หรอกว่ามารีเห็นอะไรในตัวเขา แต่มันก็พอที่จะทำให้หล่อนมีสีหน้าแปลกใจจนพูดไม่ออก

     

    "มีอะไรอย่างนั้นหรือครับ ?" วิคเตอร์ถาม

     

    "ป... เปล่าหรอกค่ะ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ด... เดี๋ยวดิฉันต้องขอตัวก่อนนะคะ"  

     

    "ครับผม เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาศเต้นคู่กับคุณนะครับ" วิคเตอร์กล่าวอย่างนอบน้อมตามอย่างที่สุภาพบุรุษพึงจะมีให้กับสุภาพสตรีคู่เต้น มารีทำตัวไม่ถูกกับการที่หัวหน้าให้เกียรติเจ้าหล่อนถึงขนาดนี้ หล่อนจึงได้แต่ก้มหัวอย่างเงิก ๆ งั่ก ๆ ก่อนจะปลีกตัวไปหาซิลวีที่อยู่ไม่ห่าง สวนทางกับบรูโน่ที่เดินมาหาเจ้านายตัวเองด้วยสีหน้าดูอิดโรยราวกับเพิ่งโดนสูบวิญญาณไปอย่างนั้น กระนั้น เขาก็ต้องทำท่าประหลาดใจเมื่อได้เห็นใบหน้าของวิคเตอร์

     

    "ท่านครับ ตาท่าน..."

     

    มันเป็นครั้งแรกที่วิคเตอร์ได้รู้สึกถึงความรู้สึกชุ่มชื้นอุ่น ๆ บนนัยน์ตาของเขา เขารีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมันเสีย

     

    "เอ่อ... ท่าน"

     

    "มีอะไรอย่างนั้นหรือ บรูโน่" วิคเตอร์หันหน้าไปถามบรูโน่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บรูโน่จึงทำได้แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน

     

    ขอบคุณอย่างนั้นหรือ...

     

    ไม่มีใครกล่าวคำนี้กับเขามานานแค่ไหนกัน เขามองแผ่นหลังบาง ๆ ของหญิงสาวที่กำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานกับเพื่อนสาวของหล่อน ก่อนจะมองดูผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนรอยชื้นจาง ๆ นั่น

     

    ไร้สาระน่า สุดท้ายแล้วเดี๋ยวมันก็ลงเอยเหมือนเดิมอยู่ดี

     

    วิคเตอร์เก็บมันใส่กระเป๋าไปตามเดิมอย่างไม่ใส่ใจ ทว่า  ถึงจะบอกว่าไม่ได้ใส่ใจอะไร คืนนั้นเขาก็มิได้แหงนมองดูดาวอีกเลย 

    @@@@@@@@@@@@@@@@@

    Edit Log: Oct 10th, 2009: จบตอน...
    Edit Log: Oct 11th, 2009: แก้สำนวนนิดหน่อย ให้การสนับสนุนโดยบล็อคโคลี่จุ่มหมึก
    Edi Log: Oct 12 th, 2009: แก้สำนวนเล็กน้อย

    Edit Log; Jan 22th, 2010: เติมรายละเอียดเรื่องดอกไม้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×