คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #30 : ผจญกับขี้นก! เสี่ยงตายกับอาหารทุกมื้อ! นี่ล่ะหน้าที่ของคุณเมดผู้กล้า
แสงทองของยามเช้าแยงผ่านช่องว่างของม่าน สะกิดให้นัยน์ตาที่จมดิ่งในห้วงนิทราต้องตื่นขึ้นมา...
ประสาทรับรู้ที่ยังคงหนักอึ้งค่อย ๆ รู้สึกถึงเสียงนกน้อยร้องเจื้อยจ้อยขับขานต้อนรับรุ่งอรุณวันใหม่ เป็นสัญญาณบอกว่าได้เวลาต้องลาจากที่นอนแสนอุ่นสบายนี้เสียแล้ว
เพื่อปลุกห้วงคะนึงที่ยังอาลัยต่อหมอนนุ่มเหล่านี้ ชาอัสสัมพร้อมครัวซองหอมกรุ่น เสิร์ฟโดยเมดสาวที่เข้ามาพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวาน และคำทักทายด้วยความนอบน้อมว่า “อรุณสวัสดิ์ค่ะนายท่าน” ย่อมทำให้จิตใจอันเซื่องซึมพลันกระจ่างชัด ราวกับตะกอนที่เริ่มร่วงหล่นไปนอนก้นยามเมื่อหย่อนสารส้มลงไป เหลือแต่เพียงน้ำ ใสไร้สิ่งเจือปน
จากนั้นม่านและหน้าต่างจะถูกเปิดออก ปล่อยให้แสงแดดอุ่น และสายลมเย็นพัดกลิ่นดอกลิลลี่ป่าจาง ๆ ชำระล้างคราบแห่งความง่วงที่หลงเหลืออยู่จากยามราตรีเป็นขั้นสุดท้าย
ดูแล้วเป็นยามเช้าที่น่ารื่นรมณ์เสียจริง —
นุ่มนวล หรูหรา สะดวกสบาย ไม่รีบเร่ง —
จะมีสักกี่คนที่ได้รับอภิสิทธิ์แสนสุขเช่นนี้หนอ
สำหรับนักศึกษาแห่งวิทยาลัยโซเฟียนั้น มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกเช้าจนเป็นเรื่องปรกติไปเสียแล้ว เหล่าลูกหลานเจ้าขุนมูลนายเคยชินอยู่กับสิทธิและเกียรติที่เหนือกว่าคนอื่นทำให้เรื่องพวกนี้ดูเหมือนจะเป็นของตายขั้นพื้นฐาน เป็นเรื่องโดยธรรมชาติที่ควรจะได้รับ
แต่เพื่อความสุขสบายของคนหนึ่งคน จะต้องมีอีกสักกี่คนที่ต้องเหนื่อยยาก
...................
............
....
“ขัดมันเข้าไปจนกว่าพื้นจะเงาจนเห็นก้นอ้วน ๆ ขี้เกียจของพวกแก !”
เสียงดุของคุณป้าหน้าย่นที่จิกกัดเหล่าลูกเจี๊ยบมานักต่อนักดังขึ้นอย่างไม่ขาด แม้ยามเช้าฟ้าสางจะยังมืดสลัว แต่เหล่าสาวใช้ต่างขยับตัวขึ้นลงตามเสียงบ่นที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียที พวกหล่อนจึงได้แต่นึกว่ามันคงจะดีกว่านี้ไม่น้อยถ้าคุณป้าที่เคารพจะขยับมือให้มากเท่ากับที่ปากกำลังขยับอยู่ในตอนนี้
“อย่ามัวแต่เหม่อสิยะ วิทยาลัยไม่ได้จ้างพวกเธอให้เดินเล่นลอยชายหรอกนะ”
ว่าแล้วแม่นางก็เดินสะบัดชายกระโปรงบ่นกับตัวเองโดยการป่าวประกาศว่าทำไมมันเหนื่อยนักเหนื่อหนาราวกับเจ้าหล่อนทำงานหนักเหลือเกิน
“เฮ้อ...”
เตเต้ที่กำไม้ม็อบแน่นได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เหม่อมองเหล่าะสหายร่วมชะตาประมาณร่วมแปดชีวิตที่กำลังยืนขัดขี้นกอย่างซังกะตายบนลานกว้างที่ขนาบข้างด้วยอาคารปราสาทสีขาวนวล พวกเธอล้วนเป็นเด็กผิวสีไม่ว่าจะผิวคล้ำมากหรือจะดำมืดกลืนไปกับท้องฟ้ายามค่ำเลยก็ตาม
เตเต้เข้าใจเป็นอย่างดีว่าพวกเธอถูกโยนขี้ให้มาทำงานที่พวกชาวผิวขาวไม่อยากทำเสียเท่าไร
องค์หญิงน้อยมองลานที่ตนมีส่วนร่วมในการทำให้สะอาดได้ถึงขนาดนี้ แน่นอนว่าจะให้สะอาดจนสะท้อนเห็นก้นก็คงเป็นไปได้ยาก แต่ถ้าเทียบกับเมื่อเช้าที่เต็มไปด้วยคราบสีขาวเป็นปืด ๆ เต็มลานแล้วสภาพในตอนนี้ดูดีกว่าเยอะ อย่างน้อยลวดลายดาวเหนืออันเป็นที่เลื่องลือของลานกว้างใจกลางวิทยาลัยก็ได้อวดโฉมมันเสียที
พูดมาถึงขนาดนี้แล้วก็อดกล่าวถึงตัวการเบื้องหลังความสกปรกนี้เสียไม่ได้ ตัวอาคารที่อยู่โดยรอบทำให้ไม่สามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ยามรุ่งเช้า แต่อย่างน้อยเตเต้ก็มั่นใจว่าคุณพระอาทิตย์คงต้องโผล่หัวเหม่ง ๆ นั่นขึ้นมาที่ไหนสักแห่งเป็นแน่ เพราะเมื่อเงยหน้าขึ้นไปจะเห็นเงาทะมึนนับสิบนับร้อยยืนเรียงตัดกับแสงสลัวบนหลังคาอาคารเคียงคู่รูปปั้นนางฟ้าประทานพร
ใช่แล้ว มันคือฝูงอีกาอันเลื่องชื่อของวิทยาลัยโซเฟียนั่นเอง
ตาสีดำขลับไร้ความรู้สึกของมันจ้องมองยังหญิงสาวเบื้องล่างราวกับยมทูตที่เฝ้ามองชีวิตของมนุษย์ที่หดสั้นไปกับทุกลมหายใจ ขนสีดำขลับของมันยิ่งเสริมภาพลักษณ์อันชั่วช้าหนักขึ้นไปอีก ถึงกระนั้นรูปร่างภายนอกก็มิอาจเทียบได้กับความร้ายกาจที่แท้จริงของพวกมัน จงอยปากดำเรียวยาวของพวกมันสังหารคุณเต่าผู้น่าสงสารมานับไม่ถ้วน ครั้งหนึ่งเตเต้เคยเห็นเจ้าอีกาตัวแสบพวกนี้จับคุณเต่าพลิกหงายท้องแล้วรุมทึ้งเข้ามาตามช่องว่างของกระดองอย่างไม่ปราณี หล่อนพยายามจะไล่มันไปแต่มันก็สายไปเสียแล้ว... คุณเต่าน้อยเหลือแต่เพียงกระดองเปล่า ๆ ที่ข้างในกลวงโบ๋เบ๋
เจ้าอีกาตัวแสบพวกนี้ถือเป็นหนึ่งในเรื่องลึกลับประจำวิทยาลัยโซเฟีย นครรัฐแห่งอาณาจักรพ่อค้าอันมั่งคั่งก็กว้างขวางอยู่หรอก แต่ด้วยเหตุอันใดมิทราบ มีเพียงที่นี้ที่เดียวที่อีกาพวกนี้ปักหลักตั้งป้อมอยู่กันอย่างไม่เกรงใจ เท่านั้นยังไม่พอ อีกาพวกนี้ยังไม่ค่อยจะเกรงกลัวมนุษย์เสียเท่าไหร่ แถมยังดุร้ายไล่จิกสัตว์เล็กสัตว์น้อยไปทั่ว มีอยู่ครั้งหนึ่งเจ้าพวกอีกาเหิมเกริมหนักถึงขนาดไปรุมจิกเหยี่ยวตัวโปรดของ เจ้าชายต่างแดนองค์หนึ่งจนเกือบหวิดเป็นเรื่องระหว่างอาณาจักรไป แม้จะมีความพยายามขับไล่มันไปเท่าไหร่ เจ้าพวกอีกาจะยังหวนกลับมาเหมือนเดิม ขนาดมีการประกาศให้เอาซากอีกามาแลกเงินก็แล้ว มันก็รังแต่จะยกพวกมาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งทางวิทยาลัยจะไม่มีปัญญาจ่ายรางวัลให้...
การสู้รบระหว่างมนุษย์กับอีกาจบลงด้วยความสำเร็จเพียงแค่การไล่พวกมันให้พ้น ๆ จากอาคารหอพักของนักศึกษาเท่านั้น จากนั้นเป็นต้นมาอาคารส่วนของคนรับใช้จึงกลายแหล่งชุมนุมของอีกาไปโดยปริยาย
ระหว่างที่เตเต้กำลังเผลอเหม่อมองเหล่านกกาอยู่ ก้อนของเหลวสีขาวปนเหลืองก็ร่วงหล่นลงมาดัง “แปะ” ตรงที่ยืนอยู่พอดี ยังเป็นโชคดีขององค์หญิงหัวฟูที่หลบได้อย่างฉิวเฉียด กระนั้นพื้นสะอาดที่เพิ่งทำความสะอาดไปได้ไม่เท่าไรต้องมีอันแปดเปื้อนไปอีกครา
เตเต้แหงนมองฝูงอีกาด้วยความหงุดหงิดถึงที่สุด ตอนที่เตเต้หลบพ้นมันยังอุตส่าห์มีตัวกรีดร้องออกมาราวกับผิดหวังอย่างสุดซึ้งที่ทิ้งมูลลงมาไม่โดน ดูเหมือนว่าตรงที่ยืนอยู่จะเป็นส่วนที่เสี่ยงต่อโดนนกหย่อนระเบิดมากที่สุด มิน่าทำไมจึงมีแต่หล่อนยืนอยู่แถวนี้คนเดียว
และเพื่อไม่ให้โชคร้ายองค์หญิงน้อยต้องขาดช่วง คุณป้าผู้แสนขยันก็ไม่พลาดที่จะทำหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวของเธอ
“นี่ ยายหัวหยิกตรงนั้นนะ อย่ามัวแต่เหม่อ... อะไรกันนี่ ขัดอีท่าไหนของเธอนะ ปล่อยให้ยังมีคราบเหลืออยู่ตั้งเยอะ”
เธอเดินตรงปรี่เข้ามาอย่างไม่รอช้า ราวกับหมีที่วิ่งพุ่งเข้าหารังผึ้งแสนหอมหวาน ใช่แล้ว... สำหรับคุณป้าที่อายุปูนนี้แต่ยังย่ำที่อยู่กับการเป็นแค่สาวใช้ต๊อกต๋อยที่มักถูกโยนให้ไปทำงานอื่นที่ชาวบ้านไม่อยากทำนั้น การได้ดุด่าวางอำนาจเหนือเหล่าลูกเจี๊ยบฝึกงานดูจะเป็นความสุขเล็กน้อยไว้คอยรักษาสุขภาพจิตของหล่อนไว้
“เอ่อ แต่ว่าเมื่อสักครู่...”
“ไม่ต้องมาแต่เลย ให้ตายสิ เธอนี่เด็กใหม่ใช่ไหม มิน่าถึงว่าทำไมไม่คุ้นหน้า” ว่าแล้วเธอก็แย่งไม้ม็อบมาจากมือของเตเต้ “ดูตัวอย่างที่ฉันทำให้ดี ๆ แล้วจำเอาไว้ให้ขึ้นใจเลยนะ ก่อนอื่นมันต้องราดน้ำก่อน เห็นไหม แล้วค่อย ๆ ขัดอย่างนี้ ออกแรกด้วย อย่ามัวแต่สำออย”
“เอ่อ คือตรงนั้นนะ” เตเต้มองคุณป้าอย่างไม่สบายใจนัก โดยเฉพาะกับบริเวณที่คุณป้ายืนอยู่
“บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้ดูฉัน —”
ยังไม่ทันจบประโยค ของเหลวเหนียวสีขาวปนมูลสีดำก็หล่นใส่กลางหน้าผากเถิก ๆ ของคุณป้าตรงเป้าเผง เจ้ากาบนหลังคาก็ต่างสงเสียงเจี้ยวจ้าวราวกับแฟนกีฬาที่ลุกฮือกระดี๊กระด๊าเวลาทีมที่ตัวเองทำคะแนนจากอีกฝ่ายได้ ส่วนสีหน้าของคุณป้าหรือ... คงเหมือนกับแฟนกีฬาอีกฝ่ายที่ทำแต้มล่ะกระมัง
..............................
.....................
.............
.....
“สิ่งที่เธอต้องทำมีอย่างเดียวคือติดตามรับใช้เจ้านายของเธอ งานจิปาถะพวกนั้นนะไม่ใช่หน้าที่ของเธอ จำเอาไว้ด้วยล่ะ ทีหลังจะได้ไม่ต้องให้ฉันเที่ยวหาตัวเธออีก”
รุ่นพี่แครอลกล่าวกับเตเต้เป็นรอบที่เท่าไรก็มิทราบนับตั้งแต่เธอไปฉกตัวองค์หญิงน้อยมาจากการขัดลานขี้นกนั่น แต่ก็เพราะรุ่นพี่แครอลนี่ล่ะที่ช่วยให้เตเต้รอดก่อนจะเป็นเหยื่อบันดาลโทสะของคุณป้าคนนั้นไป
กระนั้นเตเต้ก็ต้องเผชิญกับความหงุดหงิดของรุ่นพี่แครอลแทน ในมือของหล่อนยังมีแท่งไม้เปล่า ๆ กับขนนกหลากสีติดตามเสื้อผ้า เป็นเพราะเธอตามหาเตเต้ไม่พบ รุ่นพี่แครอลจึงต้องไปแขวนกรงนกริมหน้าต่างคนเดียว
“ให้ตายสิ ฉันอยากเอาไม้นี่ไปฟาดเจ้าพวกที่ออกความคิดงี่เง่าให้เอานกไปแขวนริมหน้าต่าง เพื่อเวลาพวกท่านตื่นจะได้ยินเสียงนกต้อนรับยามเช้าเสียเหลือเกิน”
คำพูดของรุ่นพี่แครอลคงพอจะอธิบายทุกสิ่งให้เตเต้ได้ทราบทั้งหมด
ระหว่างที่รอกาน้ำเดือดนั้น รุ่นพี่แครอลก็เริ่มเอาซองจดหมายสามสี่ฉบับมายื่นให้กับเตเต้ มันเป็นกระดาษเนื้อดีที่ถูกพับและผนึกครั่งสีแดงฉาดไว้อย่างปราณีต
“นี่เป็นจดหมายเชิญไปงานเลี้ยงทั้งสัปดาห์นี้ขององค์ชาย แล้วถ้าว่าอย่างไรเดี๋ยวฉันจะไปช่วยเธออ่านให้...”
“ท่านเคาท์วีเล็คคินี่ โดมเบนิโต หัวหน้าตระกูลราโมส มาดามแซงค์รี แห่งคฤหาสน์กุลาบ จดหมายเชิญของทางวิทยาลัย เท่านี้ใช่ไหม ?”
รุ่นพี่แครอลมองหน้าด้วยความแปลกใจเล็กน้อยหลังจากได้ยินลูกเจี๊ยบฝึกหัดไล่ทวนหน้าซองจดหมายอย่างไม่มีติดขัด มันค่อนข้างเหนือความคาดหมายเล็กน้อยที่เตเต้สามารถอ่านหนังสือออกได้เช่นนี้
“ถ้าเช่นนั้นเธอก็คงไม่มีปัญหาที่จะแจ้งให้ท่านทราบนะ โดยเฉพาะจดหมายของทางวิทยาลัย ขอให้เน้นย้ำกับพระองค์เป็นพิเศษ เพราะมันเกี่ยวกับพิธีปฐมนิเทศเปิดการภาคการเรียนของปีนี้นะ รายละเอียดแจ้งไว้ในนั้นแล้ว แล้วรายงานคำตอบขององค์ชายให้ฉันตอนเย็นด้วยล่ะ”
เตเต้อ่านจดหมายฉบับนั้นด้วยความรู้สึกค่อนข้างจะสับสน ในความเป็นจริงนั้นหล่อนจะต้องเป็นผู้เตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมงานวันเปิดภาค ย่างก้าวเฉิดฉายกลางห้องบอลรูมที่ผนังเป็นสีทองตกแต่งศิลปะรูปแบบโรโคโค่ กองทหารเกียรติยศตั้งแถวรอรับขนาบข้างพร้อมผู้ขานพระนามเต็มก้องกังวาลไปทั่ว เหล่ารูปปั้นทวยเทพต่างจดจ้องการปรากฏกายขององค์หญิงผู้เลอโฉม ฉลองพระองค์ทรงเครื่องอิสริยาภรณ์ชั้นสูงของราชอาณาจักรนั้นสะกดสายตาของทุกคนให้ต้องก้มถวายความเคารพ เบื้องหลังชายกระโปรงกรุยกรายที่เดินตามอย่างนอบน้อมไม่ห่างคือซีเรียผู้สวมชุดผู้ติดตามที่ไม่เพียงแค่เน้นความงดงามของเธอ แต่ยังได้ส่งเสริมบารมีของผู้เป็นเจ้านายเหนือหัวอีกด้วย และตรงสุดปลายแถวอิสริยยศนั้นมีอัศวินหนุ่มรูปงามยิ่งกว่ารูปปั้นเทพบุตรแห่งสวรรค์ ผู้ที่เส้นผมราวไหมทองเปล่งประกายเสียยิ่งกว่าท้องพระโรงทองคำแห่งจักรวรรดิกลางอันเกรียงไกร สวมชุดสีขาวขลิบลวดลายสีทอง ยืนรอคอยการมาของพระองค์ พระองค์จะทรงยื่นพระหัตถ์ให้ และอัศวินหนุ่มจะค่อย ๆ บรรจงจุมพิตที่มือ ก่อนจะประคององค์หญิงน้อยไปสู่ลานพิธี....
ทันใดนั้นเอง แรงกระแทกหนัก ๆ ก็กระทบเข้ากลางหน้าผาก ปลุกให้เตเต้ตื่นจากพระสุบินยามเช้าอันแสนหอมหวาน
“ฟังที่ฉันพูดรึเปล่าเนี่ย !”
เตเต้ส่ายหัว ซึ่งรางวัลที่ได้รบแด่ความสัตย์ซื่อคือฝ่ามือที่ตบลงมาอีกหนึ่งฉาด
“ให้ตายสิ อย่าคิดว่าแค่เจ้าชายถูกใจแล้วจะทำอะไรก็ได้นะ” รุ่นพี่ตะคอกใส่ด้วยความหงุดหงิด “ดูวิธีการชงชาของฉันให้ดี ๆ ล่ะ เพราะอีกหน่อยเธอจะต้องเป็นคนทำเองทั้งหมด”
ว่าแล้วรุ่นพี่แครอลก็เริ่มการชงชาพร้อมอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด ซึ่งแน่นอนว่าเตเต้ไม่มีทางจดจำวิธีการและหลักการอันละเอียดอ่อนของการชงชาพิลึกนี่ได้ด้วยระยะเวลาอันสั้น จนกระทั่งสักพักเมื่อชาดูเหมือนจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว รุ่นพี่แครอลจึงรินส่วนหนึ่งของน้ำชาใส่แก้วเล็กเท่าฝ่ามือ แล้วจึงยื่นให้เตเต้
“เอ้า ลองดื่มดูสิ”
องค์หญิงทรงรับแก้วนั้นมาอย่างงง ๆ สงสัยว่าจะให้ชิมรสชาติของน้ำชาล่ะกระมัง พระองค์จึงดื่มมันภายในอึกเดียว
“รู้สึกอย่างไรบ้างล่ะ”
องค์หญิงทำหน้าเหยเกเล็กน้อย แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่าพระองค์โปรดปรานเจ้าน้ำชานี่มากสักแค่ไหน พระองค์ได้แต่ฝืนกล้ำกลืนพยักหน้าเป็นนัยว่าทุกอย่างเรียบร้อย
“ไม่รู้สึกชาที่ปลายลิ้น แสบ ๆ คัน ๆ หรือคลื่นไส้อาเจียนนะ ?”
องค์หญิงทรงส่ายหน้า
“งั้นก็ดี เอาแก้วนั่นติดตัวไปด้วย ประเดี๋ยวเธอต้องใช้มันชิมต่อหน้าองค์ชายอีกที อย่าลืมว่าก่อนองค์ชายจะเสวยอะไรเธอจะต้องเป็นคนชิมมันก่อนเสมอ เข้าใจนะ”
“ทำไมต้องชิมก่อนด้วยล่ะ ?”
“ก็ถ้าเกิดมีใครคิดจะวางยาพิษองค์ชายเธอจะได้โดนก่อนไง อย่างว่า ชีวิตของท่านมีค่ามากกว่าคนรับใช้อย่างเรา ๆ อยู่แล้วนี่ เห็นว่ามันช่วยให้พวกนักเรียนรุ่นก่อนรอดชีวิตมาหลายครั้งเลยล่ะ แต่อย่าถามถึงชะตาของคนชิมเลย เธอคงไม่อยากฟังนักหรอก” รุ่นพี่แครอลตอบอย่างไม่ค่อยจะใส่ใจนัก ปล่อยให้องค์หญิงน้อยกลืนเสมหะข้น ๆ ลงไปอย่างเสียวใส้ “แต่มันก็มีข้อดีเหมือนกันนะ อย่างน้อยพวกเราก็มีโอกาสได้ชิมอาหารอร่อยระดับเดียวกับเจ้านายเชียว” ว่าแล้วรุ่นพี่ผู้แสนดีก็หั่นขนมปังครัวซองค์ออกมาก่อนจะยื่นให้องค์หญิง
“คราวนี้ก็ตาของขนมปังครัวซองค์ เอ้า อ้าปากหน่อยสิ”
................................
.....................
............
....
“เอาล่ะ ต่อจากนี้ก็เป็นงานของเธอแล้ว จำสิ่งที่ฉันบอกไว้ในตอนแรกได้ใช่ไหม”
“อ่อนน้อม และสง่างาม ใช่ไหมคะ”
“จำแล้วก็ทำให้ได้ด้วยก็แล้วกัน อย่าให้เสียชื่อแม่บ้านแห่งวิทยาลัยโซเฟียล่ะ”
รุ่นพี่แครอลทวนองค์หญิงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปล่อยให้เตเต้จัดการงานด้วยตัวเอง เมื่อมั่นใจว่าไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดรุ่นพี่แครอลก็จึงเดินจากไป ทว่ารุ่นพี่เจ้าเนื้อพลันฉุกคิดบางอย่างออกมาได้
“จริงสิ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงเธอนัก ก็ช่วนกล่อมให้องค์ชายท่านลงมาเสวยอาหารเย็นร่วมโต๊ะกับท่านอื่นด้วยล่ะ ท่านไม่ได้มาร่วมหลายวันแล้ว”
“รุ่นพี่ว่าอะไรนะคะ ?”
“ก็อย่างที่ได้ยินล่ะ ฝากด้วยก็แล้วกัน อาหารที่พวกห้องครัวตั้งใจทำวางโดยไม่มีคนกินมานานแล้ว ประเดี๋ยวพวกนั้นจะได้อ้วนจากอาหารเหลือพอดีหรอก”
รุ่นพี่แครอลโบกมือไล่องค์หญิงไปพลางสะบัดหน้าเดินจากไป เสียงรองเท้ากระทบพื้นจางหาย เหลือแต่องค์หญิงกับถาดน้ำชาเงินที่ยืนอยู่ต่อหน้าประตูบานใหญ่อันน่าเกรงขาม ภาพความทรงจำครั้นเมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าประตูบานนี้เป็นครั้งแรกยังคงตรงตรึง แน่นในความทรงจำ... มันเป็นเรื่องแน่นอนที่เตเต้จะจำได้ดี ก็เรื่องมันเพิ่งเกิดขึ้นไปเมื่อวานเองนี่นา
นี่ต้องเจอกับเจ้าชายเพี้ยนนั่นอีกแล้วหรือ... นึกถึงเรื่องเมื่อวานทีไร ถึงแม้เจ้าตัวจะบอกเช่นนั้นแล้วก็เถิด แต่จะให้วางใจก็ใช่ที่...
เตเต้สูดลมหายใจดังเฮือก.... ไม่มีประโยชน์ที่จะมากังวลกับเรื่องในอนาคตที่เราไม่รู้ ว่าแล้วหล่อนก็เคาะประตู
“อาหารเช้าเจ้าค่ะ”
“เข้ามาเลย”
เสียงตะโกนเชื้อเชิญจากเบื้องหลังประตูบ่งบอกว่าองค์ชายนั้นคงจะตื่นนอนมาได้พักใหญ่แล้ว
เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับองค์ชายนั่งไขว่ห้างสบายใจเฉิบบนเก้าอี้กลางห้อง เขาเพียงสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวโปร่งมีระบายไม่ติดกระดุม เผยให้เห็นเนินอกผายและกล้ามหน้าท้องเป็นร่องราวกับสัตว์ป่า ส่วนล่างสวมเพียงโจงกระเบนสีน้ำตาลดินเลน
นอกจากตัวองค์ชายแล้ว ถัดออกไปแทบจะห่างเพียงไม่กี่เส้นขนยังมีชายหนุ่มผิวคล้ำร่างเล็กอีกคนก้มหัวงุด ๆ แทบเท้าขององค์ชายเสียจนอดนึกมิได้ว่าเขากำลังตามหาญาติที่เกิดใหม่มาเป็นเชื้อโรคบนพื้นกระมัง เมื่อรับรู้การมาของเตเต้ เขาเพียงแต่ยกศีรษะขาวสามด้านที่มีหย่อมผมกระจุกอยู่กลางหัวขึ้นมามองราวกับลูกหมาตัวน้อย ดูจากเค้าหน้าของเขาบอกได้อย่างชัดแจ้งว่าเป็นคนพื้นเพเดียวกับองค์ชาย เพียงแต่ดูจากท่าทางนอบน้อมซะจนแทบจะเลียขาเจ้านายทำหูลู่กระดิกหางดุ๊กดิ๊กนั้นแล้ว บ่งบอกถึงฐานะข้ารับใช้ได้เป็นอย่างดี
ทว่านอกเหนือจากท่าทีอันนอบน้อมต่อผู้เป็นนายแล้ว ขอบนัยน์ตาเล็กเรียวมีคราบของน้ำตาเจืออยู่ราวกับเขาเพิ่งผ่านการร่ำไห้มาไม่นาน...
และที่ยิ่งสร้างความแปลกใจให้กับองค์หญิงน้อยมากกว่านั้นคือนัยน์ตาน้ำตาคลอเบ้าที่ว่า จ้องมองด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อราวกับหล่อนเพิ่งแย่งอะไรบางอย่างไปจากเขา
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
Edit Log: Jan 30th, 2009: จบตอนทั้ง ๆ ที่ยืดอย่างนี้ล่ะ มันอาจจะดูยืด ๆ อย่างนี้หน่อยอีกประมาณสองตอนก่อนจะเข้าเรื่องจริง ๆ จัง ๆ นะครับ ขอให้อดทนรออีกนิด....
Edit Log: Jan 31th, 2009: แก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหาเล็กน้อย
Edit Log: April 15th, 2009: rewrite complete
Edit Log: April 15th, 2009:แก้คำผิด
Edit Log: May 31th, 2009: เพิ่มเติมข้อมูลอีกเล็กน้อย
Edit Log: June 15th, 2011: มหกรรมรีไรท์
Edit Log: May 6th, 2013: รีไรท์
ความคิดเห็น