ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    merMAID Princess!! เงือก เมด เจ้าหญิง ป่วน!

    ลำดับตอนที่ #3 : ใครน้อช่างคิดไปได้ว่าโลกกลม

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.88K
      3
      13 มิ.ย. 55

     

    @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

    Edit Log: April 10th, 2008: แก้สำนวน กับคำผิด
    Edit Log: April 12th, 2008: แก้คำผิด
    Edit Log: May 6th, 2008: ใส่รูปเพิ่ม

                    ท้องพระโรงของวังหลวงแห่งอาณาจักรหอยกาบมีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าคอกม้าของโรงเตี้ยมชั้นหรูสักเท่าไหร่  ผนังท้องพระโรงถูกประดับประดาด้วยเปลือกหอย ปลาดาว และหินตามชายทะเล  พื้นทำจากหินบล็อกหยาบ ๆ ที่มีเศษเปลือกหอยแทรกในเนื้อหิน 

     

    พระราชาวัยกลางคนตอนปลายผิวสีทองแดงทรงบัลลังก์ที่ทำจากฝาหอยมุกยักษ์ประดับด้วยเปลือกหอยหลากสีกลางท้องพระโรง  สวมมงกุฎสีทองหม่นประดับด้วยเพชรเจียระไนเป็นรูปหอยกาบ  พระเกศาหยักศกสีดำปนขาวถูกรวบซ่อนไว้อยู่ในมงกุฎ  พระวรกายท่อนบนเปลือยเปล่าอวดโฉมกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ สวมสร้อยพระศอที่ทำจากเปลือกหอยหลากชนิด  พระองค์มีใบพักตร์อันเคร่งขรึมแต่นัยน์ตาสีฟ้าใสนั้นแฝงความขี้เล่นไว้ซึ่งพระราชธิดาตัวดีของพระองค์รู้ซึ้งมาอย่างช้านาน 

     

    ส่วนบัลลังก์ด้านขวามือคู่กับพระราชาเป็นบัลลังก์เปล่าที่มีเพียงพระฉายาลักษณ์ของพระราชินีผู้ล่วงลับตั้งอยู่  พระองค์เป็นหญิงชาวแผ่นดินใหญ่ที่มีสิริโฉมงดงาม  พระเนตรคมเข้มสะกดบุรุษทุกผู้ที่ได้พบพาน  รอยยิ้มบนใบหน้าขาวผ่องดูราวกับเทวดาจำแลงกาย  ซึ่งไม่เหมือนกับพระธิดาสุดแสนกะโปโลของพระองค์เลยแม้แต่น้อย 

     

    ส่วนทางด้านขวาคือเตเต้ที่ไปเปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดกระโปรงบานสีฟ้าอ่อนพริ้วประดับด้วยลูกไม้ตามชายกระโปรง  มันเป็นชุดที่ดูดีกว่าชุดคนสวนเมื่อสักครู่อย่างไม่ต้องสงสัย  แต่ก็เป็นเพียงชุดเดรสธรรมดาที่ไม่อาจไปเทียบกับลูกสาวขุนนางหรือเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ได้เลย  กระนั้นองค์หญิงก็มีเครื่องประดับอยู่ชิ้นหนึ่งที่พอดูสมฐานะ  มันคือสร้อยคอไข่มุกเม็ดโตดูไม่เข้ากับสภาพของพระราชวังเลยแม้แต่น้อย  พระพักตร์ของเจ้าหญิงนั้นยังคงบูดบึ้งไม่สบอารมณ์นัก

     

    เบื้องหลังขององค์หญิงคือซีเรีย  แม่บ้านสาวผู้ที่ยืนอย่างสงบนิ่งแต่ก็มิอาจกลบความสง่างามอันโดดเด่นของหล่อนได้  ถ้าซีเรียไม่ได้สวมชุดสาวรับใช้ละก็แขกบ้านแขกเมืองอาจจะสำคัญหล่อนผิดเป็นราชินีหรือเจ้าหญิงของอาณาจักรนี้ด้วยซ้ำ 

     

    นอกจากทั้งสามที่กล่าวมาแล้วก็มีเหล่าทหารยามอีกสองนายในชุดเครื่องแบบทหารสีแดงเก่าซอมซ่อยืนประดับอยู่สองฟากของห้อง  ความจริงแล้วทั้งสองเป็นแค่ชาวเกาะที่ถูกจ้างมาให้ยืนประดับบารมีของพระราชาเท่านั้น  ดังนั้นทั้งสองจึงยืนหาววอดๆ อย่างเบื่อหน่ายโดยไม่สนใจใยดีกับอาคันตุกะต่างบ้านต่างเมืองทั้งสี่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพระราชาเลยแม้แต่น้อย

     

    ท่านทูตแห่งจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ในสภาพเนื้อตัวสะบักสะบอมศีรษะโนปูดบวมหน้ามุ่ยอารมณ์เสียสุดๆ  แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนึกด่าอยู่ในใจ  ส่วนชายศีรษะล้าน และเด็กหนุ่มผมบลอนด์ยืนสำรวจท้องพระโรงราวกับกำลังพิจารณากำลังซื้อของพระราชาผู้นี้   ปิดท้ายด้วยคุณกัปตันที่ยืนอย่างสบายอารมณ์

     

    ไร้ซึ่งคณะเสนาบดี หรือข้าราชบริพารที่จะกล่าวเบิกความ  องค์พระราชาตรัสแนะนำพระองค์พร้อมกับกล่าวต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองซึ่งนานทีจะมีมาซักครั้ง  โดยเฉพาะการเยี่ยมเยือนอย่างเป็นทางการของท่านทูตจากมหาจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่นั้นแทบจะนับครั้งได้ในบันทึกประวัติศาสตร์ของเกาะแห่งนี้

     

    "ในนามของอาณาจักรหอยกาบและประชาชนทุกคน เราขอยินดีต้อนรับทุกท่านสู่อาณาจักรหอยกาบแห่งนี้  ขอให้การพบกันในครั้งนี้เป็นนิมิตหมายอันดีของมิตรภาพพวกเราทุกคน"  พระราชาตรัสด้วยพระสุรเสียงอันกึกก้องแสดงถึงพละกำลังอันล้นเหลือของพระองค์

     

    ท่านทูตสลัดความหงุดหงิดภายในจิตใจออกไปพร้อมกับก้าวเท้าออกไปทำหน้าที่ของตน

     

    "ในนามของจักรพรรดิแม็กซีมิเลียน  อ็อตโต้  ฟอน  พอลลัส แห่งมหาจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่  กระหม่อมรู้สึกถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการต้อนรับอย่าง..."  ท่านทูตกันฟันกลืนน้ำลายก่อนจะกล่าวต่อไป  "อบอุ่นและมีไมตรีจิตเป็นอย่างยิ่งจากพระราชาและประชาชนแห่งอาณาจักรนี้  ซึ่งเป็นที่ปลาบปลื้มปิติอย่างยิ่งสำหรับกระหม่อม..."

     

    จากนั้นท่านทูตก็เริ่มสาธยายน้ำท่วมทุ่งโดยใช้ภาษากลางซึ่งชาวเกาะส่วนใหญ่ไม่มีใครฟังออก  เนื้อความนั้นมีใจความเพียงกล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิแม็กซีมิเลียนและมหาจักรวรรดิของพระองค์เท่านั้น  ถึงแม้ว่าคำพูดจะกล่าวให้เกียรติกับพระราชาของเกาะหอยกาบ  แต่นัยลึกๆ แล้วคือการข่มวางอำนาจของจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่กว่าหลายร้อยเท่าต่ออาณาจักรบ้านนอกอันห่างไกลนี้ 

     

    ทว่านอกจากเมดสาวซีเรียที่ยังยืนฟังอย่างสำรวมแล้ว  บรรยากาศที่เย็นสบายภายในท้องพระโรงที่มีช่องลมให้ลมโกรกผสมกับคำพูดดุจนิทานกล่อมนอนทำให้องค์หญิงเตเต้  ทหารยามทั้งสอง  กัปตัน  และพ่อลูกที่มาด้วยต่างพากันหาววอดๆ  แม้แต่พระเศียรขององค์ราชาก็โงนเงนไปมาใกล้จะบรรทมคาบัลลังก์อยู่แล้ว

     

    ท่านทูตแห่งมหาจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ที่พล่ามไปสักพักเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศชวนฝันของท้องพระโรง  จึงไอค่อกแค็กสองสามทีเป็นการเตือนอีกฝั่งให้ทราบ  นางรับใช้เบื้องยุคลบาทซีเรียเห็นดังนั้นจึงไปสะกิดนายเหนือหัวให้ตื่นจากพระสุบิน 

     

    เมื่อเห็นว่าคู่สนทนารู้สึกตัวแล้วท่านทูตจึงกล่าวบทปิดท้ายพร้อมกับถวายสาสน์ปิดผนึกฉบับหนึ่งให้กับพระราชา  พระราชาเปิดอ่านสาสน์ฉบับนั้นอย่างถี่ถ้วนก่อนจะเก็บไว้ในซองดังเดิม  พร้อมกับเงยพระพักตร์ขึ้นมาทอดพระเนตรท่านทูตที่ยืนรอคำตอบอยู่  พระองค์ทรงครุ่นคิดอยู่อีกสักครู่  ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาราวกับท่าทางครุ่นคิดเมื่อสักครู่ไม่ได้เกิดขึ้น

     

    "ท่านทูตจากมหาจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่  เอาไว้พวกเราค่อยมาปรึกษาเกี่ยวกับรายละเอียดเป็นการส่วนตัวในภายหลังแล้วกันนะ"

     

    "ต...แต่ว่าท่าน"

     

    ท่านทูตพยายามจะทัดทาน  แต่องค์ราชาก็พลันลุกขึ้นจากที่ประทับพร้อมกับตรัสกับทุกคนในท้องพระโรงด้วยภาษากลางที่สำเนียงออกจะแปร่งอยู่หน่อย 

     

    "พวกท่านได้มาเยี่ยมเยือนอาณาจักรของเราในเวลาฤกษ์งามยามดีเหลือเกิน  เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ประกาศว่า..."  พระองค์ดำเนินไปยืนเคียงข้างบุตรี  พร้อมกับโอบกอดอย่างอย่างอบอุ่น  "เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา  ธิดาตัวดีของเราในที่สุดก็มีอายุครบ 15 ขวบเสียที!"

     

    เตเต้ทรงเบือนหน้าหนีจากสายตาของอาคันตุกะที่ต่างจ้องมองมาทางพระองค์อย่างกระอักกระอ่วน

     

    "อืมมม  แต่ไฉนเจ้าลูกสาวตัวยังเล็กกระจิ๋วหลิวอย่างกับเด็ก 10 ขวบได้ล่ะ  ตอนพ่อพบแม่เจ้าครั้งแรกตอนอายุ 15  แม่เจ้าเนี่ย..."

     

    ก่อนที่องค์ราชาจะได้ตรัสจนจบ  ธิดาตัวน้อยก็ซัดหมัด เข้าตรงซี่ชายโครงอย่างจังจนองค์ราชาเซถลาไปด้านข้าง 

     

    ทุกคนในท้องพระโรงได้ตกตะลึงกับการกระทำที่ไม่คาดฝันของเจ้าหญิง

     

    "หนอย...เล่นทีเผลองั้นเหรอ!"

     

    แทนที่พระราชาจะว่ากล่าวตักเตือนการกระทำอันไม่เหมาะสมต่อหน้าแขกผู้มาเยือน  ท่านกลับจับเตเต้มาล็อกคอพร้อมกับใช้มือขยี้ศีรษะของเจ้าหญิงอย่างเมามัน 

     

    "เอ่อ..."

     

    ท่านทูตอ้าปากค้างด้วยความเอ๋อสุดขีด  เมดสาวซีเรียเองก็ได้แต่เพียงถอนหายใจเบาๆ กับความบ้าพอกันของสองพ่อลูกคู่นี้

     

    "เป็นไงล่ะ!  ดิ้นไม่หลุดแล้วสิท่า  ยอมแพ้ซะเจ้าลูกตัวแสบ!" 

     

    "ด....เด็จพ่อขี้โกง  ตัวใหญ่กว่าเห็น ๆ !"  เจ้าหญิงเตเต้คำรามด้วยความอึดอัดก่อนจะกระแทก ศอกเข้าใส่ท้องจนแขนของเสด็จพ่อคลายออก  จากนั้นเจ้าหญิงใช้ความคล่องแคล่วปานวอกพลิกตัวปีนขึ้นไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงเขย่าศีรษะบิดาราวกับลูกลิงกำลังดึงมะพร้าวจากต้น

     

    ช่างเป็นภาพที่ดูไม่เข้ากับบรรยากาศเป็นทางการเอาซะเลย

     

    ในที่สุดท่านทูตที่เหมือนถูกมองข้ามหัวมาตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบขึ้นเกาะ  ซ้ำยังถูกเจ้าหญิงของเกาะจับทุ่มเสียอีกก็ทนกลัดกลุ้มใจไว้แทบไม่อยู่   ไอดังเสียงอะแฮ่มเป็นการดึงสองพ่อลูกผู้สูงศักดิ์ออกจากโลกส่วนตัวของทั้งสองเสียที

     

    "ฝ่าบาทเพคะ..."  เมดสาวซีเรียเดินเข้าไปกระซิบเจ้านายทั้งสองที่เพิ่งจะรู้สึกพระองค์กันว่าอยู่ในระหว่างการเข้าเฝ้าอยู่   เจ้าหญิงเตเต้ที่ขึ้นไปขี่บนคอของบิดาเจ้าครองนครก็เริ่มหน้าแดงด้วยความเขินอาย  สุดท้ายองค์หญิงจึงกระโดดลงมายืนอยู่ข้างๆ ตามเดิมโดยไม่สบตากับเหล่าบรรดาอาคันตุกะทั้งหลาย

     

    "เอ่อ...เราต้องขอโทษทุกท่านกับการเสียมารยาทเมื่อสักครู่นี้ด้วยนะ"  พระราชาตรัสกับอย่างเขินอายเล็กน้อย  "คือพอดีทางเราเองก็ห่างเหินจากการรับแขกบ้านแขกเมืองมานานพอดูนั่นแหล่ะ  ไม่สิ  จริง ๆ ทั้งชีวิตเราเคยต้อนรับท่านทูตอย่างเป็นทางการเพียงแค่สามครั้งเองกระมัง" 

     

    แขกทุกคนได้แต่เพียงอ้ำอึ้งกับสิ่งที่องค์กษัตริย์เอ่ยออกมา 

    "อ้อ เกือบลืมที่เราเพิ่งพูดไปแน่ะ"  พระราชารีบเปลี่ยนเรื่องโดยพลัน  "ในโอกาสที่เจ้าลูกสาวตัวดีของเรามีอายุครบ 15 ขวบ  เรามีความภูมิใจที่จะประกาศว่า...

     

    เมื่อปีกลาย  ลูกสาวเราได้รับสาสน์เชิญให้ไปรับการศึกษาในปีการศึกษานี้จากวิทยาลัยการส่งเสริมเพื่อสร้างผู้นำชั้นเลิศและความร่วมมือระหว่างอาณาจักร  หรือที่รู้จักในชื่อว่า วิทยาลัยโซเฟีย  ที่อาณาจักรพ่อค้าอันมั่งคั่งนั่นเอง!"

     

    มีเสียงตบมือดังแปะๆ จากเมดสาวซีเรีย  บรรดาแขกต่างเรื่อที่ได้ยินตามนั้นจึงเริ่มปรบมือตาม  พระราชาทอดพระเนตรดังนั้นก็สำราญพระทัย  ตรัสต่อด้วยความภูมิใจว่า

     

    "แน่นอนว่าเราเองก็ค่อนข้างหนักใจกับการที่เราจะปล่อยให้ลูกสาวสุดรักสุดหวงคนเดียวของเราออกไปผจญในโลกกว้างเพียงลำพังอย่างนี้  แต่ทว่าการที่จะให้ธิดาของเราได้รับการศึกษาจากสถาบันอันมีเกียรติและมีคุณภาพ  เพื่อ..."

     

    ระหว่างที่พระราชาตรัสอยู่นั้น  เด็กหนุ่มบุตรของชายหัวล้านก็กระซิบถามผู้เป็นบิดา

     

    "พ่อๆ  วิทยาลัยโซเฟียนั่นคืออะไรเหรอฮะ"

     

    "ชู่...เงียบๆ หน่อย...."  ชายหัวล้านผู้เป็นบิดากระซิบเตือน  แต่พอเห็นพระราชายังตรัสไม่หยุดเกี่ยวกับสมัยที่ทรงไปรับการศึกษาที่นั่น  เขาจึงหันกลับมากระซิบอธิบายให้เจ้าลูกชายฟังอีกครั้ง

     

    "ก็ประมาณโรงเรียนที่พวกเจ้าหญิงเจ้าชาย  หรือพวกลูกคนใหญ่โตของอาณาจักรต่าง ๆ ไปเรียนกันนั่นล่ะ  ไม่ต้องไปสนใจมากนักเลย  อย่างเอ็งคงไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะไปเหยียบที่นั่นนะ"  ชายศีรษะล้านกล่าว

     

    นั่นก็เป็นตอนที่พระราชาตรัสเสร็จสิ้นเกี่ยวกับเรื่องราวของพระราชาในวิทยาลัยโซเฟียพอดิบพอดี

     

    "เนื่องด้วยธิดาของเราจะออกเดินทางไปพร้อมกับเที่ยวเรือของท่านในสัปดาห์หน้า  เราจึงอยากเชิญชวนทุกท่านให้เกียรติร่วมงานเฉลิมฉลองเลี้ยงส่งธิดาของเราตลอดทั้งสัปดาห์นี้  และร่วมรับประทานมื้ออาหารค่ำที่ปรุงโดยฝีมือของซีเรียแม่ครัวอันดับหนึ่งของอาณาจักรด้วย!"

     

    เมดซีเรียโค้งคำนับด้วยความนอบน้อมต่อคำชมของพระราชา  ส่วนเจ้าหญิงเตเต้ก็เพียงแต่ถอนหายใจออกมา

     

    "เอาล่ะ  นอกจากท่านทูตแล้ว  ท่านอื่นมีธุระเรื่องประการใดที่จะกล่าวกับเราอีกไหม"  พระราชาทอดพระเนตรยังอาคันตุกะทุกท่านที่ยืนเรียงรายอยู่ด้วยความปิติยินดี  นอกจากท่านทูตแล้ว  กัปตันเองก็ยืนเฉยไม่มีเรื่องจะกราบทูลเพิ่มเติม  ดังนั้นจึงเหลือแต่...

     

    "เอ่อ...ฝ่าบาท  ถ้าฝ่าบาททรงมีเวลา  กระหม่อมอยากจะใคร่ขอพระอนุญาตินำสินค้าของกระหม่อมมานำเสนอพะยะค่ะ" 

     

    ชายศีรษะล้านเป็นพ่อค้าผู้เจนจัดกล่าวกับพระราชาด้วยวาจาชั้นสูงให้เกียรติพระราชาแห่งเกาะบ้านนอกแห่งนี้เสียยิ่งกว่าท่านทูตจากมหาจักรวรรดิเสียอีก

     

    พระราชาได้ทรงยินดังนั้นพระเนตรก็ทรงเบิกกว้างเป็นประกายราวกับเด็กน้อยที่ได้ไปเยือนร้านของเด็กเล่น  อาณาจักรหอยกาบเป็นเกาะกลางมหาสมุทรอันห่างไกล  นานๆ ทีจะมีเรือสินค้าจากต่างแดนมาแลกเปลี่ยนกับหอยกาบของเกาะสักหน  ดังนั้นสินค้าแปลกๆ จากภายนอกจึงเป็นของที่ล้ำค่าที่บรรดาชาวเกาะต่างต้องการเป็นอย่างยิ่ง

     

    "เชิญเลยท่านพ่อค้า  เชิญเลย  เรามีเวลาว่างทั้งวันอยู่แล้ว" 

     

    พ่อค้าศีรษะล้านดีดนิ้วเรียกเจ้าลูกชายให้เปิดกระเป๋าเป้ออก  ซึ่งภายในเต็มไปด้วยสินค้าต่างๆ ทั้งสร้อยคอ  เครื่องประดับ  หนังสือ  เสื้อผ้า  และอื่นๆ อีกมากมายให้เลือกซื้อ....

                    ลับหลังเจ้าพ่อค้าได้แต่เลียลิ้นแพล่บๆ อย่างเจ้าเล่ห์ราวหมาป่าในคราบลูกแกะ  ลูกค้าบ้านป่าเมืองเถื่อนเช่นนี้นับเป็นลาภปากให้เหล่าพ่อค้าขายของคุณภาพเส็งเคร็งในราคากำไรเสียยิ่งกว่ากำไร  ซึ่งครั้งนี้ก็คงไม่ต่างจากที่แล้วมาเป็นแน่แท้

     

    ..............................

    .................

    .......

    ..

     

    หลังจากที่แขกอาคันตุกะไปยังที่พักแล้ว  สองพ่อลูกแห่งอาณาจักรหอยกาบก็มานั่งชมสินค้าที่ทั้งสองได้เพิ่งซื้อหากันมาอย่างขะมักเขม้น        

     

    "เด็จพ่อ...ซื้อหนังสือนั่นมาแล้วจะอ่านออกรึ"  เจ้าหญิงเตเต้ชี้ยังหนังสือเพาะกายที่พระราชากำลังเปิดทอดพระเนตรด้วยความสนใจ

     

                    "ไม่รู้สิ  แต่มันน่าสนใจดี  แถมรูปก็เยอะด้วย  เห็นพ่อค้าบอกว่ามีเคล็ดแนะนำการสร้างกล้ามเนื้อเยอะแยะเลย"  พระราชาพลิกหน้ากระดาษอย่างใจจดใจจ่อต่อไปโดยไม่สนใจคำพูดของพระธิดาแม้แต่น้อย

     

                    "อ่าโด่...นึกว่าจะอ่านออก  ทีตอนรับสาสน์จากตาทูตงี่เง่านั่นก็เหมือนกัน  ความจริงเด็จพ่อทำเป็นเก็กอ่านไปงั้นใช่มั้ยล่ะ  อุตส่าห์เคยไปเรียนเมืองนอกมาทั้งที" 

     

                    พระราชามิได้ตรัสตอบ  เจ้าหญิงเตเต้เห็นเสด็จพ่อมีสมาธิจมอยู่กับหนังสือก็เริ่มรู้สึกเบื่อ  จึงคว้าสร้อยหินรูปร่างประหลาดที่บิดาทรงซื้อให้ขึ้นมาดูก่อนจะโยนมันทิ้งไปอย่างไม่ไยดี  "เราไม่ได้สนใจพวกเครื่องประดับงี่เง่าพวกนี้สักหน่อย"  เจ้าหญิงเตเต้คิดไปพลางลงไปนอนกลิ้งเกลือกกับพื้นอย่างเบื่อหน่าย  แล้วเตเต้ก็เห็นสินค้าประหลาดชิ้นหนึ่ง

     

                    "เด็จพ่อซื้อมันมาด้วยหรือเนี่ย" 

     

                    "หือ...อะไรหรือ"  พระราชาเงยหน้าขึ้นมา

     

                    "ก็นี่นะ  ลูกกลมๆ ที่อยู่ข้างหลังเด็จพ่อนะ" 

     

                    "อ้อ  นี่นะหรือ"  พระราชาหยิบลูกกลมๆ  ที่มีฐานรองล้อมรอบอยู่ขนาดประมาณลูกบอลขึ้นมาก่อนจะอธิบายให้กับลูกสาวฟัง

     

    "มันคือรูปจำลองของโลกยังไงล่ะ"

     

                    "เห...โลกเหรอ?  เจ้าลูกกลมๆ เนี่ยนะ?"  เตเต้มองดูลูกโลกจำลองในพระหัตถ์ของพ่ออย่างไม่ค่อยจะใส่ใจนัก 

     

                    "อื้ม  เป็นรูปจำลองของโลกที่เรายืนอยู่เนี่ล่ะ  ไม่น่าเชื่อเลยใช่ม้า  ว่าเราจะอาศัยบนลูกกลม ๆ แบบนี้ได้นะ  เห็นเค้าบอกว่าเป็นทฤษฎีใหม่เอี่ยมอ่องเลยละนะ  ดูสิ  นี่ไงเกาะหอยกาบของเรา  โห  เทียบกับมหาจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ กับจักรวรรดิกลางอันเกรียงไกรแล้ว  อาณาจักรเราเล็กอย่างกับมดแน่ะ"

     

                    เจ้าหญิงเตเต้ทรงเพ่งพินิจอยู่อีกสักครู่ก่อนจะถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย

     

                    "โดนเจ้าพ่อค้านั่นตุ๋นซะแล้วละมั้ง  โลกมันจะกลมได้ยังไงล่ะ  ถ้ากลมอย่างนั้นแล้วเราไม่หล่นไปกันหมดแล้วเหรอ"

     

                    เสด็จพ่อเพ่งพินิจอยู่สักพัก  แต่จนแล้วจนรอดก็หาคำตอบให้เจ้าลูกสาวเจ้าปัญหาไม่ได้เสียที 

     

                    "เอ้อ  ลูกลองไปถามซีเรียเค้าเองก็แล้วกันนะ  พ่อเองก็ไม่ค่อยถนัดเรื่องปัญหาอย่างนี้เท่าไหร่หรอก  แต่ลองถามเกี่ยวกับแกรนด์วอลผืนน้ำแถวนี้  หรือเกี่ยวกับมวยปล้ำดูสิ  ตอบไม่ได้ยกอาณาจักรให้เลยเอ้า"

     

                    "เอาไปทำไม  อาณาจักรจิ๊บจ้อยแค่นี้" 

     

                    "ไม่อยากได้ก็ต้องได้ล่ะนะ  ก็หนูเป็นลูกพ่อนี่" 

     

    "เฮ้อ...สรุปเด็จพ่อก็ตอบหนูไม่ได้ก็ว่ามาเถอะ" 

     

                    เตเต้หาวออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อนเนื่องจากพระองค์ต้องไปขุดหัวมันมาสำหรับปรุงมื้ออาหารเย็นตั้งแต่เช้า   ก่อนจะเหยียดตัวลงไปนอนอีกครั้ง   

     

                    "เชื่อเด็จพ่อเค้าเลย"  เตเต้ทอดพระเนตรยังกองสินค้าที่เสด็จพ่อทรงซื้อมาอย่างไม่บันยะบันยัง  "ซื้อของไร้สาระมาตั้งมากมายขนาดนี้ทั้งๆ ที่วังเราไม่มีปัญญาจ้างคนสวนมาเก็บผักเองด้วยซ้ำ  เฮ้อ  ถ้าเด็จแม่อยู่ด้วยคง..." เจ้าหญิงเตเต้ทรงหยุดความคิดนั้นไว้ 

     

    "ช่างเหอะ"

     

    องค์หญิงน้อยหลับตาลงพลางลูบคลำสร้อยไข่มุกบนคอก่อนจะสะบัดความคิดอันเศร้าหมองออกไปโดยนึกเรื่องอื่นขึ้นแทน

     

    Edit log: June 25th, 2011: มหกรรมรีไรท์กับแก้ไขสำนวน
    Edit log: June 13th, 2012: รีไรท์
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×