คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ใครน้อช่างคิดไปได้ว่าโลกกลม
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
Edit Log: April 10th, 2008: แก้สำนวน กับคำผิด
Edit Log: April 12th, 2008: แก้คำผิด
Edit Log: May 6th, 2008: ใส่รูปเพิ่ม
ท้องพระโรงของวังหลวงแห่งอาณาจักรหอยกาบมีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าคอกม้าของโรงเตี้ยมชั้นหรูสักเท่าไหร่ ผนังท้องพระโรงถูกประดับประดาด้วยเปลือกหอย ปลาดาว และหินตามชายทะเล พื้นทำจากหินบล็อกหยาบ ๆ ที่มีเศษเปลือกหอยแทรกในเนื้อหิน
พระราชาวัยกลางคนตอนปลายผิวสีทองแดงทรงบัลลังก์ที่ทำจากฝาหอยมุกยักษ์ประดับด้วยเปลือกหอยหลากสีกลางท้องพระโรง สวมมงกุฎสีทองหม่นประดับด้วยเพชรเจียระไนเป็นรูปหอยกาบ พระเกศาหยักศกสีดำปนขาวถูกรวบซ่อนไว้อยู่ในมงกุฎ พระวรกายท่อนบนเปลือยเปล่าอวดโฉมกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ สวมสร้อยพระศอที่ทำจากเปลือกหอยหลากชนิด พระองค์มีใบพักตร์อันเคร่งขรึมแต่นัยน์ตาสีฟ้าใสนั้นแฝงความขี้เล่นไว้ซึ่งพระราชธิดาตัวดีของพระองค์รู้ซึ้งมาอย่างช้านาน
ส่วนบัลลังก์ด้านขวามือคู่กับพระราชาเป็นบัลลังก์เปล่าที่มีเพียงพระฉายาลักษณ์ของพระราชินีผู้ล่วงลับตั้งอยู่ พระองค์เป็นหญิงชาวแผ่นดินใหญ่ที่มีสิริโฉมงดงาม พระเนตรคมเข้มสะกดบุรุษทุกผู้ที่ได้พบพาน รอยยิ้มบนใบหน้าขาวผ่องดูราวกับเทวดาจำแลงกาย ซึ่งไม่เหมือนกับพระธิดาสุดแสนกะโปโลของพระองค์เลยแม้แต่น้อย
ส่วนทางด้านขวาคือเตเต้ที่ไปเปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดกระโปรงบานสีฟ้าอ่อนพริ้วประดับด้วยลูกไม้ตามชายกระโปรง มันเป็นชุดที่ดูดีกว่าชุดคนสวนเมื่อสักครู่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็เป็นเพียงชุดเดรสธรรมดาที่ไม่อาจไปเทียบกับลูกสาวขุนนางหรือเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ได้เลย กระนั้นองค์หญิงก็มีเครื่องประดับอยู่ชิ้นหนึ่งที่พอดูสมฐานะ มันคือสร้อยคอไข่มุกเม็ดโตดูไม่เข้ากับสภาพของพระราชวังเลยแม้แต่น้อย พระพักตร์ของเจ้าหญิงนั้นยังคงบูดบึ้งไม่สบอารมณ์นัก
เบื้องหลังขององค์หญิงคือซีเรีย แม่บ้านสาวผู้ที่ยืนอย่างสงบนิ่งแต่ก็มิอาจกลบความสง่างามอันโดดเด่นของหล่อนได้ ถ้าซีเรียไม่ได้สวมชุดสาวรับใช้ละก็แขกบ้านแขกเมืองอาจจะสำคัญหล่อนผิดเป็นราชินีหรือเจ้าหญิงของอาณาจักรนี้ด้วยซ้ำ
นอกจากทั้งสามที่กล่าวมาแล้วก็มีเหล่าทหารยามอีกสองนายในชุดเครื่องแบบทหารสีแดงเก่าซอมซ่อยืนประดับอยู่สองฟากของห้อง ความจริงแล้วทั้งสองเป็นแค่ชาวเกาะที่ถูกจ้างมาให้ยืนประดับบารมีของพระราชาเท่านั้น ดังนั้นทั้งสองจึงยืนหาววอดๆ อย่างเบื่อหน่ายโดยไม่สนใจใยดีกับอาคันตุกะต่างบ้านต่างเมืองทั้งสี่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพระราชาเลยแม้แต่น้อย
ท่านทูตแห่งจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ในสภาพเนื้อตัวสะบักสะบอมศีรษะโนปูดบวมหน้ามุ่ยอารมณ์เสียสุดๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนึกด่าอยู่ในใจ ส่วนชายศีรษะล้าน และเด็กหนุ่มผมบลอนด์ยืนสำรวจท้องพระโรงราวกับกำลังพิจารณากำลังซื้อของพระราชาผู้นี้ ปิดท้ายด้วยคุณกัปตันที่ยืนอย่างสบายอารมณ์
ไร้ซึ่งคณะเสนาบดี หรือข้าราชบริพารที่จะกล่าวเบิกความ องค์พระราชาตรัสแนะนำพระองค์พร้อมกับกล่าวต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองซึ่งนานทีจะมีมาซักครั้ง โดยเฉพาะการเยี่ยมเยือนอย่างเป็นทางการของท่านทูตจากมหาจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่นั้นแทบจะนับครั้งได้ในบันทึกประวัติศาสตร์ของเกาะแห่งนี้
"ในนามของอาณาจักรหอยกาบและประชาชนทุกคน เราขอยินดีต้อนรับทุกท่านสู่อาณาจักรหอยกาบแห่งนี้ ขอให้การพบกันในครั้งนี้เป็นนิมิตหมายอันดีของมิตรภาพพวกเราทุกคน" พระราชาตรัสด้วยพระสุรเสียงอันกึกก้องแสดงถึงพละกำลังอันล้นเหลือของพระองค์
ท่านทูตสลัดความหงุดหงิดภายในจิตใจออกไปพร้อมกับก้าวเท้าออกไปทำหน้าที่ของตน
"ในนามของจักรพรรดิแม็กซีมิเลียน อ็อตโต้ ฟอน พอลลัส แห่งมหาจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ กระหม่อมรู้สึกถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการต้อนรับอย่าง..." ท่านทูตกันฟันกลืนน้ำลายก่อนจะกล่าวต่อไป "อบอุ่นและมีไมตรีจิตเป็นอย่างยิ่งจากพระราชาและประชาชนแห่งอาณาจักรนี้ ซึ่งเป็นที่ปลาบปลื้มปิติอย่างยิ่งสำหรับกระหม่อม..."
จากนั้นท่านทูตก็เริ่มสาธยายน้ำท่วมทุ่งโดยใช้ภาษากลางซึ่งชาวเกาะส่วนใหญ่ไม่มีใครฟังออก เนื้อความนั้นมีใจความเพียงกล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิแม็กซีมิเลียนและมหาจักรวรรดิของพระองค์เท่านั้น ถึงแม้ว่าคำพูดจะกล่าวให้เกียรติกับพระราชาของเกาะหอยกาบ แต่นัยลึกๆ แล้วคือการข่มวางอำนาจของจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่กว่าหลายร้อยเท่าต่ออาณาจักรบ้านนอกอันห่างไกลนี้
ทว่านอกจากเมดสาวซีเรียที่ยังยืนฟังอย่างสำรวมแล้ว บรรยากาศที่เย็นสบายภายในท้องพระโรงที่มีช่องลมให้ลมโกรกผสมกับคำพูดดุจนิทานกล่อมนอนทำให้องค์หญิงเตเต้ ทหารยามทั้งสอง กัปตัน และพ่อลูกที่มาด้วยต่างพากันหาววอดๆ แม้แต่พระเศียรขององค์ราชาก็โงนเงนไปมาใกล้จะบรรทมคาบัลลังก์อยู่แล้ว
ท่านทูตแห่งมหาจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ที่พล่ามไปสักพักเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศชวนฝันของท้องพระโรง จึงไอค่อกแค็กสองสามทีเป็นการเตือนอีกฝั่งให้ทราบ นางรับใช้เบื้องยุคลบาทซีเรียเห็นดังนั้นจึงไปสะกิดนายเหนือหัวให้ตื่นจากพระสุบิน
เมื่อเห็นว่าคู่สนทนารู้สึกตัวแล้วท่านทูตจึงกล่าวบทปิดท้ายพร้อมกับถวายสาสน์ปิดผนึกฉบับหนึ่งให้กับพระราชา พระราชาเปิดอ่านสาสน์ฉบับนั้นอย่างถี่ถ้วนก่อนจะเก็บไว้ในซองดังเดิม พร้อมกับเงยพระพักตร์ขึ้นมาทอดพระเนตรท่านทูตที่ยืนรอคำตอบอยู่ พระองค์ทรงครุ่นคิดอยู่อีกสักครู่ ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาราวกับท่าทางครุ่นคิดเมื่อสักครู่ไม่ได้เกิดขึ้น
"ท่านทูตจากมหาจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ เอาไว้พวกเราค่อยมาปรึกษาเกี่ยวกับรายละเอียดเป็นการส่วนตัวในภายหลังแล้วกันนะ"
"ต...แต่ว่าท่าน"
ท่านทูตพยายามจะทัดทาน แต่องค์ราชาก็พลันลุกขึ้นจากที่ประทับพร้อมกับตรัสกับทุกคนในท้องพระโรงด้วยภาษากลางที่สำเนียงออกจะแปร่งอยู่หน่อย
"พวกท่านได้มาเยี่ยมเยือนอาณาจักรของเราในเวลาฤกษ์งามยามดีเหลือเกิน เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ประกาศว่า..." พระองค์ดำเนินไปยืนเคียงข้างบุตรี พร้อมกับโอบกอดอย่างอย่างอบอุ่น "เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ธิดาตัวดีของเราในที่สุดก็มีอายุครบ 15 ขวบเสียที!"
เตเต้ทรงเบือนหน้าหนีจากสายตาของอาคันตุกะที่ต่างจ้องมองมาทางพระองค์อย่างกระอักกระอ่วน
"อืมมม แต่ไฉนเจ้าลูกสาวตัวยังเล็กกระจิ๋วหลิวอย่างกับเด็ก 10 ขวบได้ล่ะ ตอนพ่อพบแม่เจ้าครั้งแรกตอนอายุ 15 แม่เจ้าเนี่ย..."
ก่อนที่องค์ราชาจะได้ตรัสจนจบ ธิดาตัวน้อยก็ซัดหมัด เข้าตรงซี่ชายโครงอย่างจังจนองค์ราชาเซถลาไปด้านข้าง
ทุกคนในท้องพระโรงได้ตกตะลึงกับการกระทำที่ไม่คาดฝันของเจ้าหญิง
"หนอย...เล่นทีเผลองั้นเหรอ!"
แทนที่พระราชาจะว่ากล่าวตักเตือนการกระทำอันไม่เหมาะสมต่อหน้าแขกผู้มาเยือน ท่านกลับจับเตเต้มาล็อกคอพร้อมกับใช้มือขยี้ศีรษะของเจ้าหญิงอย่างเมามัน
"เอ่อ..."
ท่านทูตอ้าปากค้างด้วยความเอ๋อสุดขีด เมดสาวซีเรียเองก็ได้แต่เพียงถอนหายใจเบาๆ กับความบ้าพอกันของสองพ่อลูกคู่นี้
"เป็นไงล่ะ! ดิ้นไม่หลุดแล้วสิท่า ยอมแพ้ซะเจ้าลูกตัวแสบ!"
"ด....เด็จพ่อขี้โกง ตัวใหญ่กว่าเห็น ๆ !" เจ้าหญิงเตเต้คำรามด้วยความอึดอัดก่อนจะกระแทก ศอกเข้าใส่ท้องจนแขนของเสด็จพ่อคลายออก จากนั้นเจ้าหญิงใช้ความคล่องแคล่วปานวอกพลิกตัวปีนขึ้นไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงเขย่าศีรษะบิดาราวกับลูกลิงกำลังดึงมะพร้าวจากต้น
ช่างเป็นภาพที่ดูไม่เข้ากับบรรยากาศเป็นทางการเอาซะเลย
ในที่สุดท่านทูตที่เหมือนถูกมองข้ามหัวมาตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบขึ้นเกาะ ซ้ำยังถูกเจ้าหญิงของเกาะจับทุ่มเสียอีกก็ทนกลัดกลุ้มใจไว้แทบไม่อยู่ ไอดังเสียงอะแฮ่มเป็นการดึงสองพ่อลูกผู้สูงศักดิ์ออกจากโลกส่วนตัวของทั้งสองเสียที
"ฝ่าบาทเพคะ..." เมดสาวซีเรียเดินเข้าไปกระซิบเจ้านายทั้งสองที่เพิ่งจะรู้สึกพระองค์กันว่าอยู่ในระหว่างการเข้าเฝ้าอยู่ เจ้าหญิงเตเต้ที่ขึ้นไปขี่บนคอของบิดาเจ้าครองนครก็เริ่มหน้าแดงด้วยความเขินอาย สุดท้ายองค์หญิงจึงกระโดดลงมายืนอยู่ข้างๆ ตามเดิมโดยไม่สบตากับเหล่าบรรดาอาคันตุกะทั้งหลาย
"เอ่อ...เราต้องขอโทษทุกท่านกับการเสียมารยาทเมื่อสักครู่นี้ด้วยนะ" พระราชาตรัสกับอย่างเขินอายเล็กน้อย "คือพอดีทางเราเองก็ห่างเหินจากการรับแขกบ้านแขกเมืองมานานพอดูนั่นแหล่ะ ไม่สิ จริง ๆ ทั้งชีวิตเราเคยต้อนรับท่านทูตอย่างเป็นทางการเพียงแค่สามครั้งเองกระมัง"
แขกทุกคนได้แต่เพียงอ้ำอึ้งกับสิ่งที่องค์กษัตริย์เอ่ยออกมา
"อ้อ เกือบลืมที่เราเพิ่งพูดไปแน่ะ" พระราชารีบเปลี่ยนเรื่องโดยพลัน "ในโอกาสที่เจ้าลูกสาวตัวดีของเรามีอายุครบ 15 ขวบ เรามีความภูมิใจที่จะประกาศว่า...
เมื่อปีกลาย ลูกสาวเราได้รับสาสน์เชิญให้ไปรับการศึกษาในปีการศึกษานี้จากวิทยาลัยการส่งเสริมเพื่อสร้างผู้นำชั้นเลิศและความร่วมมือระหว่างอาณาจักร หรือที่รู้จักในชื่อว่า วิทยาลัยโซเฟีย ที่อาณาจักรพ่อค้าอันมั่งคั่งนั่นเอง!"
มีเสียงตบมือดังแปะๆ จากเมดสาวซีเรีย บรรดาแขกต่างเรื่อที่ได้ยินตามนั้นจึงเริ่มปรบมือตาม พระราชาทอดพระเนตรดังนั้นก็สำราญพระทัย ตรัสต่อด้วยความภูมิใจว่า
"แน่นอนว่าเราเองก็ค่อนข้างหนักใจกับการที่เราจะปล่อยให้ลูกสาวสุดรักสุดหวงคนเดียวของเราออกไปผจญในโลกกว้างเพียงลำพังอย่างนี้ แต่ทว่าการที่จะให้ธิดาของเราได้รับการศึกษาจากสถาบันอันมีเกียรติและมีคุณภาพ เพื่อ..."
ระหว่างที่พระราชาตรัสอยู่นั้น เด็กหนุ่มบุตรของชายหัวล้านก็กระซิบถามผู้เป็นบิดา
"พ่อๆ วิทยาลัยโซเฟียนั่นคืออะไรเหรอฮะ"
"ชู่...เงียบๆ หน่อย...." ชายหัวล้านผู้เป็นบิดากระซิบเตือน แต่พอเห็นพระราชายังตรัสไม่หยุดเกี่ยวกับสมัยที่ทรงไปรับการศึกษาที่นั่น เขาจึงหันกลับมากระซิบอธิบายให้เจ้าลูกชายฟังอีกครั้ง
"ก็ประมาณโรงเรียนที่พวกเจ้าหญิงเจ้าชาย หรือพวกลูกคนใหญ่โตของอาณาจักรต่าง ๆ ไปเรียนกันนั่นล่ะ ไม่ต้องไปสนใจมากนักเลย อย่างเอ็งคงไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะไปเหยียบที่นั่นนะ" ชายศีรษะล้านกล่าว
นั่นก็เป็นตอนที่พระราชาตรัสเสร็จสิ้นเกี่ยวกับเรื่องราวของพระราชาในวิทยาลัยโซเฟียพอดิบพอดี
"เนื่องด้วยธิดาของเราจะออกเดินทางไปพร้อมกับเที่ยวเรือของท่านในสัปดาห์หน้า เราจึงอยากเชิญชวนทุกท่านให้เกียรติร่วมงานเฉลิมฉลองเลี้ยงส่งธิดาของเราตลอดทั้งสัปดาห์นี้ และร่วมรับประทานมื้ออาหารค่ำที่ปรุงโดยฝีมือของซีเรียแม่ครัวอันดับหนึ่งของอาณาจักรด้วย!"
เมดซีเรียโค้งคำนับด้วยความนอบน้อมต่อคำชมของพระราชา ส่วนเจ้าหญิงเตเต้ก็เพียงแต่ถอนหายใจออกมา
"เอาล่ะ นอกจากท่านทูตแล้ว ท่านอื่นมีธุระเรื่องประการใดที่จะกล่าวกับเราอีกไหม" พระราชาทอดพระเนตรยังอาคันตุกะทุกท่านที่ยืนเรียงรายอยู่ด้วยความปิติยินดี นอกจากท่านทูตแล้ว กัปตันเองก็ยืนเฉยไม่มีเรื่องจะกราบทูลเพิ่มเติม ดังนั้นจึงเหลือแต่...
"เอ่อ...ฝ่าบาท ถ้าฝ่าบาททรงมีเวลา กระหม่อมอยากจะใคร่ขอพระอนุญาตินำสินค้าของกระหม่อมมานำเสนอพะยะค่ะ"
ชายศีรษะล้านเป็นพ่อค้าผู้เจนจัดกล่าวกับพระราชาด้วยวาจาชั้นสูงให้เกียรติพระราชาแห่งเกาะบ้านนอกแห่งนี้เสียยิ่งกว่าท่านทูตจากมหาจักรวรรดิเสียอีก
พระราชาได้ทรงยินดังนั้นพระเนตรก็ทรงเบิกกว้างเป็นประกายราวกับเด็กน้อยที่ได้ไปเยือนร้านของเด็กเล่น อาณาจักรหอยกาบเป็นเกาะกลางมหาสมุทรอันห่างไกล นานๆ ทีจะมีเรือสินค้าจากต่างแดนมาแลกเปลี่ยนกับหอยกาบของเกาะสักหน ดังนั้นสินค้าแปลกๆ จากภายนอกจึงเป็นของที่ล้ำค่าที่บรรดาชาวเกาะต่างต้องการเป็นอย่างยิ่ง
"เชิญเลยท่านพ่อค้า เชิญเลย เรามีเวลาว่างทั้งวันอยู่แล้ว"
พ่อค้าศีรษะล้านดีดนิ้วเรียกเจ้าลูกชายให้เปิดกระเป๋าเป้ออก ซึ่งภายในเต็มไปด้วยสินค้าต่างๆ ทั้งสร้อยคอ เครื่องประดับ หนังสือ เสื้อผ้า และอื่นๆ อีกมากมายให้เลือกซื้อ....
ลับหลังเจ้าพ่อค้าได้แต่เลียลิ้นแพล่บๆ อย่างเจ้าเล่ห์ราวหมาป่าในคราบลูกแกะ ลูกค้าบ้านป่าเมืองเถื่อนเช่นนี้นับเป็นลาภปากให้เหล่าพ่อค้าขายของคุณภาพเส็งเคร็งในราคากำไรเสียยิ่งกว่ากำไร ซึ่งครั้งนี้ก็คงไม่ต่างจากที่แล้วมาเป็นแน่แท้
..............................
.................
.......
..
หลังจากที่แขกอาคันตุกะไปยังที่พักแล้ว สองพ่อลูกแห่งอาณาจักรหอยกาบก็มานั่งชมสินค้าที่ทั้งสองได้เพิ่งซื้อหากันมาอย่างขะมักเขม้น
"เด็จพ่อ...ซื้อหนังสือนั่นมาแล้วจะอ่านออกรึ" เจ้าหญิงเตเต้ชี้ยังหนังสือเพาะกายที่พระราชากำลังเปิดทอดพระเนตรด้วยความสนใจ
"ไม่รู้สิ แต่มันน่าสนใจดี แถมรูปก็เยอะด้วย เห็นพ่อค้าบอกว่ามีเคล็ดแนะนำการสร้างกล้ามเนื้อเยอะแยะเลย" พระราชาพลิกหน้ากระดาษอย่างใจจดใจจ่อต่อไปโดยไม่สนใจคำพูดของพระธิดาแม้แต่น้อย
"อ่าโด่...นึกว่าจะอ่านออก ทีตอนรับสาสน์จากตาทูตงี่เง่านั่นก็เหมือนกัน ความจริงเด็จพ่อทำเป็นเก็กอ่านไปงั้นใช่มั้ยล่ะ อุตส่าห์เคยไปเรียนเมืองนอกมาทั้งที"
พระราชามิได้ตรัสตอบ เจ้าหญิงเตเต้เห็นเสด็จพ่อมีสมาธิจมอยู่กับหนังสือก็เริ่มรู้สึกเบื่อ จึงคว้าสร้อยหินรูปร่างประหลาดที่บิดาทรงซื้อให้ขึ้นมาดูก่อนจะโยนมันทิ้งไปอย่างไม่ไยดี "เราไม่ได้สนใจพวกเครื่องประดับงี่เง่าพวกนี้สักหน่อย" เจ้าหญิงเตเต้คิดไปพลางลงไปนอนกลิ้งเกลือกกับพื้นอย่างเบื่อหน่าย แล้วเตเต้ก็เห็นสินค้าประหลาดชิ้นหนึ่ง
"เด็จพ่อซื้อมันมาด้วยหรือเนี่ย"
"หือ...อะไรหรือ" พระราชาเงยหน้าขึ้นมา
"ก็นี่นะ ลูกกลมๆ ที่อยู่ข้างหลังเด็จพ่อนะ"
"อ้อ นี่นะหรือ" พระราชาหยิบลูกกลมๆ ที่มีฐานรองล้อมรอบอยู่ขนาดประมาณลูกบอลขึ้นมาก่อนจะอธิบายให้กับลูกสาวฟัง
"มันคือรูปจำลองของโลกยังไงล่ะ"
"เห...โลกเหรอ? เจ้าลูกกลมๆ เนี่ยนะ?" เตเต้มองดูลูกโลกจำลองในพระหัตถ์ของพ่ออย่างไม่ค่อยจะใส่ใจนัก
"อื้ม เป็นรูปจำลองของโลกที่เรายืนอยู่เนี่ล่ะ ไม่น่าเชื่อเลยใช่ม้า ว่าเราจะอาศัยบนลูกกลม ๆ แบบนี้ได้นะ เห็นเค้าบอกว่าเป็นทฤษฎีใหม่เอี่ยมอ่องเลยละนะ ดูสิ นี่ไงเกาะหอยกาบของเรา โห เทียบกับมหาจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ กับจักรวรรดิกลางอันเกรียงไกรแล้ว อาณาจักรเราเล็กอย่างกับมดแน่ะ"
เจ้าหญิงเตเต้ทรงเพ่งพินิจอยู่อีกสักครู่ก่อนจะถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
"โดนเจ้าพ่อค้านั่นตุ๋นซะแล้วละมั้ง โลกมันจะกลมได้ยังไงล่ะ ถ้ากลมอย่างนั้นแล้วเราไม่หล่นไปกันหมดแล้วเหรอ"
เสด็จพ่อเพ่งพินิจอยู่สักพัก แต่จนแล้วจนรอดก็หาคำตอบให้เจ้าลูกสาวเจ้าปัญหาไม่ได้เสียที
"เอ้อ ลูกลองไปถามซีเรียเค้าเองก็แล้วกันนะ พ่อเองก็ไม่ค่อยถนัดเรื่องปัญหาอย่างนี้เท่าไหร่หรอก แต่ลองถามเกี่ยวกับแกรนด์วอลผืนน้ำแถวนี้ หรือเกี่ยวกับมวยปล้ำดูสิ ตอบไม่ได้ยกอาณาจักรให้เลยเอ้า"
"เอาไปทำไม อาณาจักรจิ๊บจ้อยแค่นี้"
"ไม่อยากได้ก็ต้องได้ล่ะนะ ก็หนูเป็นลูกพ่อนี่"
"เฮ้อ...สรุปเด็จพ่อก็ตอบหนูไม่ได้ก็ว่ามาเถอะ"
เตเต้หาวออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อนเนื่องจากพระองค์ต้องไปขุดหัวมันมาสำหรับปรุงมื้ออาหารเย็นตั้งแต่เช้า ก่อนจะเหยียดตัวลงไปนอนอีกครั้ง
"เชื่อเด็จพ่อเค้าเลย" เตเต้ทอดพระเนตรยังกองสินค้าที่เสด็จพ่อทรงซื้อมาอย่างไม่บันยะบันยัง "ซื้อของไร้สาระมาตั้งมากมายขนาดนี้ทั้งๆ ที่วังเราไม่มีปัญญาจ้างคนสวนมาเก็บผักเองด้วยซ้ำ เฮ้อ ถ้าเด็จแม่อยู่ด้วยคง..." เจ้าหญิงเตเต้ทรงหยุดความคิดนั้นไว้
"ช่างเหอะ"
องค์หญิงน้อยหลับตาลงพลางลูบคลำสร้อยไข่มุกบนคอก่อนจะสะบัดความคิดอันเศร้าหมองออกไปโดยนึกเรื่องอื่นขึ้นแทน
Edit log: June 13th, 2012: รีไรท์
ความคิดเห็น