ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    merMAID Princess!! เงือก เมด เจ้าหญิง ป่วน!

    ลำดับตอนที่ #23 : ชายหญิงสองคนอยู่ในห้องหับรโหฐาน = เด็กดีควรละไว้ในฐานที่เข้าใจ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.14K
      2
      29 เม.ย. 56

                    แครอล  ชูลเมคเกอร์  แม่บ้านรุ่นพี่  หัวหน้าเหล่าลูกเจี๊ยบฝึกหัดกลุ่มดอกแดนดิไลออน  อายุย่างเข้ายี่สิบได้ไม่กี่เดือนที่แล้วทำให้เธอกลายเป็นพี่สาวของทุกคนในกลุ่มไปโดยปริยาย  แต่เพราะอายุยี่สิบไปแล้วยังปราศจากชายหนุ่มมาหมายปองทำให้เธอเริ่มหวั่นใจพอสมควร  ทั้งที่หน้าตาของหล่อนก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไรหนักหนาเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมรุ่นที่ลาออกไปแต่งงานกันแล้วหลายคน  ผมบลอนด์ของเธอก็งามงดพอที่จะทำให้โดดเด่นท่ามกลางเหล่าเด็กผิวสีที่เป็นสมาชิกส่วนใหญ่ในกลุ่ม  แม้เธออาจจะดูเจ้าเนื้อไปเล็กน้อย  แต่ผิวของเธอก็ดูอิ่มเอิบเป็นสีชมพูดอมแดงสุขภาพดี  ซึ่งมันยังดีกว่าไม่มีอะไรเลยเหมือนครูฝึกเมลิซซ่า 

     

    อย่างไรก็ตาม  เธอก็อดกังวลใจเกี่ยวกับอนาคตสมรสเสียไม่ได้

     

    ครอบครัวเธออพยพมาจากเกาะทางใต้ที่เป็นอาณานิคมของอาณาจักรพ่อค้าอันมั่งคั่ง  บรรพบุรุษของหล่อนเมื่อสามรุ่นที่แล้วตั้งรกรากหากินกับเหล่ากะลาสีที่ใช้เกาะนั้นเป็นจุดแวะพักจอดเรือก่อนเดินทางต่อไปยังจักรวรรดิกลางอันเกรียงไกร  ทว่าหลังจากการเสื่อมถอยทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรพ่อค้ากับจักรวรรดิกลางอันเกรียงไกร  ทำให้เส้นทางเดินเรือที่เคยรุ่งเรืองซบเซาลงอย่างรวดเร็วจนครอบครัวของเธอต้องปิดกิจการโรงแรมหนีหนี้  อพยพกลับมายังบ้านเกิดเพียงเพื่อพบว่าอาณาจักพบ้านเกิดไม่มีที่ว่างให้พวกเขาอีกแล้ว  ฐานะครอบครัวย่ำแย่อย่างรวดเร็วจนจนถึงต่ำสุดในรุ่นของเธอ  จนถึงขนาดต้องมาทำงานเป็นสาวใช้เช่นนี้ 

     

    แม้ว่าตัวเธอจะเกิดที่หมู่เกาะนั่น  แต่หล่อนแทบไม่มีเยื่อใยต่อสถานที่เกิดเลยสักนิด  ตั้งแต่จำความได้  แครอลก็ต้องพบแต่กับสภาพอาภัพของครอบครัวในสลัมเสื่อมโทรมของอาณาจักรพ่อค้า  ที่บิดาไม่ทำอะไรนอกจากพร่ำพรรณาถึงอดีตอันหอมหวานพลางเอาแต่ซดเหล้าเมาสุราไปวัน ๆ ปล่อยให้ผู้เป็นมารดาและตัวหล่อนต้องทำงานมาให้

     

    ถึงมันก็เป็นเพียงเรื่องอันแสนเศร้าในอดีต  เมื่อทั้งบิดาและมารดาของแครอลได้จบชีวิตลงจากอุบัติเหตุอันน่าเศร้าเมื่อบ้านที่พวกเธออาศัยอยู่ถล่มลงมาไม่กี่ปีที่แล้ว  แต่มันก็เหมือนกับเป็นการปลดปล่อยเธอจากอดีตอันน่าขมขื่นนั่นไปเสีย 

     

    บัดนี้เหลือแต่เพียงปัญหาไร้คู่ครองเท่านั้นที่ยังคงตามหลอกหลอนหล่อนอยู่  ทว่ามันไม่เป็นไรหรอก  หน้าที่ในตอนนี้ของแครอลมันก็ไม่เลวเลยทีเดียว  ได้ถึงกับมีหน้าที่ใกล้ชิดกับเหล่าชนชั้นสูงแล้วทั้งที  คุ้มแล้วกับการฝ่าฟันต้องอดทนฝึกฝนมานาน 

     

    ตามปรกติเด็กฝึกงานที่โรงเรียนงานบ้านงานเรือนแห่งอาณาจักรนั้น  เมื่อฝึกได้สักระยะจนมีความชำนาญแล้วจะถูกบรรจุเข้าฝึกงานประจำที่วิทยาลัยโซเฟียตามตำแหน่งต่าง ๆ ตั้งแต่คนครัวเตรียมอาหาร  ไปจนถึงแม่บ้านประจำตัวเรือนที่ทำงานทำความสะอาดทั่วไป

     

                    ทว่านอกจากพวกที่ทำงานทั่วไปแล้วยังมีเหล่าแม่บ้านและพ่อบ้านอีกจำพวกหนึ่งที่มีหน้าที่พิเศษออกไป  มีหน้าที่รับใช้และติดตามเหล่านักเรียนแห่งวิทยาลัยโซเฟียเป็นการส่วนตัว  ส่วนใหญ่ผู้ที่จะมาทำหน้าที่นี้มักเป็นแม่บ้านหรือพ่อบ้านระดับหัวกระทิของเหล่าลูกเจี๊ยบทั้งหลาย  เป็นผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์แขนงการรับใช้ขั้นสูง  ซึ่งแครอลก็เป็นถึงหัวหน้ากลุ่มนับได้ว่าเป็นเครื่องพิสูจน์ความเก่งกาจของหล่อนในขั้นหนึ่งเลยทีเดียว  เรียกได้ว่าแครอลภูมิใจกับสิ่งนี้ไม่น้อย

     

    ทั้งที่เหล่าผู้มีพรแสวงต้องใช้เวลาและความพยายามในการไขว่ขว้าพิสูจน์ฝีมือจนก้าวมาถึงขั้นนี้ได้  ก็มีคนอีกพวกหนึ่งที่ดูจะลัดขั้นตอนทุกอย่างมาถึงขั้นนี้ได้ด้วยเหตุผลบางประการ...

     

                    กฎข้อที่ 31 ระบุไว้ว่านักเรียนแห่งวิทยาลัยโซเฟียสามารถยื่นความจำนงระบุตัวพ่อบ้านหรือแม่บ้านที่จะมาทำงานเป็นคนรับใช้ผู้ติดตามได้

     

                    ตามปรกติแล้วเหล่านักศึกษาชั้นสูงมักจะไม่ใคร่ที่จะสนใจถึงแม่บ้านหรือพ่อบ้านผู้ติดตามเสียเท่าไหร่  จึงมักจะให้ทางวิทยาลัยจัดหามาให้  แต่ในบางกรณีก็มีบ้างที่ทางนักเรียนจะเจาะจงระบุตัวคนรับใช้ผู้ติดตามเป็นรายตัวไป 

     

                    และแน่นอนว่ามันมีไม่กี่เหตุผลนักหรอกที่บรรดาเหล่าชนชั้นสูงทั้งหลาย  โดยเฉพาะเหล่านักศึกษาชาย  จะเจาะจงยื่นขอตัวคนรับใช้ผู้ติดตามหญิงสาวคนนั้นหรอก!

     

                    และเจ้าลูกเจี๊ยบอย่างที่ว่าก็กำลังเดินตามหลังหล่อนไม่ห่าง  กลิ่นน้ำหอมหลังจากอาบน้ำไม่นานหอมฟุ้งหอมโชยไปทั่ว  ท่าทางด้านวิทยาลัยจะทราบถึงความจริงข้อนี้ดีจึงจัดการอาบน้ำขัดตัวพรมน้ำหอมให้อย่างเสร็จสรรพราวกับเป็นกุ๊กชั้นเลิศปรุงแต่งอาหารเลิศรสสำหรับค่ำคืนนี้ของเจ้าชายแห่งอาณาจักรข้าวเจ้า  ผู้ที่ยื่นขอเจ้าลูกเจี๊ยบคนนี้มา

     

                    สำหรับแครอลแล้วเธอรู้สึกทุเรศใจอย่างบอกไม่ถูกที่ต้องมาเป็นผู้นำทางเจ้าหล่อนไปถวายตัวเยี่ยงนี้  นอกจากจะรู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นแม่เล้าแล้ว  เธอยังรู้สึกรังเกียจยายเด็กนี่เสียยิ่งกว่าเจ้าผู้รับเหมาก่อสร้างที่ปล่อยให้ตึกพังนั่นเสียอีก  มันคงไปโปรยเสน่ห์ยั่วยวนอีท่าไหนแน่นอน  ถึงได้ขนาดมีคำสั่งด่วนให้ตามเจ้าเด็กนี่มา  เธอจำได้ตอนที่หัวหน้าพ่อบ้านเที่ยวค้นหาไปทั่วว่ายายเด็กที่ว่านั่นเป็นใคร  มาจากไหน  ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหล่อนและคนอื่นก็ไม่มีใครรู้  จนสุดท้ายแล้วถึงได้ทราบว่าเป็นเจ้าลูกเจี๊ยบที่เพิ่งมาใหม่

     

                    แว่บแรกที่เธอมอง  นอกจากดวงตาสีฟ้าสวยนั่นแล้วหล่อนก็มองไม่ออกเลยว่าเธอสวยอย่างไร  ดูก็เหมือนเด็กกระเปี๊ยกธรรมดาคนหนึ่ง  ให้ตายสิ  ถ้าไม่ยายลูกเจี๊ยบนี่จะร้ายกาจกว่าที่เห็นก็คงต้องเป็นเจ้าชายข้าวเจ้าที่ว่าต้องมีรสนิยมพิลึกสุด ๆ ก็เป็นได้... 

     

    อย่างไรเสียเจ้าชายนั่นก็มาจากต่างแดน  ถ้ามีรสนิยมผิดเพี้ยนไปจากผู้คนของอาณาจักรพ่อค้ามันก็คงไม่แปลก

     

    หลังจากเดินผ่านทางเดินที่ผนังถูกประดับประดาด้วยลวดลายเปลือกหอยโค้งทองอร่ามจนน่าเวียนหัวมาได้สักพัก  ในที่สุดพวกหล่อนทั้งสองก็มาหยุดตรงหน้าประตูห้องแห่งหนึ่ง  บริเวณข้างเคียงมีรูปปั้นนางฟ้าขนาดเท่าคนจริงยืนบิดร่างอรชรอย่างงดงาม 

     

    เมื่อถึงหน้าห้องเป้าหมายแล้ว  แครอลก็เอ่ยปากพูดกับเด็กสาวผู้นั้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดินมาด้วยกัน

     

    อาคารส่วนตะวันตกทั้งหมดนี้จะเป็นส่วนของหอพักนักศึกษา  จำทางเดินกับห้องนี้ไว้ให้ดีล่ะ  เพราะเธอจะต้องมาที่นี่ทุกเช้า  เดี๋ยวรายละเอียดการปฏิบัติตนเบื้องตนฉันจะสอนให้ทีหลัง  ตอนนี้เธอแค่เข้าไปถวายตัวเข้ารับใช้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว  แต่ในใจของแครอลได้แต่นึกว่าสงสัยหล่อนคงต้องยืนรอตรงนี้อีกนานแน่นอนเลย  หล่อนยืนมองดวงจันทร์เต็มดวงนอกหน้าต่างก็พลางกลุ้มใจ

     

                    แทนที่เธอจะได้ช่วยงานเลี้ยงเล็ก ๆ ที่กำลังจะมีอยู่ข้างล่าง  เธอกลับต้องมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กแทนซะนี่ 

     

    แครอลยืนสำรวจร่างกายสาวน้อยนั่นจากหัวจรดหางอีกครั้งอย่างเหยียดหยาม 

     

    เธอนี่นะ...  ฉันล่ะอิจฉาเหลือเกินที่เธอเข้ามาเป็นผู้ติดตามได้ง่าย ๆ อย่างนี้  ทั้งที่ฉันกับอีกตั้งหลายคนต้องฝึกกันแทบตายกว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้  อยากรู้เหลือเกินว่าเธอทำอย่างไรกัน

     

    กระนั้นสาวน้อยที่ว่ากลับไม่มีท่าทางอารมณ์เสียตามที่แครอลหวังเอาไว้  สาวน้อยร่างเล็กในชุดแม่บ้านสีดำคาดผ้ากันเปื้อนขาวยังคงจ้องมองประตูตรงหน้าอย่างไม่ไหวติง  ราวกับคำพูดของแครอลเป็นเพียงเสียงนกกาโดยรอบ

     

    หึ... ทำเป็นได้ใจไป  ฉันล่ะเห็นตัวอย่างแบบเธอมามากแล้วล่ะ  สุดท้ายแล้วก็ต้องมานั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่าแทบทุกราย  แล้วก็ต้องเหนื่อยพวกหัวหน้ากลุ่มอย่างฉันที่ต้องคอยตามล้างตามเช็ดให้

     

    เด็กสาวคนนั้นเพียงแค่หันมาจ้องแครอลอย่างไม่กระพริบตา  มันไม่ใช่แววตาที่โกรธเกรี้ยวจากคำพูดของเธอ  หรือเป็นแววตาแห่งความกลัวถึงอนาคตอันใกล้  แต่เป็นแววตามุ่งมั่นของคนที่ได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างไปแล้ว 

     

    แครอลได้แต่อ้ำอึ้งสักพักก่อนจะกลับมาทำท่าขึงขังตามเดิม 

     

    เอาเถิด  ฉันเตือนเธอแล้วนะ 

     

    แม่บ้านรุ่นพี่กล่าวก่อนจะเคาะประตูไม้มะฮ็อคกะนี  เป็นสัญญาณเริ่มต้นของค่ำคืนอันแสนยาวนานของเจ้าหญิงพระองค์นี้

     

    ..........................

    .................

    ........

    ....

     

    คำเตือนของทั้งซีเรียและเมลิซซ่าดังก้องอยู่ในโสตประสาทตลอดเวลานับตั้งแต่ย่างเท้าเข้าสู่กำแพงปราสาท  ซีเรียและเมลิซซ่าเองเป็นแม่บ้านสาวผู้เจนจัดในงานการย่อมรู้ความจริงที่เตเต้กำลังเผชิญได้ดีอยู่แล้ว  แต่การหลบเลี่ยงคำสั่งเรียกตัวจากทางวิทยาลัยย่อมหมายถึงทั้งตัวองค์หญิงและซีเรียเองจะพลาดโอกาสเข้าเรียนไปตลอดกาล  ดีไม่ดีอาจจะถูกตามล่าตัวจากทางการเนื่องจากเป็นการทำให้ทางวิทยาลัยต้องเสียหน้า 

     

    ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเตเต้ได้ทรงตัดสินพระทัยแน่วแน่แล้วในเรื่องนี้

     

    เธอจะไปคุยกับเจ้าชายนั่นให้รู้เรื่องรู้ราวไปเลยว่าอะไรเป็นอะไร

     

    ทว่าเมื่อประตูไม้ข้างหลังปิดตัวลง  แสงเทียนจากโคมแชนเดอเลียด้านนอกก็ดับวูบลงไปด้วย  เหลือแต่เพียงแสงไฟสีส้มสลัวจากโคมไฟและกลิ่นธูปแปลก ๆ ที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน

     

    ภายในห้องนั้นกว้างขวาง  แม้จะมืดสลัวจนดูน่าขนลุก  แต่ก็พอมองออกว่าภายในห้องถูกตกแต่งด้วยลวดลายอย่างงดงาม... จนรู้สึกว่ามันจะนอนหลับได้หรือกับห้องเช่นนี้ 

     

    นอกจากเตียงที่มีเสาสี่เสาและม่านรายล้อมแล้ว  ยังมีอุปกรณ์ตกแต่งห้องผิดแผกที่ดูไม่เข้ากับรูปแบบศิลปะของห้องแม้แต่น้อย  ตั้งแต่หมอนสามเหลี่ยมยาว  โต๊ะตัวเล็กที่มีรูปปั้นของเทพต่างถิ่น พร้อมดอกไม้ธูปเทียนบูชา  เตเต้ทรงจำได้แม่นว่าของเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วคือข้าวของที่ต้องขนย้ายอย่างยากลำบากนั่นเอง

     

    ดูเหมือนว่าจะเจอโจทก์ที่สงสัยมานานเข้าให้เสียแล้ว

     

    ระหว่างที่สำรวจห้องอยู่ซีกหนึ่ง  เสียงคนเกาศีรษะก็ดังมาจากมุมมืดอีกฟากหนึ่ง 

     

    เพลานี้คงต้องใช้คำว่า  ราตรีสวัสดิ์  สินะ  แม่นางฟ้าแห่งหอสมุด

     

    เงาตะคุ่มของชายผู้หนึ่งนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ที่ดูคล้ายบัลลังก์อย่างสบายใจ  แสงสีส้มอ่อนจากตะเกียงอยู่บนโต๊ะข้างเคียงส่องแสงให้ใบหน้าของเจ้าชายที่คุ้นเคยปรากฎเด่นชัดท่ามกลางเงามืดที่ปิดบังอีกซีกหน้าหนึ่งไว้  บนศีรษะนั้นปรากฎถึงผมทรงมหาดไทยไร้วี่แววของวิกสีขาวที่เตเต้เคยเห็น  เสื้อที่สวมใส่บัดนี้เหลือเพียงเสื้อเชิ๊ตสีขาวที่ถูกปลดกระดุมไว้อย่างลวก ๆ

     

    แม่นางฟ้าแห่งหอสมุด... นั่นคงหมายถึงตัวเธอกระมัง  แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เตเต้จะทรงใส่ใจนัก

     

    กระหม่อม  เตเต้  ตาลอสติเตส  มาถวายตัวรับใช้ฝ่าบาทเพคะ  เตเต้ถอนสายบัวตามที่รุ่นพี่แครอลได้สอนไว้อย่างทุลักทุเล  แต่มันก็ดูไม่เลวนักสำหรับผู้ที่ค่อยได้ก้มหัวให้ผู้อื่นเสียเท่าไหร่

     

    ถอนสายบัวหรือ  เพ่งพินิจกี่หนก็มิเคยชินเสียที...

     

    คิ้วของเตเต้กระตุกเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากเจ้าชายนั่น 

     

    แล้วจะให้หม่อมฉันปฏิบัติเช่นใดเพคะ ? 

     

    ตามปรกติแล้วที่อาณาจักรเราจะต้องหมอบคลานมากราบกับพื้น  แต่เอาเถิด  ถือว่าเป็นการเรียนรู้ถึงความศิวิไลซ์ของชาวตะวันตกก็แล้วกัน

     

    แม้แต่ในเวลานี้เจ้าชายแห่งอาณาจักรข้าวเจ้ายังไม่วายที่จะเอ่ยถึงคำว่า "ศิวิไลซ์" ออกมา  ราวกับว่าหากไม่กล่าวออกมาแล้วจะขาดใจตายเสียในบัดดล

     

    เตเต้ไม่อยากให้ต้องเสียเวลาอีก  ดังนั้นหล่อนจึงตั้งใจที่จะเข้าเรื่องโดยไว

     

    ทว่าเรื่องมันไม่ง่ายเช่นนั้น

     

    ประเดี๋ยวก่อน  เรายังมิได้บอกนามของเราเลยใช่ไหม  แน่นอนว่านามเต็มของเราออกเสียงได้ยากมากในภาษากลาง  เพราะเหตุนี้เรียกเราแค่ว่า  องค์ชาย  ก็เพียงพอแล้ว  องค์ชายยิ้มออกมาเล็กน้อย อีกอย่าง  เจ้าเองไม่ต้องใช้ราชาศัพท์กับเราก็ได้  เคยได้สดับฟังมาว่าคำราชาศัพท์นั้นเป็นวัฒนธรรมของทางตะวันออกมากกว่าทางตะวันตก  เพื่อความมีอารยะเราขอสนทนากับเจ้าด้วยภาษากลางเฉกเช่นเดียวกับปุถุชนทั่วไปดีกว่า

     

    ความมีอารยะ... อีกคำโปรดขององค์ชายแห่งอาณาจักรข้าวเจ้า  แต่มันก็ยังดีกว่าที่ต้องพูดคำราชาศัพท์แสนยากนั่น  เพราะเหตุนี้แล้วเตเต้จึงไม่ทรงคิดอยากจะขัดข้อนี้เสียเท่าไหร่  แค่นี้การสื่อสารกับเจ้าชายผู้ไม่เชี่ยวชาญด้านภาษากลางก็ลำบากอยู่แล้ว  ยิ่งต้องใช้คำราชาศัพท์คงไม่ต้องได้คุยกันอย่างภาษาคนกันพอดี

     

    เป็นพระกรุณาอย่างสูงเลยค่ะ  ทีนี้ดิฉันเองก็มีเรื่องอยากจะขอร้ององค์ชาย...

     

    ก่อนที่องค์หญิงน้อยจะกล่าวจบ  องค์ชายก็พูดขัดออกมา  อื้อ  ก่อนเราจะสนทนากันต่อ  คอเราช่างแห้งนัก  ช่วยหยิบเหยือกน้ำตรงหัวมุมเตียงมาให้หน่อยสิ  ตรงข้ามกับทิศที่ทั้งสองคุยกันอยู่  บริเวณโต๊ะข้างเตียงมีเหยือกน้ำพร้อมแก้ววางอยู่สำหรับดื่มดับกระหาย

     

    แม้จะรู้สึกหงุดหงิดแค่ไหน  แต่เตเต้ก็ไม่อยู่ในสถานะที่จะปฏิเสธได้  เมื่อตัวเองเป็นเพียงแม่บ้าน  อีกทั้งจะต้องขอร้ององค์ชายให้ช่วยเรื่องของตนอีก  เตเต้ได้แต่หวังว่าเจ้าชายผู้นี้จะรับฟังเรื่องราวของตนพลางเดินหันหลังเพื่อจะไปหยิบเหยือกน้ำตามคำขอขององค์ชาย

     

    นั่นเป็นสิ่งที่เตเต้คิดผิดอย่างแรง

     

    ระหว่างที่จะหยิบเหยือกน้ำบนโต๊ะ  เงาดำทะมึนที่เกิดจากร่างกายบดบังแสงตะเกียงก็ทาบบังเบื้องหน้าอย่างชัดเจน  ทว่าแม้เจ้าหญิงแห่งอาณาจักรหอยกาบจะมีปฏิกิยาตอบโต้เร็วแค่ไหน  มันก็ไม่ท่วงทันอ้อมแขนที่เข้ามาโอบร่างของเตเต้ราวกับเป็นตุ๊กตาตัวน้อย

     

    แน่นอนว่าไม่มีใครอื่นนอกเสียจากองค์ชายแห่งอาณาจักรข้าวเจ้าที่ทำอะไรอุกอาจเช่นนี้

     

    องค์ชายจะทำอะไรคะ !?

     

    เตเต้พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้ทุ่มเจ้าชายไปได้อย่างฉิวเฉียด  ดังนั้นหล่อนถึงได้ถามคำถามที่ดูโง่ ๆ เช่นนั้นออกไปได้แทนที่จะจับทุ่มเยอรมันซูเพล็กซ์

     

    ก็เรายังมิได้พิสูจน์ให้เจ้ารู้ตามสัญญาเลยว่าเราเป็นเจ้าชายจริงแท้แค่ไหน  จะปล่อยให้เจ้าสงสัยก็กระไรอยู่ 

     

    ดิฉันเชื่อแล้วค่ะว่าองค์ชายเป็นเจ้าชายตัวจริง  ดังนั้นขอให้ปล่อยมือด้วย  ไม่เช่นนั้น...

     

    ไม่เช่นนั้นจะทำไมหรือ ?  องค์ชายกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความถูกอกถูกใจ

     

    ดูท่าการที่เจ้าชายพูดเช่นนั้นออกมาคงไม่ทราบถึงฤทธิ์ขององค์หญิงน้อยผู้นี้เสียแล้ว  องค์หญิงเตเต้ไม่ยอมให้ใครมาหยามเกียรติได้ถึงขนาดนี้โดยที่ไม่ฝากของแถมอะไรกลับไปด้วย  ถึงฝ่ายตรงข้ามจะเป็นเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ก็ตาม 

     

    เพื่อแสดงให้เห็นว่าคำว่า ไม่เช่นนั้น มันศักดิ์สิทธิ์เช่นไรเมื่อถูกเอ่ยออกมาจากปากของเธอ  เตเต้จึงจัดการขั้นเด็ดขาดกับเจ้าองค์ชายหื่นกามนี่เสียให้รู้แล้วรู้รอด 

     

    เสียงของร่างร่างหนึ่งกระทบกับเตียงอย่างจัง  บอกเป็นนัยน์ถึงผลลัพท์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

     

    ทุกอย่างดูคล้ายจะลงเอยเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา 

     

    เว้นเสียแต่ว่า —

     

    "เอ๋ ?"

     

    ผู้ที่ต้องลงไปนอนคว่ำอยู่บนเตียงอย่างหมดท่านั้นกลับเป็นองค์หญิงเตเต้! 

     

    มันกลับเป็นเตเต้ที่บัดนี้ถูกกดร่างให้นอนคว่ำอยู่บนเตียงฟูนุ่ม  โดยมีร่างขององค์ชายยืนคร่อมอีกที  มือขาวหยาบก้านขององค์ชายที่เกิดจากการฝึกฝนการใช้อาวุธมาอย่างช้านานพันธนาการข้อมือของสาวน้อยไว้เบื้องหลังอย่างแน่นหนา  เตเต้พยายามดิ้นอย่างสุดความสามารถ  แต่ดูคล้ายว่าแรงที่ส่งออกไปนั้นกลับไร้ผลอย่างสิ้นเชิง

     

    นี่มันยิ่งกว่าล็อคซับมิทชั่นเสียอีก

     

    นัยน์ตาของเตเต้เบิกโพลงด้วยความตื่นตกใจกับผลลัพท์ที่ผิดคาด  นอกจากพระผู้เป็นบิดาแล้ว  เตเต้ก็แทบไม่เคยแพ้ใครที่มีร่างกายพอกับตนเลยแม้แต่ครั้งเดียว  ขนาดคนที่ตัวใหญ่กว่าเช่นโจรลักพาตัวนั่นพระองค์ก็ทุ่มกระเด็นมาแล้ว 

     

    เตเต้แทบไม่อย่างเชื่อเลยว่าต้องมาแพ้ให้กับเจ้าชายเพี้ยน ๆ นี่

     

    ไม่นึกเลยว่าท่าที่ครูศิลปะการต่อสู้จากหมู่เกาะแห่งตะวันเคยสอนไว้จะใช้ทำอย่างอื่นนอกเสียจากป้องกันพวกลอบสังหารได้ 

     

    องค์ชายกล่าวพลางเริ่มโถมน้ำหนักตัวเข้ายังร่างบางที่ดูไม่ต่างจากลูกแกะน้อยในอุ้งมือหมาป่า  ริมฝีปากเริ่มซุกไซ้บนซอกคออย่างซุกซนราวกับกำลังค้นหาความหรรษาบนความโศกาของเจ้าหญิงน้อย

     

    เอาล่ะ  เรามาสร้างความสัมพันธ์อันแนบแน่นกันเถิด  แล้วแม่นางจะได้ทราบว่าเรานั้นเป็นเจ้าชายผู้มีเมตตาแค่ไหน


     


    @@@@@@@@@@@@@@@

     

     

     

    Edit Log: Oct 5th, 2008: จบตอนอย่างงง ๆ
    Edit Log: Oct 12th, 2008: แก้สำนวนเล็กน้อย
    Edit Log: Oct 17 th, 2008: เพิ่มในส่วนแครอลบ่นถึงเรื่องงานเลี้ยง
    Edit Log: April 27th, 2009: แก้คำผิดเล็กน้อย
    Edit Log: July 7th, 2011: มหกรรมรีไรท์
    Edit Log: April 29, 2013: รีไรท์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×