คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : ชายหญิงสองคนอยู่ในห้องหับรโหฐาน = เด็กดีควรละไว้ในฐานที่เข้าใจ
แครอล ชูลเมคเกอร์ แม่บ้านรุ่นพี่ หัวหน้าเหล่าลูกเจี๊ยบฝึกหัดกลุ่มดอกแดนดิไลออน อายุย่างเข้ายี่สิบได้ไม่กี่เดือนที่แล้วทำให้เธอกลายเป็นพี่สาวของทุกคนในกลุ่มไปโดยปริยาย แต่เพราะอายุยี่สิบไปแล้วยังปราศจากชายหนุ่มมาหมายปองทำให้เธอเริ่มหวั่นใจพอสมควร ทั้งที่หน้าตาของหล่อนก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไรหนักหนาเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมรุ่นที่ลาออกไปแต่งงานกันแล้วหลายคน ผมบลอนด์ของเธอก็งามงดพอที่จะทำให้โดดเด่นท่ามกลางเหล่าเด็กผิวสีที่เป็นสมาชิกส่วนใหญ่ในกลุ่ม แม้เธออาจจะดูเจ้าเนื้อไปเล็กน้อย แต่ผิวของเธอก็ดูอิ่มเอิบเป็นสีชมพูดอมแดงสุขภาพดี ซึ่งมันยังดีกว่าไม่มีอะไรเลยเหมือนครูฝึกเมลิซซ่า
อย่างไรก็ตาม เธอก็อดกังวลใจเกี่ยวกับอนาคตสมรสเสียไม่ได้
ครอบครัวเธออพยพมาจากเกาะทางใต้ที่เป็นอาณานิคมของอาณาจักรพ่อค้าอันมั่งคั่ง บรรพบุรุษของหล่อนเมื่อสามรุ่นที่แล้วตั้งรกรากหากินกับเหล่ากะลาสีที่ใช้เกาะนั้นเป็นจุดแวะพักจอดเรือก่อนเดินทางต่อไปยังจักรวรรดิกลางอันเกรียงไกร ทว่าหลังจากการเสื่อมถอยทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรพ่อค้ากับจักรวรรดิกลางอันเกรียงไกร ทำให้เส้นทางเดินเรือที่เคยรุ่งเรืองซบเซาลงอย่างรวดเร็วจนครอบครัวของเธอต้องปิดกิจการโรงแรมหนีหนี้ อพยพกลับมายังบ้านเกิดเพียงเพื่อพบว่าอาณาจักพบ้านเกิดไม่มีที่ว่างให้พวกเขาอีกแล้ว ฐานะครอบครัวย่ำแย่อย่างรวดเร็วจนจนถึงต่ำสุดในรุ่นของเธอ จนถึงขนาดต้องมาทำงานเป็นสาวใช้เช่นนี้
แม้ว่าตัวเธอจะเกิดที่หมู่เกาะนั่น แต่หล่อนแทบไม่มีเยื่อใยต่อสถานที่เกิดเลยสักนิด ตั้งแต่จำความได้ แครอลก็ต้องพบแต่กับสภาพอาภัพของครอบครัวในสลัมเสื่อมโทรมของอาณาจักรพ่อค้า ที่บิดาไม่ทำอะไรนอกจากพร่ำพรรณาถึงอดีตอันหอมหวานพลางเอาแต่ซดเหล้าเมาสุราไปวัน ๆ ปล่อยให้ผู้เป็นมารดาและตัวหล่อนต้องทำงานมาให้
ถึงมันก็เป็นเพียงเรื่องอันแสนเศร้าในอดีต เมื่อทั้งบิดาและมารดาของแครอลได้จบชีวิตลงจากอุบัติเหตุอันน่าเศร้าเมื่อบ้านที่พวกเธออาศัยอยู่ถล่มลงมาไม่กี่ปีที่แล้ว แต่มันก็เหมือนกับเป็นการปลดปล่อยเธอจากอดีตอันน่าขมขื่นนั่นไปเสีย
บัดนี้เหลือแต่เพียงปัญหาไร้คู่ครองเท่านั้นที่ยังคงตามหลอกหลอนหล่อนอยู่ ทว่ามันไม่เป็นไรหรอก หน้าที่ในตอนนี้ของแครอลมันก็ไม่เลวเลยทีเดียว ได้ถึงกับมีหน้าที่ใกล้ชิดกับเหล่าชนชั้นสูงแล้วทั้งที คุ้มแล้วกับการฝ่าฟันต้องอดทนฝึกฝนมานาน
ตามปรกติเด็กฝึกงานที่โรงเรียนงานบ้านงานเรือนแห่งอาณาจักรนั้น เมื่อฝึกได้สักระยะจนมีความชำนาญแล้วจะถูกบรรจุเข้าฝึกงานประจำที่วิทยาลัยโซเฟียตามตำแหน่งต่าง ๆ ตั้งแต่คนครัวเตรียมอาหาร ไปจนถึงแม่บ้านประจำตัวเรือนที่ทำงานทำความสะอาดทั่วไป
ทว่านอกจากพวกที่ทำงานทั่วไปแล้วยังมีเหล่าแม่บ้านและพ่อบ้านอีกจำพวกหนึ่งที่มีหน้าที่พิเศษออกไป มีหน้าที่รับใช้และติดตามเหล่านักเรียนแห่งวิทยาลัยโซเฟียเป็นการส่วนตัว ส่วนใหญ่ผู้ที่จะมาทำหน้าที่นี้มักเป็นแม่บ้านหรือพ่อบ้านระดับหัวกระทิของเหล่าลูกเจี๊ยบทั้งหลาย เป็นผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์แขนงการรับใช้ขั้นสูง ซึ่งแครอลก็เป็นถึงหัวหน้ากลุ่มนับได้ว่าเป็นเครื่องพิสูจน์ความเก่งกาจของหล่อนในขั้นหนึ่งเลยทีเดียว เรียกได้ว่าแครอลภูมิใจกับสิ่งนี้ไม่น้อย
ทั้งที่เหล่าผู้มีพรแสวงต้องใช้เวลาและความพยายามในการไขว่ขว้าพิสูจน์ฝีมือจนก้าวมาถึงขั้นนี้ได้ ก็มีคนอีกพวกหนึ่งที่ดูจะลัดขั้นตอนทุกอย่างมาถึงขั้นนี้ได้ด้วยเหตุผลบางประการ...
กฎข้อที่ 31 ระบุไว้ว่านักเรียนแห่งวิทยาลัยโซเฟียสามารถยื่นความจำนงระบุตัวพ่อบ้านหรือแม่บ้านที่จะมาทำงานเป็นคนรับใช้ผู้ติดตามได้
ตามปรกติแล้วเหล่านักศึกษาชั้นสูงมักจะไม่ใคร่ที่จะสนใจถึงแม่บ้านหรือพ่อบ้านผู้ติดตามเสียเท่าไหร่ จึงมักจะให้ทางวิทยาลัยจัดหามาให้ แต่ในบางกรณีก็มีบ้างที่ทางนักเรียนจะเจาะจงระบุตัวคนรับใช้ผู้ติดตามเป็นรายตัวไป
และแน่นอนว่ามันมีไม่กี่เหตุผลนักหรอกที่บรรดาเหล่าชนชั้นสูงทั้งหลาย โดยเฉพาะเหล่านักศึกษาชาย จะเจาะจงยื่นขอตัวคนรับใช้ผู้ติดตามหญิงสาวคนนั้นหรอก!
และเจ้าลูกเจี๊ยบอย่างที่ว่าก็กำลังเดินตามหลังหล่อนไม่ห่าง กลิ่นน้ำหอมหลังจากอาบน้ำไม่นานหอมฟุ้งหอมโชยไปทั่ว ท่าทางด้านวิทยาลัยจะทราบถึงความจริงข้อนี้ดีจึงจัดการอาบน้ำขัดตัวพรมน้ำหอมให้อย่างเสร็จสรรพราวกับเป็นกุ๊กชั้นเลิศปรุงแต่งอาหารเลิศรสสำหรับค่ำคืนนี้ของเจ้าชายแห่งอาณาจักรข้าวเจ้า ผู้ที่ยื่นขอเจ้าลูกเจี๊ยบคนนี้มา
สำหรับแครอลแล้วเธอรู้สึกทุเรศใจอย่างบอกไม่ถูกที่ต้องมาเป็นผู้นำทางเจ้าหล่อนไปถวายตัวเยี่ยงนี้ นอกจากจะรู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นแม่เล้าแล้ว เธอยังรู้สึกรังเกียจยายเด็กนี่เสียยิ่งกว่าเจ้าผู้รับเหมาก่อสร้างที่ปล่อยให้ตึกพังนั่นเสียอีก มันคงไปโปรยเสน่ห์ยั่วยวนอีท่าไหนแน่นอน ถึงได้ขนาดมีคำสั่งด่วนให้ตามเจ้าเด็กนี่มา เธอจำได้ตอนที่หัวหน้าพ่อบ้านเที่ยวค้นหาไปทั่วว่ายายเด็กที่ว่านั่นเป็นใคร มาจากไหน ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหล่อนและคนอื่นก็ไม่มีใครรู้ จนสุดท้ายแล้วถึงได้ทราบว่าเป็นเจ้าลูกเจี๊ยบที่เพิ่งมาใหม่
แว่บแรกที่เธอมอง นอกจากดวงตาสีฟ้าสวยนั่นแล้วหล่อนก็มองไม่ออกเลยว่าเธอสวยอย่างไร ดูก็เหมือนเด็กกระเปี๊ยกธรรมดาคนหนึ่ง ให้ตายสิ ถ้าไม่ยายลูกเจี๊ยบนี่จะร้ายกาจกว่าที่เห็นก็คงต้องเป็นเจ้าชายข้าวเจ้าที่ว่าต้องมีรสนิยมพิลึกสุด ๆ ก็เป็นได้...
อย่างไรเสียเจ้าชายนั่นก็มาจากต่างแดน ถ้ามีรสนิยมผิดเพี้ยนไปจากผู้คนของอาณาจักรพ่อค้ามันก็คงไม่แปลก
หลังจากเดินผ่านทางเดินที่ผนังถูกประดับประดาด้วยลวดลายเปลือกหอยโค้งทองอร่ามจนน่าเวียนหัวมาได้สักพัก ในที่สุดพวกหล่อนทั้งสองก็มาหยุดตรงหน้าประตูห้องแห่งหนึ่ง บริเวณข้างเคียงมีรูปปั้นนางฟ้าขนาดเท่าคนจริงยืนบิดร่างอรชรอย่างงดงาม
เมื่อถึงหน้าห้องเป้าหมายแล้ว แครอลก็เอ่ยปากพูดกับเด็กสาวผู้นั้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดินมาด้วยกัน
“อาคารส่วนตะวันตกทั้งหมดนี้จะเป็นส่วนของหอพักนักศึกษา จำทางเดินกับห้องนี้ไว้ให้ดีล่ะ เพราะเธอจะต้องมาที่นี่ทุกเช้า เดี๋ยวรายละเอียดการปฏิบัติตนเบื้องตนฉันจะสอนให้ทีหลัง ตอนนี้เธอแค่เข้าไปถวายตัวเข้ารับใช้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว” แต่ในใจของแครอลได้แต่นึกว่าสงสัยหล่อนคงต้องยืนรอตรงนี้อีกนานแน่นอนเลย หล่อนยืนมองดวงจันทร์เต็มดวงนอกหน้าต่างก็พลางกลุ้มใจ
แทนที่เธอจะได้ช่วยงานเลี้ยงเล็ก ๆ ที่กำลังจะมีอยู่ข้างล่าง เธอกลับต้องมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กแทนซะนี่
แครอลยืนสำรวจร่างกายสาวน้อยนั่นจากหัวจรดหางอีกครั้งอย่างเหยียดหยาม
“เธอนี่นะ... ฉันล่ะอิจฉาเหลือเกินที่เธอเข้ามาเป็นผู้ติดตามได้ง่าย ๆ อย่างนี้ ทั้งที่ฉันกับอีกตั้งหลายคนต้องฝึกกันแทบตายกว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้ อยากรู้เหลือเกินว่าเธอทำอย่างไรกัน”
กระนั้นสาวน้อยที่ว่ากลับไม่มีท่าทางอารมณ์เสียตามที่แครอลหวังเอาไว้ สาวน้อยร่างเล็กในชุดแม่บ้านสีดำคาดผ้ากันเปื้อนขาวยังคงจ้องมองประตูตรงหน้าอย่างไม่ไหวติง ราวกับคำพูดของแครอลเป็นเพียงเสียงนกกาโดยรอบ
“หึ... ทำเป็นได้ใจไป ฉันล่ะเห็นตัวอย่างแบบเธอมามากแล้วล่ะ สุดท้ายแล้วก็ต้องมานั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่าแทบทุกราย แล้วก็ต้องเหนื่อยพวกหัวหน้ากลุ่มอย่างฉันที่ต้องคอยตามล้างตามเช็ดให้”
เด็กสาวคนนั้นเพียงแค่หันมาจ้องแครอลอย่างไม่กระพริบตา มันไม่ใช่แววตาที่โกรธเกรี้ยวจากคำพูดของเธอ หรือเป็นแววตาแห่งความกลัวถึงอนาคตอันใกล้ แต่เป็นแววตามุ่งมั่นของคนที่ได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างไปแล้ว
แครอลได้แต่อ้ำอึ้งสักพักก่อนจะกลับมาทำท่าขึงขังตามเดิม
“เอาเถิด ฉันเตือนเธอแล้วนะ”
แม่บ้านรุ่นพี่กล่าวก่อนจะเคาะประตูไม้มะฮ็อคกะนี เป็นสัญญาณเริ่มต้นของค่ำคืนอันแสนยาวนานของเจ้าหญิงพระองค์นี้
..........................
.................
........
....
คำเตือนของทั้งซีเรียและเมลิซซ่าดังก้องอยู่ในโสตประสาทตลอดเวลานับตั้งแต่ย่างเท้าเข้าสู่กำแพงปราสาท ซีเรียและเมลิซซ่าเองเป็นแม่บ้านสาวผู้เจนจัดในงานการย่อมรู้ความจริงที่เตเต้กำลังเผชิญได้ดีอยู่แล้ว แต่การหลบเลี่ยงคำสั่งเรียกตัวจากทางวิทยาลัยย่อมหมายถึงทั้งตัวองค์หญิงและซีเรียเองจะพลาดโอกาสเข้าเรียนไปตลอดกาล ดีไม่ดีอาจจะถูกตามล่าตัวจากทางการเนื่องจากเป็นการทำให้ทางวิทยาลัยต้องเสียหน้า
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเตเต้ได้ทรงตัดสินพระทัยแน่วแน่แล้วในเรื่องนี้
เธอจะไปคุยกับเจ้าชายนั่นให้รู้เรื่องรู้ราวไปเลยว่าอะไรเป็นอะไร
ทว่าเมื่อประตูไม้ข้างหลังปิดตัวลง แสงเทียนจากโคมแชนเดอเลียด้านนอกก็ดับวูบลงไปด้วย เหลือแต่เพียงแสงไฟสีส้มสลัวจากโคมไฟและกลิ่นธูปแปลก ๆ ที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน
ภายในห้องนั้นกว้างขวาง แม้จะมืดสลัวจนดูน่าขนลุก แต่ก็พอมองออกว่าภายในห้องถูกตกแต่งด้วยลวดลายอย่างงดงาม... จนรู้สึกว่ามันจะนอนหลับได้หรือกับห้องเช่นนี้
นอกจากเตียงที่มีเสาสี่เสาและม่านรายล้อมแล้ว ยังมีอุปกรณ์ตกแต่งห้องผิดแผกที่ดูไม่เข้ากับรูปแบบศิลปะของห้องแม้แต่น้อย ตั้งแต่หมอนสามเหลี่ยมยาว โต๊ะตัวเล็กที่มีรูปปั้นของเทพต่างถิ่น พร้อมดอกไม้ธูปเทียนบูชา เตเต้ทรงจำได้แม่นว่าของเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วคือข้าวของที่ต้องขนย้ายอย่างยากลำบากนั่นเอง
ดูเหมือนว่าจะเจอโจทก์ที่สงสัยมานานเข้าให้เสียแล้ว
ระหว่างที่สำรวจห้องอยู่ซีกหนึ่ง เสียงคนเกาศีรษะก็ดังมาจากมุมมืดอีกฟากหนึ่ง
“เพลานี้คงต้องใช้คำว่า ราตรีสวัสดิ์ สินะ แม่นางฟ้าแห่งหอสมุด”
เงาตะคุ่มของชายผู้หนึ่งนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ที่ดูคล้ายบัลลังก์อย่างสบายใจ แสงสีส้มอ่อนจากตะเกียงอยู่บนโต๊ะข้างเคียงส่องแสงให้ใบหน้าของเจ้าชายที่คุ้นเคยปรากฎเด่นชัดท่ามกลางเงามืดที่ปิดบังอีกซีกหน้าหนึ่งไว้ บนศีรษะนั้นปรากฎถึงผมทรงมหาดไทยไร้วี่แววของวิกสีขาวที่เตเต้เคยเห็น เสื้อที่สวมใส่บัดนี้เหลือเพียงเสื้อเชิ๊ตสีขาวที่ถูกปลดกระดุมไว้อย่างลวก ๆ
แม่นางฟ้าแห่งหอสมุด... นั่นคงหมายถึงตัวเธอกระมัง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เตเต้จะทรงใส่ใจนัก
“กระหม่อม เตเต้ ตาลอสติเตส มาถวายตัวรับใช้ฝ่าบาทเพคะ” เตเต้ถอนสายบัวตามที่รุ่นพี่แครอลได้สอนไว้อย่างทุลักทุเล แต่มันก็ดูไม่เลวนักสำหรับผู้ที่ค่อยได้ก้มหัวให้ผู้อื่นเสียเท่าไหร่
“ถอนสายบัวหรือ เพ่งพินิจกี่หนก็มิเคยชินเสียที...”
คิ้วของเตเต้กระตุกเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากเจ้าชายนั่น
“แล้วจะให้หม่อมฉันปฏิบัติเช่นใดเพคะ ?”
“ตามปรกติแล้วที่อาณาจักรเราจะต้องหมอบคลานมากราบกับพื้น แต่เอาเถิด ถือว่าเป็นการเรียนรู้ถึงความศิวิไลซ์ของชาวตะวันตกก็แล้วกัน”
แม้แต่ในเวลานี้เจ้าชายแห่งอาณาจักรข้าวเจ้ายังไม่วายที่จะเอ่ยถึงคำว่า "ศิวิไลซ์" ออกมา ราวกับว่าหากไม่กล่าวออกมาแล้วจะขาดใจตายเสียในบัดดล
เตเต้ไม่อยากให้ต้องเสียเวลาอีก ดังนั้นหล่อนจึงตั้งใจที่จะเข้าเรื่องโดยไว
ทว่าเรื่องมันไม่ง่ายเช่นนั้น
“ประเดี๋ยวก่อน เรายังมิได้บอกนามของเราเลยใช่ไหม แน่นอนว่านามเต็มของเราออกเสียงได้ยากมากในภาษากลาง เพราะเหตุนี้เรียกเราแค่ว่า องค์ชาย ก็เพียงพอแล้ว” องค์ชายยิ้มออกมาเล็กน้อย “อีกอย่าง เจ้าเองไม่ต้องใช้ราชาศัพท์กับเราก็ได้ เคยได้สดับฟังมาว่าคำราชาศัพท์นั้นเป็นวัฒนธรรมของทางตะวันออกมากกว่าทางตะวันตก เพื่อความมีอารยะเราขอสนทนากับเจ้าด้วยภาษากลางเฉกเช่นเดียวกับปุถุชนทั่วไปดีกว่า”
ความมีอารยะ... อีกคำโปรดขององค์ชายแห่งอาณาจักรข้าวเจ้า แต่มันก็ยังดีกว่าที่ต้องพูดคำราชาศัพท์แสนยากนั่น เพราะเหตุนี้แล้วเตเต้จึงไม่ทรงคิดอยากจะขัดข้อนี้เสียเท่าไหร่ แค่นี้การสื่อสารกับเจ้าชายผู้ไม่เชี่ยวชาญด้านภาษากลางก็ลำบากอยู่แล้ว ยิ่งต้องใช้คำราชาศัพท์คงไม่ต้องได้คุยกันอย่างภาษาคนกันพอดี
“เป็นพระกรุณาอย่างสูงเลยค่ะ ทีนี้ดิฉันเองก็มีเรื่องอยากจะขอร้ององค์ชาย...”
ก่อนที่องค์หญิงน้อยจะกล่าวจบ องค์ชายก็พูดขัดออกมา “อื้อ ก่อนเราจะสนทนากันต่อ คอเราช่างแห้งนัก ช่วยหยิบเหยือกน้ำตรงหัวมุมเตียงมาให้หน่อยสิ” ตรงข้ามกับทิศที่ทั้งสองคุยกันอยู่ บริเวณโต๊ะข้างเตียงมีเหยือกน้ำพร้อมแก้ววางอยู่สำหรับดื่มดับกระหาย
แม้จะรู้สึกหงุดหงิดแค่ไหน แต่เตเต้ก็ไม่อยู่ในสถานะที่จะปฏิเสธได้ เมื่อตัวเองเป็นเพียงแม่บ้าน อีกทั้งจะต้องขอร้ององค์ชายให้ช่วยเรื่องของตนอีก เตเต้ได้แต่หวังว่าเจ้าชายผู้นี้จะรับฟังเรื่องราวของตนพลางเดินหันหลังเพื่อจะไปหยิบเหยือกน้ำตามคำขอขององค์ชาย
นั่นเป็นสิ่งที่เตเต้คิดผิดอย่างแรง
ระหว่างที่จะหยิบเหยือกน้ำบนโต๊ะ เงาดำทะมึนที่เกิดจากร่างกายบดบังแสงตะเกียงก็ทาบบังเบื้องหน้าอย่างชัดเจน ทว่าแม้เจ้าหญิงแห่งอาณาจักรหอยกาบจะมีปฏิกิยาตอบโต้เร็วแค่ไหน มันก็ไม่ท่วงทันอ้อมแขนที่เข้ามาโอบร่างของเตเต้ราวกับเป็นตุ๊กตาตัวน้อย
แน่นอนว่าไม่มีใครอื่นนอกเสียจากองค์ชายแห่งอาณาจักรข้าวเจ้าที่ทำอะไรอุกอาจเช่นนี้
“องค์ชายจะทำอะไรคะ !?”
เตเต้พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้ทุ่มเจ้าชายไปได้อย่างฉิวเฉียด ดังนั้นหล่อนถึงได้ถามคำถามที่ดูโง่ ๆ เช่นนั้นออกไปได้แทนที่จะจับทุ่มเยอรมันซูเพล็กซ์
“ก็เรายังมิได้พิสูจน์ให้เจ้ารู้ตามสัญญาเลยว่าเราเป็นเจ้าชายจริงแท้แค่ไหน จะปล่อยให้เจ้าสงสัยก็กระไรอยู่”
“ดิฉันเชื่อแล้วค่ะว่าองค์ชายเป็นเจ้าชายตัวจริง ดังนั้นขอให้ปล่อยมือด้วย ไม่เช่นนั้น...”
“ไม่เช่นนั้นจะทำไมหรือ ?” องค์ชายกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความถูกอกถูกใจ
ดูท่าการที่เจ้าชายพูดเช่นนั้นออกมาคงไม่ทราบถึงฤทธิ์ขององค์หญิงน้อยผู้นี้เสียแล้ว องค์หญิงเตเต้ไม่ยอมให้ใครมาหยามเกียรติได้ถึงขนาดนี้โดยที่ไม่ฝากของแถมอะไรกลับไปด้วย ถึงฝ่ายตรงข้ามจะเป็นเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ก็ตาม
เพื่อแสดงให้เห็นว่าคำว่า “ไม่เช่นนั้น” มันศักดิ์สิทธิ์เช่นไรเมื่อถูกเอ่ยออกมาจากปากของเธอ เตเต้จึงจัดการขั้นเด็ดขาดกับเจ้าองค์ชายหื่นกามนี่เสียให้รู้แล้วรู้รอด —
เสียงของร่างร่างหนึ่งกระทบกับเตียงอย่างจัง บอกเป็นนัยน์ถึงผลลัพท์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทุกอย่างดูคล้ายจะลงเอยเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา
เว้นเสียแต่ว่า —
"เอ๋ ?"
ผู้ที่ต้องลงไปนอนคว่ำอยู่บนเตียงอย่างหมดท่านั้นกลับเป็นองค์หญิงเตเต้!
มันกลับเป็นเตเต้ที่บัดนี้ถูกกดร่างให้นอนคว่ำอยู่บนเตียงฟูนุ่ม โดยมีร่างขององค์ชายยืนคร่อมอีกที มือขาวหยาบก้านขององค์ชายที่เกิดจากการฝึกฝนการใช้อาวุธมาอย่างช้านานพันธนาการข้อมือของสาวน้อยไว้เบื้องหลังอย่างแน่นหนา เตเต้พยายามดิ้นอย่างสุดความสามารถ แต่ดูคล้ายว่าแรงที่ส่งออกไปนั้นกลับไร้ผลอย่างสิ้นเชิง
นี่มันยิ่งกว่าล็อคซับมิทชั่นเสียอีก
นัยน์ตาของเตเต้เบิกโพลงด้วยความตื่นตกใจกับผลลัพท์ที่ผิดคาด นอกจากพระผู้เป็นบิดาแล้ว เตเต้ก็แทบไม่เคยแพ้ใครที่มีร่างกายพอกับตนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ขนาดคนที่ตัวใหญ่กว่าเช่นโจรลักพาตัวนั่นพระองค์ก็ทุ่มกระเด็นมาแล้ว
เตเต้แทบไม่อย่างเชื่อเลยว่าต้องมาแพ้ให้กับเจ้าชายเพี้ยน ๆ นี่
“ไม่นึกเลยว่าท่าที่ครูศิลปะการต่อสู้จากหมู่เกาะแห่งตะวันเคยสอนไว้จะใช้ทำอย่างอื่นนอกเสียจากป้องกันพวกลอบสังหารได้”
องค์ชายกล่าวพลางเริ่มโถมน้ำหนักตัวเข้ายังร่างบางที่ดูไม่ต่างจากลูกแกะน้อยในอุ้งมือหมาป่า ริมฝีปากเริ่มซุกไซ้บนซอกคออย่างซุกซนราวกับกำลังค้นหาความหรรษาบนความโศกาของเจ้าหญิงน้อย
“เอาล่ะ เรามาสร้างความสัมพันธ์อันแนบแน่นกันเถิด แล้วแม่นางจะได้ทราบว่าเรานั้นเป็นเจ้าชายผู้มีเมตตาแค่ไหน”
@@@@@@@@@@@@@@@
Edit Log: Oct 5th, 2008: จบตอนอย่างงง ๆ
Edit Log: Oct 12th, 2008: แก้สำนวนเล็กน้อย
Edit Log: Oct 17 th, 2008: เพิ่มในส่วนแครอลบ่นถึงเรื่องงานเลี้ยง
Edit Log: April 27th, 2009: แก้คำผิดเล็กน้อย
Edit Log: July 7th, 2011: มหกรรมรีไรท์
Edit Log: April 29, 2013: รีไรท์
ความคิดเห็น