คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : ชายหญิงบังเอิญเดินชนกัน ทะเลาะกัน และจบลงด้วยความรัก พล็อตนี้แม่ไม่ปลื้ม
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวทักเตเต้ด้วยภาษาที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ในตอนแรกเตเต้มิได้ฉุกคิดว่าคำพูดเหล่านั้นจะกล่าวกับตัวเธอเลยสักนิด แต่พอเริ่มมีรอบที่สองรอบที่สามโดยไม่เห็นใครคนอื่นในห้องก็ชักแน่ใจว่าคำพูดเหล่านั้นคงหมายถึงเธอ
เตเต้จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันไปเผชิญหน้ากับผู้ที่กำลังพยายามสื่อสารด้วยภาษาต่างด้าว
และองค์หญิงเตเต้ได้พบกับเด็กหนุ่มคนนั้น —
เขาเป็นเด็กหนุ่มผิวคล้ำอายุไล่เลี่ยกับหล่อนกำลังนั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายจนน่าหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าตัวข้าคือหนึ่งในใต้หล้าผู้ที่ไม่ต้องก้มหัวให้กับใคร นัยน์ตาสีดำขลับจับจ้องมองเตเต้ตาเป็นมัน ถ้าดูเผิน ๆ เตเต้อาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าหนุ่มนั่นเป็นคนบ้านเดียวกันด้วยซ้ำหากไม่ติดที่ภาษาประหลาดที่พรั่งพรูออกมาจากปากคู่นั้น
กระนั้นสิ่งที่ทำให้เตเต้ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจกลับเป็นการแต่งตัวสไตล์ชาวภาคพื้นทวีปตะวันตกที่ดูไม่เข้ากับร่างเล็กนั่นเสียเลย เสื้อนอกสีฟ้าเข้มใหญ่เกินตัวกับโบที่ถูกผูกพับเป็นจีบบริเวณต้นคอทำให้เขาดูคล้ายกับตุ๊กตาเด็กเล่นที่เตเต้เคยเอาไปเสียบโคลนเล่นเมื่อสมัยเด็ก และสิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มดูน่าขบเหลือเกินขันคือวิกสีขาวเป็นลอนยาวที่ดูใหญ่เทอะทะเกินศีรษะ
ถึงเตเต้จะไม่ใช่มืออาชีพทางด้านแฟชั่นเลิศหรูแห่งชนชั้นศักดินา แต่ก็หล่อนก็สามารถตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า —
เจ้าหมอนี่รสนิยมเห่ยเป็นบ้า!
ท่ามกลางความเงียบงันของหอสมุด ภาษาต่างด้าวก็ยังพรั่งพรูออกมาอย่างไม่หยุดหย่อนราวกับจะบังคับให้เตเต้เข้าใจให้ได้
สุดเตเต้ก็ทนไม่ไหว กล่าวตอบภาษากลางอย่างหงุดหงิดว่า
“โทษทีนะ นายพูดอะไรฉันฟังไม่รู้เรื่องเลย”
หลังจากที่ได้ยินภาษากลางที่เตเต้เอ่ยออกมา เจ้าหนุ่มนั่นก็พลันมีสีหน้ากลุ้มใจออกมาทันใด
“แม่นาง... ไม่ได้มาจากอาณาจักรข้าวเจ้าหรอกหรือ” ในที่สุดเจ้าหนุ่มก็เอ่ยภาษาที่เตเต้สามารถเข้าใจได้เสียที เตเต้พอฟังออกว่ามันเป็นภาษากลางที่ถูกต้องตามหลักไวยกรณ์ทุกประการ เพียงแต่สำเนียงนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความต่างด้าวอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามปั้นเสียงให้เหมือนกับเจ้าของภาษาแค่ไหนก็ตาม
เตเต้ส่ายหัวปฏิเสธ ทั้งชีวิตเตเต้ไม่เคยได้ยินชื่ออาณาจักรข้าวเจ้าที่ว่าแม้แต่น้อย จะให้บอกว่าหล่อนมาจากที่นั่นหรือเข้าใจสิ่งที่หมอนั่นพูดคงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
“น่าเสียดาย... เห็นท่าทางอย่างนั้นนึกว่าจะได้เจอคนถิ่นเดียวกันเสียอีก” เด็กหนุ่มเกาศีรษะพลางทำสีหน้าผิดหวัง
กระนั้นเตเต้กลับรู้สึกดีใจเหลือเกินที่เธอไม่ใช่คนที่เขาต้องการ ลางสังหรณ์บอกหล่อนว่าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเด็กหนุ่มให้มากความไปมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นความยุ่งยากจะถามหา
“งั้นฉันขอตัวก่อนแล้วกันนะ”
ทว่า —
“งั้น แม่นางมาจากที่แห่งหนใดเล่า” เขามิได้ปล่อยให้เตเต้จากไปโดยง่าย เด็กหนุ่มยังถามเตเต้ต่อด้วยสำเนียงอันพิลึกพิลั่นตามเดิม
“เกาะหอยกาบ” เตเต้รีบตัดบท “ถ้าไม่ว่าอะไรฉันขอตัวก่อน...”
“อย่าเพิ่งจรลีหนีไปไกลสิ”
“เอ่อ... ฉันมีงานอื่นต้องทำนะ”
“เอาน่า มาอยู่สนทนาเป็นเพื่อนกับเราหน่อย”
เขาเลื่อนเก้าอี้ข้างเคียงออกมาก่อนจะตบบนที่นั่งเบา ๆ เป็นการเชื้อเชิญให้เตเต้นั่ง
เตเต้มองเก้าอี้ตัวนั้นอย่างลังเล จะเอาอย่างไรดี เตเต้หันไปโดยรอบก็เห็นแต่กองหนังสือกับหอสมุดอันว่างเปล่า หลังจากแบกหนังสือแล้วเตเต้ก็ไม่ทรงทราบว่าจะต้องทำอะไรต่อไป —
พักเสียหน่อยคงจะไม่เป็นไรมั้ง
เตเต้เพิกเฉยต่อลางสังหรณ์ที่พยายามตะโกนแหกปากข้างหูว่าให้ออกห่างจากหมอนี่ให้ไกลที่สุด...
“จำไว้ แล้วเธอจะเสียใจ”
องค์หญิงน้อยเมินเก้าอี้ที่ชายหนุ่มอุตส่าห์เลื่อนให้ก่อนไปนั่งยังเก้าอี้ตัวตรงข้ามแทน
“อา... สนทนาระหว่างนั่งบนเก้าอี้ ช่างเป็นอะไรที่ศิวิไลซ์เสียจริง”
นอกจากสำเนียงแปร่งสุดขีดแล้ว เนื้อความที่เจ้าหนุ่มต้องการจะกล่าวถึงนั้นก็ยังยากที่จะเกินกว่าสามัญสำนึกของเตเต้จะเข้าใจได้ แต่นั่นมันจะไม่เท่ากับการที่ทั้งสองต่างนั่งจ้องตากันเสียอย่างตั้งเนิ่นนานโดยมิได้เอ่ยอะไรแม้แต่คำพูดเดียวจนหากทั้งสองเป็นปลากัดแล้วคงไม่แคล้วจะก่อวอดเสียตอนนี้ละกระมัง
ในที่สุดเตเต้ก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหว
“เอ้า ไหนบอกว่าจะคุยไง แล้วทำไมไม่เห็นพูดอะไรออกมาสักคำ”
ชายหนุ่มผู้นั้นเพียงเกาศีรษะภายใต้วิกหนาฟูนั่นอย่างไม่เข้าใจ “ก็เรารอเจ้าเป็นผู้เปิดหัวข้อสนทนาอยู่”
“ชวนคนอื่นคุยไม่พอ ต้องรอให้คนอื่นพูดก่อนอีกหรือ”
“เช่นนั้นหรอกหรือ” เจ้าหนุ่มกลับไปทำหน้าครุ่นคิดอีกครั้งราวกับเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจนัก “ถ้าอย่างนั้น เจ้าเล่าเรื่องอาณาจักรที่เจ้าจากมาให้เราฟังหน่อย”
“ให้ตายสิ...” ถึงเตเต้จะบ่น แต่ปากก็เล่าออกไปอย่างเต็มใจ นี่อาจจะเป็นครั้งแรกก็ได้ล่ะมั้งที่องค์หญิงทรงเล่าเรื่องบ้านเกิดให้ชาวต่างแดนฟัง แม้ว่าผู้ฟังผู้นั้นจะดูประหลาดเพียงใดก็ตาม
ทว่าคำตอบรับที่ได้จากชายหนุ่มผู้นั้นกลับทำให้เตเต้หงุดหงิดถึงที่สุด
“จากที่เจ้าเล่ามา แสดงว่าอาณาจักรของเจ้ายังไม่ศิวิไลซ์ใช่หรือไม่”
คิ้วของหล่อนกระตุกเต้นรำอย่างไม่มีสาเหตุ
“ที่พูดมาเมื่อครู่หมายความว่าไงกัน” แน่นอนว่าในใจย่อมมีคำพูดแถมท้ายมาด้วยว่า “ตอบให้ดี ๆ ล่ะ ไม่งั้นเจอดีแน่”
เจ้าหนุ่มนั่นมีสีหน้างงกับคำถามของเตเต้ราวกับว่าไม่รู้ตัวเลยว่าเพิ่งทำตัวเสียมารยาทใส่สาวน้อยไปหมาด ๆ “อ้าว เจ้าไม่สำเหนียกความหมายของคำว่า ศิวิไลซ์หรอกหรือ ตัวอย่างเช่นมหาจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่หรืออาณาจักรทั้งหลายตามภาคพื้นทวีปตะวันตก หรือจักรวรรดิกลางอันเกรียงไกรถือได้ว่ามีความก้าวหน้าทั้งทางด้านความรู้และอารยธรรมเป็นอย่างสูงถือเป็นตัวอย่างที่ดีของอาณาจักรที่ศิวิไลซ์แล้ว ส่วนอาณาจักรอื่นที่ยังล้าหลังเช่นอาณาจักรของเจ้ายังจัดอยู่ในกลุ่มที่ยังไม่ศิวิไลซ์ แน่นอนว่าอาณาจักรข้าวเจ้าของเราอาจจะยังไม่ถึงขั้นความมีศิวิไลซ์ แต่พวกเรากำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาไปสู่ความเป็นศิวิไลซ์ในอนาคต”
อย่างน้อยเตเต้นับคำว่า ศิวิไลซ์ ได้ถึง 4 ครั้งในประโยคที่กล่าวมา เจ้าหมอนี่ท่าทางจะยึดติดกับคำว่าศิวิไลซ์มากพอดู สงสัยแค่ได้ฟังคำนี้คงอิ่มทิพย์ได้กระมัง แต่มันก็ไม่ต้องรอนานนักที่ทำให้เตเต้เลื่อนเก้าอี้ผละตัวหนีออกไปเดี๋ยวนั้น
“ช้าก่อน เจ้าจะไปยังหนใด”
“ขอโทษนะ แต่ฉันเบื่อที่จะพูดกับนายแล้วล่ะ”
“กลับมาก่อน เดินหนีไประหว่างการสนทนาเช่นนี้ช่างไม่มีความเป็นศิวิไลซ์เสียเลย”
ศิวิไลซ์อีกแล้ว! จะอะไรของมันนักหนา เตเต้ทรงจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยความข้องใจ พลันสังเกตหนังสือเล่มหนาบนโต๊ะข้างกายเจ้าหนุ่มนั่น “คิดว่าอ่านหนังสือของรุสซาลแล้วจะทำให้ตัวเองดูเหนือกว่าคนอื่นอย่างนั้นหรือ”
องค์หญิงเพียงแค่ทรงคิดที่จะแดกดันกับพวกที่ชอบทำตัวหัวสูงทำตัวเป็นอ่านหนังสือศัพท์แสงยาก ๆ แล้วคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น แต่คำตอบที่เตเต้ได้รับกลับยิ่งน่าฉงนยิ่งกว่า
“รุสซาล หมายถึงนักปรัชญาชื่อดังคนนั้นเป็นผู้เขียนหนังสือเล่มนี้อย่างนั้นหรือ”
มันดึงความสนใจของเตเต้กลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว
“จะบอกว่าที่อ่าน ๆ มาเนี่ยไม่รู้เลยเหรอว่าอ่านอะไรอยู่”
ชายหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ เมื่อเตเต้สังเกตดี ๆ จะพบกับหนังสือเล่มเล็กอีกเล่มเขียนว่า พจนานุกรม ภาษากลาง – ข้าวเจ้า อีกด้วย “เรายังอ่านภาษากลางไม่แข็งนัก” ชายหนุ่มตอบอย่างเขินอายเล็กน้อย
“เห... จะบอกว่ากำลังก้าวสู่ความมีศิวิไลซ์ แต่ยังอ่านภาษากลางสู้ฉันที่มาจากบ้านป่าเมืองเถื่อนไม่ได้เนี่ยนะ”
เตเต้เดินกลับมานั่งตามเดิม...
ได้เวลาแหย่เจ้าหมอนี่คืนแล้ว!
ตรงกันข้ามกับองค์หญิง ชายหนุ่มผู้นั้นกลับเริ่มมีสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“บังอาจนัก เจ้าเป็นแค่ผู้หญิงริอาจสนทนาเยี่ยงนี้กับเรางั้นหรือ”
เจ้าหนุ่มขึ้นเสียงอย่างฉุนเฉียว ทว่าเตเต้ยังคงใช้วิชาการสนทนาที่เรียนรู้มาจากซีเรียควบคุมสถานการณ์นี้ได้อย่างเรียบร้อย
“นี่หรือคำว่าศิวิไลซ์ที่นายพูดถึงอยู่ตลอด ก่อนที่จะให้คนอื่นปฏิบัติตัวอย่างผู้มีอารยะ นายเองก็ต้องทำให้ตัวเองเป็นผู้มีอารยะเสียก่อนสิ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็ชะงักก่อนพยายามกลับไปตั้งหลักใหม่อีกรอบ
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจฮึดฮัดเบา ๆ ก่อนเริ่มพูดใหม่อีกรอบ คราวนี้น้ำเสียงมีความพยายามควบคุมโทนอารมณ์มากขึ้น
“แม้เราจะยังไม่เจนจัดภาษากลางมากนัก แต่เราก็กำลังศึกษาอยู่อย่างหนัก เพราะเหตุนี้เราถึงตัดสินใจมาเรียนยังที่นี่ เพื่อจะได้เรียนรู้ความก้าวหน้าหลากแขนงกลับไปพัฒนาบ้านเมืองของเราให้เจริญก้าวหน้าไม่แพ้พวกตะวันตกหรอก”
“นักเรียน ? หมายความว่านายเป็นนักเรียนของที่นี่อย่างนั้นหรือ”
“เป็นเช่นนั้นแล เราเป็นพระโอรสในกษัตริย์แห่งอาณาจักรข้าวเจ้า จ้าวผู้ครองแผ่นดินลุ่มแม่น้ำทั้งห้าแห่งแดนตะวันออกไกล ได้รับเชิญให้มาเข้าเรียนที่วิทยาลัยโซเฟียแห่งนี้นั่นเอง”
ชายหนุ่มผู้อวดอ้างตนเป็นถึงเจ้าชายของอาณาจักรที่องค์หญิงทรงไม่เคยได้ยินชื่อยืดอกขึ้นอย่างภาคภูมิโดยหวังว่าสาวใช้ตรงหน้าจะต้องลนลานตื่นตกใจกับฐานะของตน
ทว่าผลตอบรับกลับมิได้เป็นตามที่องค์ชายแห่งอาณาจักรข้าวเจ้าคาดการ เตเต้กลับนิ่งเฉยไร้ความตื่นเต้นสักนิด
“งั้นเหรอ” เตเต้เท้าคางมองเจ้าชายนั่นอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก “ถ้าอย่างนั้นฉันเองก็เป็นถึงรัชทายาทแห่งอาณาจักรหอยกาบ ผู้ครองผืนสมุทรทั้งสี่ทิศเหมือนกันนั่นล่ะ”
“รัชทายาทเช่นนั้นหรือ” เจ้าชายแห่งอาณาจักรข้าวเจ้ากล่าวพลางมองเรือนร่างขององค์หญิงน้อยด้วยสายตาสงสัย “เช่นนั้นแล้วไยเจ้าถึงใส่อาภรของสาวใช้ตะวันตกเล่า”
“เรื่องมันยาว ว่าแต่นายล่ะ คิดว่าใส่ชุดเสร่ออย่างนั้นแล้วจะทำให้เป็นเจ้าชายได้หรือ” เตเต้ชี้ไปยังชุดฟูฟ่องของเจ้าชายหนุ่ม
“เสียมารยาท ! นี่เป็นถึงอาภรแบบล่าสุดจากอาณาจักรน้ำหอมเชียวนะ”
“แต่อย่างไรเสียฉันก็คิดว่ามันดูเสร่ออยู่ดีนั่นล่ะ”
ระหว่างนั้นเองเตเต้สังเกตเห็นว่าเจ้าชายหนุ่มแห่งอาณาจักรข้าวเจ้าเกาศีรษะภายใต้วิกนั่นครั้งแล้วครั้งเล่าจนตัวเตเต้เองยังรำคาญแทนเลย
“นี่... ถ้ามันคันนักทำไมไม่ทอดเสียล่ะ”
“หมายถึงวิกเกศานี้นะหรือ” แม้ว่าองค์หญิงน้อยจะถามแล้วก็ตาม เจ้าชายยังคงเกาศีรษะแกรก ๆ ไม่หยุด “ก็คันอยู่หรอก แต่ผู้คนที่นี่สวมใส่กัน จะให้เราไม่ใส่ได้หรือ”
“จะบอกว่าต้องแต่งตามคนอื่นเพื่อความศิวิไลซ์อย่างนั้นสินะ”
“เจ้าตอบได้ถูกต้องแล้ว อย่างน้อยมันเป็นเครื่องพิสูจน์ก้าวแรกสู่ความมีอารยะ”
องค์ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างมั่นอกมั่นใจ ทว่าเตเต้กลับถอนหายใจให้กับความคิดนั้น
“ท่านเจ้าชายที่เคารพ ฉันจะถามอีกทีว่าการแต่งตัวเลียนแบบชาวตะวันตกจะทำให้มีความศิวิไลซ์ได้อย่างนั้นหรือ...”
กระนั้นคำพูดที่พรั่งพรูออกมาจากปากมิได้เอ่ยถึงองค์ชายตรงหน้าแต่เพียงผู้เดียว มันราวกับว่าเตเต้ได้มองตัวตนบางอย่างที่หลบซ่อนอยู่ลึกลงไป ถ้อยคำแต่ละคำที่กล่าวออกมาเพื่อจะสั่งสอนองค์ชายจองหองนั่นกลับสะท้อนย้อนมาหาตนอย่างไม่ปราณี —
“จริงสิ... เราเองก็เคยเป็นเหมือนเจ้าหมอนี่เช่นกัน —”
เจ้าชายพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นแทนที่จะมาเรียนที่นี่ให้เสียเวร่ำเวลา ทำไมถึงไม่จัดการซื้อเสื้อผ้าให้กับทุกคนในอาณาจักรของนายล่ะ ? ถ้าเกิดแค่สวมเสื้อผ้าแบบตะวันตกหรือทำอะไรแบบชาวตะวันตกแล้วจะถือว่ามีความศิวิไลซ์ที่ว่าได้นั่น”
“— ตอนที่เราเอาสิ่งที่เรามีไปเทียบกับคนอื่นแล้วคิดว่าการเป็นเจ้าหญิงคือต้องมีเสื้อผ้าหรูหรา บริวารติดตามใช้สอยมากมาย...”
“หากความศิวิไลซ์ในความหมายของนายคือสิ่งที่ว่าแล้ว ฉันว่ามันเป็นอะไรที่ไร้สาระมากเลยล่ะ”
“ให้ตายสิ ฉันเองก็โง่มาตั้งนานเหมือนกัน นาน ๆ ทีโดนตัวเองสั่งสอนก็ดีเหมือนกัน”
ราวกับแสงสว่างแห่งปัญญาสาดส่องมายังม้วนกระดาษในมือของนางเงือกตามภาพกระจกโมเสก ในที่สุดเศษตะกอนขุ่นมัวในพระทัยก็เหมือนกับจะถูกปัดเป่าออกไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ ความรู้สึกที่เคยหนักอยู่ในอกบัดนี้กลับเบาหวิวอีกคราราวกับเมื่อครั้นยังพำนักอยู่ที่บ้านเกิด... บ้านเกิดที่ไม่ต้องมีอะไรให้กังวลใจนอกจากเรื่องกระต่ายป่าจะแอบมาทำลายพืชผักที่อุตส่าห์เฝ้าดูแลอย่างทะนุถนอม
เจ้าชายหนุ่มเงียบไปสักครู่ ในที่สุดวิกฟูฟ่องก็ค่อย ๆ ถูกดึงลงมาวางไว้ข้างกาย เผยให้เห็นผมทรงมหาดไทยดำขลับเป็นครั้งแรก
“ไง ถอดออกแล้วสบายกว่าตั้งเยอะ ฉันว่าฝืนสวมใส่อะไรที่ไม่ใช่ของตัวมันจะแย่เปล่า ๆ หนทางแห่งความศิวิไลซ์ยังมีอีกมากมาย” องค์หญิงน้อยกล่าวอมยิ้มมุมปาก
“จริงอย่างที่เจ้าว่า...”
เจ้าชายทรงจมดิ่งในความคิดต่ออีกสักครู่ —
ก่อนจะหัวเราะชอบใจออกมาโดยไม่สนว่าตัวเองกำลังอยู่ในหอสมุดที่สมควรจะงดเว้นเสียงดังทั้งปวง
“ขำอะไรนัก”
“เปล่าหรอก พอดีเราเผลอเชื่อไปชั่วครู่เลยว่าเจ้าเป็นเจ้าหญิงจริง ๆ นะ”
“ก็ฉันเป็นเจ้าหญิงจริง ๆ นี่นา”
แต่ว่าองค์ชายแห่งอาณาจักรข้าวเจ้าไม่ได้สนใจคำพูดของคู่สนทนาที่อวดอ้างว่าเป็นเจ้าหญิงแม้แต่น้อย
“เจ้าเป็นหญิงคนแรกที่พูดจากกับเราเยี่ยงนี้ จงภูมิใจเสียเถิด”
“หึ... งั้นนายเองก็จงภูมิใจเสียที่ได้พูดอย่างนี้เป็นครั้งแรกกับฉันนะ” องค์หญิงยังคงแค่นกล่าวเสียงขึ้นปลายจมูก หารู้ไม่ว่านัยน์ตาสีนิลนั่นกำลังเริ่มแทะโลมเรือนร่างของเตเต้อย่างไม่เกรงใจ
“ขอทราบนามของเจ้าหน่อยได้หรือไม่” องค์ชายถาม
“เห... นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของก้าวแรกสู่ความเป็นอารยะเช่นกันหรือ”
“หามิได้ มันเป็นความใคร่อยากรู้ของเราเอง”
เตเต้ลังเลอยู่สักครู่ ก่อนจะเริ่มนึกอะไรพิเรนท์ออก ทันใดนั้นองค์หญิงน้อยยื่นมือออกไปพลางกล่าวด้วยถ้อยคำเลียนแบบองค์หญิงสูงศักดิ์ว่า —
“ถ้าท่านชายอยากทราบชื่อของเจ้าหญิงอย่างฉันคนนี้ ก็จงจุมพิตที่นิ้วมือนี้อย่างเคารพเฉกเช่นอัศวินพึงกระทำต่อเจ้าหญิงเสียก่อนสิ”
ดูจากท่าทางอันเย่อหยิ่งจองหองในคราวแรกแล้ว เตเต้ไม่ทรงคิดว่าเจ้าหมอนี่คงจะยอมทำตามสิ่งที่กล่าวมาหรอก
เพราะอย่างนั้นแล้วเตเต้จึงมิได้เตรียมตัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมา
เจ้าชายหนุ่มบรรจงประทับริมฝีปากบนฝ่ามือของเตเต้อย่างแผ่วเบา
“เอ๋”
ตอนแรกร่างของเตเต้กระตุกด้วยความตกใจ ก่อนที่จะจำยอมศิโรราบแก่ความรู้สึกแปลกใหม่ มันช่างแตกต่างกับความรู้สึกยามเมื่อเอเดรียนจุมพิตโดยสิ้นเชิง ความรู้สึกร้อนรุ่มยามเมื่อริมฝีปากชุ่มชื้นเริ่มบรรเลงสัมผัสผิวอย่างอ่อนโยนแล่นผ่านซาบซ่านไปตามท่อนแขนจนขนลุกซู่ ใบหน้าของเจ้าหญิงน้อยเริ่มมีสีเลือดฝาดแดงระเรื่อโดยที่ตัวเตเต้เองก็อธิบายไม่ถูก
เจ้าชายถอนริมฝีปากพร้อมชายตาขึ้นมองด้วยแววตาคมกริบ
“แล้วนามของเจ้าล่ะ”
เตเต้ยังคงอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น ปล่อยให้มือถูกกุมด้วยมือหนาต่อไป จนเมื่อเจ้าชายทวงถามรางวัลตอบแทนนั้น เตเต้ถึงจะรีบชักมือออกมา
“ต... เตเต้ ตาลอสติเตส”
องค์หญิงใจเต้นระรัวอย่างไม่หยุดหย่อนแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนทำเช่นนี้
“เตเต้งั้นหรือ เจ้ามีชื่อที่พิเศษดีนะ”
คำพูดที่แฝงด้วยน้ำเสียงล่อลวงทำเอาใจของสาวน้อยยิ่งเต้นโครมครามไม่หยุด และที่แย่ไปกว่านั้น เจ้าชายหนุ่มค่อย ๆ โน้มตัวเข้ามาหาพลางกระซิบอย่างแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงที่เตเต้ไม่มีวันลืม
“ถ้าเกิดเจ้ายังไม่เชื่อว่าเราเป็นเจ้าชาย คืนนี้จงมาเยี่ยมเราที่ห้องสิ เราจักได้พิสูจน์ให้เจ้าเห็น”
รอยยิ้มมุมปากดูเจ้าเล่ห์ราวหมาป่าหยอกกระต่ายเผยออกมาจนแม้แต่เจ้าหญิงเตเต้ผู้เก่งกล้ายังต้องเบือนหน้าหนี แต่ก็เพราะการกระทำของเจ้าชายนั่นทำให้เตเต้เหลือบไปเห็นพ่อบ้านจมูกเหยี่ยวที่กำลังจ้องหล่อนเขม็งราวอสูรร้ายเบื้องล่าง
“แย่แล้ว !” เตเต้รีบลุกขึ้นท่ามกลางคำทัดทานของเจ้าชายหนุ่มก่อนรีบวิ่งลงกระไดไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยทิ้งให้เจ้าชายหนุ่มนั่งมองแผ่นหลังบอบบางวิ่งห่างออกไป
...................................
...........................
................
....
ในช่วงเวลาไล่เรี่ยกัน เด็กหนุ่มผิวคล้ำผู้เป็นคนถิ่นเดียวกับองค์ชายก็เดินสวนขึ้นมา เขาก้มลงหมอบกราบกับพื้นทั้งที่ลมหายใจยังติดขัดไม่หาย ก่อนนั่งพับเพียบอยู่ที่ปลายเท้าขององค์ชายอย่างนอบน้อม
“ฝ่าบาทมาพักอยู่ที่นี่เองหรือพะยะค่ะ กระหม่อมตามหาฝ่าบาทมาตั้งนาน” เขาพูดกับองค์ชายด้วยภาษาบ้านเกิด
“จะพักที่ไหนมันก็เรื่องของเรา มิใช่โกงการของเจ้า !”
เพียงแค่เศษเสี้ยวของความกริ้วก็ทำให้เจ้าหนุ่มที่อยู่ปลายเท้ารีบก้มตัวหมอบกราบทันที
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า กระหม่อมไม่คิดตั้งใจที่จะ —”
เมื่อเห็นท่าทางอันน่าสมเพสของข้ารับใช้ องค์ชายจึงก็มีอารมณ์ดีขึ้นมาตามเดิม เขาให้บ่าวรับใช้เงยหน้าขึ้นก่อนจะสอบถามเรื่องธุระอื่นต่อ
“เออ แล้วเรื่องของห้องล่ะ จัดการไปถึงไหนแล้ว”
“เรียบร้อยแล้วพะยะค่ะ ตอนนี้กระหม่อม — อ๊ะ ?” ทว่าสายตาของบ่าวผู้นั้นก็พลันไปสบกับวิกหนาที่วางอยู่ไม่ห่าง “ฝ่าบาทไม่ทรงโปรดวิกนั่นแล้วหรือพะยะค่ะ?”
“อืมมม เราเพิ่งเรียนรู้มาว่าความมีศิวิไลซ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวิกหรือการแต่งตัวเหมือนพวกตะวันตกหรอก” องค์ชายกล่าวต่อไปโดยไม่ได้สังเกตสายตาละห้อยของบ่าวที่มองวิกขาวนั่น...
ก็บ่าวผู้นั้นต้องนั่งจัดมันบนหัวผู้เป็นนายแทบตายเมื่อเช้านี้ ตอนบ่ายกลับถูกถอดทิ้งอย่างไม่ไยดี จะไม่ให้เศร้าได้อย่างไร
“ดีล่ะ งั้นพาเราไปที่ห้องที” แต่ก่อนที่จะก้าวลุกออกจากโต๊ะ องค์ชายแห่งอาณาจักรข้าวเจ้าก็พลันนึกอะไรออกบางอย่าง
“อ้อ ใช่แล้ว... เรามีเรื่องให้เจ้าช่วยจัดการอีกอย่าง”
“กระหม่อมยินดีรับใช้พะยะค่ะ”
“เจ้าเคยพูดถึงเรื่องสาวใช้ประจำตัวที่ทางวิทยาลัยจะจัดหาให้ใช่ไหม ตอนนี้คิดว่าเรามีคำตอบให้แล้วล่ะ”
โดยที่ไม่สนใจท่าทางสับสนของบ่าวที่อยู่ปลายเท้า สายตาขององค์ชายจับจ้องภาพของสาวใช้ร่างบางที่กำลังถูกพ่อบ้านเจ้าระเบียบดุด่าอยู่กลางหอสมุด มือของเขาเอื้อมไปซ้อนทับกับภาพขององค์หญิงเบื้องล่างก่อนกำมือราวกับจะจับนกน้อยเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว
“เจ้าหนีเราไม่พ้นหรอก”
@@@@@@@@@@@@@@@
Edit Log: Sept 11th, 2008: จบตอน
"___________________": แก้คำผิด
Edit Log: Sept 15th, 2008: แก้สำนวน + แก้ลักษณะการเว้นตัว "ๆ"
Edit Log: Jan 23th, 2009: แก้บทสนทนาเล็กน้อย
Edit Log: July, 6th, 2011: มหกรรมรีไรท์
Edit Log: April, 27th, 2013: รีไรท์
ความคิดเห็น