ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    merMAID Princess!! เงือก เมด เจ้าหญิง ป่วน!

    ลำดับตอนที่ #20 : ชายหญิงบังเอิญเดินชนกัน ทะเลาะกัน และจบลงด้วยความรัก พล็อตนี้แม่ไม่ปลื้ม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.03K
      1
      27 เม.ย. 56

     

     

     

                    เด็กหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวทักเตเต้ด้วยภาษาที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

     

                    ในตอนแรกเตเต้มิได้ฉุกคิดว่าคำพูดเหล่านั้นจะกล่าวกับตัวเธอเลยสักนิด  แต่พอเริ่มมีรอบที่สองรอบที่สามโดยไม่เห็นใครคนอื่นในห้องก็ชักแน่ใจว่าคำพูดเหล่านั้นคงหมายถึงเธอ

     

                    เตเต้จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันไปเผชิญหน้ากับผู้ที่กำลังพยายามสื่อสารด้วยภาษาต่างด้าว

     

                    และองค์หญิงเตเต้ได้พบกับเด็กหนุ่มคนนั้น —

     

                    เขาเป็นเด็กหนุ่มผิวคล้ำอายุไล่เลี่ยกับหล่อนกำลังนั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายจนน่าหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก  ราวกับว่าตัวข้าคือหนึ่งในใต้หล้าผู้ที่ไม่ต้องก้มหัวให้กับใคร  นัยน์ตาสีดำขลับจับจ้องมองเตเต้ตาเป็นมัน  ถ้าดูเผิน ๆ เตเต้อาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าหนุ่มนั่นเป็นคนบ้านเดียวกันด้วยซ้ำหากไม่ติดที่ภาษาประหลาดที่พรั่งพรูออกมาจากปากคู่นั้น  

     

    กระนั้นสิ่งที่ทำให้เตเต้ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจกลับเป็นการแต่งตัวสไตล์ชาวภาคพื้นทวีปตะวันตกที่ดูไม่เข้ากับร่างเล็กนั่นเสียเลย  เสื้อนอกสีฟ้าเข้มใหญ่เกินตัวกับโบที่ถูกผูกพับเป็นจีบบริเวณต้นคอทำให้เขาดูคล้ายกับตุ๊กตาเด็กเล่นที่เตเต้เคยเอาไปเสียบโคลนเล่นเมื่อสมัยเด็ก  และสิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มดูน่าขบเหลือเกินขันคือวิกสีขาวเป็นลอนยาวที่ดูใหญ่เทอะทะเกินศีรษะ

     

                    ถึงเตเต้จะไม่ใช่มืออาชีพทางด้านแฟชั่นเลิศหรูแห่งชนชั้นศักดินา  แต่ก็หล่อนก็สามารถตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า —

     

                    เจ้าหมอนี่รสนิยมเห่ยเป็นบ้า!

     

                    ท่ามกลางความเงียบงันของหอสมุด  ภาษาต่างด้าวก็ยังพรั่งพรูออกมาอย่างไม่หยุดหย่อนราวกับจะบังคับให้เตเต้เข้าใจให้ได้

     

                    สุดเตเต้ก็ทนไม่ไหว  กล่าวตอบภาษากลางอย่างหงุดหงิดว่า

     

                    โทษทีนะ  นายพูดอะไรฉันฟังไม่รู้เรื่องเลย

     

                    หลังจากที่ได้ยินภาษากลางที่เตเต้เอ่ยออกมา  เจ้าหนุ่มนั่นก็พลันมีสีหน้ากลุ้มใจออกมาทันใด 

     

                    แม่นาง... ไม่ได้มาจากอาณาจักรข้าวเจ้าหรอกหรือ  ในที่สุดเจ้าหนุ่มก็เอ่ยภาษาที่เตเต้สามารถเข้าใจได้เสียที  เตเต้พอฟังออกว่ามันเป็นภาษากลางที่ถูกต้องตามหลักไวยกรณ์ทุกประการ  เพียงแต่สำเนียงนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความต่างด้าวอย่างเห็นได้ชัด  แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามปั้นเสียงให้เหมือนกับเจ้าของภาษาแค่ไหนก็ตาม

     

                    เตเต้ส่ายหัวปฏิเสธ  ทั้งชีวิตเตเต้ไม่เคยได้ยินชื่ออาณาจักรข้าวเจ้าที่ว่าแม้แต่น้อย  จะให้บอกว่าหล่อนมาจากที่นั่นหรือเข้าใจสิ่งที่หมอนั่นพูดคงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

     

                    น่าเสียดาย... เห็นท่าทางอย่างนั้นนึกว่าจะได้เจอคนถิ่นเดียวกันเสียอีก  เด็กหนุ่มเกาศีรษะพลางทำสีหน้าผิดหวัง

     

                    กระนั้นเตเต้กลับรู้สึกดีใจเหลือเกินที่เธอไม่ใช่คนที่เขาต้องการ  ลางสังหรณ์บอกหล่อนว่าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเด็กหนุ่มให้มากความไปมากกว่านี้  ไม่เช่นนั้นความยุ่งยากจะถามหา

     

                    งั้นฉันขอตัวก่อนแล้วกันนะ

     

                    ทว่า —

     

    งั้น  แม่นางมาจากที่แห่งหนใดเล่า  เขามิได้ปล่อยให้เตเต้จากไปโดยง่าย  เด็กหนุ่มยังถามเตเต้ต่อด้วยสำเนียงอันพิลึกพิลั่นตามเดิม 

     

                    เกาะหอยกาบ  เตเต้รีบตัดบท  ถ้าไม่ว่าอะไรฉันขอตัวก่อน...

     

                    อย่าเพิ่งจรลีหนีไปไกลสิ 

     

                    เอ่อ... ฉันมีงานอื่นต้องทำนะ

     

                    เอาน่า  มาอยู่สนทนาเป็นเพื่อนกับเราหน่อย

     

    เขาเลื่อนเก้าอี้ข้างเคียงออกมาก่อนจะตบบนที่นั่งเบา ๆ เป็นการเชื้อเชิญให้เตเต้นั่ง    

     

                    เตเต้มองเก้าอี้ตัวนั้นอย่างลังเล  จะเอาอย่างไรดี  เตเต้หันไปโดยรอบก็เห็นแต่กองหนังสือกับหอสมุดอันว่างเปล่า  หลังจากแบกหนังสือแล้วเตเต้ก็ไม่ทรงทราบว่าจะต้องทำอะไรต่อไป —

     

                    พักเสียหน่อยคงจะไม่เป็นไรมั้ง

     

                    เตเต้เพิกเฉยต่อลางสังหรณ์ที่พยายามตะโกนแหกปากข้างหูว่าให้ออกห่างจากหมอนี่ให้ไกลที่สุด...

     

                    จำไว้  แล้วเธอจะเสียใจ

     

                    องค์หญิงน้อยเมินเก้าอี้ที่ชายหนุ่มอุตส่าห์เลื่อนให้ก่อนไปนั่งยังเก้าอี้ตัวตรงข้ามแทน

     

                    อา... สนทนาระหว่างนั่งบนเก้าอี้  ช่างเป็นอะไรที่ศิวิไลซ์เสียจริง

     

                    นอกจากสำเนียงแปร่งสุดขีดแล้ว  เนื้อความที่เจ้าหนุ่มต้องการจะกล่าวถึงนั้นก็ยังยากที่จะเกินกว่าสามัญสำนึกของเตเต้จะเข้าใจได้  แต่นั่นมันจะไม่เท่ากับการที่ทั้งสองต่างนั่งจ้องตากันเสียอย่างตั้งเนิ่นนานโดยมิได้เอ่ยอะไรแม้แต่คำพูดเดียวจนหากทั้งสองเป็นปลากัดแล้วคงไม่แคล้วจะก่อวอดเสียตอนนี้ละกระมัง 

     

    ในที่สุดเตเต้ก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหว

     

                    เอ้า  ไหนบอกว่าจะคุยไง  แล้วทำไมไม่เห็นพูดอะไรออกมาสักคำ

     

                    ชายหนุ่มผู้นั้นเพียงเกาศีรษะภายใต้วิกหนาฟูนั่นอย่างไม่เข้าใจ  ก็เรารอเจ้าเป็นผู้เปิดหัวข้อสนทนาอยู่ 

     

                    ชวนคนอื่นคุยไม่พอ  ต้องรอให้คนอื่นพูดก่อนอีกหรือ

     

                    เช่นนั้นหรอกหรือ เจ้าหนุ่มกลับไปทำหน้าครุ่นคิดอีกครั้งราวกับเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจนัก  ถ้าอย่างนั้น  เจ้าเล่าเรื่องอาณาจักรที่เจ้าจากมาให้เราฟังหน่อย

                   

                    ให้ตายสิ...  ถึงเตเต้จะบ่น  แต่ปากก็เล่าออกไปอย่างเต็มใจ  นี่อาจจะเป็นครั้งแรกก็ได้ล่ะมั้งที่องค์หญิงทรงเล่าเรื่องบ้านเกิดให้ชาวต่างแดนฟัง  แม้ว่าผู้ฟังผู้นั้นจะดูประหลาดเพียงใดก็ตาม

     

                    ทว่าคำตอบรับที่ได้จากชายหนุ่มผู้นั้นกลับทำให้เตเต้หงุดหงิดถึงที่สุด 

     

                    จากที่เจ้าเล่ามา  แสดงว่าอาณาจักรของเจ้ายังไม่ศิวิไลซ์ใช่หรือไม่

     

                    คิ้วของหล่อนกระตุกเต้นรำอย่างไม่มีสาเหตุ 

     

    ที่พูดมาเมื่อครู่หมายความว่าไงกัน  แน่นอนว่าในใจย่อมมีคำพูดแถมท้ายมาด้วยว่า  ตอบให้ดี ๆ ล่ะ  ไม่งั้นเจอดีแน่

     

                    เจ้าหนุ่มนั่นมีสีหน้างงกับคำถามของเตเต้ราวกับว่าไม่รู้ตัวเลยว่าเพิ่งทำตัวเสียมารยาทใส่สาวน้อยไปหมาด ๆ อ้าว  เจ้าไม่สำเหนียกความหมายของคำว่า  ศิวิไลซ์หรอกหรือ  ตัวอย่างเช่นมหาจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่หรืออาณาจักรทั้งหลายตามภาคพื้นทวีปตะวันตก  หรือจักรวรรดิกลางอันเกรียงไกรถือได้ว่ามีความก้าวหน้าทั้งทางด้านความรู้และอารยธรรมเป็นอย่างสูงถือเป็นตัวอย่างที่ดีของอาณาจักรที่ศิวิไลซ์แล้ว  ส่วนอาณาจักรอื่นที่ยังล้าหลังเช่นอาณาจักรของเจ้ายังจัดอยู่ในกลุ่มที่ยังไม่ศิวิไลซ์  แน่นอนว่าอาณาจักรข้าวเจ้าของเราอาจจะยังไม่ถึงขั้นความมีศิวิไลซ์  แต่พวกเรากำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาไปสู่ความเป็นศิวิไลซ์ในอนาคต

     

                    อย่างน้อยเตเต้นับคำว่า ศิวิไลซ์ ได้ถึง 4 ครั้งในประโยคที่กล่าวมา  เจ้าหมอนี่ท่าทางจะยึดติดกับคำว่าศิวิไลซ์มากพอดู  สงสัยแค่ได้ฟังคำนี้คงอิ่มทิพย์ได้กระมัง  แต่มันก็ไม่ต้องรอนานนักที่ทำให้เตเต้เลื่อนเก้าอี้ผละตัวหนีออกไปเดี๋ยวนั้น

     

                    ช้าก่อน  เจ้าจะไปยังหนใด

     

                    ขอโทษนะ  แต่ฉันเบื่อที่จะพูดกับนายแล้วล่ะ

     

                    กลับมาก่อน  เดินหนีไประหว่างการสนทนาเช่นนี้ช่างไม่มีความเป็นศิวิไลซ์เสียเลย

     

                    ศิวิไลซ์อีกแล้ว! จะอะไรของมันนักหนา  เตเต้ทรงจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยความข้องใจ  พลันสังเกตหนังสือเล่มหนาบนโต๊ะข้างกายเจ้าหนุ่มนั่น  คิดว่าอ่านหนังสือของรุสซาลแล้วจะทำให้ตัวเองดูเหนือกว่าคนอื่นอย่างนั้นหรือ

     

                    องค์หญิงเพียงแค่ทรงคิดที่จะแดกดันกับพวกที่ชอบทำตัวหัวสูงทำตัวเป็นอ่านหนังสือศัพท์แสงยาก ๆ แล้วคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น  แต่คำตอบที่เตเต้ได้รับกลับยิ่งน่าฉงนยิ่งกว่า

     

                    รุสซาล  หมายถึงนักปรัชญาชื่อดังคนนั้นเป็นผู้เขียนหนังสือเล่มนี้อย่างนั้นหรือ

     

                    มันดึงความสนใจของเตเต้กลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว

     

                    จะบอกว่าที่อ่าน ๆ มาเนี่ยไม่รู้เลยเหรอว่าอ่านอะไรอยู่

     

                    ชายหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ  เมื่อเตเต้สังเกตดี ๆ  จะพบกับหนังสือเล่มเล็กอีกเล่มเขียนว่า  พจนานุกรม ภาษากลาง ข้าวเจ้า อีกด้วย  เรายังอ่านภาษากลางไม่แข็งนัก  ชายหนุ่มตอบอย่างเขินอายเล็กน้อย

     

                    เห... จะบอกว่ากำลังก้าวสู่ความมีศิวิไลซ์  แต่ยังอ่านภาษากลางสู้ฉันที่มาจากบ้านป่าเมืองเถื่อนไม่ได้เนี่ยนะ 

     

    เตเต้เดินกลับมานั่งตามเดิม...

     

    ได้เวลาแหย่เจ้าหมอนี่คืนแล้ว!

     

    ตรงกันข้ามกับองค์หญิง  ชายหนุ่มผู้นั้นกลับเริ่มมีสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

     

                    บังอาจนัก  เจ้าเป็นแค่ผู้หญิงริอาจสนทนาเยี่ยงนี้กับเรางั้นหรือ

     

                    เจ้าหนุ่มขึ้นเสียงอย่างฉุนเฉียว  ทว่าเตเต้ยังคงใช้วิชาการสนทนาที่เรียนรู้มาจากซีเรียควบคุมสถานการณ์นี้ได้อย่างเรียบร้อย

     

                    นี่หรือคำว่าศิวิไลซ์ที่นายพูดถึงอยู่ตลอด  ก่อนที่จะให้คนอื่นปฏิบัติตัวอย่างผู้มีอารยะ  นายเองก็ต้องทำให้ตัวเองเป็นผู้มีอารยะเสียก่อนสิ

     

                    เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็ชะงักก่อนพยายามกลับไปตั้งหลักใหม่อีกรอบ 

     

                    เด็กหนุ่มสูดลมหายใจฮึดฮัดเบา ๆ ก่อนเริ่มพูดใหม่อีกรอบ  คราวนี้น้ำเสียงมีความพยายามควบคุมโทนอารมณ์มากขึ้น

     

    แม้เราจะยังไม่เจนจัดภาษากลางมากนัก  แต่เราก็กำลังศึกษาอยู่อย่างหนัก  เพราะเหตุนี้เราถึงตัดสินใจมาเรียนยังที่นี่  เพื่อจะได้เรียนรู้ความก้าวหน้าหลากแขนงกลับไปพัฒนาบ้านเมืองของเราให้เจริญก้าวหน้าไม่แพ้พวกตะวันตกหรอก

     

                    นักเรียน ?  หมายความว่านายเป็นนักเรียนของที่นี่อย่างนั้นหรือ

     

                    เป็นเช่นนั้นแล  เราเป็นพระโอรสในกษัตริย์แห่งอาณาจักรข้าวเจ้า  จ้าวผู้ครองแผ่นดินลุ่มแม่น้ำทั้งห้าแห่งแดนตะวันออกไกล  ได้รับเชิญให้มาเข้าเรียนที่วิทยาลัยโซเฟียแห่งนี้นั่นเอง 

     

    ชายหนุ่มผู้อวดอ้างตนเป็นถึงเจ้าชายของอาณาจักรที่องค์หญิงทรงไม่เคยได้ยินชื่อยืดอกขึ้นอย่างภาคภูมิโดยหวังว่าสาวใช้ตรงหน้าจะต้องลนลานตื่นตกใจกับฐานะของตน

     

                    ทว่าผลตอบรับกลับมิได้เป็นตามที่องค์ชายแห่งอาณาจักรข้าวเจ้าคาดการ  เตเต้กลับนิ่งเฉยไร้ความตื่นเต้นสักนิด

     

    งั้นเหรอ  เตเต้เท้าคางมองเจ้าชายนั่นอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก  ถ้าอย่างนั้นฉันเองก็เป็นถึงรัชทายาทแห่งอาณาจักรหอยกาบ  ผู้ครองผืนสมุทรทั้งสี่ทิศเหมือนกันนั่นล่ะ     

     

    รัชทายาทเช่นนั้นหรือ  เจ้าชายแห่งอาณาจักรข้าวเจ้ากล่าวพลางมองเรือนร่างขององค์หญิงน้อยด้วยสายตาสงสัย   เช่นนั้นแล้วไยเจ้าถึงใส่อาภรของสาวใช้ตะวันตกเล่า

     

    เรื่องมันยาว  ว่าแต่นายล่ะ  คิดว่าใส่ชุดเสร่ออย่างนั้นแล้วจะทำให้เป็นเจ้าชายได้หรือ  เตเต้ชี้ไปยังชุดฟูฟ่องของเจ้าชายหนุ่ม

     

    เสียมารยาท !  นี่เป็นถึงอาภรแบบล่าสุดจากอาณาจักรน้ำหอมเชียวนะ 

     

    แต่อย่างไรเสียฉันก็คิดว่ามันดูเสร่ออยู่ดีนั่นล่ะ 

     

    ระหว่างนั้นเองเตเต้สังเกตเห็นว่าเจ้าชายหนุ่มแห่งอาณาจักรข้าวเจ้าเกาศีรษะภายใต้วิกนั่นครั้งแล้วครั้งเล่าจนตัวเตเต้เองยังรำคาญแทนเลย 

     

    นี่... ถ้ามันคันนักทำไมไม่ทอดเสียล่ะ 

     

    หมายถึงวิกเกศานี้นะหรือ  แม้ว่าองค์หญิงน้อยจะถามแล้วก็ตาม  เจ้าชายยังคงเกาศีรษะแกรก ๆ ไม่หยุด  ก็คันอยู่หรอก  แต่ผู้คนที่นี่สวมใส่กัน  จะให้เราไม่ใส่ได้หรือ

     

    จะบอกว่าต้องแต่งตามคนอื่นเพื่อความศิวิไลซ์อย่างนั้นสินะ

     

    เจ้าตอบได้ถูกต้องแล้ว  อย่างน้อยมันเป็นเครื่องพิสูจน์ก้าวแรกสู่ความมีอารยะ 

     

    องค์ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างมั่นอกมั่นใจ  ทว่าเตเต้กลับถอนหายใจให้กับความคิดนั้น

     

    ท่านเจ้าชายที่เคารพ  ฉันจะถามอีกทีว่าการแต่งตัวเลียนแบบชาวตะวันตกจะทำให้มีความศิวิไลซ์ได้อย่างนั้นหรือ... 

     

    กระนั้นคำพูดที่พรั่งพรูออกมาจากปากมิได้เอ่ยถึงองค์ชายตรงหน้าแต่เพียงผู้เดียว  มันราวกับว่าเตเต้ได้มองตัวตนบางอย่างที่หลบซ่อนอยู่ลึกลงไป  ถ้อยคำแต่ละคำที่กล่าวออกมาเพื่อจะสั่งสอนองค์ชายจองหองนั่นกลับสะท้อนย้อนมาหาตนอย่างไม่ปราณี —

     

    จริงสิ... เราเองก็เคยเป็นเหมือนเจ้าหมอนี่เช่นกัน — 

     

    เจ้าชายพยักหน้า

     

    ถ้าอย่างนั้นแทนที่จะมาเรียนที่นี่ให้เสียเวร่ำเวลา  ทำไมถึงไม่จัดการซื้อเสื้อผ้าให้กับทุกคนในอาณาจักรของนายล่ะ ?  ถ้าเกิดแค่สวมเสื้อผ้าแบบตะวันตกหรือทำอะไรแบบชาวตะวันตกแล้วจะถือว่ามีความศิวิไลซ์ที่ว่าได้นั่น  

     

    “— ตอนที่เราเอาสิ่งที่เรามีไปเทียบกับคนอื่นแล้วคิดว่าการเป็นเจ้าหญิงคือต้องมีเสื้อผ้าหรูหรา  บริวารติดตามใช้สอยมากมาย...

     

    หากความศิวิไลซ์ในความหมายของนายคือสิ่งที่ว่าแล้ว  ฉันว่ามันเป็นอะไรที่ไร้สาระมากเลยล่ะ

     

    ให้ตายสิ  ฉันเองก็โง่มาตั้งนานเหมือนกัน  นาน ๆ ทีโดนตัวเองสั่งสอนก็ดีเหมือนกัน

     

    ราวกับแสงสว่างแห่งปัญญาสาดส่องมายังม้วนกระดาษในมือของนางเงือกตามภาพกระจกโมเสก  ในที่สุดเศษตะกอนขุ่นมัวในพระทัยก็เหมือนกับจะถูกปัดเป่าออกไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ  ความรู้สึกที่เคยหนักอยู่ในอกบัดนี้กลับเบาหวิวอีกคราราวกับเมื่อครั้นยังพำนักอยู่ที่บ้านเกิด... บ้านเกิดที่ไม่ต้องมีอะไรให้กังวลใจนอกจากเรื่องกระต่ายป่าจะแอบมาทำลายพืชผักที่อุตส่าห์เฝ้าดูแลอย่างทะนุถนอม

     

    เจ้าชายหนุ่มเงียบไปสักครู่  ในที่สุดวิกฟูฟ่องก็ค่อย ๆ ถูกดึงลงมาวางไว้ข้างกาย  เผยให้เห็นผมทรงมหาดไทยดำขลับเป็นครั้งแรก

     

    ไง  ถอดออกแล้วสบายกว่าตั้งเยอะ  ฉันว่าฝืนสวมใส่อะไรที่ไม่ใช่ของตัวมันจะแย่เปล่า ๆ  หนทางแห่งความศิวิไลซ์ยังมีอีกมากมาย  องค์หญิงน้อยกล่าวอมยิ้มมุมปาก

     

    จริงอย่างที่เจ้าว่า... 

     

    เจ้าชายทรงจมดิ่งในความคิดต่ออีกสักครู่ —

     

    ก่อนจะหัวเราะชอบใจออกมาโดยไม่สนว่าตัวเองกำลังอยู่ในหอสมุดที่สมควรจะงดเว้นเสียงดังทั้งปวง 

     

    ขำอะไรนัก 

     

    เปล่าหรอก  พอดีเราเผลอเชื่อไปชั่วครู่เลยว่าเจ้าเป็นเจ้าหญิงจริง ๆ นะ

     

    ก็ฉันเป็นเจ้าหญิงจริง ๆ นี่นา

     

    แต่ว่าองค์ชายแห่งอาณาจักรข้าวเจ้าไม่ได้สนใจคำพูดของคู่สนทนาที่อวดอ้างว่าเป็นเจ้าหญิงแม้แต่น้อย 

     

    เจ้าเป็นหญิงคนแรกที่พูดจากกับเราเยี่ยงนี้  จงภูมิใจเสียเถิด

     

    หึ... งั้นนายเองก็จงภูมิใจเสียที่ได้พูดอย่างนี้เป็นครั้งแรกกับฉันนะ  องค์หญิงยังคงแค่นกล่าวเสียงขึ้นปลายจมูก  หารู้ไม่ว่านัยน์ตาสีนิลนั่นกำลังเริ่มแทะโลมเรือนร่างของเตเต้อย่างไม่เกรงใจ

     

    ขอทราบนามของเจ้าหน่อยได้หรือไม่  องค์ชายถาม

     

    เห... นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของก้าวแรกสู่ความเป็นอารยะเช่นกันหรือ

     

    หามิได้  มันเป็นความใคร่อยากรู้ของเราเอง

     

    เตเต้ลังเลอยู่สักครู่  ก่อนจะเริ่มนึกอะไรพิเรนท์ออก  ทันใดนั้นองค์หญิงน้อยยื่นมือออกไปพลางกล่าวด้วยถ้อยคำเลียนแบบองค์หญิงสูงศักดิ์ว่า —

     

    ถ้าท่านชายอยากทราบชื่อของเจ้าหญิงอย่างฉันคนนี้  ก็จงจุมพิตที่นิ้วมือนี้อย่างเคารพเฉกเช่นอัศวินพึงกระทำต่อเจ้าหญิงเสียก่อนสิ

     

    ดูจากท่าทางอันเย่อหยิ่งจองหองในคราวแรกแล้ว  เตเต้ไม่ทรงคิดว่าเจ้าหมอนี่คงจะยอมทำตามสิ่งที่กล่าวมาหรอก

     

    เพราะอย่างนั้นแล้วเตเต้จึงมิได้เตรียมตัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมา

     

    เจ้าชายหนุ่มบรรจงประทับริมฝีปากบนฝ่ามือของเตเต้อย่างแผ่วเบา

     

    เอ๋

     

    ตอนแรกร่างของเตเต้กระตุกด้วยความตกใจ  ก่อนที่จะจำยอมศิโรราบแก่ความรู้สึกแปลกใหม่  มันช่างแตกต่างกับความรู้สึกยามเมื่อเอเดรียนจุมพิตโดยสิ้นเชิง  ความรู้สึกร้อนรุ่มยามเมื่อริมฝีปากชุ่มชื้นเริ่มบรรเลงสัมผัสผิวอย่างอ่อนโยนแล่นผ่านซาบซ่านไปตามท่อนแขนจนขนลุกซู่  ใบหน้าของเจ้าหญิงน้อยเริ่มมีสีเลือดฝาดแดงระเรื่อโดยที่ตัวเตเต้เองก็อธิบายไม่ถูก

     

    เจ้าชายถอนริมฝีปากพร้อมชายตาขึ้นมองด้วยแววตาคมกริบ

     

    แล้วนามของเจ้าล่ะ 

     

    เตเต้ยังคงอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น  ปล่อยให้มือถูกกุมด้วยมือหนาต่อไป  จนเมื่อเจ้าชายทวงถามรางวัลตอบแทนนั้น  เตเต้ถึงจะรีบชักมือออกมา 

     

    ต... เตเต้  ตาลอสติเตส 

     

    องค์หญิงใจเต้นระรัวอย่างไม่หยุดหย่อนแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนทำเช่นนี้

     

    เตเต้งั้นหรือ  เจ้ามีชื่อที่พิเศษดีนะ 

     

    คำพูดที่แฝงด้วยน้ำเสียงล่อลวงทำเอาใจของสาวน้อยยิ่งเต้นโครมครามไม่หยุด  และที่แย่ไปกว่านั้น  เจ้าชายหนุ่มค่อย ๆ โน้มตัวเข้ามาหาพลางกระซิบอย่างแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงที่เตเต้ไม่มีวันลืม

     

    ถ้าเกิดเจ้ายังไม่เชื่อว่าเราเป็นเจ้าชาย  คืนนี้จงมาเยี่ยมเราที่ห้องสิ  เราจักได้พิสูจน์ให้เจ้าเห็น

     

    รอยยิ้มมุมปากดูเจ้าเล่ห์ราวหมาป่าหยอกกระต่ายเผยออกมาจนแม้แต่เจ้าหญิงเตเต้ผู้เก่งกล้ายังต้องเบือนหน้าหนี  แต่ก็เพราะการกระทำของเจ้าชายนั่นทำให้เตเต้เหลือบไปเห็นพ่อบ้านจมูกเหยี่ยวที่กำลังจ้องหล่อนเขม็งราวอสูรร้ายเบื้องล่าง

     

    แย่แล้ว !”  เตเต้รีบลุกขึ้นท่ามกลางคำทัดทานของเจ้าชายหนุ่มก่อนรีบวิ่งลงกระไดไปอย่างรวดเร็ว  ปล่อยทิ้งให้เจ้าชายหนุ่มนั่งมองแผ่นหลังบอบบางวิ่งห่างออกไป 

     

    ...................................

    ...........................

    ................

    ....

     

    ในช่วงเวลาไล่เรี่ยกัน  เด็กหนุ่มผิวคล้ำผู้เป็นคนถิ่นเดียวกับองค์ชายก็เดินสวนขึ้นมา  เขาก้มลงหมอบกราบกับพื้นทั้งที่ลมหายใจยังติดขัดไม่หาย  ก่อนนั่งพับเพียบอยู่ที่ปลายเท้าขององค์ชายอย่างนอบน้อม

     

    ฝ่าบาทมาพักอยู่ที่นี่เองหรือพะยะค่ะ  กระหม่อมตามหาฝ่าบาทมาตั้งนาน  เขาพูดกับองค์ชายด้วยภาษาบ้านเกิด

     

    จะพักที่ไหนมันก็เรื่องของเรา  มิใช่โกงการของเจ้า !” 

     

    เพียงแค่เศษเสี้ยวของความกริ้วก็ทำให้เจ้าหนุ่มที่อยู่ปลายเท้ารีบก้มตัวหมอบกราบทันที

     

    พระอาญาไม่พ้นเกล้า  กระหม่อมไม่คิดตั้งใจที่จะ —

     

    เมื่อเห็นท่าทางอันน่าสมเพสของข้ารับใช้  องค์ชายจึงก็มีอารมณ์ดีขึ้นมาตามเดิม  เขาให้บ่าวรับใช้เงยหน้าขึ้นก่อนจะสอบถามเรื่องธุระอื่นต่อ

     

    เออ  แล้วเรื่องของห้องล่ะ  จัดการไปถึงไหนแล้ว

     

    เรียบร้อยแล้วพะยะค่ะ  ตอนนี้กระหม่อม — อ๊ะ ?  ทว่าสายตาของบ่าวผู้นั้นก็พลันไปสบกับวิกหนาที่วางอยู่ไม่ห่าง  ฝ่าบาทไม่ทรงโปรดวิกนั่นแล้วหรือพะยะค่ะ?

     

    อืมมม  เราเพิ่งเรียนรู้มาว่าความมีศิวิไลซ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวิกหรือการแต่งตัวเหมือนพวกตะวันตกหรอก  องค์ชายกล่าวต่อไปโดยไม่ได้สังเกตสายตาละห้อยของบ่าวที่มองวิกขาวนั่น...

     

    ก็บ่าวผู้นั้นต้องนั่งจัดมันบนหัวผู้เป็นนายแทบตายเมื่อเช้านี้  ตอนบ่ายกลับถูกถอดทิ้งอย่างไม่ไยดี  จะไม่ให้เศร้าได้อย่างไร

     

    ดีล่ะ  งั้นพาเราไปที่ห้องที  แต่ก่อนที่จะก้าวลุกออกจากโต๊ะ  องค์ชายแห่งอาณาจักรข้าวเจ้าก็พลันนึกอะไรออกบางอย่าง

     

    อ้อ  ใช่แล้ว... เรามีเรื่องให้เจ้าช่วยจัดการอีกอย่าง

     

    กระหม่อมยินดีรับใช้พะยะค่ะ 

     

    เจ้าเคยพูดถึงเรื่องสาวใช้ประจำตัวที่ทางวิทยาลัยจะจัดหาให้ใช่ไหม  ตอนนี้คิดว่าเรามีคำตอบให้แล้วล่ะ

     

    โดยที่ไม่สนใจท่าทางสับสนของบ่าวที่อยู่ปลายเท้า  สายตาขององค์ชายจับจ้องภาพของสาวใช้ร่างบางที่กำลังถูกพ่อบ้านเจ้าระเบียบดุด่าอยู่กลางหอสมุด  มือของเขาเอื้อมไปซ้อนทับกับภาพขององค์หญิงเบื้องล่างก่อนกำมือราวกับจะจับนกน้อยเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว

     

    เจ้าหนีเราไม่พ้นหรอก



    @@@@@@@@@@@@@@@

    Edit Log: Sept 11th, 2008: จบตอน
    "___________________": แก้คำผิด
    Edit Log: Sept 15th, 2008: แก้สำนวน + แก้ลักษณะการเว้นตัว "ๆ"
    Edit Log: Jan 23th, 2009: แก้บทสนทนาเล็กน้อย
    Edit Log: July, 6th, 2011: มหกรรมรีไรท์
    Edit Log: April, 27th, 2013: รีไรท์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×