คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : The League of Extraordinary Gentlemen
อาราเนีย ประเทศของเผ่าพันธุ์ผู้หญิง เหล่าสัตว์ประหลาดป่าเถื่อนไร้ความเป็นอารยะ พวกมันปฏิเสธศาสตร์วิชาแห่งเครื่องจักรกลและเทคโนโลยี ใช้ศาสตร์นอกรีตสร้างพลังปาฏิหาริย์จอมปลอมท้าทายพระประสงค์ของพระเจ้า พวกมันคือร่างเนื้อของบาปที่ได้ล่อลวงผู้ชายจมดิ่งสู่ความชั่วช้า อันเป็นสาเหตุทำให้ผู้ชายอย่างเราต้องถูกขับไล่ออกจากสวนสวรรค์ ไม่มีอีกแล้วที่เผ่าพันธุ์ผู้ชายอย่างเราต้องแปดเปื้อนได้มากไปกว่าการต้องถูกผู้หญิงกดขี่ข่มเหงสารพัดในยุคโบราณกาล
“อย่าดื้อนะ ไม่งั้นพวกผู้หญิงจะมาจับไปกินไม่รู้ด้วยนะ”
“พึงระวัง มื้ออาหารโปรดของเหล่าผู้หญิงคือผู้ชายอย่างเรา”
“อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย!”
“ปีศาจ! ผู้หญิงคือปีศาจ!”
นัยน์ตาสีน้ำตาลสวยของรอสจ้องดูตัวเลขดิจิตอลที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยเสียงและข้อความตั้งแต่จำความได้ขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ภาพของบรรดาโปสเตอร์และภาพยนตร์ที่เขาเคยผ่านตาค่อยๆ ย้อนกลับมาเหมือนกำลังดูภาพยนตร์ที่ฉายซ้ำแล้วซ้ำอีก
ตั้งแต่ได้รับรู้ถึงภารกิจที่ต้องปฏิบัติ จนถึงเมื่อนายพลโคลท์นำรอสไปยังลิฟต์ที่แอบซ่อนไว้เบื้องหลังธงผืนโตที่อยู่เบื้องหลังโต๊ะทำงาน จนถึงตอนนี้ รอสก็มิอาจสลัดความกังวลใจออกไปได้
“รู้สึกดีขึ้นแล้วรึยังร้อยตรี” นายพลโคลท์ตบไหล่รอสเบาๆ
“ครับผม ต้องขออภัยด้วยที่ผมแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็นเมื่อสักครู่ครับ” รอสกล่าวอย่างหนักแน่น แต่ก็ไม่อาจซ่อนความรู้สึกอันหวาดหวั่นในใจได้
“ไม่แปลกหรอกที่ร้อยตรีจะตกใจนะ ผมเองตอนที่มาเกี่ยวข้องกับเรื่องพรรค์นี้ครั้งแรกก็เกือบจะรับไม่ได้เหมือนกันล่ะ”
“แต่ว่า ผมเองก็ไม่มีความมั่นใจว่าตัวผมจะมีความเหมาะสมต่อภารกิจในครั้งนี้ครับ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกร้อยตรี” นายพลโคลท์บีบไหล่รอสเป็นการคลายกังวล “ผมไม่ได้คิดจะส่งคุณไปตายหรอกนะ ผมมีทีมสนับสนุนชั้นยอดคอยเตรียมความพร้อมให้คุณอยู่แล้ว และอีกอย่าง...”
ท่าน ผบ. กล่าวพร้อมรอยยิ้มอันอ่อนโยนที่ดูขัดกับตำแหน่งอันสูงส่งโดยสิ้นเชิง
“ผมเป็นคนเลือกคุณเองกับมือ ไม่คิดหรอกหรือว่าผมจะดูคนไม่เป็น”
มันเป็นเพียงประโยคเดียวเท่านั้น แต่มันก็เพียงพอที่จะเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้ แต่ในขณะเดียวกันแรงกดดันต่อความคาดหวังที่นายพลโคลท์มีต่อตัวเขาก็หนักขึ้นตามไปด้วย
หลังจากรอคอยมานาน ในที่สุดลิฟต์ก็หยุดลงพร้อมกับเสียงดัง กิ๊ง จากการคาดคะเนถึงเวลาที่ล่วงเลยมานานบ่งบอกถึงความลึกที่พวกเขาได้เดินทางลงมา
“ป่านนี้คนอื่นๆ คงจะมารอกันพร้อมแล้ว เดี๋ยวผมจะได้แนะนำฝ่ายสนับสนุนให้ร้อยตรีได้รู้จักก่อนเลย แล้วค่อยไปบรรยายสรุปเกี่ยวกับภารกิจกัน”
เมื่อประตูเปิดออก ไอเย็นยะเยือกลอยมาสัมผัสใบหน้าอันไร้ราคีพร้อมๆ กับภาพของบุคคลทั้ง 3 ยืนเรียงหน้ากระดานรอการมาของเขาอยู่แล้ว นายพลโคลท์ก้าวเดินออกมาโดยมีรอสเดินตามติด
ในบรรดาสามคนนั่น มีสองคนเป็นทหารและอีกคนหนึ่งเป็นพลเรือนสวมชุดเสื้อกาวน์สีขาวยาวเหมือนเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่แทนที่นายทหารทั้งสองจะแสดงความเคารพตามระเบียบ พวกเขาเพียงกล่าวทักทายว่า “สวัสดีครับ/อรุณสวัสครับ บอส” แทน ซึ่งท่าน ผบ. ก็เพียงยกมือทักทายตอบอย่างไม่เป็นทางการ
จากนั้นนายพลโคลท์จึงกล่าวแนะนำรอสให้ทั้งสามรู้จักก่อนจะเปิดโอกาสให้แต่ละคนเข้ามาทำความรู้จักด้วยตนเอง
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผม ฟิลิปเป้ เบเร็ตต้า เป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์ครับ” พลเรือนผู้เดียวท่ามกลางทหารจับมือทักทายกับรอสอย่างกระตือรือร้นตั้งแต่ก่อนที่รอสจะมีโอกาสยกมือขึ้นมาด้วยซ้ำ เขาเป็นชายร่างผอม สูงปานกลางเตี้ยกว่ารอสหน่อยหนึ่ง ผมสีดำผิวขาวซีด แว่นกลมหนาที่เขาสวมอยู่ปิดบังแววตาที่เหมือนลูกหมาน้อยได้พบเพื่อนใหม่มากกว่าจะเป็นคนคงแก่เรียน “ผมล่ะอยากพบคุณรอสตัวจริงมานานแล้ว ความจริงผมนั่งศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณมามาตลอด ในที่สุดก็ได้พบกับตัวจริงซะที ผมละดีใจเหลือเกิน”
ต้องใช้เวลาสักครู่ใหญ่เพื่อจะแกะมือของฟิลิปเป้ออก ก่อนที่รอสจะได้ไปทักทายกับคนต่อไป เขาเป็นนายทหารผิวหมึกร่างยักษ์ศีรษะล้านเลี่ยน ผู้มีใบหน้าน่ากลัว ริมฝีปากหนายื่นเด่นออกมาเป็นเอกลักษณ์ ดาวสามดวงตรงปกคอแสดงถึงยศร้อยเอกที่เหนือกว่าเขา
รอสยืนตรงทำความเคารพ แต่นายทหารผู้นั้นกลับเพียงยื่นมือให้แทนการเคารพตอบ
“ที่นี่เราไม่ทำความเคารพให้กันเหมือนข้างนอกหรอกนะ แค่จับมือกันก็พอ” นายพลโคลท์กล่าวแทรกขึ้นมากับผู้มาใหม่ “แล้วที่นี่เราไม่เรียกกันด้วยยศ เวลาเรียกผมเรียกว่า บอส ก็พอ”
รอสยืนประมวลความคิดอยู่สักครู่ ก่อนจะจับมือตรงหน้าอย่างรู้สึกไม่คุ้นเคยนัก
“รอส เมาเซอร์ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ซาดีน่า แมกซิม” เสียงโทนต่ำของชายผิวดำยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของเขาน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก มันเป็นเพียงคำพูดห้วนๆ ประโยคเดียวที่ออกมาจากปากซาดีน่าก่อนที่เขาจะถอนตัวออกไปยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นเคียงข้างนายพลโคลท์
“บอส แน่ใจแล้วเหรอครับว่าจะให้คนอย่างหมอนี่ทำภารกิจนี้นะครับ”
เสียงเล็กแทรกขึ้นพร้อมๆ กับการปรากฏตัวของบุคคลร่างบางในชุดเครื่องแบบที่เดินก้าวออกมาจากเงามืดเป็นคนสุดท้าย เผยให้เห็นชายหนุ่มผิวแทนผู้มีผมดำมันขลับที่ถูกทาแว็กซ์ซะเรียบแปล้ แต่ก็ยังมีปล่อยให้มีปอยผมบางส่วนตกลงมา เขามีใบหน้าดูอ่อนเยาว์เสียเกินกว่าที่จะสวมชุดนายทหารติดยศร้อยตรีแบบเดียวกับเขาได้ นัยน์ตาสีนิลดำขลับจ้องมองมายังรอสอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“เพิ่งจะจบออกมาหมาดๆ ประสบการณ์ภาคสนามเป็นศูนย์ แถมยังไม่เคยฝึกพื้นฐานการแทรกซึมมาก่อน ผมว่าการที่ให้หมอนี่มาปฏิบัติภารกิจนี้จะเป็นการเสียงที่สูงมากเลยนะครับ”
“เพราะฉะนั้นผมถึงเรียกตัวคุณมาเพื่อการฝึกเขาไงโดยเฉพาะไงล่ะ ถ้ามีเจ้าหน้าที่ผู้มากประสบการณ์เป็นผู้ฝึกสอนอย่างคนแล้วผมก็คงจะคลายกังวลไปได้” นายพลโคลท์ตอบ
“แต่ว่า ทำไมท่านไม่ให้ผมเป็นคนปฎิบัติการ...”
“คิดว่าผมดูคนไม่เป็นหรือไงกัน” นายพลโคลท์กล่าวเสียงเย็นยะเยือกพร้อมจ้องเขม็งด้วยแววตาอันเหี้ยมกริบ “หน้าที่ของคุณคือการปฏิบัติตามคำสั่งของผมไม่ใช่หรือไง หรือว่าคุณลืมกฎระเบียบไปแล้ว!”
นายทหารหนุ่มผิวแทนหลบสายตาของนายพลโคลท์มาจ้องกับรอสอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเดินมาจับมือกับรอสอย่างไม่เต็มใจนัก
“ซาฮา การาน ขอโทษเรื่องเมื่อสักครู่ด้วยที่เสียมารยาทไป”
แต่รอสก็ฟังดูออกว่าคำขออภัยที่กล่าวออกมาหาได้มีความจริงใจแม้แต่น้อย แต่รอสเองก็ไม่ค่อยแปลกใจเสียเท่าไหร่ที่จะมีคนเกลียดขี้หน้าเขาเป็นนิจ รอสเองชินกับเรื่องพรรค์นีเสียแล้ว เพียงแต่การที่มีคนไม่ชอบหน้าเขาตั้งแต่ยังไม่เคยได้คุยกันแม้แต่น้อยมันก็ค่อนข้างน่าแปลกใจอยู่พอสมควร
“เอาล่ะ ถ้างั้นตอนนี้ฟิลิปเป้ว่างอยู่ใช่มั้ย งั้นเดี๋ยวผมขอแรงช่วยพารอสไปที่ห้องพักทำธุระส่วนตัวก่อน เดี๋ยวอีกสิบห้านาทีช่วยพาเขามาที่ห้องประชุมด้วย”
“ได้เลยครับบอส” ฟิลิปเป้ตอบรับคำสั่งก่อนจะเดินนำรอสไปยังห้องพักอย่างกระตือรือร้น โดยมีสายตาอีกสามคู่จับจ้องจนเดินลับออกไป
.............................
..............
.........
....
“เสื้อผ้า เครื่องใช้ส่วนตัวที่จำเป็นอยู่ในกล่องนี้ทั้งหมดนะครับ ถ้าต้องการสิ่งของอะไรเพิ่มเติมหรือมีของสำคัญที่ทิ้งไว้ที่บ้านพักก็ขอให้บอกผมหรือซาฮาได้เลยนะครับ เดี๋ยวพวกเราจะจัดการให้เอง” ฟิลิปเป้ตบกล่องพลาสติกกล่องโตสองกล่องบนพื้นก่อนจะถือวิสาสะลงไปนั่งบนเตียงอย่างสบายอารมณ์
“เตียงคุณรอสนี่นุ่มดีจังเลยน้า น่าอิจฉาจริงๆ ห้องของผมนี่อะไรมันก็เก่าไปหมด ผมเลยตัดปัญหานอนในที่ทำงานซะเลย”
ระหว่างที่ฟิลิปเป้พล่ามไปอย่างไม่หยุดยั้ง รอสก็เปิดกล่องตรวจตราข้าวของโดยไม่สนใจฟิลิปเป้แม้แต่น้อย ราวกับว่าไม่มีอีกคนอยู่ในห้องด้วย
“ว่าแต่คุณนี่ดูไม่ตกใจกับสถานที่นี้เลยนะครับ ตอนผมมาครั้งแรกผมนี่แทบตั้งตัวไม่ติดแน่ะ อยู่ดีๆ ก็มีคำสั่งย้ายเข้ามาพร้อมๆ กับหน่วยทหารที่แทบจะลากผมไปจากที่ทำงานผมซะเดี๋ยวนั้นเลย ข้าวของก็ไม่ทันได้เก็บ ตอนแรกนึกว่าโดนตำรวจลับลักตัวไปซะแล้วด้วยซ้ำนะครับ ตกใจแทบแย่นึกว่าซวยแล้ว โดนอุ้มแหงมๆ...”
รอสดูนาฬิกาที่ข้อมือก็พบว่าจวนจะได้เวลานัดแล้วจึงเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนที่จะบอกกล่าวฟิลิปเป้เลยด้วยซ้ำ เขาหันไปมองรอบๆ ตามทางเดินอันคดเคี้ยวที่เต็มไปด้วยท่อและสายไฟระโยงรยางค์มีเพียงแสงไฟสลัวๆ คอยให้แสงสว่าง
“เลี้ยวซ้ายครับคุณรอส! ถ้าไปอีกทางจะเดินอ้อมโลกเลย” ฟิลิปเป้รีบตาลีตาเหลือกวิ่งออกมาจากห้อง “ที่นี่ทางมันซับซ้อนกว่าที่เห็นมากนะครับ ทำเอาเดินหลงเอาง่ายๆ เลยนะ”
ว่าแล้วฟิลิปเป้ก็เดินนำรอสพร้อมๆ กับจ้อไม่หยุดโดยที่รอสไม่ได้ปริปากพูดออกมาแม้แต่น้อย
“ความจริงผมดีใจนะครับที่อย่างน้อยก็มีคุณรอสเข้ามา ยังไงคนที่ไม่ค่อยรู้อะไรอย่างเราๆ ก็จับกลุ่มกันไว้ดีกว่านะครับ ยังไงซะผมว่าพวกเราก็คงต้องติดแหง็กไปกับภารกิจนี้อีกนานเลยล่ะ”
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าของรอสก็หยุดลง “นายนะ” รอสกล่าวเสียงเย็นชาออกมา
“มีอะไรเหรอครับ” ฟิลิปเป้หันกลับมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“เราทำภารกิจนี้ร่วมกันไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นเพื่อนกันหรอกนะ คุณก็ทำงานส่วนของคุณไป ผมก็ทำงานส่วนของผม ขอให้เข้าใจไว้ด้วย”
ฟิลิปเป้มองอย่างงงๆ พลางพยายามที่จะพูดจากลบเกลื่อนให้สถานการณ์ดีขึ้น ทว่าใบหน้าเคร่งเครียดไม่รับแขกของรอสทำเอาฟิลิปเป้หงอยเดินนำต่อไปจนถึงที่หมายโดยไม่ปริปากพูดอะไรอีก
....................................
..........................
............
....
“นี่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติที่สำคัญยิ่ง จะให้เนื้อความหรือข้อมูลใดๆ เล็ดรอดออกไปไม่ได้เป็นอันขาด”
นี่คือประโยคขึ้นต้นที่ซาดีน่ากล่าวเปิดการบรรยายสรุปภารกิจ ภายในห้องประชุมอันมืดมิด มีเพียงแสงไฟสีฟ้าเรืองรองที่ถูกฉายออกมาเป็นภาพแผนที่เกาะเอเดินจากฐานใจกลางห้องประชุมอันกว้างใหญ่ มีซาดีน่าเป็นคนกล่าวบรรยายสรุป ส่วนที่เหลือนั่งคอยนั่งฟังโดยมีผู้เข้าร่วมคือรอสและทุกคนที่เขาพบในตอนแรก
การบรรยายสรุปได้ใจความว่าเมื่อราว 5 เดือนที่แล้วทางหน่วยได้ค้นพบพื้นที่หนึ่งซึ่งมีกิจกรรมการเคลื่อนไหวอย่างผิดสังเกต พื้นที่ดังกล่าวถูกระบุว่าเป็นสถานที่ให้การศึกษาทั่วไป แต่ทางหน่วยเชื่อว่าโรงเรียนนั้นเป็นเพียงฉากบังหน้าสำหรับกิจกรรมโครงการลับบางอย่างซึ่งอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของมูราลได้ ดังนั้นทางหน่วยจึงได้ส่งเจ้าหน้าที่มีรหัสว่า "โคลัมบัส" เข้าไปตรวจสอบเรื่องดังกล่าว แต่ปรากฏว่าหลังจากที่โคลัมบัสสามารถแทรกซึมเข้าไปในอาราเนียได้แล้วก็ขาดการติดต่อกับทางหน่วยหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
“ในที่สุดฝันร้ายที่พวกเราหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นก็เป็นจริงขึ้นมา” นายพลโคลท์กล่าวแทรกขึ้น “ไม่มีครั้งไหนอีกแล้วนับตั้งแต่เหตุการณ์กบฏของเหล่าแอนดรอยด์ที่จะเสี่ยงต่อความมั่นคงของมูราลได้เท่าเหตุการณ์นี้ การค้นพบการแทรกแซงของเราโดยพวกผู้หญิงอาจหมายถึงความหายนะของนโยบายโดดเดี่ยวไม่ยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน และอาจหมายถึงสงครามที่อาจจะตามมาได้ ไม่มีใครในมูราลจะทราบได้เลยว่าว่าพวกผู้หญิงป่าเถื่อนมันจะใช้เหตุการณ์นี้เป็นข้ออ้างอะไรได้บ้าง พวกมันอาจจะรอคอยเวลานี้มานานแล้วก็ได้ที่จะถือโอกาสรุกรานแผ่นดินอันศักดิสิทธิ์ของพวกเรา!”
มันเป็นความกลัวที่ฝังรากมากับประวัติศาสตร์มูราลนับตั้งแต่เริ่มต้น ความกลัวการรุกรานของเหล่าอนารยชนกระหายเลือดอันน่าหวาดหวั่นผู้มาพร้อมกับศาสตร์นอกรีตที่ปฏิเสธกฎวิทยาศาสตร์ของพระเจ้าทั้งปวง ถึงแม้ว่าการกบฏของเหล่าแอนดรอยด์จะหันเหความสนใจไปสู่ปัญหาภายในได้บ้างก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วภัยคุกคามอันดับหนึ่งก็ยังคงเป็นเหล่าผู้หญิงอยู่
การบรรยายสรุปกล่าวต่อไปเกี่ยวกับสถานะของเจ้าหน้าที่ “โคลัมบัส” ที่พอจะยืนยันได้เพียงอย่างเดียวว่ายังมีชีวิตอยู่และยังคงเคลื่อนไหวอยู่ภายในพื้นที่เป้าหมาย แต่จุดประสงค์และเหตุผลของการขาดการติดต่อยังเป็นปริศนา ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของรอสที่จะต้องแทรกซึมเข้าไปในพื้นที่เป้าหมายและนำตัว “โคลัมบัส” กลับมา
“และข้อที่สำคัญที่สุดคือ โคลัมบัส จะต้องไม่ได้รับอันตรายหรือบาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น การฝ่าฝืนข้อสำคัญนี้อาจหมายถึงภารกิจอันล้มเหลว และทุกคนจะต้องรับโทษขั้นสูงสุด! แน่นอนรวมทั้งตัวผมผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าปฏิบัติการในครั้งนี้ด้วย” นายพลโคลท์กล่าว “เอาล่ะรอส คุณมีข้อสงสัยอะไรอีกไหม”
รอสนั่งครุ่นคิดอยู่สักครู่ ความจริงแล้วการบรรยายสรุปครั้งนี้ยังมีอีกหลายๆ ข้อที่ดูคลุมเครือ แต่ตามที่เขาได้ถูกสั่งสอนไว้ ถ้าทางหัวหน้าไม่ได้บอกก็แสดงว่าเขาไม่จำเป็นต้องทราบ จงหุบปากแล้วทำงานตามที่ได้รับมอบหมายไป
“แล้วข้อมูลรายละเอียดหรือหน้าตาของโคลัมบัสล่ะครับ?”
แต่คนที่เอ่ยปากถามออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยกลับเป็นฟิลิปเป้นั่นเอง ท่ามกลางเสียงเงียบของผู้คนรอบกาย ฟิลิปเป้หันมองไปมาอย่างประหลาดใจ “อ้าว...ทำไมทุกคนเงียบล่ะครับ ผมเองก็เพิ่งได้รับรู้รายละเอียดของภารกิจนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกันนา”
ซาดีน่าจ้องเขม็งทำเอาฟิลิปเป้นั่งหัวหดไปเลย ส่วนรอสได้แต่มองฟิลิปเป้อย่างหน้าเบื่อหน่ายก่อนจะหันไปมองหน้านายพลโคลท์เพื่อรอการตอบรับ
“ข้อมูลทุกอย่างของโคลัมบัสเป็นความลับขั้นสุดยอด ส่วนข้อมูลที่จำเป็นต่อภารกิจเราจะแจ้งให้ทราบอีกที ถ้าไม่มีคำถามอื่นแล้วก็ขอจบการบรรยายสรุปเพียงเท่านี้” นายพลโคลท์กล่าวอย่างใจเย็นก่อนจะตัดบทแต่เพียงเท่านี้
ทันใดนั้นห้องก็พลันสว่างวาบก่อนที่ทุกคนจะทยอยเดินออกจากห้องไป ฟิลิปเป้ที่เพิ่งถูกซาดีน่าถลึงตาใส่นั้นก็เดินหงอยตามรอสต้อยๆ ราวกับเจ้าหมาน้อยที่เพิ่งถูกทำโทษ แต่พอเมื่อลับตาผู้อื่นแล้วเขากลับสลัดความหดหู่นั้นได้อย่างรวดเร็วก่อนจะหันมากระซิบคุยกับรอสอย่างตั้งอกตั้งใจ
“คุณรอสว่ามั้ยว่าภารกิจนี้มันน่าสงสัยอยู่นา เหมือนกับข้อมูลที่บอสให้มามันไม่เคลียร์แถมยังดูขัดแย้งในตัวเองอีกด้วย คุณรอสไม่คิดบ้างเหรอว่ามันแปลกนะ ทั้งๆ ที่บอกว่าขาดการติดต่อแต่ทำไมกลับยืนยันได้ว่ายังมีชีวิตอยู่ ถ้าอย่างนั้นมันก็หมายความว่าโคลัมบัสแปรพักตร์งั้นสิ แต่ทำไมถึงให้นำตัวกลับมา...”
“คุณเบเร็ตต้า เนื้อความที่อยู่ในห้องนั้นถือเป็นความลับสุดยอดไม่ใช่หรือ ไม่คิดหรือว่ามันจะเป็นการเสี่ยงต่อภารกิจนี้”
“ต...แต่ว่า”
ทว่าใบหน้าของรอสกลับไร้ซึ่งความใส่ใจในตัวฟิลิปเป้โดยสิ้นเชิง “ทำหน้าที่ของคุณไปโดยไม่ถามคำถามให้มากนักมันจะดีกับตัวนายเองนะ”
รอสเดินจากไปโดยทิ้งฟิลิปเป้ไว้เบื้องหลังอย่างไร้เยื่อใย ใช่...ที่จริงแล้วรอสเองก็มีข้อกังขามากมายในภารกิจนี้ ตั้งแต่การที่กองทัพมีปฏิบัติการลับแทรกแซงอาราเนียที่ใครๆ ต่างนึกว่าตัดขาดการติดต่อมาอย่างยาวนาน ซ้ำยังอาการที่เก็บไว้ไม่มิดของบอสยามที่ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของโคลัมบัส
แต่ก็เป็นตามที่เขาถูกฝึกไว้ มันไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่ต้องหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้รับผิดชอบจัดการไป ส่วนเขาก็ปฏิบัติตามภารกิจที่ได้รับมอบมาอย่างแข็งขันมันก็แค่นั้น
แต่พอรอสเดินออกมาจากห้องก็พบกับซาฮายืนเล่นปอยผมรออยู่
“เสร็จธุระแล้วนะ”
รอสพยักหน้ารับ ซาฮาก้าวเท้าเดินมาประชิด ตัวของซาฮาค่อนข้างเตี้ยกว่ารอสพอสมควรทำให้เขาต้องก้มลงมองคู่สนทนาร่างเล็กนี้
“ก่อนอื่นต้องขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าฉันไม่เคยคิดว่านายเหมาะสมกับภารกิจนี้เลยแม้แต่น้อย” ซาฮาพูดสบประมาทรอสหน้าตาเฉย “แต่คำสั่งก็เป็นคำสั่ง ต่อจากนี้ไปจะเป็นการเข้าสู่ช่วงที่ 2 ของภารกิจนี้”
ซาฮาทิ้งช่วงไว้สักครู่ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้รอสต้องทนทุกข์ไปอีกหลายสัปดาห์
“ต่อจากนี้ไปชีวิตของนายเป็นของฉันแล้ว ฉันจะฝึกนายให้กลายเป็นผู้หญิงจนลืมไปว่าเคยมีกระเจี๊ยวเลยทีเดียว!”
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
Edit Log: 26 Jan, 2008: จบตอนรีไรท์
Edit Log: 08 Feb, 2008: แก้ไขสำนวนเล็กน้อย
ความคิดเห็น