คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Mission Impossible
ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้
มันเป็นความเคยชินของบรรดาชาวเมืองกรุงคอนแสตนติน เมืองหลวงของราชอาณาจักรมูราลที่จะมองไม่เห็นท้องฟ้ายามเช้าอย่างที่มันควรจะเป็น หมอกควันหนาทึบจากเครื่องจักรที่ทำงานไม่เคยหยุดพักบดบังแสงอาทิตย์ยามเช้าอันสดใสจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงบรรยากาศมืดสลัวชวนหดหู่ใจเป็นยิ่งนัก
บรรดาตึกอาคารสูงตระหง่านดูหนาทึบราวกับเป็นเสาต้นยักษ์เรียงต่อกันไปเรื่อยๆ ไร้ซึ่งชีวิตชีวา ฝุ่นควันได้จับตัวเป็นคราบติดตามอาคารเป็นเหมือนกับสัญลักษณ์แยกความแตกต่างระหว่างแต่ละอาคารไปเสียแล้ว เหล่าบรรดาเครื่องจักรทำหน้าที่ของมันต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะมีส่วนไหนชำรุดทรุดโทรม ไม่ต่างกับเหล่าบรรดาผู้ให้กำเนิดพวกมันเลยแม้แต่น้อย เหล่าบรรดาชายชาตรีต่างเดินไปตามทางของตนราวกับเป็นเพียงฟันเฟืองชิ้นส่วนหนึ่งของเครื่องจักรที่เรียกว่าสังคมให้ทำงานต่อไป
แต่ท่ามกลางความน่าเบื่อและซ้ำซากนั้นกลับมีอาคารทรงโดมสีขาวขนาดมหึมาที่ดูจะไม่ได้รับผลกระทบจากหมอกควันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางป่าคอนกรีตเสริมเหล็ก มันคืออาคารกองบัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพมูราลอันทรงเกียรติ เป็นดั่งสัญลักษณ์ของนครหลวงนับตั้งแต่มันสร้างเสร็จเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว
เมื่อก้าวเดินเข้ามาจากประตูหน้าก็จะพบกับห้องโถงภายในอาคารกองบัญชาการ ซึ่งในเวลายามเช้านี้จะพบกับคลื่นมนุษย์ในชุดเครื่องแบบเดินผ่านเครื่องแสกนอย่างไม่ขาดสาย สภาพอันไร้ซึ่งวิญญาณของบรรดาเหล่าเจ้าหน้าที่ประจำกองทัพทั้งหลายดูจะไม่ต่างจากหุ่นยนตร์รูปทรงสูงขนาดครึ่งตัวคนที่คอยทำงานเคียงคู่กับบรรดาพระเจ้าผู้สร้างของมันเลยสักนิด
เสียงเพลงปลุกเร้าโฆษณาชวนเชื่อของทางกองทัพดังขึ้นเป็นระยะ ข้อความที่ว่า “จงเชื่อในพระเจ้า จงเชื่อในกษัตริย์ จงเชื่อในมูราล” “เผ่าพันธุ์ผู้ชายคือความสมบูรณ์แบบที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา” กับ “ปกป้องมูราลเพื่อมวลประชาเผ่าพันธุ์เรา” คอยย้ำเตือนอยู่อย่างซ้ำซาก สอดคล้องกับธงชาติสีแดงสดมีตราลายเกสรแดนดิไลออนสีทองตรงกลางที่ถูกแขวนไว้บนเพดานนับสิบผืน แต่ดูเหมือนข้อความเหล่านั้นจะไม่ได้เข้าหูใครเลยแม้แต่น้อย
ทว่านอกจากกลุ่มผู้คนอันน่าเบื่อหน่ายเหล่านั้นกลับมีหนุ่มน้อยในชุดเครื่องแบบสีดำเข้มยืนแหงนมองริ้วธงที่ประดับบนเพดานด้วยความภาคภูมิ เขาสูดอากาศลึกๆ ด้วยความซาบซึ้งพลางหลับตาสีน้ำตาลใสอันกลมโตดื่มด่ำกับความรู้สึกโดยรอบ
เขาเป็นคนรูปร่างสูงปานกลางเมื่อเทียบคนอื่นๆ ที่เดินผ่านไปมา ผมสีน้ำตาลเข้มดูเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำตาลใสอันคมคาย ใบหน้าขาวนวลอันเกลี้ยงเกลากับริมฝีปากอันเรียวบางทำให้เขาดูยังเด็กเกินไปที่จะสวมเครื่องแบบทหารชุดนี้ ดูเผินๆ อาจจะคิดว่าชายหนุ่มผู้นี้มีรูปร่างผอมบาง แต่หารู้ไม่ว่าภายใต้ชุดเครื่องแบบเสื้อนอกที่ปิดจนถึงคอนั้นจะซ่อนร่างกายอันกำยำเข้ารูปที่เกิดจาการฝึกฝนมาตลอด ตรงปกคอทั้งสองด้านมีแถบสีแดงที่มีดาวสีทองอยู่ตรงกลางคาดอยู่แสดงถึงยศร้อยตรีของเขา
หลังจากที่ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศจนพอใจแล้ว รองเท้าหนังสีดำมันวาบก็ก้าวเดินไปยังจุดประชาสัมพันธ์ตรงหน้าอย่างหนักแน่น มันเป็นแถวของเจ้าหุ่นกระป๋องที่ตั้งรอคอยให้บริการแก่ผู้ที่มาติดต่อจากภายนอก
ทันทีที่ชายหนุ่มยืนเผชิญหน้ากับเจ้าหุ่นกระป๋องตัวแรกของแถว ลำแสงสีฟ้านวลจากเซ็นเซอร์ก็ยิงตรงเข้ามาที่นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้น ก่อนที่จะเลื่อนลงมาแสกนตัวเขาทั้งตัว
“ยินดีต้อนรับครับ ร้อยตรีรอส เมาเซอร์ ท่าน ผบ. กำลังรอพบท่านอยู่ กรุณาตามตนมาได้เลยครับ”
เจ้าหุ่นกระป๋องไม่รอช้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากแถวก่อนที่จะนำรอสไปยังจุดหมายในวันนี้
ระหว่างทางเดินอันคดเคี้ยวและซับซ้อนนั้นรอสต้องแสกนลายมือตามประตูเป็นระยะๆ ซึ่งไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็ต้องพบกับแผ่นโปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อที่ติดอยู่แทบทุกตารางนิ้วบนกำแพง มีทั้งรูปและข้อความกระตุ้นให้บรรดาผู้คนรักชาติ ทำงานอย่างขยันขันแข็ง มีความสามัคคีและ เสียสละเพื่อส่วนรวม
แต่นอกจากบรรดาโปสเตอร์รักชาติที่ดูจืดชืดนั้นกลับมีโปสเตอร์อีกแบบที่ดูโดดเด่นกว่า สร้างสรรค์กว่า และ...
สยดสยองกว่า
มันเป็นภาพสัตว์ประหลาดรูปร่างน่าสะพรึงวิ่งไล่เข่นฆ่าเหล่าผู้ชายที่กำลังวิ่งหนีอย่างตื่นตระหนก ปีศาจนั้นมีจุดเด่นอยู่ที่ผมยาวและมีเต้านมดูน่าเกลียดน่ากลัวสองข้าง ข้อความกำกับข้างๆ เขียนว่า “พึงระวัง อาหารมื้อโปรดของเหล่าผู้หญิงคือผู้ชายอย่างเรา”
ส่วนอีกภาพหนึ่งเป็นรูปปีศาจร้ายตัวเดิมนั่งบนเก้าอี้อย่างสุขสบาย ถือแส้เฆี่ยนเหล่าบรรดาผู้ชายที่ถูกล่ามโซ่แบกก้อนหินก้อนโตบังคับให้ก่อนสร้างหอบาเบลอันน่าชัง “อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย” ข้อความเขียนระบุถึงช่วงเวลาที่เหล่าผู้ชายถูกผู้หญิงกดขี่ถูกใช้ให้ทำงานในขณะที่ผู้หญิงอยู่บ้านเสวยสุข
ในขณะที่อีกรูปเป็นภาพของทหารมูราลในชุดเกราะกำลังยิงใส่เหล่าบรรดาปีศาจผู้หญิงนับร้อยที่ดาหน้าเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวเพียงลำพัง หรือรูปสุดท้ายก่อนที่รอสจะมาถึงที่หมายเป็นรูปของชายหนุ่มกำลังถูกปีศาจหญิงหลอกล่อในขณะที่มืออีกข้างถือมีดแอบไว้ข้างหลังเตรียมพร้อมที่จะจ้วงแทงเหยื่อตรงหน้ายามเมื่อเผลอ
โปสเตอร์เหล่านี้ถูกติดกระจายไว้ทุกที่ทั่วทั้งเมือง ย้ำเตือนมิให้ลืมถึงภัยอันตรายอีกฟากของแผ่นดินที่ไม่ได้เผชิญหน้ากันมากว่า 300 ปี
ในที่สุดเจ้าหุ่นกระป๋องหยุด ณ ประตูเหล็กบานใหญ่ที่อยู่ปลายสุดของทางเดิน มันค่อยๆ เคลื่อนตัวไปข้างๆ ก่อนที่เซนเซอร์จากตัวมันจะทำการเชื่อมต่อข้อมูลกับแผงควบคุมข้างๆ
“ท่าน ผบ. อนุญาตให้เข้าพบได้แล้วครับ” เจ้าหุ่นเปล่งเสียงโมโนโทนของมันออกมาก่อนจะลงท้ายด้วยวลีปิดท้ายการสนทนาตามธรรมเนียมของมูราล “พระเจ้าคุ้มครองกษัตริย์”
“พระเจ้าคุ้มครองกษัตริย์” รอสตอบเบาๆ ก่อนจะก้าวไปหยุดยืนตรงหน้าประตู เขามองป้ายชื่อสีทองที่สลักอยู่หน้าห้องอยู่สักครู่ “พลโท แมทธิว โคลท์ ผบ. กองทัพภาคกลาง” รอสเอ่ยพึมพำออกมาเบาๆ พลางสูดอากาศเข้าเสียเต็มปอดเพื่อดับความตื่นเต้น ก่อนที่จะทาบมืออันหยาบกร้านจากการฝึกฝนมาอย่างยาวนานเข้ากับแผงควบคุมบนบานประตู
ทันทีที่บานประตูเปิดออก เสียงเพลงบรรเลงของวงออเครสตร้าก็ดังกระหึ่ม เสียงไวโอลินเสียดสีประสานกับเสียงเป่าของทรัมเป็ตและทรอมโบนดังสนั่น กระแทกเข้าโสตประสาทของรอสอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ตั้งสมาธิได้อย่างทันท่วงทีก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปข้างในห้อง
นอกจากเสียงเพลงที่ดังโหวกเหวกจนเกินความเพราะไปเสียแล้ว ภายในห้องยังมืดสลัวเห็นแต่เพียงเงาตะคุ่มๆ ของหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่
รอสที่ยังยืนอยู่หน้าห้องตบเท้ายืนตัวตรง ยืดอกขึ้นพร้อมกล่าวตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงเพลงดัง “กระผม ร้อยตรี รอส เมาเซอร์ ขออนุญาตรายงายตัวต่อท่าน ผบ. เพื่อรับตำแหน่งเข้าประจำการครับ!”
แต่เสียงของเขามิอาจสู้กับเสียงเพลงได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น กล่าวตะเบ็งเสียงแข่งต่อไป
“กระผม ร้อยตรี รอส เมาเซอร์ ขออนุญาตรายงายตัวต่อท่าน ผบ. เพื่อรับตำแหน่งเข้าประจำการครับ!”
ทันใดนั้นเสียงเพลงอลังการก็พลันดับลงพร้อมกับแสงไฟสีขาวนวลทำให้ห้องสว่างไสวในชั่วพริบตา พร้อมกับการมาของผู้หนึ่งจากทางด้านหลัง
“ตามสบายเลยร้อยตรี”
รอสที่เพิ่งปรับสายตาได้ไม่นานนักก็พบว่าเงาที่เฝ้าตะโกนเรียกหาเมื่อสักครู่เป็นเพียงเก้าอี้นั่งตัวใหญ่ เขารีบหันไปยังทิศต้นเสียงด้วยความตื่นตกใจก็พบกับชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอมยิ้มอยู่ เขามีร่างสูงใหญ่ดูสง่ามีราศี รอยบากตามใบหน้าผิวขาวอมชมพูมิได้ทำให้ความดูดีลดลงไปเลย มันกลับยิ่งทำให้ดูมีเอกลักษณ์น่าเกรงขามขึ้นไปอีก แต่ถึงกระนั้นดวงตาสีฟ้าใสกลับแสดงถึงความมีเมตตาของบุคคลนี้อย่างเห็นได้ชัด ผมบลอนด์ตัดสั้นแต่ก็ดูเข้าได้ดีกับรูปหน้า ชุดเครื่องแบบสีเทาที่มีแถบเครื่องหมายสีแดงคาดบนปกสีทองแสดงถึงยศระดับนายพล ถึงรอสจะไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนก็ทราบได้ทันทีว่าบุคคลผู้นี้คือนาย
“ผมต้องอภัยจริงๆ ครับที่ไม่ทราบว่าท่าน ผบ. ยืนอยู่ตรงนี้ครับ” รอสยืนตัวเกร็งกล่าวกับนายพลตรงหน้า
“อยู่ดีๆ ก็โผล่มาคงจะทำให้ร้อยตรีตกใจละสิท่า” น้ำเสียงใจดีกล่าวต่อไปอย่างไม่ถือตัว “พอดีห้องนี้มันก็เก่าแล้วละนะ ระบบเดินสายต่างๆ มันมั่วไปหมด ไอ้เจ้าระบบสั่งการด้วยเสียงก็เสียอยู่ช่างมันก็ไม่มาซ่อมเสียทีมันก็ลำบากคนแก่ๆ อย่างผมต้องถ่อสังขารมาปิดเปิดเหลือเกิน”
“ไม่ครับ ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขออภัยครับ” รอสยังคงยืนตัวตรงตอบอย่างหนักแน่นเหมือนเดิม
“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ เมื่อสักครู่ผมก็บอกให้ตามสบายแล้วไม่ใช่หรือ”
“ครับผม” รอสเปลี่ยนจากท่ายืนตรงเป็นยืนพักตามระเบียบ
นายพลโคลท์ได้แต่ยิ้มออกมาเล็กน้อยเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างก่อนจะเดินไปนั่งประจำโต๊ะทำงาน เป็นผืนธงลายดอกหญ้าสีทองพื้นสีแดงสดเป็นฉากหลัง
“ลากเก้าอี้แถวๆ นั้นมานั่งเลย เดี๋ยวเราคงต้องมีเรื่องต้องคุยกันยาว”
หลังจากรอสจัดแจงลากเก้าอี้มานั่งเบื้องหน้านายพลโคลท์เรียบร้อยแล้วการสนทนาจึงได้เริ่มขึ้น
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องแนะนำตัวก่อนเลยแล้วกัน ผมชื่อ พลโท แมทธิว โคลท์ เป็นผบ. ของที่นี่ ในฐานะของ ผบ. กองทัพภาคกลางแล้วผมต้องขอแสดงความยินดีกับร้อยตรีด้วยที่ได้รับการบรรจุยศหลังจากการฝึกอันหนักหน่วงจากโรงเรียนนายร้อยละนะ”
หน้าจอโฮโลแกรมสีฟ้าใสลอยคว้างอยู่กลางอากาศพร้อมกับรูปถ่ายใบหน้าของรอสพร้อมประวัติผลการฝึกและคำแนะนำ
“ร้อยตรีรอส เมาเซอร์ จบการศึกษาในภาควิชาเหล่าหน่วยยานเกราะ มีผลการเรียนเป็นเลิศ เข้ารับการฝึกภาควิชาการหน่วยพลซุ่มยิงได้รับเข็มพลแม่นปืน ชนะเลิศการแข่งขันยิงปืน 2 สมัยในกีฬาภายในของวิทยาลัย และ...”
คุณสมบัติข้อสุดท้ายทำให้นายพลโคลท์อดอมยิ้มเสียมิได้
“ได้รับการเลือกให้เป็นหนุ่มน้อยหน้าใสประจำรุ่นโดยผลการโหวตภายในระดับชั้นเรียน”
รอสต้องพยายามอดกลั้นข่มความอายไว้ขนาดไหนก็ไม่มีใครทราบ เขาไม่อยากจะเชื่อในตอนแรกเลยว่าเรื่องการประกวดงี่เง่าพรรค์นี้จะปรากฏขึ้นในประวัติของเขาด้วย
ท่านนายพลแอบเหลือบดูรอสที่กำลังกระอ่วนใจอยู่ลึกๆ ก่อนจะอ่านส่วนอื่นๆ ต่อไป “ผลการประเมินผลจากร้อยเอกสปริงฟิล ครูฝึกที่ปรึกษา... อ้าวนี่ร้อยตรีเรียนกับโทมัสด้วยหรือนี่”
“ครับ”
“ร้อยเอกโทมัส สปริงฟิลเนี่ยเป็นรุ่นน้องของผมปีนึง ผมเป็นรุ่นพี่รหัสเขาเอง สงสัยผมคงฝึกเขาไว้ซะดีจนกระทั่งติดใจไปบรรจุเป็นครูฝึกฝึกพวกร้อยตรีต่อล่ะมั้ง”
สิ่งที่นายพลโคลท์พูดมาทำให้รอสต้องแอบกลืนน้ำลายเล็กน้อย ถ้าระลึกความหลังระหว่างช่วงเป็นนักเรียนนายร้อยแล้ว ครูฝึกสปริงฟิลมีชื่อเรียกเล่นๆ ในหมู่นักเรียนว่าครูฝึกนรกซึ่งการฝึกและระเบียบวินัยนั้นเข้มงวดและโหดนรกสมชื่อ
ถ้าเกิดความโหดของครูฝึกได้รับการถ่ายทอดมากจากนายพลผู้นี้แล้ว ชะตาของเขาจะเป็นต่อไปเช่นไร
“นึกถึงสมัยนั้นแล้วพวกร้อยตรีนี่โชคดีกว่าพวกผมเยอะ ผมเองก็จบมาจากเหล่ายานเกราะเหมือนกัน ตอนนั้นหุ่นรุ่นที่ผมขับเนี่ยเสียงมันดังสุดๆ จนทำหูผมเสียมาจนถึงทุกวันนี้เลย” ท่านนายพลแกะหูฟังเล็กๆ ออกมาจากหูให้รอสดู “ถ้าไม่เครื่องนี้ล่ะก็ผมคงไม่ได้ยินอะไรที่ร้อยตรีพูดแน่ๆ แต่เจ้าเครื่องนี้มันทำให้ฟังเพลงไม่รู้รสเอาซะเลย ผมก็เลยต้องจำใจเปิดเพลงดังๆ ฟังเอาอย่างที่ร้อยตรีได้ยินนั่นล่ะ”
รอสเหลือบไปดูรูปเก่าๆ ของนายพลโคลท์บนโต๊ะ มันเป็นภาพสมัยท่านนายพลตอนยังหนุ่มที่ไม่มีรอยบากบนใบหน้า ถ่ายคู่กับนายทหารผมสีแดงตาสีทองแดงอีกนายบนหุ่นรบรุ่นเก่าที่ตอนนี้พบเห็นได้แต่ในพิพิธภัณฑ์เท่านั้น นายพลโคลท์ในตอนนั้นดูเคร่งขรึมและจริงจังกว่าในปัจจุบันมาก
“ผลการประเมินระบุว่าร้อยตรีมีความประพฤติตัวดี มีระเบียบวินัย ขยันขันแข็ง จดจำบทเรียนและการฝึกฝนได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง...” ท่านนายพลอ่านต่อไปเรื่อยๆ จนถึงอีกส่วนหนึ่ง “ยึดตามหลักทฤษฎีจนขาดความพลิกแพลงและความยืดหยุ่นในส่วนของแผนยุทธศาสตร์ในการปฏิบัติจริง ขาดซึ่งจินตนาการที่จะนำไปสู่การพัฒนาเทคนิคใหม่ๆ รวมไปถึงการขาดมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีอีกด้วย”
ท่านนายพลปิดหน้าจอลงพร้อมกับจ้องมองตรงมายังรอส
“ที่กล่าวมานี่ร้อยตรีเห็นว่าอย่างไร”
“ครับ เป็นไปตามที่กล่าวไว้ทุกประการครับ” รอสตอบอย่างหนักแน่น
“ไม่มีความเห็นอื่นๆ เลยหรือ” นายพลโคลท์นั่งพิเคราะห์ร้อยตรีหนุ่มอย่างละเอียด “ถูกทุกข้อรวมถึงข้อเสียที่ว่านั้นๆ ด้วยรึ”
“ครับผม สิ่งที่ครูฝึกกล่าวไว้ถูกทุกประการครับ” รอสยังคงตอบราวกับเครื่องอัดเทปที่เตรียมไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว
“ถ้างั้นทำไมไม่แก้ไขมันซะล่ะ”
ประโยคสุดท้ายที่นายพลโคลท์กล่าวออกมานั้นดูเคร่งเครียดราวกับท่าทางสบายๆ เมื่อสักครู่เป็นเรื่องโกหก
“ก็ร้อยตรีรู้ข้อเสียดีอยู่แล้วทำไมยังไม่แก้ไขซะล่ะ”
รอสได้แต่กลืนน้ำลายดังเอื้อกก่อนยืดอกขึ้นมาตอบ “ผมไม่มีข้อแก้ตัวในเรื่องนี้ครับ”
ท่าน ผบ. นั่งวิเคราะห์ร้อยเอกหนุ่มตรงหน้าสักพักก่อนจะค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมาอย่างถูกใจ
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องวิตกไป ร้อยตรียังหนุ่มยังแน่น ยังมีเวลาที่จะเรียนรู้อีกมาก” นายพลโคลท์ไขกุญแจเปิดลิ้นชักใต้โต๊ะก่อนหยิบแฟ้มเอกสารสีน้ำตาลเล่มหนาออกมา
“เอาล่ะ ทิ้งเรื่องพวกนั้นไว้ก่อน ผมไม่ได้เรียกร้อยตรีมาพบเป็นการส่วนตัวในวันแรกของการประจำการเพื่อตักเตือนในเรื่องนี้หรอก” นายพลโคลท์ทาบนิ้วไปบนแถบสีดำบนแฟ้ม ลำแสงสีฟ้ายิงขึ้นมาแสกนม่านตาของท่านนายพล เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยนายพลโคลท์จึงทาบแหวนบนนิ้วชี้บนร่องก่อนที่แฟ้มจะถูกปลดล็อคออก
“มันอาจจะเป็นคำสั่งที่แปลกสักหน่อยสำหรับร้อยตรีเพิ่งจบมาหมาดๆ อย่างคุณ แต่ผมมีภารกิจพิเศษบางอย่างที่ต้องการอาสาสมัครโดยสมัครใจอย่างร้อยตรีอยู่ในแฟ้มนี้” นายพลโคลท์หยิบแฟ้มเอกสารบางๆ อีกชุดที่อยู่ในแฟ้มหนาออกมา
“ร้อยตรีสนใจที่จะรับทำภารกิจนี้ไหม?”
คำว่า “อาสาสมัครโดยสมัครใจ” นั้นก็ไม่ต่างอะไรจากคำว่า “คำสั่งที่ต้องปฏิบัติ” เลยแม้แต่น้อย มันเป็นเพียงคำพูดไว้สำหรับให้ทางกองทัพหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้ ซึ่งรอสเองก็เข้าใจในความหมายนี้เป็นอย่างดี
“ครับผม” รอสตอบอย่างไม่ลังเล
“ร้อยตรีไม่คิดจะถามก่อนหรือว่าภารกิจนี้ต้องไปเกี่ยวพันกับอะไรบ้าง” ท่านนายพลถาม “มันอาจจะหมายถึงต้องเสี่ยงชีวิตของร้อยตรีก็ได้นะ”
“ไม่ครับ ถึงแม้ภารกิจนั้นจะหนักหนาสาหัส และอาจจะหมายถึงชีวิตของผม ผมก็ยินดีที่จะสละให้เพื่อพระเจ้า กษัตริย์ และมูราลครับผม!”
คำพูดและเนื้อหาของประโยคนั้นดูราวกับลอกออกมาจากภาพยนตร์โฆษณาชวนเชื่อถูกๆ สักเรื่อง แต่แววตาและสีหน้าอันภาคภูมิใจยามกล่าวคำพูดเหล่านั้นแสดงถึงความเชื่อมั่นและความสำนึกในหน้าที่ที่มีต่อสถาบันเหล่านั้นอย่างสนิทใจ
ภายใต้รอยยิ้มของนายพลโคลท์ที่ชื่นชมต่อความจงรักภักดีของร้อยตรีหนุ่มนั้นกลับแอบถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าใจ
“ดีแล้ว ตอบได้ดีมากร้อยตรี”
“ขอบคุณครับ”
ท่านนายพลนั่งดูแฟ้มในมือสักพักก่อนจะยื่นมันให้กับรอส
“นี่เป็นแฟ้มที่บรรจุข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับภารกิจในครั้งนี้ เนื้อหาภายในแฟ้มและภารกิจทั้งหมดอยู่ในชั้นความลับสุดยอด ห้ามเผยแพร่ให้ผู้ไม่ได้รับอนุญาตทราบเป็นอันขาด”
“ครับผม” รอสตอบรับพร้อมกับยื่นมือรับแฟ้มนั้น แต่พอทันทีที่มือเขาสัมผัส มืออันใหญ่โตอีกข้างของนายพลโคลท์ก็คว้าเข้าตรงข้อมือของรอสทันที
“ร้อยตรีเข้าใจที่ผมกล่าวมาทั้งหมดใช่ไหม เมื่อยามที่คุณเห็นข้อมูลภายในแฟ้มนั่น คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะถอนตัวไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม”
แรงบีบของมือแสดงถึงความจริงจังเป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั้นรอสก็ยังคงตอบ “ครับ” อย่างหนักแน่นไม่หวั่นไหวใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อได้ยินดังนั้น นายพลโคลท์จึงคลายมือออกพร้อมกับเอนตัวไปนั่งพิงพนักอย่างสบายใจ
“ดีมาก” นายพลกล่าวพลางสายตาจับจ้องกับรูปเมื่อสมัยครั้นยังหนุ่ม “แต่ผมอยากจะแนะนำร้อยตรีอย่างหนึ่งสำหรับภารกิจในครั้งนี้”
รอสจ้องมองดูนายพลโคลท์พร้อมกับแฟ้มเล่มสำคัญในมือที่กำลังจะถูกเปิดออก
“หัดถามก่อนตอบรับอะไรมันก็ไม่เสียหายหรอกนะ”
คำสอนที่ดูราวจะออกมาจากใจของท่านนายพลจบลงพร้อมๆ กับแฟ้มเอกสารที่ถูกเปิดออกต่อหน้าร้อยตรีหนุ่ม
..............................
...........
มันเป็นเวลาสักครู่กว่ารอสจะวางแฟ้มเอกสารลงกับโต๊ะพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมามองนายพลตรงหน้าอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้อ่านมา บัดนี้ความเยือกเย็น และความมั่นใจต่างๆ ของรอสพลันหายจนหมดสิ้น
“ไม่จริงใช่ไหมครับท่าน”
“ก็อย่างที่เขียนไว้ในแฟ้มนั่นล่ะ” นายพลโคลท์กล่าวอย่างใจเย็น
“ภารกิจพิเศษของคุณคือการแทรกซึมเข้าไปในประเทศอาราเนียตามที่เขียนไว้นั่นล่ะ”
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
Edit Log: August 18th, 2008: แก้ไขรายละเอียดเล็กน้อย
Edit Log" August 25th, 2008: แก้จากดอกหญ้าเป็นเกสรต้นแดนดิไลออน
ความคิดเห็น