คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #45 : All Quiet in the (Northern) Front
เช้าวันใหม่ ณ อีกฟากหนึ่งของกำแพงน้ำ ที่ซึ่งค่ำคืนแสนยาวนานทางฝั่งมูราลดูเป็นเพียงบางสิ่งที่ไกลตัวออกไป เหมือนกับเวลาประชาชนของประเทศผู้เจริญดูข่าวสภาพความเป็นอยู่ของค่ายผู้อพยพแล้วเพียงแค่เอ่ยปากว่า “ช่างน่าสงสารจริงๆ” “ทำไมโลกเราถึงได้แย่ขนาดนี้” ก่อนจะเปลี่ยนไปดูช่องกีฬาเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
บนทางเดินหินที่นักเรียนทุกคนต่างเริ่มเร่งฝีเท้าเพื่อจะไปเข้าเรียน รอสในสภาพอิดโรยเดินไปตามทางอย่างไร้จุดหมายราวกับว่าเขากลับไปอยู่ในมูราลแล้ว ขอบตาดำช้ำจากการอดหลับอดนอนมาตลอดทั้งคืน ผมเผ้ากระเซิงผูกรวบไว้อย่างลวกๆ
คำถามคืออะไรทำให้รอสอดหลับอดนอนมาตลอดทั้งคืนเช่นนี้?
เมื่อคืนก่อนแจ๊สทำอะไรรอสจนถึงกับอดหลับอดนอนจนถึงเช้าอย่างนั้นหรือ?
คำตอบนั้นอาจจะไม่สาแก่ใจสำหรับแจ๊สเสียเท่าไหร่ เมื่อรอสนั้นสามารถใช้พลังกายที่เหนือกว่ามากโขผลักดันตัวแจ๊สออกไปก่อนที่ตัวตนของเขาจะถูกเปิดโปง มันช่างสยองเหลือเกิน ผู้หญิงตัวเป็นๆ รุกเข้ามาใกล้ขนาดนั้น ลิ้นที่แลบออกมาเลียรอบปากอันอิ่มเอิบนั่นราวกับสัตว์หิวกระหายที่กำลังเขมือบตัวเขาทั้งเป็นก็ไม่ปาน ลมหายใจอุ่นๆ นั่นที่เป่ารดต้นคอนั่น ก้อนเนื้อนุ่มนิ่มสองก้อนที่กองทับมาบนตัวเขานั่น...
และนิ้วแสนซุกซนที่ลูบไล้ไปมาบนต้นขานั่น มันช่าง...
และแน่นอนว่าความคิดสับสนในหัวเป็นอันต้องถูกตัดไป มันช่างน่ากลัวเหลือเกินเมื่อคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น แต่ก่อนหน้าที่รอสจะมีเวลาให้กังวลเรื่องเล็กน้อยอย่างนี้ได้ เขาต้องฝ่าฟันกับลมหนาวทั้งคืนพยายามติดต่อกับกองบัญชาการที่เขาติดต่อเท่าไหร่มันก็ไม่ติดสักที เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ยามค่ำคืนอันโหดร้ายปล่อยให้รอสต้องนั่งถ่างตากลางสวนนาฬิกาแดดคนเดียวเฝ้ารอเสียงตอบรับจากศูนย์บัญชาการที่เหมือนกับว่าได้ทอดทิ้งเขาไว้ท่ามกลางแดนเถื่อนเสียแล้ว กว่าความกังวลใจจะถูกขจัดลงไปได้ก็ปาไปเกือบตีสี่ ซึ่งป่านนั้นก็ใกล้รุ่งเต็มทน
ความกังวล ความเหนื่อยล้า และความเครียดท่ามกลางดงศัตรูร้ายได้บั่นทอนพลังกายจนทรุดโทรมดังที่เห็น ถ้ารอสไม่เคยผ่านหลักสูตรพลซุ่มยิงที่ต้องนอนกลางดินกินกลางทรายนิ่งๆ ถึงห้าวันเต็มๆ แล้วคงไม่แคล้วสติแตกหรือสลบไสลไปเสียเดี๋ยวนี้
“เอ่อ เมเปิ้ล ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ?”
คอนเน่ สาวน้อยผมดำขลับที่ยาวปรกหน้าถามด้วยน้ำเสียงที่ดูเบาราวมดกระซิบ แต่มันก็เป็นน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงเป็นไยไร้ซึ่งความเสแสร้ง สำหรับรอสแล้ว ถ้าไม่ได้คอนเน่ที่อุตส่าห์มายืนรับหน้าห้องตั้งแต่เช้าเดินนำทางเขาล่ะก็คงไม่แคล้วต้องเดินหล่นเข้าพงหญ้าเป็นแน่
รอสเองก็ไม่แน่เหมือนกันว่าทำไมอยู่ดีๆ เธอถึงมารอรับถึงหน้าประตูห้องก่อนจะออกเดินไปพร้อมกันทั้งๆ ที่ตัวคอนเน่กับรอสเองเรียนกันคนล่ะห้อง ความจริงรอสเองก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจไปซะทีเดียวนักหรอกในตอนแรก แต่ตอนนี้มันอาจเริ่มดูน่ากลัวเล็กน้อยเวลาที่เธอจะแอบเหลือบมองเขาในบางครั้ง พอเขาสบตากลับก็รีบหันหน้าควับหนีอย่างไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย หวังได้แต่เพียงว่า อย่างน้อยหวังว่าเธอจะเพียงทำได้แค่แอบเหลียวมองเขาอย่างเดียวก็พอ
“แต่ไม่แน่นะ!” ในใจแสนกังวลนั้นเริ่มยิงคำถามออก เหตุผลที่เธอแอบมองเขาบ่อยๆ อาจจะมีสิทธิ์เป็นไปได้ว่ายายเด็กคนนี้อาจจะจับพิรุธเขาได้เสียแล้ว ไม่แน่ว่าเธออาจจะเห็นตัวเขาที่กำลังพยายามติดต่อศูนย์บัญชาการอย่างเอาเป็นเอาตายก็ได้ หรืออาจจะเป็นเมื่อคืนที่เขาไม่ได้ใส่กางเกงในพรางตานั่น ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดเขาคงต้องจัดการเรื่องของยายนี่เสียแต่เนิ่นๆ ก่อนมันจะสายเกินแก้
“ไม่เป็นไรหรอก เธอเองก็เดินล่วงหน้าไปก่อนเลยก็ได้ ไม่ต้องรอฉันหรอก” รอสกล่าวตอบ อย่างน้อยในตอนนี้ก็ต้องพยายามออกไปห่างๆ จากยายนี่ก่อน
ทว่า...
“ง... งั้นเหรอคะ” สาวน้อยไปสักครู่ หายใจลึกๆ ก่อนจะเอ่ยปากอีกครั้งด้วยสีหน้าแดงก่ำ “แต่ยังไงฉันก็อยากเดินเป็นเพื่อนกับเมเปิ้ลนะ ชั้นจะรอเมเปิ้ลเสมอนะ”
รอสได้แต่คำรามในใจอย่างผิดหวังที่สลัดคอนเน่ไม่หลุด แต่หลังจากนั้นสาวน้อยคอนเน่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรกับรอสอีกเลยราวกับว่าเธอใช้พลังใจทั้งหมดกล่าวประโยคที่ว่าออกมา ใบหน้าแดงก่ำก้มมองแต่พื้นราวกับกังวลว่าจะสะดุดอะไรล้มจนถึงห้องเรียนของรอส แม้ว่าจะต้องแยกกันไปเรียนตามห้องเรียนของตน คอนเน่ยังอุตส่าห์เดินมาส่งถึงหน้าห้อง
“เอ่อ... คือว่า ถ้าไม่ว่าอะไรตอนกลางวัน ไปกินข้าวด้วยกันสามคนเหมือนเมื่อวานอีกนะคะ”
หลังพูดจบคอนเน่รีบวิ่งหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย สองคนที่คอนเน่หมายถึงคงจะเป็นเขาและหล่อนแน่นอน แล้วอีกคนที่เหลือล่ะ สงสัยว่าจะเป็นยายแจ๊สนั่นล่ะมั้ง แต่รอสก็ยังจำได้ว่าเมื่อวานก่อนมีผู้หญิงหัวฟูที่ชื่อเตเต้มานั่งด้วยอีกคนไม่ใช่หรือ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนรอสจะหลุดพ้นจากพวกผู้หญิงเพี้ยนๆ พวกนั้นได้ไปสักพักหนึ่ง
เมื่อเขาเปิดประตูไม้บานหนาเข้าไปก็ต้องพบว่านักเรียนในชั้นทุกคนต่างหันมามองเขาเป็นทางเดียวกัน ทุกอย่างดูเงียบกริบราวกับเวลาของโลกนี้ได้หยุดเดินเสียบัดนั้น
มันเป็นเสี้ยววินาทีแห่งความสงบนิ่งก่อนที่ทุกอย่างจะกลับสู่สภาพเดิม เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเหล่านักเรียนสาววัยแรกแย้มกลบกลืนความเงียบเมื่อสักครู่จนหมดสิ้น มันไม่นานนักก่อนรอสจะเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น.... เข็มนาฬิกาบอกว่าได้เลยเวลาเรียนมากว่า 5 นาทีแล้ว แต่แท่นสำหรับอาจารณ์หน้าห้องยังคงปราศจากอาจารย์หน้าห้อง
สงสัยพวกนักเรียนคงจะนึกว่ารอสเป็นอาจารย์เลยต่างเงียบเป็นเสียงเดียวกัน ท่าทางอาจารย์คนนี้คงเก่งพอที่จะสยบเหล่าลิงป่าพวกนี้ได้กระมัง รอสคิด
ภายในห้องดูต่างจากห้องที่เขาเรียนเมื่อวานนิดหน่อย กล่าวคือห้องเรียนประวัติศาสตร์เบื้องต้นจะจัดโต๊ะเป็นรูปกึ่งครึ่งวงกลมโดยระดับชั้นจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ตามความลึก ทำให้ผู้ทำการสอนตรงหน้าห้องสามารถสอดส่องนักเรียนทุกคนได้ด้วยการเพียงกวาดสายตาเพียงครั้งเดียว มันเป็นห้องเรียนแบบที่รอสคุ้นเคยเป็นอย่างดีในโรงเรียนนายร้อย แต่ในห้องเรียนนี้กลับเป็นเพียงพื้นราบ มีโต๊ะยาวสำหรับ 5 6 คนที่ส่วนใหญ่ถูกจับจองหมดแล้วเรียงรายเป็นตับ ดูเหมือนจะเป็นห้องเรียนธรรมดาทั่วไปถ้าไม่ติดที่ว่ามันเป็นห้องที่เขาเพิ่งเรียนวิชาประวัติศาสตร์เบื้องต้นเมื่อวานไม่ใช่หรือ
แต่เขาก็ไม่คิดจะแปลกใจให้มากความ อย่างไรเสียที่นี่ก็คือดินแดนเวทมนตร์นอกรีตอยู่แล้ว อะไรๆ มันก็เกิดขึ้นได้ แม้แต่วิชาที่กำลังเรียนอยู่นี่ก็ไม่ใช่วิชาอื่นไกล เวทมนตร์เบื้องต้นสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันนั่นเอง ถ้ารอสจำไม่ผิดครูใหญ่ปันจมีเคยอธิบายว่ามันเป็นวิชาบังคับที่นักเรียนใหม่ทุกคนต้องเรียนก่อนที่จะเลื่อนไปเรียนหลักสูตรขั้นสูงกว่า
ระหว่างรอสเดินหาที่นั่งว่างอยู่นั้น สายตาหลายคู่เริ่มจับจ้องยังเขาอีกครั้ง เสียงซุบซิบเบาๆ เกี่ยวกับตัวรอสดังขึ้นเป็นระยะๆ จนอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าพวกนั้นไม่ทราบหรือว่าเขาได้ยินเต็มสองหูเลย สงสัยว่าหนังสือพิมพ์ของยายแจ๊สนั่นคงจะทำพิษซะแล้วสิ ให้ตายเถิด ทั้งๆ ที่เขาไม่อยากจะเป็นจุดสนใจแล้ว นี่มันจะยิ่งทำให้งานของเขายากขึ้นไปอีก
โต๊ะส่วนใหญ่ถูกจับจองโดยนักเรียนสี่ถึงห้าคนเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่าวิชาเรียนนี้จะต้องเรียนเป็นกลุ่ม ซึ่งข่าวดีสำหรับรอสคือ... เท่าที่เดินผ่านมาเขาไม่รู้จักใครสักคน แต่ไม่เป็นไรหรอก รู้จักหรือไม่รู้จักมันก็ไม่ต่างกันนัก อย่างไรเสียเจ้าพวกนั้นก็คือสัตว์ป่าเถื่อนกระหายเลือดเหมือนกันหมดอยู่ดี โอ้...รอสได้แต่คิดว่ามันช่างเป็นคำปลอบใจที่เยี่ยมจริงๆ
“จะมานั่งกับพวกเรามั้ยล่ะ”
ท่ามกลางเสียงจอแจของเหล่าลิงไร้จ่าฝูงยังมีกลุ่มหญิงสาวจากโต๊ะถัดไปไม่เท่าไหร่นักเรียกทักรอสที่ดูเหมือนจะไม่มีกลุ่มนั่ง กลุ่มเด็กสาวเริ่มหัวเราะดังคิกคักเมื่อรอสหันมาจ้องมองพวกหล่อนอย่างงงๆ
“ใช่แล้ว เธอนั่นล่ะจ้ะ ถ้ายังไม่มีกลุ่มจะมานั่งกับพวกเราก็ได้นะ” หญิงสาวอีกคนกล่าวเสริมกับรอสที่ยังดูงงกับตัวเองอยู่ โดยเด็กสาวคนอื่นต่างดูจะตื่นเต้นเสียเหลือเกิน นอกเหนือจากนั้นแล้วเด็กสาวกลุ่มอื่นๆ ก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กับการเคลื่อนไหวของเด็กกลุ่มนี้
จะเอาอย่างไรดีล่ะ แน่นอนว่าทำความรู้จักสนิทสนมกับพวกไร้อารยธรรมอาจจะเป็นประสบการณ์ที่น่ากลัว แต่มันก็อาจส่งผลดีต่อภารกิจนี้ก็เป็นได้ อย่างไรเสียเขาก็ต้องมีเพื่อนไว้เป็นทั้งหน้าฉากและแหล่งข้อมูลด้วยอยู่แล้วนี่นา
ทว่า ก่อนที่เขาจะได้สังเกตหน้าตาของเหล่าเด็กสาวว่าที่เพื่อนใหม่จนครับ หรือแม้แต่ก่อนที่เขาจะเลื่อนเก้าอี้นั่ง เงาทะมึนแห่งความยากลำบากที่ราวกับเป็นเทพเจ้าแห่งการจองล้างจองผลาญค่อยๆ คืบคลานมาทางด้านหลังของรอสอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะคว้าตัวรอสเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“โทษทีนะ แต่ขอรับตัวเมเปิ้ลของชั้นกลับไปก่อนล่ะ” เสียงจากเบื้องหลังกล่าว
กลุ่มเด็กสาวดูเหมือนจะประท้วงในคราแรก แต่สักพักกลับมีสีหน้าจ๋อยลงก่อนจะปล่อยให้รอสถูกฉุดกระชากออกไป
“ชั้นไม่ปล่อยให้เธอหนีไปเหมือนเมื่อคืนหรอกนะจ๊ะ”
เมื่อหันไปมองเบื้องหลังก็ต้องพบกับนัยน์ตาคู่ทองที่จดจ้องมองเขาอย่างบรรยายไม่ถูก จะบอกว่าเหมือนกับเวลาที่เขายิงถูกเป้าหมายตรงเผงหลังจากนอนรอมา 3 วันก็ไม่ใช่ จะคล้ายกับเวลาที่ครูฝึกสปริงฟิลจอมโหดมองดูนักเรียนโดนทำโทษอย่างสุขใจก็ไม่เชิง เอาเป็นว่ารอสรู้สึกไม่ไว้ใจกับสายตานั้นเลยแม้แต่น้อย
ก็แน่ล่ะ มันเป็นสายตาคู่ที่เขายังไม่ลืมไปง่ายๆ หรอก ก็เมื่อคืนก่อนเขาเห็นมันใกล้ซะจนรู้สึกถึงลมหายใจของอีกฝ่ายเลยนี่นา...
แจ๊สยิ้มร่าพลางฉุดกระชากลากถูกรอสไปตามทาง ท่ามกลางสายตานับสิบๆ คู่ที่จ้องมองพฤติกรรมแปลกประหลาดกลางห้องเรียนเช่นนี้ บ้างที่เหมือนยังไม่รู้อะไรต่างซุบซิบนินทากันอย่างเผ็ดมัน บางส่วนก็ได้แต่หายใจปลงกับสิ่งที่เห็น มีแม้แต่ส่งสายตาสงสารเวทนามาให้เขาด้วยซ้ำ
รอสเองก็พยายามจะผลักตัวออกไปเหมือนกับที่ทำเมื่อวาน ทว่า คราวนี้เขากลับถูกพลังที่มองไม่เห็นบางอย่างตรึงเขาไว้กับที่เหมือนกับที่โดนรุ่นพี่เอมิเลียทำเมื่อสองวันก่อน ในที่สุดเขาก็ถูกลากมายังโต๊ะตัวที่อยู่ตรงมุมปลายสุดของห้องจนดูเหมือนหน้าห้องจะเป็นเพียงความฝันที่ดูห่างไกล เก้าอี้ไม้จัดแจงเลื่อนออกมาต้อนรับรอสอย่างเริงร่าราวกับมีชีวิต ก่อนที่แจ๊สจะจัดแจงกดรอสนั่งลง
นอกจากรอสแล้วรอบๆ โต๊ะยังมีเหล่าสมาชิกที่คุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ไม่น้อย ทางขวามือคือสาวน้อยผิวคล้ำผมฟูยามว่าเตเต้กำลังยิ้มแฉ่งทักรอสอย่างเริงร่า โดยตรงริมกำแพงมีร่มคันโตวางพาดไว้ไม่ห่างมือ ทางซ้ายมืออีกด้านคือแจ๊สที่เพิ่งนั่งลงกับเก้าอี้อย่างสุขใจ ส่วนอีกคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขานั้น...
“........”
นัยน์ตาสีทองแดงที่กำลังลุกโชนด้วยพระเพลิงพิโรธจ้องตรงมาทางเขาอย่างกับรอสเพิ่งสังหารบุพการีไปก็ไม่ปาน ถ้าเทียบกันแล้วเรื่องที่รอสทำไว้กับเจ้าหล่อนเมื่อคืนอาจจะไม่เลวร้ายขนาดนั้นก็ตาม แต่การจะทำให้เจ้าหล่อนเชื่ออย่างนั้นคงยากน่าดู ไม่รวมถึงที่เจ้าตัวเองก็ไม่สามารถพิสูจน์ความผิดของรอสได้ทั้งๆ ที่กายสองร่างแทบจะแนบสนิทเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วด้วยซ้ำ
ใช่แล้ว ผู้เป็นอันดับหนึ่งในหลายๆ ด้านของบัญชีดำประจำตัวรอส ผู้เป็นทั้งโจทก์อันดับหนึ่ง ตัวซวยอันดับหนึ่ง ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง สาวผู้มีนัยน์ตาและสีผมคล้ายคลึงกับโคลัมบัสที่สุด เมลิซซ่า ล็อปป์ นั่นเอง
“ชั้นล่ะปลื้มใจจริงๆ ที่ได้เห็นพวกเรา เหล่าสมาชิกชมรมกระบือบ๊องกันเกือบครบถ้วนหน้า” แจ๊สหันไปมองเหล่าสมาชิกจำยอมทั้งสามอย่างภาคภูมิ “ช่างน่าเศร้าที่คอนเน่ต้องเรียนชั้นอื่น ส่วนแพ็ตตี้ก็ดันเรียนจบไม่รอพวกชั้นไปซะแล้ว แต่ถึงยังไงก็ต้องขอบคุณพวกเธอสองคนจริงๆ ไม่งั้นชั้นคงต้องอยู่กับยัยเมลิซซ่าไปอีกเทอมแน่ๆ เลย”
เมลิซซ่าหันควับมามองแจ๊สตาเขียวปัด แต่ก็ได้แต่มองอย่างเจ็บใจเท่านั้น ดูท่าทางแล้วเมลิซซ่าก็ไม่อยากอยู่กลุ่มเดียวกับแจ๊สเสียเท่าไหร่ คล้ายกับว่ามันไม่มีทางเลือกแล้วอย่างนั้นล่ะ แน่นอนว่ารอสไม่ต้องรอนานก่อนที่สาวน้อยหัวฟูข้างๆ จะเริ่มเอ่ยปากถามแทนเขาราวรู้ใจเขา
“เอ... พวกแจ๊สเข้าเรียนมาตั้งแต่เทอมที่แล้วใช่มั้ยนิ”
“อื้มมม ทำไมเหรอ” แจ๊สตอบ
“เปล่าหรอกจ้า แค่สับสนนิดหน่อย จำได้ว่าทั้งแจ๊สกับเมลิซซ่าเข้ามาก่อนเราตั้งเทอมนึงเลยรู้สึกแปลกใจที่ทำไมยังเรียนวิชาของเด็กเทอมหนึ่งอยู่นิ”
เมลิซซ่านั้นแทบอยากจะเอาหน้ามุดดินหนีไปเลยเมื่อได้ยินสิ่งที่เตเต้พูด ส่วนแจ๊สได้แต่ยิ้มเจ้าเล่ห์พลางกล่าวกับเตเต้สั้นๆ ว่า “คำถามบางอย่างก็ไม่ควรที่จะถามออกมาหรอกนะ...”
“หยา ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นิ”
“ไม่เป็นไรหรอก ชั้นเองไม่สนมันนักหรอก แต่คนที่นั่งข้างๆ สิ” แจ๊สหันไปมองเมลิซซ่าที่ยังซึมอยู่อย่างขบขัน “เอาเถอะ เธอเองก็อย่าไปขัดใจยัยแครอลก็พอ ไม่งั้นต้องโดนเรียนซ้ำชั้นเหมือนกับชั้นอย่างนี้ล่ะ”
“แครอลนิ? หมายถึงอาจารย์เจอร์ซี่ที่สอนวิชานี้เหรอ”
“อื้ออ แม่นแล้ว เดี๋ยวเธอเจอก็จะรู้เองล่ะ”
ระหว่างนั้นเองเสียงเปิดประตูดังเอี้ยดอ้าดลากยาวพร้อมๆ กันนั้นเสียงเจี้ยวจ้าวก็พลันเงียบลง หญิงชราในชุดเสื้อคลุมสีม่วงตัวโตค่อยๆ ย่างกรายขึ้นมาบนแท่นบรรยาย ระหว่างนั้นเองทั้งห้องต่างส่งเสียงกระซิบกระซาบกันระงมไปทั่ว แม้แต่เพื่อนร่วมโต๊ะของรอสเองก็ยังอดที่จะซ่อนสีหน้าความแปลกใจไปเสียไม่ได้
“ไหนว่าอาจารย์แครอล เจอร์ซี่สอนวิชานี้ไง แล้วทำไมถึง...” เตเต้ถามกระซิบถามแจ๊สที่ดูแปลกใจไม่แพ้กับคนอื่น
“ไม่รู้เหมือนกัน เมื่ออาทิตย์ที่แล้วยังเรียนกับยัยแครอลอยู่เลยนี่นา” แจ๊สตอบโดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่บนอาจารย์ร่างเล็กที่กำลังจัดแจงท่าทางของตนหน้าห้อง
ระหว่างที่ทุกคนกำลังแปลกใจกันอยู่ น้ำเสียงแหบแห้งของหญิงชราที่ดูเหมือนจะเบา แต่กลับได้ยินอย่างชัดเจนทั่วทั้งห้องแม้แต่โต๊ะหลังสุดก็ตามดังลอยขึ้นมาตามสายลม เป็นผลให้ทั้งห้องตกอยู่ในสภาพเงียบกริบราวกับอยู่ในใจกลางของพายุ
“อรุณสวัสดิจ้ะนักเรียนทุกคน นี่เป็นห้องเรียนวิชาเวทมนตร์เบื้องต้นสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันใช่ไหมจ้ะ หวังว่าครูจะไม่ได้เข้าห้องผิดนะ”
นักเรียนกแทบทั้งชั้นผงกศีรษะแทบจะพร้อมเพรียงกัน
“ครูจะถือว่านั่นเป็นคำตอบว่าใช่ก็แล้วกัน แต่ว่าพวกเธอพูดกับครูบ้างก็ได้นะ ครูไม่กัดหรอก” อาจารย์กล่าวอย่างอารมณ์ดีก่อนที่กองเอกสารหนาปึกจะเริ่มเรียงกันต่อหน้าอาจารย์อย่างเป็นระเบียบ ในขณะเดียวกันเอกสารอีกแผ่นก็ลอยเข้ามาในมือของอาจารย์ราวกับเป็นนกน้อย “ก่อนจะเช็คชื่อครูเองก็อยากจะขอกล่าวอะไรกับพวกหนูก่อน ก่อนอื่นต้องขอโทษด้วยที่ครูมาสายไปหน่อย หวังว่าคงไม่ว่ากันนะจ้ะ ส่วนอีกเรื่องที่สำคัญคือ... อย่างที่พวกหนูทราบกัน ความจริงวิชานี้เป็นวิชาของครูแครอลเค้า แต่ช่วงนี้คุณครูติดภารกิจบางอย่างทำให้ไม่สามารถมาสอนในช่วงนี้ได้ ครูเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าครูแครอลจะกลับมาสอนต่ออีกเมื่อไหร่ ดังนั้นในระหว่างนี้ครูจะเป็นคนสอนแทนไปก่อน อย่างไรเสียหลังจากที่คุณครูแครอลเสร็จกับธุระแล้วจะกลับมาสอนตามเดิมอย่างแน่นอน หวังว่าพวกหนูคงจะไม่เบื่อครูก่อนนะจ้ะ...
เอาล่ะ ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่แล้วพวกหนูอาจจะเพิ่งเข้ามาใหม่ครูเองก็อาจจะยังไม่คุ้นหน้าคุ้นตา แต่ทุกคนคงจะรู้จักครูบ้างไม่มากก็น้อยอยู่แล้ว ถ้าใครจำครูไม่ได้ก็ให้นึกยายแก่ๆ ที่ยืนพูดอะไรน่าเบื่อก็ไม่รู้อยู่ได้ตั้งหลายนาทีตอนปฐมนิเทศ” มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาเล็กน้อยจากหมู่นักเรียน แต่มันก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว “ส่วนคนไหนที่พอจะรู้จักครูบ้างแล้วก็ขอให้ทนฟังคำแนะนำตัวของครูอีกหนก็แล้วกันนะ”
ด้วยเหตุผลบางประการ รอสรู้สึกว่าอาจารย์ผู้นั้นจงใจหันมายิ้มให้กับรอส
“ครูชื่อปันจมี มหาเสนา จามรีวงศ์ หรือเรียกแค่ว่าครูปันจมีก็พอจ้ะ ครูหวังว่าสี่ชั่วโมงต่อจากนี้ไปเราจะรู้จักกันมากขึ้นกว่านี้นะ”
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
Edit Log: Sept 5th, 2008: ตัดจบตอนซะเลย ความจริงแล้วชื่อตอนควรจะเอามาจากชื่อหนัง (และหนังสือ) เรื่อง แนวรบตะวันตกสงบเงียบ (All Quiet in the Western Front) แต่แอบเปลี่ยนเล็กน้อยในวงเล็บให้เข้ากับเนื้อเรื่อง
ความคิดเห็น