ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Psalms of the New World

    ลำดับตอนที่ #25 : Patriot Games (2)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 332
      0
      26 ส.ค. 51

                   แหงนหน้ามองด้านบนก็จะพบกับหมู่เมฆสีขาวนวลลอยอย่างสงบนิ่งราวกับเกาะที่ลอยได้บนฉากผืนฟ้าสีครามที่สว่างไสวไปด้วยแสงสีขาวนวล  เมื่อมองกลับมามองยังรอบๆ ตัวก็จะพบกับพื้นที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลดูราวกับไร้พรมแดน  กลิ่นของความชุ่มชื้นลอยกระจายไปทั่ว  อากาศอบอุ่นสบายไม่หนาวเย็นหรือร้อนอบอ้าว  สถานที่นั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าหลากพันธุ์หลายสีสันถูกจัดเรียงตกแต่งเป็นสวนหย่อมๆ อย่างเป็นระเบียบและงดงาม   กิ่งของไม้ใหญ่และไม้พุ่มถูกแต่งเล็มเป็นพุ่มไม่ให้ผิดรูปผิดทรง  ดอกไม้หลากพันธุ์หลากสีต่างชูช่อเรียงรายรอให้ผู้คนมาเชยชม  บนพื้นถูกปกคลุมด้วยหญ้าสีเขียวสดที่ถูกตัดจนเรียบอยู่ตลอดเวลา  ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเรียงรายให้ร่มเงาตามทางเดินที่ถูกสร้างด้วยหินอย่างง่ายๆ ที่นำไปยังศาลาเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริมคลองเล็กๆ ที่ใสจนเห็นหินและก้อนกรวดเบื้องล่าง  ข้างๆ ศาลาริมคลองนั้นมีต้นไทรต้นใหญ่ต้นใหญ่ยืนตระหง่านแผ่กิ่งก้านสาขาเอนต้นไปจนอยู่เหนือน้ำ 


                     แทบไม่น่าเชื่อเลยว่านี่จะเป็นส่วนหนึ่งของทัศนียภาพที่อยู่ใต้ดินลึกลงไปหลายร้อยเมตร  ซึ่งตรงกันข้ามกับสภาพอันแห้งแล้งและกันดาลที่อยู่บนผืนดินเหนืออุทธยานหลวงนี้ขึ้นไป  ถึงแม้เสน่ห์และความงดงามของอุทธยานหลวงแห่งนี้จะยังเทียบชั้นไม่ได้กับทัศนียภาพของโรงเรียนโซเฟียก็ตาม  แต่การที่ใจกลางดินแดนอันแห้งแล้งและหนาวเหน็บของมูราลกลับมีความชุ่มชื้น และชีวิต โผล่ขึ้นมาใต้ดินก็นับได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก


                     ภายในศาลาทรงกลมหลังคาสีเขียวสดที่อยู่ริมคลอง  บุคคลสองคนกำลังนั่งเผชิญหน้ากันจากอีกฟากหนึ่งของโต๊ะทรงกลมที่มีถ้วยกาแฟสองถ้วยกับขวดโหลใส่น้ำตาลก้อนและเหยือกนมวางอยู่  ควันกรุ่นๆ ยังลอยขึ้นมาจากกาแฟที่เต็มแก้วทั้งสองที่ยังไม่ได้ถูกแตะต้องเลยแม้แต่น้อย 


                     "เป็นไง  รู้สึกดีบ้างรึยัง  เดวิด"  นายพลโคลท์นั่งตัวตรงกุมมือวางบนโต๊ะ 


                    "ฮึ่ม...สถานการณ์ตอนนี้ชั้นจะรู้สึกดีได้ยังไงกัน  นายพลสามดาวตายเรียบหมดแล้วนะ  ใน 12 โต๊ะกลมตอนนี้คนที่พอจะควบคุมกองทัพได้เหลือแต่ชั้นกับนายเท่านั้นนะ" นายพล การิล กุมศีรษะของตัวเองจากอาการที่ยังไม่หายดีเมื่อสักครู่  "ไม่แน่...เป้าหมายต่อไปของพวกมันอาจจะเป็นหนึ่งในพวกเราก็ได้" 


                    "ชั้นรู้ตัวในจุดนี้ดีอยู่แล้ว  ไม่ต้องห่วงหรอก"  นายพลโคลท์หยิบน้ำตาลใส่ถ้วยกาแฟสองก้อน เทนม  แล้วคนกาแฟอย่างใจเย็น


                    นายพลการิล เหลือบมองดูนายพล โคลท์  ผ่านมือที่กุมศีรษะอยู่ด้วยความเคลือบแคลง


                    "นี่ แมทธิว...ถ้าชั้นไม่ใช่เพื่อนนายมาก่อนละก็ชั้นคงคิดว่านายเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดนี้แน่"  


                     "งั้นหรือ..."  นายพลโคลท์กล่าวก่อนค่อยๆ จิบกาแฟช้าๆ "อืม...กาแฟชั้นเลิศของที่นี่ยังไงก็ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ"


                     "แมทธิว...ทำไมนายยังใจเย็นได้ขนาดนี้   แล้วตอนนั้นนายหยุดชั้นไว้ทำไม"  นายพลการิลกล่าวกับนายพลโคลท์


                     "ถ้าชั้นไม่ใช่เพื่อนนายมาก่อนละก็  ชั้นคงไม่คิดจะขวางนายจากการเป็นเหยื่อของห่ากระสุนจากพวกหน่วยพิเศษนั่นหรอกนะ" 


                    ทั้งสองต่างจับจ้องสายตายังอีกฝ่ายหนึ่งโดยแทบไม่กระพริบตา


                    "คนอย่างนายคงยอมตายเพื่อที่เข้าเฝ้าฝ่าบาทอย่างแน่นอน"  นายพลโคลท์วางแก้วกาแฟที่ว่างเปล่าบนที่รองแก้ว  "ชั้นคงจะพูดไม่ผิดนักหรอก  ใช่มั้ย"


                    "หึ...มันเป็นหน้าที่ของคนอย่างเราที่ต้องคอยรับใช้ท่านไม่ใช่หรือ  แม้แต่ในยามที่ท่านหลงผิด  มันก็เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะช่วยท่านกลับมา  แม้จะต้องเผชิญหน้ากับโทษทัณฑ์ใดๆ"  นายพลการิลกล่าว


                     "ใช่แล้ว  แต่พวกเราก็มีหน้าที่สนองต่อพระราชดำริของท่านอย่างเคร่งครัดไม่ใช่หรือ" 


                     "มันก็ขึ้นอยู่กับแต่เหตุการณ์ไปล่ะนะ"  นายพลการิล เอนหลังพิงกับพนัก


                     "ใช่..." น้ำเสียงของนายพลโคลท์กลับดูแผ่วเบาลงเล็กน้อย "...มันก็แล้วแต่สถานการณ์"


                     "ฮึ...นายนี่เปลี่ยนไปมากเลยนะ  ตั้งแต่สมัยนั้นนะ"  นายพลการิลกล่าวกับนายพลโคลท์ด้วยความสนิทชิดเชื้อของเพื่อนเก่าเพื่อนแก่


                     "ส่วนนายนี่ก็ไม่เปลี่ยนเลยสักนิดเลยนะ เดวิด"  นายพลโคลท์ตอบกลับ


                    ทั้งสองเงียบไปสักครู่โดยต่างคนต่างจ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้น  จนกระทั่งหุ่นกระป๋องรับใช้ค่อยๆ เก็บแก้วกาแฟที่ดื่มเสร็จแล้วของนายพลโคลท์  เมื่อนั้นนายพลการิล จึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


                   "ตอบชั้นตามตรงเลยนะ...ไม่ใช่ในฐานะของ 12 โต๊ะกลมหรือผู้บัญชาการกองทหาร  แต่ในฐานะของเพื่อน  และข้าราชบริพารผู้จงรักภักดีต่อสถาบัน..."   นายพลการิลยื่นหน้าเข้ามาใกล้กับนายพลโคลท์ "นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่  ขนาดเรื่องสำคัญอย่างผู้นำกองทัพทั้งสามถูกลอบสังหารหมดแล้ว  แม้แต่พระราชโองการแต่งตั้งผู้บัญชาการคนใหม่ยังไม่ออกมาเลย  พระพักตร์ของท่านก็ไม่มีใครเห็นตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้วเลยนะ....


                  แมทธิว...นายกำลังปิดบังอะไรไว้กันแน่!"


                 "ชั้นไม่มีอะไรต้องปิดบังนายหรอก  วางใจได้  ฝ่าบาททรงแค่ต้องการเวลาพักผ่อนจากงานราชการอันเหน็ดเหนื่อยแค่นั้นเอง  แล้วนายไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของท่านหรอกนะ  นายก็รู้นี่ว่าท่านไม่มีทางเป็นอะไรไปอย่างแน่นอน"  นายพลโคลท์ตอบ


                "งั้นหรอกเหรอ..."  นายพลการิล ลุกขึ้น  เดินออกไปจากศาลาโดยไม่เหลียวกลับมามองนายพลโคลท์  "ขอโทษที่รบกวนเวลาของนาย...ส่วนเรื่องการสืบสวนเกี่ยวกับการลอบสังหารนั้นปล่อยให้คนของชั้นจัดการเองแล้วกัน"


                "อื้ม...ฝากด้วยแล้วกัน"  นายพลโคลท์ตอบโดยมีรอยยิ้มของผู้ที่เป็นสหายพึงจะมอบให้   
     

                 เมื่อเห็นเจ้านายของตนกำลังจะกลับ  ทหารผู้ติดตามทั้งสองที่ยืนคอยอยู่ใกล้ๆ รีบรุดเข้ามายืนประกบข้าง  คนหนึ่งสวมเสื้อโค้ทให้ ในขณะที่อีกคนยื่นหมวกให้ 
     

                  ระหว่างสวมหมวกนั้น  นายพล การิล แอบชำเลืองตามองนายพลโคลท์ที่กำลังหยิบเสื้อโค้ทที่ฟิลิปเป้ยื่นให้อยู่  มันเป็นแววตาที่อัดแน่นเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง และความไม่ไว้วางใจ
     

                  "ตรวจสอบดูว่าหน่วยไหนอยู่ฝ่ายเราบ้าง  แล้วส่งคนคอยสืบการเคลื่อนไหวของนายพลโคลท์อย่าให้คลาดสายตาด้วย" 


                  นายพลการิล ออกคำสั่งกับผู้ติดตามทั้งสองอย่างลับๆ  ก่อนที่ทั้งสามจะเดินลับสายตาของนายพลโคลท์ที่จ้องมองพวกเขาอยู่ด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อย 


                  @@@@@@@@@@@@


                  "ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ต้องออกโรงตามที่เตรียมไว้แล้วล่ะ" 


                  นายพลโคลท์กล่าวกับฟิลิปเป้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามในขบวนรถไฟใต้ดินที่มุ่งหน้ากลับไปยังฐานลับที่สะพาน อิชทา  รถมีเพียงนายพลโคลท์ กับฟิลิปเป้เท่านั้นที่อยู่ภายในขบวนนี้ 


                  "ครับผม..."  ฟิลิปเป้กล่าวด้วยความเกร็งเมื่อต้องนั่งเผชิญหน้ากับนายพลโคลท์เพียงลำพัง  "ผมยังไม่ทราบเลยว่าจะทำตามที่บอสสั่งไว้ต่อหน้า ผบ. การิล ได้หรือเปล่านะครับ"


                   "ฮะฮะๆ..."  นายพลโคลท์หัวเราะออกมาเบาๆ  "ไม่ต้องห่วงหรอก  ใครๆ ก็กลัวเจ้าหมอนั่นอยู่แล้วล่ะ  ก็หน้าออกจะน่ากลัวขนาดนั้น"


                   "แต่ดูเหมือนว่าบอสจะไม่กลัวท่านเลยนะครับ" 


                    "ก็ผมกับหมอนั่นเป็นทั้งเพื่อนร่วมรุ่น ทั้งรูมเมทกันตอนอยู่โรงเรียนนายร้อยนะ  ขับเคี่ยวชิงที่หนึ่งกันน่าดูเลยนะ  ตอนนั้นนะ..." 


                    น้ำเสียงที่นายพลโคลท์เล่าเรื่องเมื่อครั้นสมัยก่อนนั้นกลับดูมีชีวิตชีวาราวกับว่าเป็นช่วงเวลาที่นายพลโคลท์มีความสุขที่สุด  รอยยิ้มในระหว่างที่เล่านั้นไม่ใช่รอยยิ้มที่ปกติจะแสดงให้ต่อหน้าลูกน้อง  แต่กลับเป็นรอยยิ้มจากก้นบึ้งของหัวใจ  เป็นรอยยิ้มจากตัวตนที่แท้จริงของนายพลโคลท์


                    "ท่าทางบอสกับ ผบ. การิลจะสนิทกันน่าดูเลยนะครับ"


                    แล้วรอยยิ้มนั้นก็พลันหายไป  นายพลโคลท์หันกลับไปมองนอกหน้าต่างอันมืดมิดของอุโมงค์รถไฟ


                    "ใช่...เราเคยสนิทกันมาก"  น้ำเสียงอันสงบราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกโหยหาวันเวลาเก่าๆ ที่เคยได้ประสบมา


                     "อึก...."


                     ทันใดนั้นใบหน้าของนายพลโคลท์ก็บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด  มือกุมหน้าอกด้านซ้ายแน่น  แล้วนายพลโคลท์ก็เริ่มไออย่างรุนแรง  ท่าทางอันน่าองอาจพลันอันตธานหายไปอย่างสิ้นเชิง 


                    "บอส!" ฟิลิปเป้รีบรุดเข้ามาหานายพลโคลท์ด้วยความตกใจสุดขีด


                    "แค่กๆ  ยา...ยาเดี๋ยวนี้"  นายพลโคลท์ยังไอไม่หยุด  มือที่ปิดปากไว้เริ่มปรากฏคราบเลือดออกมา


                    "ต...แต่ว่า"  ฟิลิปเป้ยังลังเลที่จะให้ยาตามที่นายพลโคลท์สั่ง


                   "นี่เป็นคำสั่ง! แค่กๆ...เอายามาเดี๋ยวนี้!"


                   ฟิลิปเปไม่มีทางเลือกนอกจากจะทำตามที่นายพลโคลท์สั่ง  เขาควักตลับสี่เหลี่ยมสีเงินเล็กๆ ออกมาจากเสื้อกาวน์ของเขา  เปิดฝามันออกมา  พร้อมกับหยิบเครื่องมือรูปทรงคล้ายปากกาที่มีเข็มออกมา  ฟิลิปเป้ถลกแขนเสื้อข้างหนึ่งของนายพลโคลท์ออกมา  ตรงข้อมือของนายพลโคลท์มีสิ่งคล้ายท่อปักคาอยู่  ฟิลิปเป้นำเครื่องมือรูปปากกานั้นเสียบเข้าไปในร่องก่อนอ่านผลที่แสดงขึ้นมาเป็นภาพสามมิติ


                    เมื่อคำนวณค่าต่างๆ เสร็จแล้ว  ฟิลิปเป้ตรงปลายอีกด้านของเครื่องมือทรงปากกาออกมาเป็นสายยาง  จากนั้นก็หยิบหลอดยาเล็กๆ ที่มีเข็มตรงปลายออกมาจากตลับแล้วต่อมันเข้ากับสายยาง  ฟิลิปเป้ถลกแขนเสื้อซ้ายของตัวเองออก  เผยให้เห็นท่อแบบเดียวกับบนข้อมือนายพลโคลท์   แล้วจึงเสียบเข็มหลอดยาเข้าไปรูที่ข้อมือของตนเอง


                    "อาา..." 


                    อาการนายพลโคลท์เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ  จนเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก  ฟิลิปเป้จึงดึงเข็มจากตัวนายพลโคลท์ แล้วจึงจัดแจงเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างไว้ในตลับตามเดิม


                    "บอส!"  ฟิลิปเป้ถามอาการนายพลโคลท์ที่นั่งกุมศีรษะด้วยความเป็นห่วง


                    "ผมไม่เป็นไรแล้ว  ขอบใจมากนะ"  นายพลโคลท์จัดแจงท่านั่งของตนให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง  ถึงแม้รัศมีความองอาจจะกลับคืนมาสู่นายพลท่านนี้อีกครั้ง  แต่ฟิลิปเป้เองยังรู้สึกได้ถึงความอ่อนแอภายในตัวของบุคคลตรงหน้านี้  เลือดที่เปรอะเปื้อนมือค่อยๆ ถูกเช็ดออก  "สมแล้วที่เป็นเจ้าเดวิด  เล่นเอาซะชั้นใช้ต้องเปลืองแรงซะขนาดนี้"  นายพลโคลท์บ่นพึมพำกับตัวเอง


                    "บอส...แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ..."


                    ยังไม่ทันขาดคำ  ร่างกายของนายพลโคลท์ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง  มือของนายพลโคลท์เริ่มแห้งกรังเป็นเกล็ดจนกระดูกโปนออกมาอย่างเห็นได้ชัด


                    "แย่จัง  ลามมาถึงมือแล้วหรือเนี่ย"  นายพลโคลท์กล่าวราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดา 


                   "บอสครับ  ถึงตัวยามันจะระงับความเจ็บปวดได้ก็จริงอยู่  แต่มันจะไปเร่งอัตราการ 'เสื่อมถอย' ให้ลุกลามเร็วขึ้นนะครับ  ไอ้ยาตัวนี้ความจริงมันเป็นยาพิษชัดๆ  ผมขอแนะนำให้"


                   นายพลโคลท์ยกมือขึ้นห้ามไม่ให้ฟิลิปเป้พูดต่อ


                  "จริงอยู่ที่อาการ 'เสื่อมถอย' ไม่ควรที่จะปรากฏในช่วงอายุผม  แต่ถ้าผมไม่ได้ยานั่นมันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก" 


                  "แต่ว่า..."  ฟิลิปเป้ยังคงเป็นห่วงกับผลข้างเคียงของสิ่งที่เขาฉีดเข้าไปในร่างของนายพลโคลท์


                   "เธอไม่ต้องรู้สึกผิดไปหรอก  ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณด้วยซ้ำ  ถ้าไม่ได้ยานั่นป่านนี้คงแย่ไปนานแล้ว..."  นายพลโคลท์ หยิบถุงมือขึ้นมาพร้อมกับสวมปิดมือข้างที่แห้งเหี่ยวลงไว้


                   "แต่ผมก็ให้อภัยตัวเองไม่ได้หรอกครับ  ทั้งเรื่องที่ผมฝังยาพิษไว้กับคุณรอส  ทั้งเรื่องที่ผมให้ยาตัวนั้นกับท่านอีก..."  ฟิลิปเป้กำมือแน่นด้วยความแค้นในการกระทำของตน


                   "ไม่ต้องห่วงหรอก...เธอไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งนั้น"  นายพลโคลท์เอามือแตะหัวฟิลิปเป้อย่างแผ่วเบาพร้อมกับจ้องมองด้วยแววตาอันอ่อนโยน  "เธอจงพักผ่อนเสียเถิด  เมื่อตื่นขึ้นมาเธอจะลืมเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้น  ทั้งเรื่องในพระราชวัง และเรื่องเมื่อสักครู่ด้วย..."


                   "บ...บอส...." ศีรษะของฟิลิปเป้ค่อยๆ เอนไปเอนมาจนหยุดติดกับข้างกระจก  ตาค่อยๆ ปิดลงจนสนิท  เสียงลมหายใจเบาๆ ดังออกมาจากปากที่เผยอออกเล็กน้อย


                   เมื่อนายพลโคลท์เห็นว่าฟิลิปเป้หลับลงแล้วเขาจึงค่อยๆ ประคองฟิลิปเป้ให้นอนราบไปกับเบาะ 


                   "หลับเสียเถิดฟิลิปเป้  เบเร็ตต้า  เธอไม่ต้องเสียใจกับการกระทำใดๆ ของเธอทั้งนั้น  เพราะนั่นคือหน้าที่ของเธอที่จะทำในสิ่งที่จรรยาบรรณแพทย์มิอาจยอมรับได้  ถึงแม้เธอจะศึกษาสาขาเดียวกับแพทย์  แต่เธอก็ไม่ใช่แพทย์  เธอเป็นนักวิทยาศาสตร์ดังนั้นไม่ถูกปิดกั้นโดยจรรยาบรรณของเหล่าแพทย์   งานสกปรกทุกอย่างที่เหล่าแพทย์มิอาจทำได้นั่นล่ะคือหน้าที่ที่เป็นเครื่องยืนยันการมีชีวิตของพวกเธอทุกคน  เหล่านักวิทยาศาสตร์แห่งความตายผู้น่าสงสารทั้งหลาย"

    ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

    พอดีตอนเรียนราชาศัพท์เกือบตกง่ะ  ถ้ามีอะไรแปร่งๆ ก็บอกๆ กันด้วยละกัน...
    Edit Log: August 26th, 2008: แก้ไขเล็กน้อย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×