คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : Patriot Games (2)
แหงนหน้ามองด้านบนก็จะพบกับหมู่เมฆสีขาวนวลลอยอย่างสงบนิ่งราวกับเกาะที่ลอยได้บนฉากผืนฟ้าสีครามที่สว่างไสวไปด้วยแสงสีขาวนวล เมื่อมองกลับมามองยังรอบๆ ตัวก็จะพบกับพื้นที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลดูราวกับไร้พรมแดน กลิ่นของความชุ่มชื้นลอยกระจายไปทั่ว อากาศอบอุ่นสบายไม่หนาวเย็นหรือร้อนอบอ้าว สถานที่นั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าหลากพันธุ์หลายสีสันถูกจัดเรียงตกแต่งเป็นสวนหย่อมๆ อย่างเป็นระเบียบและงดงาม กิ่งของไม้ใหญ่และไม้พุ่มถูกแต่งเล็มเป็นพุ่มไม่ให้ผิดรูปผิดทรง ดอกไม้หลากพันธุ์หลากสีต่างชูช่อเรียงรายรอให้ผู้คนมาเชยชม บนพื้นถูกปกคลุมด้วยหญ้าสีเขียวสดที่ถูกตัดจนเรียบอยู่ตลอดเวลา ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเรียงรายให้ร่มเงาตามทางเดินที่ถูกสร้างด้วยหินอย่างง่ายๆ ที่นำไปยังศาลาเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริมคลองเล็กๆ ที่ใสจนเห็นหินและก้อนกรวดเบื้องล่าง ข้างๆ ศาลาริมคลองนั้นมีต้นไทรต้นใหญ่ต้นใหญ่ยืนตระหง่านแผ่กิ่งก้านสาขาเอนต้นไปจนอยู่เหนือน้ำ
แทบไม่น่าเชื่อเลยว่านี่จะเป็นส่วนหนึ่งของทัศนียภาพที่อยู่ใต้ดินลึกลงไปหลายร้อยเมตร ซึ่งตรงกันข้ามกับสภาพอันแห้งแล้งและกันดาลที่อยู่บนผืนดินเหนืออุทธยานหลวงนี้ขึ้นไป ถึงแม้เสน่ห์และความงดงามของอุทธยานหลวงแห่งนี้จะยังเทียบชั้นไม่ได้กับทัศนียภาพของโรงเรียนโซเฟียก็ตาม แต่การที่ใจกลางดินแดนอันแห้งแล้งและหนาวเหน็บของมูราลกลับมีความชุ่มชื้น และชีวิต โผล่ขึ้นมาใต้ดินก็นับได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
ภายในศาลาทรงกลมหลังคาสีเขียวสดที่อยู่ริมคลอง บุคคลสองคนกำลังนั่งเผชิญหน้ากันจากอีกฟากหนึ่งของโต๊ะทรงกลมที่มีถ้วยกาแฟสองถ้วยกับขวดโหลใส่น้ำตาลก้อนและเหยือกนมวางอยู่ ควันกรุ่นๆ ยังลอยขึ้นมาจากกาแฟที่เต็มแก้วทั้งสองที่ยังไม่ได้ถูกแตะต้องเลยแม้แต่น้อย
"เป็นไง รู้สึกดีบ้างรึยัง เดวิด" นายพลโคลท์นั่งตัวตรงกุมมือวางบนโต๊ะ
"ฮึ่ม...สถานการณ์ตอนนี้ชั้นจะรู้สึกดีได้ยังไงกัน นายพลสามดาวตายเรียบหมดแล้วนะ ใน 12 โต๊ะกลมตอนนี้คนที่พอจะควบคุมกองทัพได้เหลือแต่ชั้นกับนายเท่านั้นนะ" นายพล การิล กุมศีรษะของตัวเองจากอาการที่ยังไม่หายดีเมื่อสักครู่ "ไม่แน่...เป้าหมายต่อไปของพวกมันอาจจะเป็นหนึ่งในพวกเราก็ได้"
"ชั้นรู้ตัวในจุดนี้ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก" นายพลโคลท์หยิบน้ำตาลใส่ถ้วยกาแฟสองก้อน เทนม แล้วคนกาแฟอย่างใจเย็น
นายพลการิล เหลือบมองดูนายพล โคลท์ ผ่านมือที่กุมศีรษะอยู่ด้วยความเคลือบแคลง
"นี่ แมทธิว...ถ้าชั้นไม่ใช่เพื่อนนายมาก่อนละก็ชั้นคงคิดว่านายเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดนี้แน่"
"งั้นหรือ..." นายพลโคลท์กล่าวก่อนค่อยๆ จิบกาแฟช้าๆ "อืม...กาแฟชั้นเลิศของที่นี่ยังไงก็ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ"
"แมทธิว...ทำไมนายยังใจเย็นได้ขนาดนี้ แล้วตอนนั้นนายหยุดชั้นไว้ทำไม" นายพลการิลกล่าวกับนายพลโคลท์
"ถ้าชั้นไม่ใช่เพื่อนนายมาก่อนละก็ ชั้นคงไม่คิดจะขวางนายจากการเป็นเหยื่อของห่ากระสุนจากพวกหน่วยพิเศษนั่นหรอกนะ"
ทั้งสองต่างจับจ้องสายตายังอีกฝ่ายหนึ่งโดยแทบไม่กระพริบตา
"คนอย่างนายคงยอมตายเพื่อที่เข้าเฝ้าฝ่าบาทอย่างแน่นอน" นายพลโคลท์วางแก้วกาแฟที่ว่างเปล่าบนที่รองแก้ว "ชั้นคงจะพูดไม่ผิดนักหรอก ใช่มั้ย"
"หึ...มันเป็นหน้าที่ของคนอย่างเราที่ต้องคอยรับใช้ท่านไม่ใช่หรือ แม้แต่ในยามที่ท่านหลงผิด มันก็เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะช่วยท่านกลับมา แม้จะต้องเผชิญหน้ากับโทษทัณฑ์ใดๆ" นายพลการิลกล่าว
"ใช่แล้ว แต่พวกเราก็มีหน้าที่สนองต่อพระราชดำริของท่านอย่างเคร่งครัดไม่ใช่หรือ"
"มันก็ขึ้นอยู่กับแต่เหตุการณ์ไปล่ะนะ" นายพลการิล เอนหลังพิงกับพนัก
"ใช่..." น้ำเสียงของนายพลโคลท์กลับดูแผ่วเบาลงเล็กน้อย "...มันก็แล้วแต่สถานการณ์"
"ฮึ...นายนี่เปลี่ยนไปมากเลยนะ ตั้งแต่สมัยนั้นนะ" นายพลการิลกล่าวกับนายพลโคลท์ด้วยความสนิทชิดเชื้อของเพื่อนเก่าเพื่อนแก่
"ส่วนนายนี่ก็ไม่เปลี่ยนเลยสักนิดเลยนะ เดวิด" นายพลโคลท์ตอบกลับ
ทั้งสองเงียบไปสักครู่โดยต่างคนต่างจ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งหุ่นกระป๋องรับใช้ค่อยๆ เก็บแก้วกาแฟที่ดื่มเสร็จแล้วของนายพลโคลท์ เมื่อนั้นนายพลการิล จึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
"ตอบชั้นตามตรงเลยนะ...ไม่ใช่ในฐานะของ 12 โต๊ะกลมหรือผู้บัญชาการกองทหาร แต่ในฐานะของเพื่อน และข้าราชบริพารผู้จงรักภักดีต่อสถาบัน..." นายพลการิลยื่นหน้าเข้ามาใกล้กับนายพลโคลท์ "นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ขนาดเรื่องสำคัญอย่างผู้นำกองทัพทั้งสามถูกลอบสังหารหมดแล้ว แม้แต่พระราชโองการแต่งตั้งผู้บัญชาการคนใหม่ยังไม่ออกมาเลย พระพักตร์ของท่านก็ไม่มีใครเห็นตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้วเลยนะ....
แมทธิว...นายกำลังปิดบังอะไรไว้กันแน่!"
"ชั้นไม่มีอะไรต้องปิดบังนายหรอก วางใจได้ ฝ่าบาททรงแค่ต้องการเวลาพักผ่อนจากงานราชการอันเหน็ดเหนื่อยแค่นั้นเอง แล้วนายไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของท่านหรอกนะ นายก็รู้นี่ว่าท่านไม่มีทางเป็นอะไรไปอย่างแน่นอน" นายพลโคลท์ตอบ
"งั้นหรอกเหรอ..." นายพลการิล ลุกขึ้น เดินออกไปจากศาลาโดยไม่เหลียวกลับมามองนายพลโคลท์ "ขอโทษที่รบกวนเวลาของนาย...ส่วนเรื่องการสืบสวนเกี่ยวกับการลอบสังหารนั้นปล่อยให้คนของชั้นจัดการเองแล้วกัน"
"อื้ม...ฝากด้วยแล้วกัน" นายพลโคลท์ตอบโดยมีรอยยิ้มของผู้ที่เป็นสหายพึงจะมอบให้
เมื่อเห็นเจ้านายของตนกำลังจะกลับ ทหารผู้ติดตามทั้งสองที่ยืนคอยอยู่ใกล้ๆ รีบรุดเข้ามายืนประกบข้าง คนหนึ่งสวมเสื้อโค้ทให้ ในขณะที่อีกคนยื่นหมวกให้
ระหว่างสวมหมวกนั้น นายพล การิล แอบชำเลืองตามองนายพลโคลท์ที่กำลังหยิบเสื้อโค้ทที่ฟิลิปเป้ยื่นให้อยู่ มันเป็นแววตาที่อัดแน่นเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง และความไม่ไว้วางใจ
"ตรวจสอบดูว่าหน่วยไหนอยู่ฝ่ายเราบ้าง แล้วส่งคนคอยสืบการเคลื่อนไหวของนายพลโคลท์อย่าให้คลาดสายตาด้วย"
นายพลการิล ออกคำสั่งกับผู้ติดตามทั้งสองอย่างลับๆ ก่อนที่ทั้งสามจะเดินลับสายตาของนายพลโคลท์ที่จ้องมองพวกเขาอยู่ด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อย
@@@@@@@@@@@@
"ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ต้องออกโรงตามที่เตรียมไว้แล้วล่ะ"
นายพลโคลท์กล่าวกับฟิลิปเป้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามในขบวนรถไฟใต้ดินที่มุ่งหน้ากลับไปยังฐานลับที่สะพาน อิชทา รถมีเพียงนายพลโคลท์ กับฟิลิปเป้เท่านั้นที่อยู่ภายในขบวนนี้
"ครับผม..." ฟิลิปเป้กล่าวด้วยความเกร็งเมื่อต้องนั่งเผชิญหน้ากับนายพลโคลท์เพียงลำพัง "ผมยังไม่ทราบเลยว่าจะทำตามที่บอสสั่งไว้ต่อหน้า ผบ. การิล ได้หรือเปล่านะครับ"
"ฮะฮะๆ..." นายพลโคลท์หัวเราะออกมาเบาๆ "ไม่ต้องห่วงหรอก ใครๆ ก็กลัวเจ้าหมอนั่นอยู่แล้วล่ะ ก็หน้าออกจะน่ากลัวขนาดนั้น"
"แต่ดูเหมือนว่าบอสจะไม่กลัวท่านเลยนะครับ"
"ก็ผมกับหมอนั่นเป็นทั้งเพื่อนร่วมรุ่น ทั้งรูมเมทกันตอนอยู่โรงเรียนนายร้อยนะ ขับเคี่ยวชิงที่หนึ่งกันน่าดูเลยนะ ตอนนั้นนะ..."
น้ำเสียงที่นายพลโคลท์เล่าเรื่องเมื่อครั้นสมัยก่อนนั้นกลับดูมีชีวิตชีวาราวกับว่าเป็นช่วงเวลาที่นายพลโคลท์มีความสุขที่สุด รอยยิ้มในระหว่างที่เล่านั้นไม่ใช่รอยยิ้มที่ปกติจะแสดงให้ต่อหน้าลูกน้อง แต่กลับเป็นรอยยิ้มจากก้นบึ้งของหัวใจ เป็นรอยยิ้มจากตัวตนที่แท้จริงของนายพลโคลท์
"ท่าทางบอสกับ ผบ. การิลจะสนิทกันน่าดูเลยนะครับ"
แล้วรอยยิ้มนั้นก็พลันหายไป นายพลโคลท์หันกลับไปมองนอกหน้าต่างอันมืดมิดของอุโมงค์รถไฟ
"ใช่...เราเคยสนิทกันมาก" น้ำเสียงอันสงบราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกโหยหาวันเวลาเก่าๆ ที่เคยได้ประสบมา
"อึก...."
ทันใดนั้นใบหน้าของนายพลโคลท์ก็บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด มือกุมหน้าอกด้านซ้ายแน่น แล้วนายพลโคลท์ก็เริ่มไออย่างรุนแรง ท่าทางอันน่าองอาจพลันอันตธานหายไปอย่างสิ้นเชิง
"บอส!" ฟิลิปเป้รีบรุดเข้ามาหานายพลโคลท์ด้วยความตกใจสุดขีด
"แค่กๆ ยา...ยาเดี๋ยวนี้" นายพลโคลท์ยังไอไม่หยุด มือที่ปิดปากไว้เริ่มปรากฏคราบเลือดออกมา
"ต...แต่ว่า" ฟิลิปเป้ยังลังเลที่จะให้ยาตามที่นายพลโคลท์สั่ง
"นี่เป็นคำสั่ง! แค่กๆ...เอายามาเดี๋ยวนี้!"
ฟิลิปเปไม่มีทางเลือกนอกจากจะทำตามที่นายพลโคลท์สั่ง เขาควักตลับสี่เหลี่ยมสีเงินเล็กๆ ออกมาจากเสื้อกาวน์ของเขา เปิดฝามันออกมา พร้อมกับหยิบเครื่องมือรูปทรงคล้ายปากกาที่มีเข็มออกมา ฟิลิปเป้ถลกแขนเสื้อข้างหนึ่งของนายพลโคลท์ออกมา ตรงข้อมือของนายพลโคลท์มีสิ่งคล้ายท่อปักคาอยู่ ฟิลิปเป้นำเครื่องมือรูปปากกานั้นเสียบเข้าไปในร่องก่อนอ่านผลที่แสดงขึ้นมาเป็นภาพสามมิติ
เมื่อคำนวณค่าต่างๆ เสร็จแล้ว ฟิลิปเป้ตรงปลายอีกด้านของเครื่องมือทรงปากกาออกมาเป็นสายยาง จากนั้นก็หยิบหลอดยาเล็กๆ ที่มีเข็มตรงปลายออกมาจากตลับแล้วต่อมันเข้ากับสายยาง ฟิลิปเป้ถลกแขนเสื้อซ้ายของตัวเองออก เผยให้เห็นท่อแบบเดียวกับบนข้อมือนายพลโคลท์ แล้วจึงเสียบเข็มหลอดยาเข้าไปรูที่ข้อมือของตนเอง
"อาา..."
อาการนายพลโคลท์เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ จนเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ฟิลิปเป้จึงดึงเข็มจากตัวนายพลโคลท์ แล้วจึงจัดแจงเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างไว้ในตลับตามเดิม
"บอส!" ฟิลิปเป้ถามอาการนายพลโคลท์ที่นั่งกุมศีรษะด้วยความเป็นห่วง
"ผมไม่เป็นไรแล้ว ขอบใจมากนะ" นายพลโคลท์จัดแจงท่านั่งของตนให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ถึงแม้รัศมีความองอาจจะกลับคืนมาสู่นายพลท่านนี้อีกครั้ง แต่ฟิลิปเป้เองยังรู้สึกได้ถึงความอ่อนแอภายในตัวของบุคคลตรงหน้านี้ เลือดที่เปรอะเปื้อนมือค่อยๆ ถูกเช็ดออก "สมแล้วที่เป็นเจ้าเดวิด เล่นเอาซะชั้นใช้ต้องเปลืองแรงซะขนาดนี้" นายพลโคลท์บ่นพึมพำกับตัวเอง
"บอส...แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ..."
ยังไม่ทันขาดคำ ร่างกายของนายพลโคลท์ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง มือของนายพลโคลท์เริ่มแห้งกรังเป็นเกล็ดจนกระดูกโปนออกมาอย่างเห็นได้ชัด
"แย่จัง ลามมาถึงมือแล้วหรือเนี่ย" นายพลโคลท์กล่าวราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดา
"บอสครับ ถึงตัวยามันจะระงับความเจ็บปวดได้ก็จริงอยู่ แต่มันจะไปเร่งอัตราการ 'เสื่อมถอย' ให้ลุกลามเร็วขึ้นนะครับ ไอ้ยาตัวนี้ความจริงมันเป็นยาพิษชัดๆ ผมขอแนะนำให้"
นายพลโคลท์ยกมือขึ้นห้ามไม่ให้ฟิลิปเป้พูดต่อ
"จริงอยู่ที่อาการ 'เสื่อมถอย' ไม่ควรที่จะปรากฏในช่วงอายุผม แต่ถ้าผมไม่ได้ยานั่นมันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก"
"แต่ว่า..." ฟิลิปเป้ยังคงเป็นห่วงกับผลข้างเคียงของสิ่งที่เขาฉีดเข้าไปในร่างของนายพลโคลท์
"เธอไม่ต้องรู้สึกผิดไปหรอก ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณด้วยซ้ำ ถ้าไม่ได้ยานั่นป่านนี้คงแย่ไปนานแล้ว..." นายพลโคลท์ หยิบถุงมือขึ้นมาพร้อมกับสวมปิดมือข้างที่แห้งเหี่ยวลงไว้
"แต่ผมก็ให้อภัยตัวเองไม่ได้หรอกครับ ทั้งเรื่องที่ผมฝังยาพิษไว้กับคุณรอส ทั้งเรื่องที่ผมให้ยาตัวนั้นกับท่านอีก..." ฟิลิปเป้กำมือแน่นด้วยความแค้นในการกระทำของตน
"ไม่ต้องห่วงหรอก...เธอไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งนั้น" นายพลโคลท์เอามือแตะหัวฟิลิปเป้อย่างแผ่วเบาพร้อมกับจ้องมองด้วยแววตาอันอ่อนโยน "เธอจงพักผ่อนเสียเถิด เมื่อตื่นขึ้นมาเธอจะลืมเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องในพระราชวัง และเรื่องเมื่อสักครู่ด้วย..."
"บ...บอส...." ศีรษะของฟิลิปเป้ค่อยๆ เอนไปเอนมาจนหยุดติดกับข้างกระจก ตาค่อยๆ ปิดลงจนสนิท เสียงลมหายใจเบาๆ ดังออกมาจากปากที่เผยอออกเล็กน้อย
เมื่อนายพลโคลท์เห็นว่าฟิลิปเป้หลับลงแล้วเขาจึงค่อยๆ ประคองฟิลิปเป้ให้นอนราบไปกับเบาะ
"หลับเสียเถิดฟิลิปเป้ เบเร็ตต้า เธอไม่ต้องเสียใจกับการกระทำใดๆ ของเธอทั้งนั้น เพราะนั่นคือหน้าที่ของเธอที่จะทำในสิ่งที่จรรยาบรรณแพทย์มิอาจยอมรับได้ ถึงแม้เธอจะศึกษาสาขาเดียวกับแพทย์ แต่เธอก็ไม่ใช่แพทย์ เธอเป็นนักวิทยาศาสตร์ดังนั้นไม่ถูกปิดกั้นโดยจรรยาบรรณของเหล่าแพทย์ งานสกปรกทุกอย่างที่เหล่าแพทย์มิอาจทำได้นั่นล่ะคือหน้าที่ที่เป็นเครื่องยืนยันการมีชีวิตของพวกเธอทุกคน เหล่านักวิทยาศาสตร์แห่งความตายผู้น่าสงสารทั้งหลาย"
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
พอดีตอนเรียนราชาศัพท์เกือบตกง่ะ ถ้ามีอะไรแปร่งๆ ก็บอกๆ กันด้วยละกัน...
Edit Log: August 26th, 2008: แก้ไขเล็กน้อย
ความคิดเห็น