คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Train Station ประตูสู่วาฮัลลา (3)
แรงสั่นสะเทือนของโบกี้ที่เพิ่งสะดุดอะไรบางอย่างทำเอามารีตื่นจากห้วงความคิดของเธอ ตั้งแต่เท่าไหร่มิทราบที่หล่อนมิได้สนใจภาพท้องไร่ท้องนาที่วิ่งผ่านไปราวแผ่นฟิล์มที่ไม่มีวันหวนกลับ จมดิ่งอยู่ในภวังค์ที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกแสนแปลกประหลาด
นี่เรากำลังจะไปรบแล้วหรือ ?
ตอนที่ได้รับจดหมายแจ้งก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก อาจจะรู้สึกโหวงเหวงเล็กน้อยในช่วงแรก แต่การที่ต้องวุ่นกับเรื่องเจ้าฌองก็ทำให้มารีลืมที่จะนึกถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท จนกระทั่งเมื่อหล่อนได้พบนายทหารผู้นั้น ทำให้มารีเริ่มตระหนักได้ว่าตนกำลังจะเดินทางไปเผชิญหน้ากับสิ่งใด
“ฉันปล่อยให้พวกแกอยู่กับหมอนี่ตามลำพังไม่ได้หรอก ฉันมีความรู้สึกว่าเจ้านั่นจะพาพวกแกไปตายหมดนะสิ”
คำพูดของมองซิเออร์โคลแบร์ดังสะท้อนไม่หยุด ความตายอย่างนั้นหรือ มารีไม่เคยคิดถึงมันมาก่อน เธอยังสาว ยังแข็งแรง ถึงแม้เจ้าฌองจะชอบเตือนอยู่เรื่อยว่าบุหรี่จะทำให้ชีวิตสั้นลง แต่มันก็ดูเป็นเรื่องห่างไกลจากตัวหล่อนเหลือเกิน
ทว่า มันไม่ใช่อย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว
คุณพ่อนั้นแทบจะไม่เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับสงคราม หรือแม้แต่วีรกรรมในสนามรบที่พ่อเคยกระทำไว้ให้มารีฟังเลย ทั้งที่คนอื่นต่างสรรเสริญท่านว่าเป็นวีรบุรุษอยู่แห่งราชอาณาจักรอยู่เสมอ และด้วยชื่อเสียงเหล่านั้น มาลเดอร์ผู้พ่อมักมีคนเลี้ยงเหล้าให้เป็นประจำยามเมื่อเขาไปเข้าบาร์ในเมือง ซึ่งผู้เป็นบิดานั้นไม่เคยมีสีหน้าพอใจกับคำยกยอเหล่านั้นเลยสักครั้ง มารีเคยถามว่าทำไมคุณพ่อถึงดูเศร้านักยามที่คนอื่นเรียกว่าเป็น วีรบุรุษบ้าง สายฟ้าสีเงินแห่งอาริยองบ้าง คำตอบที่ได้รับมันยังจำฝังแน่นไม่มีวันลืม
“พ่อนะไม่ได้เป็นวีรบุรุษหรอก พ่อมันเป็นแค่ฆาตกรคนหนึ่งที่โชคดีรอดชีวิตกลับมาได้เท่านั้นล่ะ”
สงครามไม่เคยเป็นเรื่องที่เป็นเกียรติ หรือน่าภาคภูมิเลย สิ่งเดียวที่มาลเดอร์ผู้พ่อพึงจะถ่ายทอดให้ลูกสาวคนโตฟังคือความน่ากลัวและสยดสยองของสงคราม และ มารีมักจะได้ยินคำว่า “ความตาย” ที่มักหลุดออกมาจากปากนั้นเสมอ แม้แต่วาระสุดท้ายของเขาบนเตียงอันแสนสงบของชนบทอันห่างไกล ยามเมื่อไฟมอดสุดท้ายในดวงตาที่ผ่านโลกมามากกำลังจะดับลง มารียังจำได้ดีถึงความรู้สึกหนาวเหน็บเมื่อคราวนี้เสียงโหยหวนกับฝันร้ายที่ยังคงตามหลอกหลอนจนถึงลมหายใจเฮือกสุดท้าย
และในขณะนี้ มันเป็นมารีที่กำลังตรงดิ่งเข้าสู่สงครามที่พ่อของหล่อนกลัวนักกลัวหนาอย่างหลีกเลี่ยงมิได้...
มันหมายความว่า หล่อนกำลังก้าวย่างเข้าสู่หนทางแห่งความตายเช่นนั้นหรือ ?
......................................
..............................
...................
.......
“มารี เธอเป็นอะไรหรือเปล่า” ซิลวีสะกิดเพื่อนสาวเพียงหนึ่งเดียวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เธอสังเกตได้สักพักแล้วว่ามารีมีท่าทางดูซึมไปผิดหูผิดตานับตั้งแต่นั่งบนขบวนรถไฟ “หรือว่าเพราะเจ้าหมูอ้วนนั่นในตอนนั้น...”
“เปล่าหรอก...” มารีรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธพลางฝืนยิ้มแห้ง ๆ ออกมา “ฉันแค่... นั่งดูวิวพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยนะ”
“โอ้ย ไม่ต้องปิดบังหรอกแม่หนู ลุงเองก็กลัวเจ้าบ้านั่นเหมือนกันล่ะ ไม่งั้นแล้วคงไม่ตามมาคุมพวกหนูถึงนี่หรอก ลุงเองก็เป็นห่วงเจ้าลูกชายนี่เหมือนกัน” มองซิเออร์โคลแบร์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกล่าวแทรกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย และด้วยท่าทางที่เหมือนกับคุณพ่อมาคุมลูกน้อยคอยตามเช็ดก้นต่อหน้าสาวน้อยที่เขาแอบปลื้มก็ทำให้มิเกลถึงกับหน้าเสียด้วยความอับอาย
“พ่อ ! ผมโตขนาดนี้แล้วดูแลตัวเองได้น่า”
“เจ้าบ้า สนามรบไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะ อย่างน้อยยิ่งมีคนอย่างเจ้าผู้หมวดนั่นอยู่ด้วยแล้ว ฉันปล่อยให้เอ็งไปไม่ได้หรอก”
มารีได้ฟังสิ่งที่มองซิเออร์โคลแบร์กล่าวถึงผู้หมวดคนนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงได้แสดงความไม่เป็นมิตรกับผู้หมวดคนนั้นเหลือเกิน แน่นอนว่าตัวมารีเองก็อดรู้สึกไม่ถูกชะตากับร้อยตรีฟิลิปตั้งแต่แรกพบ แต่มันเป็นเพียงลางสังหรณ์ของลูกผู้หญิงเท่านั้น ซึ่งดูจากที่มองซิเออร์โคลแบร์พูดแล้วคงจะมีคำตอบที่เธอเฝ้าหาอยู่แน่
“ลุงโคลแบร์คะ ทำไมถึงคิดว่าร้อยตรีผู้นั้นจะพาพวกหนูไปตายหมดล่ะ”
มองซิเออร์โคลแบร์ลูบหนวดขาวอย่างใจเย็นก่อนจะตอบคำถามนั้น “หนูอาจจะยังไม่รู้ แต่ลุงอยู่ในกองทัพมาเกือบครึ่งค่อนชีวิต ผ่านสมภูมิมาก็มาก พบผู้คนก็มากมาย ลุงเห็นเจ้าหมอนี่แว่บเดียวก็รู้ว่าเจ้าหมอนี่อันตราย ก็คิดดูเถิด อายุปูนนี้แล้วยังมีเพียงยศร้อยตรี ไม่หมอนี่เป็นนายทหารที่เพิ่งแต่งตั้งจากการปฏิวัติ ก็เป็นนายทหารของรัชกาลก่อนที่มีเรื่องต้องถูกพักราชการหรือโดนโยกย้ายไปอยู่ในสายงานที่ไม่โตเป็นแน่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าพวกนั้นมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันอยู่ มันคือความกระหายในผลงานไงล่ะ...”
“กระหายในผลงาน ? แล้วทหารที่ต้องการสร้างความดีความชอบในสนามรบมันแปลกยังไงล่ะพ่อ” มิเกลถามแทรก
“ต่างกันสิเจ้าโง่ ! ระดับของความกระหายมันต่างกันคนล่ะชั้นเลยล่ะ นายทหารพวกนี้น่ะ คือพวกที่ถูกเตะถ่วงโดนดองเน่าในไหหมดโอกาสก้าวหน้าในอาชีพทหารไปนานแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเจ้าพวกนี้มีโอกาสสร้างผลงานเมื่อไร มันไม่รีรอที่จะกระโจนเข้าหาเพื่อชดเชยเวลาที่เสียไปหรอก ถึงแม้ว่ามันจะหมายถึงชีวิตของลูกน้องใต้อานัติโดยไม่จำเป็นเลยก็ตาม ฉันเห็นมาหลายรายแล้วที่พาลูกน้องตัวเองไปตายเป็นเบือเพียงเพื่อจะสร้างผลงานเลียแข้งเลียขานายพลพวกนั้นนะ โจชัว น้าชายของเจ้านะก็ต้องตายไปเพราะนายทหารพรรค์นั้นล่ะ”
มารีถึงกับหน้าเสียเมื่อได้ยินสิ่งที่มองซิเออร์โคลแบร์เล่าออกมา คำพูดเหล่านั้นมันพาลทำให้มารีนึกถึงประโยคที่บิดาเคยกล่าวเอาไว้ด้วยสิ้นหวัง
“พ่อนะไม่ได้เป็นวีรบุรุษหรอก พ่อมันเป็นแค่ฆาตกรคนหนึ่งที่โชคดีรอดชีวิตกลับมาได้เท่านั้นล่ะ”
สิ่งที่พ่อเคยกล่าวไว้มันหมายถึงสิ่งนี้อย่างนั้นหรอกหรือ ? เหตุที่เกียรติยศ และชื่อเสียงเป็นราวกับยาพิษกัดกร่อนจิตใจของเขามาตลอดชีวิตก็เพราะมันแลกมาด้วยความฉิบหายของผู้อื่น ดังที่มองซิเออร์โคลแบร์กล่าวเช่นนั้นหรือ ?
“ไม่ต้องห่วงหรอกแม่หนู พ่อของเธอนะเป็นวีรบุรุษตัวจริงเลยล่ะ” มองซิเออร์โคลแบร์กล่าวออกมาราวกับว่าอ่านจิตใจของมารีได้อย่างทะลุปรุโปร่ง นัยน์ตาของเขาจ้องเขม็งมายังมารีราวกับต้องการยืนยันว่า สิ่งที่เขากล่าวออกไปนั้นหาได้มีความเท็จเจือปนแม้แต่น้อย “ลุง และสหายอีกหลาย ๆ คนคงไม่มีโอกาสรอดมาจนถึงตอนนี้ถ้าไม่มีพ่อของหนูนะ ลองไปถามทหารผ่านศึกยุคเก่า ๆ สิ ไม่มีใครที่ไม่รูจักชาวาลิเย่มาลเดอร์ สายฟ้าสีเงินแห่งอารียองหรอก ราอูลพ่อของหนูไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเลยหรือ ?”
มารีส่ายหน้าปฏิเสธเรียกเสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนออกมาจากผู้เฒ่า
“ให้ตายสิ นิสัยคิดมากนั่นยังแก้ไม่หายอีกหรือ” มองซิเออร์โคลแบร์ลูบหนวดด้วยความเศร้าใจ “อย่างไรเสีย ถึงขนาดปราบบารอนขาวของจักรวรรดิได้ในการดวลตัวต่อตัว ฝีมือของราอูลก็เป็นของจริงแน่นอน ไม่มีใครเหมาะสมกับคำว่า วีรบุรุษ ไปมากกว่าพ่อของหนูอีกแล้วล่ะ ช่างน่าเสียดายจริง ๆ คนดีมีความสามารถมักจะไม่ค่อยอยู่ยืน...”
มารีแน่ใจว่ามองซิเออร์โคลแบร์ยอมรับนับถือบิดาของนางจากก้นบึ้งจิตใจอย่างที่สหายร่วมสมรภูมิพึงจะมีให้กัน กระนั้น คำพูดของมองซิเออร์โคลแบร์ก็เหมือนกับของอีกนับสิบนับร้อยที่ได้เคยกล่าวอย่างภาคภูมิว่าเป็นสหายร่วมรบกับพ่อของหล่อน
มันไม่เคยให้คำตอบถึงสิ่งที่ผู้เป็นบิดาเฝ้าสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย !
“นี่ลุง เจ้าบารอนขาวที่ลุงพูดถึงคืออะไรหรือ” ซิลวีที่นั่งเงียบ ๆ อยู่นานในที่สุดก็เอ่ยข้อสงสัยออกมา
“นี่พวกหนูไม่รู้จักบารอนขาวกันเลยหรือ” ทั้งซิลวี และมารีต่างส่ายหน้าอย่างไม่รู้เรื่อง ซึ่งคนที่ทำหน้าเหลอหลาไม่รู้จักไปกับเขาด้วยคือมิเกล ลูกชายของตัวผู้เฒ่าเอง “นี่ล่ะน้าเด็กสมัยนี้ เอาเถิด ถ้าเป็นพลขับหุ่นกลอย่างนี้อาจจะเจอบังเอิญไปเจอในสนามรบเข้าสักวัน เตือนไว้ก่อนดีกว่า จำไว้นะ ถ้าเกิดเจอหุ่นกลสีขาวของทางฝั่งโน้นล่ะก็ อยู่ตัวคนเดียวก็ให้รีบเผ่นออกมาเลย อย่าได้ริอาจไปประลองฝีมือเดี่ยว ๆ กับมันเด็ดขาด เจ้านั่นล่ะ บารอนขาว ที่สุดของยอดฝีมืออัศวินหุ่นกล มือหนึ่งของฝ่ายนั้น เป็นตำแหน่งและฉายาที่ทางจักรวรรดิมอบให้กับสุดยอดมือหนึ่งอัศวินหุ่นกลของพวกมัน จากอัศวินมือดีนับร้อยพัน มีเพียงมือหนึ่งของยุคเพียงผู้เดียวที่ได้รับเกียรติแต่งตั้งเป็นบารอนขาว ลุงเห็นอัศวินบ้าเลือดฝั่งเราบ้าจี้ไปดวลตัวต่อตัวกับมันแล้วนอนกลับมาในโลงหลายรายแล้ว มีเห็นแต่เจ้าราอูลนี่ล่ะที่เคยปราบมันลงได้”
เมื่อสิ้นคำพูดรอบ ๆ ตัวของพวกเขาก็มีแต่เสียงพูดอื้ออึง เพราะตั้งแต่ไหนก็ไม่ทราบที่อีก 14 คนที่เหลือต่างพร้อมใจกันเงี่ยหูฟังสิ่งที่มองซิเออร์โคลแบร์เล่าเรื่อง
“นี่ ๆ ถ้าเกิดพวกผมเจอบารอนขาวที่ว่านั่นเล่า” หนึ่งในนั้นตะโกนถามอย่างตื่นเต้น
“เจ้าบ้า ต่อให้มือสมัครเล่นทั้งหมดอย่างพวกแกออกไปเจอมันตัวเดียวก็สู้ไม่ได้หรอก”
“โธ่ นี่ลุงอยู่ฝ่ายไหนกันแน่นี่ เห็นเชียร์เจ้านั่นจัง”
ระหว่างที่ทุกคนกำลังพุ่งความสนใจไปยังมองซิเออร์โคลแบร์ มารีนั้นกลับเหม่อมองภาพทิวทัศน์ที่นับวันยิ่งจะออกห่างจากสถานที่ที่หล่อนรู้จักไปเรื่อย ๆ ตามปรกติเธอได้แต่เฝ้ามองขบวนรถไฟขบวนแล้วขบวนเล่าจากภายนอกแล่นผ่านไปมาบนทุ่งหญ้าทางทิศเหนือของไร่ สำหรับดินแดนทางการเกษตรที่ความเปลี่ยนแปลงแทบไม่เคยมาเยือนแล้ว ขบวนรถไฟที่แล่นผ่านทุ่งหญ้าเป็นดั่งความฝันของเด็กสาวบ้านนาที่อยากจะหลีกหนีจากท้องทุ่งที่ราวกับเป็นภาพวาดที่เวลาถูกหยุดไว้ไปผจญภัยยังโลกภายนอกอันน่าตื่นเต้น มารีเองที่ต้องรับผิดชอบทั้งมารดาที่ป่วยออดแอดกับฌองมักจะหัวเราะเยาะกับความคิดเหล่านี้เสมอ ทั้งที่ในใจลึก ๆ ก็โหยหาความตื่นเต้นเฉกเช่นเดียวกับผู้อื่น
ทว่า ขณะนี้มันกลับเป็นภาพทิวทิศน์คุ้นตาที่วิ่งผ่านหน้าเธอไปเรื่อย ๆ บ้านไร่เครเมอร์ที่ฌองชอบหาเรื่องไปเยี่ยมเยียนอยู่บ่อย ๆ เพิ่งหายไปกับขอบหน้าต่างรถไฟ เนินโปรดที่มารีชอบพาฌองมาเล่นกำลังปรากฏขึ้นมาตรงขอบฟ้า พาเธอย้อนเวลาไปโลดแล่นในห้วงเวลาแห่งความทรงจำในวัยเยาว์
“คุณแม่กับเจ้าฌองจะทำอะไรอยู่ในตอนนี้นะ”
ความรู้สึกโหยหวนถึงครอบครัวเริ่มเข้าครอบงำมารีอย่างช่วยไม่ได้ การจากลาที่ไม่ค่อยดีนักกับฌองผู้เป็นน้องชายทิ้งความรู้สึกหนักอึ้งไว้ในอก อย่างน้อยเธอก็อยากกอดเจ้าน้องรักนั่นให้แน่น ๆ สักทีเป็นการบอกลา ไม่ใช่คำบังคับขู่เข็นดั่งเช่นเธอกระทำไป
“ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันสัญญาว่าจะคอยปกป้องเธอเอง”
มารีหันไปมองมิเกลที่เป็นต้นเสียงอย่างงง ๆ ก่อนที่เธอจะทำให้มิเกลที่อุตส่าห์รวบรวมความกล้าเสียนานในการพูดออกมาพลอยหน้าแดงก่ำอายม้วนจมไปกับความเขินอาย
“นี่มารี มิเกลเขาเป็นห่วงที่เธอกำลังซึมไปแนะ” ซิลวีรีบพากย์คำพูดที่แทบจะเรียกได้ว่าจมน้ำไปเสียแล้วของมิเกล เหล่าชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังต่างตะโกนล้อโห่หิ้วอย่างสนุกสนาน บ้างก็ขยี้หัวเจ้าหนุ่มมิเกลด้วยความหมั่นไส้ “หนอย คิดจะทำเท่เกินหน้าตาพวกฉันไปหรือ” “ไม่ต้องห่วงหรอกนะมารี เดี๋ยวพวกฉันจะเป็นคนปกป้องเธอเอง” ซึ่งแน่นอนว่า ซิลวีต้องรีบแย้งว่า “เฮ้ ฉันก็เป็นผู้หญิงนะ ไม่คิดจะปกป้องฉันด้วยหรือไงกัน” สร้างเสียงหัวเราะครึกครื้นทั้งจากตัวทุกคนในกลุ่ม และตัวมารีเองก็เริ่มเผยรอยยิ้มที่ห่างหายไปนานแล้ว ด้วยการที่มีมิตรสหายที่ดูไว้วางใจได้เช่นนี้ มารีเองก็ค่อนข้างจะสบายใจไปได้พอสมควร แต่ถึงอย่างไรเสีย ลึก ๆ แล้วมารีก็ยังรู้สึกไม่เติมเต็มอยู่ดี...
มารีอยากเจอครอบครัวของเธออีกสักครั้ง
มารีรู้ดีว่าเธอไม่มีทางมองเห็นบ้านหลังน้อยของหล่อนจากรถไฟได้หรอก แต่เธอก็อดนึกหวังว่าจะได้เห็นพวกเขาอีกครั้ง เพียงแค่แว่บเดียวก็ยังดี เธอจำแถวต้นแอ็บเปิ้ลที่เรียงรายไปตามทางรถไฟของมาดามเออเด้ได้ดี เดินไปอีกสักครึ่งชั่วโมงก็เป็นบ้านหลังน้อยของหล่อนแล้ว แต่หล่อนพยายามมองไปเท่าไรก็มองหาไม่เจอเสียที
กระนั้น ก่อนที่มารีจะได้เลิกล้มความหวังไป ที่ปลายสุดของขอบฟ้าปรากฏบางสิ่งบางอย่างทำให้มารีแทบจะกระโดดลงไปจากรถไฟเลยทีเดียว...
เงาตะคุ่มของเศษเหล็กรูปร่างคล้ายคนยืนโบกธงพื้นสีขาวผืนใหญ่ มันไม่ใช่อย่างอื่นนอกจากเจ้าหุ่นกลคู่หูที่ขาดไม่ได้ของมารีนั่นเอง อักษรตัวสีแดงเขียนว่า “โชคดี” บนริ้วธงเริ่มเห็นเด่นชัด และยิ่งเมื่อขบวนรถไฟวิ่งเข้าใกล้ มารีก็เห็นใบหน้าของฌองน้องรักที่เปื้อนด้วยน้ำตานองกำลังตะโกนอะไรบางอย่างสุดเสียงบนเจ้าหุ่นนั่น ที่ยิ่งทำให้มารีเกือบจะกลั้นน้ำตาแห่งความปิติได้ไม่อยู่คือภาพของมารดาที่ยืนโบกมือลาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอยู่เคียงข้างกับน้องชาย คนอื่น ๆ ในรถไฟที่สังเกตเห็นหุ่นกลก็รีบยื้อแย่งกันยื่นหน้ายื่นตาออกไปโห่ร้องส่งเสียงเชียร์อย่างตื่นเต้น
หลังจากที่ทั้งฌอง คุณแม่ และเจ้าหุ่นกลหายไปจากระยะสายตาแล้ว ทุกอย่างก็กลับสงบลงตามเดิม แม้แต่ตัวมารีเองก็กลับไปเหม่อมองภาพทิวทัศน์ภายนอกต่อ
“นี่ เมื่อกี๊ฉันเห็นฌองพยายามตะโกนอะไรบางอย่าง เธอคิดว่าฌองอยากบอกอะไรหรือ”
“ไม่รู้สิ...” มารีตอบซิลวีอย่างเฉยเมย แต่ถึงกระนั้นซิลวีก็รู้ดีว่าเพื่อนของเธอพยายามเก็บซ่อนน้ำตาที่กำลังเอ่อนองอยู่ จึงได้เพียงแต่โอบกอดเธอเป็นการปลอบประโลม
“แต่ฉันคิดว่ามันต้องเป็นสิ่งที่ดีแน่นอนเลยล่ะ เธอว่าไหม”
“ฉันก็ว่างั้นล่ะ” เสียงสูดน้ำมูกดังขึ้นพร้อมกับกมือที่แอบยกขึ้นเช็ดคราบน้ำตา “จริงสิ เห็นคุณแม่แล้วเลยนึกได้ว่าท่านอบพายมาแอ็ปเปิ้ลมาเผื่อทุกคนด้วยนี่” มารีเช็ดขอบตาที่บวมเป่งก่อนจะหยิบห่อผ้ามาจากกระเป๋าที่วางไว้ตรงปลายเท้า เพียงแค่แกะห่อผ้าออก กลิ่นหอมฉุยของพายแอ็บเปิ้ลก็ฟุ้งกระจายไปทั่ว ในถาดทรงกลมมีพายสีทองอร่ามถูกหั่นแบ่งเป็นชิ้นเล็ก ๆ เสร็จสรรพ มารีแบ่งสามชิ้นให้บุคคลข้างเคียงก่อนจะตะโกนเรียกให้ผู้อื่นมามีส่วนร่วมในรสชาติพายแอ็บเปิ้ลของมาดามมาลเดอร์ เนื่องจากจำนวนชิ้นไม่พอกับจำนวนคนที่มีอยู่ ดังนั้นจึงต้องแบ่งให้เป็นชิ้นเล็กลงไปอีก อย่างไรเสียทุกคนก็ได้ส่วนแบ่งกันอย่างครบถ้วน
“นี่อย่างกับพายร่วมสาบานเลยนะเนี่ย” เด็กหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มกล่าวออกมา
“ความคิดไม่เลวเลย พายร่วมสาบานของพวกเราทั้ง 17 หน่อจากแคว้นแกรนูร์ ” ซิลวีสนับสนุนความคิดนั้น “งั้นเรามากินพร้อม ๆ กันเพื่ออวยชัยให้พวกเราล่วงหน้าเถอะ”
“ใช่แล้ว เจ้าพวกจักรวรรดิระวังไว้ให้ดีเถิด พวกเราสมาคมคนขับหุ่นกลแห่งแกรนูร์กำลังมาเยี่ยมพวกแกแล้ว แด่พวกเราที่จะกลับมาเหยียบแผ่นดินแกรนูร์เกิดอีกครั้ง”
“แด่พวกเราที่จะกลับมาเหยียบเหยียบแผ่นดินแกรนูร์อีกครั้ง !” ทุกคนต่างยกชิ้นพายขึ้นคำนับก่อนจะกินมันเสียด้วยความเชื่อมั่นว่า สักวันหนึ่งจะต้องกลับมายังผืนดินบ้านเกิดอีกครั้ง...
แน่นอนว่ามันเป็นคำสัญญาที่แสนสั้นยิ่งนัก จากสิบเจ็ดชีวิตที่ร่วมกินพายร่วมสามบานนี้ อย่างน้อยกว่าครึ่งหนึ่งจะจบชีวิตลงในอีกหนึ่งเดือนให้หลัง และไม่รู้อีกกี่ชีวิตจะต้องดับสิ้นไประหว่างสงคราม
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
Edit Log: June 22th, 2009: จบตอน
Edit Log: June 27th, 2009: แก้คำผิดเล็กน้อย
ความคิดเห็น