ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ใต้ฟ้าสาธารณรัฐ

    ลำดับตอนที่ #9 : Train Station ประตูสู่วาฮัลลา (3)

    • อัปเดตล่าสุด 27 มิ.ย. 52


    href="file:///C:\Users\Tok\AppData\Local\Temp\msohtml1\01\clip_filelist.xml" />

                แรงสั่นสะเทือนของโบกี้ที่เพิ่งสะดุดอะไรบางอย่างทำเอามารีตื่นจากห้วงความคิดของเธอ  ตั้งแต่เท่าไหร่มิทราบที่หล่อนมิได้สนใจภาพท้องไร่ท้องนาที่วิ่งผ่านไปราวแผ่นฟิล์มที่ไม่มีวันหวนกลับ  จมดิ่งอยู่ในภวังค์ที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกแสนแปลกประหลาด

     

                    นี่เรากำลังจะไปรบแล้วหรือ ?

     

                    ตอนที่ได้รับจดหมายแจ้งก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก  อาจจะรู้สึกโหวงเหวงเล็กน้อยในช่วงแรก  แต่การที่ต้องวุ่นกับเรื่องเจ้าฌองก็ทำให้มารีลืมที่จะนึกถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท  จนกระทั่งเมื่อหล่อนได้พบนายทหารผู้นั้น  ทำให้มารีเริ่มตระหนักได้ว่าตนกำลังจะเดินทางไปเผชิญหน้ากับสิ่งใด

     

                    ฉันปล่อยให้พวกแกอยู่กับหมอนี่ตามลำพังไม่ได้หรอก  ฉันมีความรู้สึกว่าเจ้านั่นจะพาพวกแกไปตายหมดนะสิ

     

                    คำพูดของมองซิเออร์โคลแบร์ดังสะท้อนไม่หยุด  ความตายอย่างนั้นหรือ  มารีไม่เคยคิดถึงมันมาก่อน  เธอยังสาว  ยังแข็งแรง  ถึงแม้เจ้าฌองจะชอบเตือนอยู่เรื่อยว่าบุหรี่จะทำให้ชีวิตสั้นลง  แต่มันก็ดูเป็นเรื่องห่างไกลจากตัวหล่อนเหลือเกิน 

     

                    ทว่า  มันไม่ใช่อย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว

     

                    คุณพ่อนั้นแทบจะไม่เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับสงคราม หรือแม้แต่วีรกรรมในสนามรบที่พ่อเคยกระทำไว้ให้มารีฟังเลย  ทั้งที่คนอื่นต่างสรรเสริญท่านว่าเป็นวีรบุรุษอยู่แห่งราชอาณาจักรอยู่เสมอ  และด้วยชื่อเสียงเหล่านั้น  มาลเดอร์ผู้พ่อมักมีคนเลี้ยงเหล้าให้เป็นประจำยามเมื่อเขาไปเข้าบาร์ในเมือง  ซึ่งผู้เป็นบิดานั้นไม่เคยมีสีหน้าพอใจกับคำยกยอเหล่านั้นเลยสักครั้ง  มารีเคยถามว่าทำไมคุณพ่อถึงดูเศร้านักยามที่คนอื่นเรียกว่าเป็น วีรบุรุษบ้าง  สายฟ้าสีเงินแห่งอาริยองบ้าง  คำตอบที่ได้รับมันยังจำฝังแน่นไม่มีวันลืม

     

                    พ่อนะไม่ได้เป็นวีรบุรุษหรอก  พ่อมันเป็นแค่ฆาตกรคนหนึ่งที่โชคดีรอดชีวิตกลับมาได้เท่านั้นล่ะ

     

                    สงครามไม่เคยเป็นเรื่องที่เป็นเกียรติ หรือน่าภาคภูมิเลย  สิ่งเดียวที่มาลเดอร์ผู้พ่อพึงจะถ่ายทอดให้ลูกสาวคนโตฟังคือความน่ากลัวและสยดสยองของสงคราม  และ มารีมักจะได้ยินคำว่า ความตาย  ที่มักหลุดออกมาจากปากนั้นเสมอ  แม้แต่วาระสุดท้ายของเขาบนเตียงอันแสนสงบของชนบทอันห่างไกล  ยามเมื่อไฟมอดสุดท้ายในดวงตาที่ผ่านโลกมามากกำลังจะดับลง  มารียังจำได้ดีถึงความรู้สึกหนาวเหน็บเมื่อคราวนี้เสียงโหยหวนกับฝันร้ายที่ยังคงตามหลอกหลอนจนถึงลมหายใจเฮือกสุดท้าย 

     

                    และในขณะนี้  มันเป็นมารีที่กำลังตรงดิ่งเข้าสู่สงครามที่พ่อของหล่อนกลัวนักกลัวหนาอย่างหลีกเลี่ยงมิได้...

     

                    มันหมายความว่า  หล่อนกำลังก้าวย่างเข้าสู่หนทางแห่งความตายเช่นนั้นหรือ ?

     

                    ......................................

                    ..............................

                    ...................

                    .......

     

                    มารี เธอเป็นอะไรหรือเปล่า  ซิลวีสะกิดเพื่อนสาวเพียงหนึ่งเดียวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ  เธอสังเกตได้สักพักแล้วว่ามารีมีท่าทางดูซึมไปผิดหูผิดตานับตั้งแต่นั่งบนขบวนรถไฟ  หรือว่าเพราะเจ้าหมูอ้วนนั่นในตอนนั้น...

     

                    เปล่าหรอก...  มารีรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธพลางฝืนยิ้มแห้ง ๆ ออกมา  ฉันแค่... นั่งดูวิวพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยนะ

     

              โอ้ย  ไม่ต้องปิดบังหรอกแม่หนู  ลุงเองก็กลัวเจ้าบ้านั่นเหมือนกันล่ะ  ไม่งั้นแล้วคงไม่ตามมาคุมพวกหนูถึงนี่หรอก  ลุงเองก็เป็นห่วงเจ้าลูกชายนี่เหมือนกัน  มองซิเออร์โคลแบร์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกล่าวแทรกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย  และด้วยท่าทางที่เหมือนกับคุณพ่อมาคุมลูกน้อยคอยตามเช็ดก้นต่อหน้าสาวน้อยที่เขาแอบปลื้มก็ทำให้มิเกลถึงกับหน้าเสียด้วยความอับอาย

     

                    พ่อ !  ผมโตขนาดนี้แล้วดูแลตัวเองได้น่า

     

                    เจ้าบ้า  สนามรบไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะ  อย่างน้อยยิ่งมีคนอย่างเจ้าผู้หมวดนั่นอยู่ด้วยแล้ว  ฉันปล่อยให้เอ็งไปไม่ได้หรอก 

     

                    มารีได้ฟังสิ่งที่มองซิเออร์โคลแบร์กล่าวถึงผู้หมวดคนนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงได้แสดงความไม่เป็นมิตรกับผู้หมวดคนนั้นเหลือเกิน  แน่นอนว่าตัวมารีเองก็อดรู้สึกไม่ถูกชะตากับร้อยตรีฟิลิปตั้งแต่แรกพบ  แต่มันเป็นเพียงลางสังหรณ์ของลูกผู้หญิงเท่านั้น  ซึ่งดูจากที่มองซิเออร์โคลแบร์พูดแล้วคงจะมีคำตอบที่เธอเฝ้าหาอยู่แน่

     

                    ลุงโคลแบร์คะ  ทำไมถึงคิดว่าร้อยตรีผู้นั้นจะพาพวกหนูไปตายหมดล่ะ 

     

                    มองซิเออร์โคลแบร์ลูบหนวดขาวอย่างใจเย็นก่อนจะตอบคำถามนั้น  หนูอาจจะยังไม่รู้  แต่ลุงอยู่ในกองทัพมาเกือบครึ่งค่อนชีวิต  ผ่านสมภูมิมาก็มาก  พบผู้คนก็มากมาย  ลุงเห็นเจ้าหมอนี่แว่บเดียวก็รู้ว่าเจ้าหมอนี่อันตราย  ก็คิดดูเถิด  อายุปูนนี้แล้วยังมีเพียงยศร้อยตรี  ไม่หมอนี่เป็นนายทหารที่เพิ่งแต่งตั้งจากการปฏิวัติ  ก็เป็นนายทหารของรัชกาลก่อนที่มีเรื่องต้องถูกพักราชการหรือโดนโยกย้ายไปอยู่ในสายงานที่ไม่โตเป็นแน่  ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม  เจ้าพวกนั้นมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันอยู่  มันคือความกระหายในผลงานไงล่ะ...

     

                    กระหายในผลงาน ?  แล้วทหารที่ต้องการสร้างความดีความชอบในสนามรบมันแปลกยังไงล่ะพ่อ  มิเกลถามแทรก

     

                    ต่างกันสิเจ้าโง่ ! ระดับของความกระหายมันต่างกันคนล่ะชั้นเลยล่ะ  นายทหารพวกนี้น่ะ  คือพวกที่ถูกเตะถ่วงโดนดองเน่าในไหหมดโอกาสก้าวหน้าในอาชีพทหารไปนานแล้ว  เพราะฉะนั้นถ้าเจ้าพวกนี้มีโอกาสสร้างผลงานเมื่อไร  มันไม่รีรอที่จะกระโจนเข้าหาเพื่อชดเชยเวลาที่เสียไปหรอก  ถึงแม้ว่ามันจะหมายถึงชีวิตของลูกน้องใต้อานัติโดยไม่จำเป็นเลยก็ตาม  ฉันเห็นมาหลายรายแล้วที่พาลูกน้องตัวเองไปตายเป็นเบือเพียงเพื่อจะสร้างผลงานเลียแข้งเลียขานายพลพวกนั้นนะ  โจชัว  น้าชายของเจ้านะก็ต้องตายไปเพราะนายทหารพรรค์นั้นล่ะ     

     

              มารีถึงกับหน้าเสียเมื่อได้ยินสิ่งที่มองซิเออร์โคลแบร์เล่าออกมา  คำพูดเหล่านั้นมันพาลทำให้มารีนึกถึงประโยคที่บิดาเคยกล่าวเอาไว้ด้วยสิ้นหวัง 

     

    พ่อนะไม่ได้เป็นวีรบุรุษหรอก  พ่อมันเป็นแค่ฆาตกรคนหนึ่งที่โชคดีรอดชีวิตกลับมาได้เท่านั้นล่ะ

     

    สิ่งที่พ่อเคยกล่าวไว้มันหมายถึงสิ่งนี้อย่างนั้นหรอกหรือ ? เหตุที่เกียรติยศ และชื่อเสียงเป็นราวกับยาพิษกัดกร่อนจิตใจของเขามาตลอดชีวิตก็เพราะมันแลกมาด้วยความฉิบหายของผู้อื่น  ดังที่มองซิเออร์โคลแบร์กล่าวเช่นนั้นหรือ ?

     

    ไม่ต้องห่วงหรอกแม่หนู  พ่อของเธอนะเป็นวีรบุรุษตัวจริงเลยล่ะ  มองซิเออร์โคลแบร์กล่าวออกมาราวกับว่าอ่านจิตใจของมารีได้อย่างทะลุปรุโปร่ง  นัยน์ตาของเขาจ้องเขม็งมายังมารีราวกับต้องการยืนยันว่า  สิ่งที่เขากล่าวออกไปนั้นหาได้มีความเท็จเจือปนแม้แต่น้อย  ลุง และสหายอีกหลาย ๆ คนคงไม่มีโอกาสรอดมาจนถึงตอนนี้ถ้าไม่มีพ่อของหนูนะ  ลองไปถามทหารผ่านศึกยุคเก่า ๆ สิ  ไม่มีใครที่ไม่รูจักชาวาลิเย่มาลเดอร์ สายฟ้าสีเงินแห่งอารียองหรอก  ราอูลพ่อของหนูไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเลยหรือ ?

     

    มารีส่ายหน้าปฏิเสธเรียกเสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนออกมาจากผู้เฒ่า

     

    ให้ตายสิ  นิสัยคิดมากนั่นยังแก้ไม่หายอีกหรือ  มองซิเออร์โคลแบร์ลูบหนวดด้วยความเศร้าใจ  อย่างไรเสีย  ถึงขนาดปราบบารอนขาวของจักรวรรดิได้ในการดวลตัวต่อตัว  ฝีมือของราอูลก็เป็นของจริงแน่นอน  ไม่มีใครเหมาะสมกับคำว่า วีรบุรุษ ไปมากกว่าพ่อของหนูอีกแล้วล่ะ  ช่างน่าเสียดายจริง ๆ คนดีมีความสามารถมักจะไม่ค่อยอยู่ยืน... 

     

    มารีแน่ใจว่ามองซิเออร์โคลแบร์ยอมรับนับถือบิดาของนางจากก้นบึ้งจิตใจอย่างที่สหายร่วมสมรภูมิพึงจะมีให้กัน  กระนั้น  คำพูดของมองซิเออร์โคลแบร์ก็เหมือนกับของอีกนับสิบนับร้อยที่ได้เคยกล่าวอย่างภาคภูมิว่าเป็นสหายร่วมรบกับพ่อของหล่อน 

     

    มันไม่เคยให้คำตอบถึงสิ่งที่ผู้เป็นบิดาเฝ้าสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย  !

     

    นี่ลุง  เจ้าบารอนขาวที่ลุงพูดถึงคืออะไรหรือ  ซิลวีที่นั่งเงียบ ๆ อยู่นานในที่สุดก็เอ่ยข้อสงสัยออกมา 

     

    นี่พวกหนูไม่รู้จักบารอนขาวกันเลยหรือ  ทั้งซิลวี และมารีต่างส่ายหน้าอย่างไม่รู้เรื่อง  ซึ่งคนที่ทำหน้าเหลอหลาไม่รู้จักไปกับเขาด้วยคือมิเกล  ลูกชายของตัวผู้เฒ่าเอง  นี่ล่ะน้าเด็กสมัยนี้  เอาเถิด  ถ้าเป็นพลขับหุ่นกลอย่างนี้อาจจะเจอบังเอิญไปเจอในสนามรบเข้าสักวัน  เตือนไว้ก่อนดีกว่า  จำไว้นะ  ถ้าเกิดเจอหุ่นกลสีขาวของทางฝั่งโน้นล่ะก็  อยู่ตัวคนเดียวก็ให้รีบเผ่นออกมาเลย  อย่าได้ริอาจไปประลองฝีมือเดี่ยว ๆ กับมันเด็ดขาด  เจ้านั่นล่ะ บารอนขาว  ที่สุดของยอดฝีมืออัศวินหุ่นกล  มือหนึ่งของฝ่ายนั้น  เป็นตำแหน่งและฉายาที่ทางจักรวรรดิมอบให้กับสุดยอดมือหนึ่งอัศวินหุ่นกลของพวกมัน  จากอัศวินมือดีนับร้อยพัน  มีเพียงมือหนึ่งของยุคเพียงผู้เดียวที่ได้รับเกียรติแต่งตั้งเป็นบารอนขาว  ลุงเห็นอัศวินบ้าเลือดฝั่งเราบ้าจี้ไปดวลตัวต่อตัวกับมันแล้วนอนกลับมาในโลงหลายรายแล้ว  มีเห็นแต่เจ้าราอูลนี่ล่ะที่เคยปราบมันลงได้ 

     

                    เมื่อสิ้นคำพูดรอบ ๆ ตัวของพวกเขาก็มีแต่เสียงพูดอื้ออึง  เพราะตั้งแต่ไหนก็ไม่ทราบที่อีก 14 คนที่เหลือต่างพร้อมใจกันเงี่ยหูฟังสิ่งที่มองซิเออร์โคลแบร์เล่าเรื่อง

     

                    นี่ ๆ ถ้าเกิดพวกผมเจอบารอนขาวที่ว่านั่นเล่า  หนึ่งในนั้นตะโกนถามอย่างตื่นเต้น 

     

                    เจ้าบ้า  ต่อให้มือสมัครเล่นทั้งหมดอย่างพวกแกออกไปเจอมันตัวเดียวก็สู้ไม่ได้หรอก

     

                    โธ่  นี่ลุงอยู่ฝ่ายไหนกันแน่นี่  เห็นเชียร์เจ้านั่นจัง 

     

                    ระหว่างที่ทุกคนกำลังพุ่งความสนใจไปยังมองซิเออร์โคลแบร์  มารีนั้นกลับเหม่อมองภาพทิวทัศน์ที่นับวันยิ่งจะออกห่างจากสถานที่ที่หล่อนรู้จักไปเรื่อย ๆ  ตามปรกติเธอได้แต่เฝ้ามองขบวนรถไฟขบวนแล้วขบวนเล่าจากภายนอกแล่นผ่านไปมาบนทุ่งหญ้าทางทิศเหนือของไร่  สำหรับดินแดนทางการเกษตรที่ความเปลี่ยนแปลงแทบไม่เคยมาเยือนแล้ว  ขบวนรถไฟที่แล่นผ่านทุ่งหญ้าเป็นดั่งความฝันของเด็กสาวบ้านนาที่อยากจะหลีกหนีจากท้องทุ่งที่ราวกับเป็นภาพวาดที่เวลาถูกหยุดไว้ไปผจญภัยยังโลกภายนอกอันน่าตื่นเต้น  มารีเองที่ต้องรับผิดชอบทั้งมารดาที่ป่วยออดแอดกับฌองมักจะหัวเราะเยาะกับความคิดเหล่านี้เสมอ  ทั้งที่ในใจลึก ๆ ก็โหยหาความตื่นเต้นเฉกเช่นเดียวกับผู้อื่น

     

                    ทว่า  ขณะนี้มันกลับเป็นภาพทิวทิศน์คุ้นตาที่วิ่งผ่านหน้าเธอไปเรื่อย ๆ บ้านไร่เครเมอร์ที่ฌองชอบหาเรื่องไปเยี่ยมเยียนอยู่บ่อย ๆ เพิ่งหายไปกับขอบหน้าต่างรถไฟ  เนินโปรดที่มารีชอบพาฌองมาเล่นกำลังปรากฏขึ้นมาตรงขอบฟ้า  พาเธอย้อนเวลาไปโลดแล่นในห้วงเวลาแห่งความทรงจำในวัยเยาว์

     

                    คุณแม่กับเจ้าฌองจะทำอะไรอยู่ในตอนนี้นะ

     

                    ความรู้สึกโหยหวนถึงครอบครัวเริ่มเข้าครอบงำมารีอย่างช่วยไม่ได้  การจากลาที่ไม่ค่อยดีนักกับฌองผู้เป็นน้องชายทิ้งความรู้สึกหนักอึ้งไว้ในอก  อย่างน้อยเธอก็อยากกอดเจ้าน้องรักนั่นให้แน่น ๆ สักทีเป็นการบอกลา  ไม่ใช่คำบังคับขู่เข็นดั่งเช่นเธอกระทำไป 

     

                    ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  ฉันสัญญาว่าจะคอยปกป้องเธอเอง

     

                    มารีหันไปมองมิเกลที่เป็นต้นเสียงอย่างงง ๆ ก่อนที่เธอจะทำให้มิเกลที่อุตส่าห์รวบรวมความกล้าเสียนานในการพูดออกมาพลอยหน้าแดงก่ำอายม้วนจมไปกับความเขินอาย 

     

                    นี่มารี  มิเกลเขาเป็นห่วงที่เธอกำลังซึมไปแนะ  ซิลวีรีบพากย์คำพูดที่แทบจะเรียกได้ว่าจมน้ำไปเสียแล้วของมิเกล  เหล่าชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังต่างตะโกนล้อโห่หิ้วอย่างสนุกสนาน  บ้างก็ขยี้หัวเจ้าหนุ่มมิเกลด้วยความหมั่นไส้  หนอย  คิดจะทำเท่เกินหน้าตาพวกฉันไปหรือ  ไม่ต้องห่วงหรอกนะมารี  เดี๋ยวพวกฉันจะเป็นคนปกป้องเธอเอง  ซึ่งแน่นอนว่า ซิลวีต้องรีบแย้งว่า เฮ้  ฉันก็เป็นผู้หญิงนะ  ไม่คิดจะปกป้องฉันด้วยหรือไงกัน  สร้างเสียงหัวเราะครึกครื้นทั้งจากตัวทุกคนในกลุ่ม และตัวมารีเองก็เริ่มเผยรอยยิ้มที่ห่างหายไปนานแล้ว  ด้วยการที่มีมิตรสหายที่ดูไว้วางใจได้เช่นนี้  มารีเองก็ค่อนข้างจะสบายใจไปได้พอสมควร  แต่ถึงอย่างไรเสีย  ลึก ๆ แล้วมารีก็ยังรู้สึกไม่เติมเต็มอยู่ดี...

     

                    มารีอยากเจอครอบครัวของเธออีกสักครั้ง

     

                    มารีรู้ดีว่าเธอไม่มีทางมองเห็นบ้านหลังน้อยของหล่อนจากรถไฟได้หรอก  แต่เธอก็อดนึกหวังว่าจะได้เห็นพวกเขาอีกครั้ง  เพียงแค่แว่บเดียวก็ยังดี  เธอจำแถวต้นแอ็บเปิ้ลที่เรียงรายไปตามทางรถไฟของมาดามเออเด้ได้ดี  เดินไปอีกสักครึ่งชั่วโมงก็เป็นบ้านหลังน้อยของหล่อนแล้ว  แต่หล่อนพยายามมองไปเท่าไรก็มองหาไม่เจอเสียที

     

                    กระนั้น  ก่อนที่มารีจะได้เลิกล้มความหวังไป  ที่ปลายสุดของขอบฟ้าปรากฏบางสิ่งบางอย่างทำให้มารีแทบจะกระโดดลงไปจากรถไฟเลยทีเดียว...

     

    เงาตะคุ่มของเศษเหล็กรูปร่างคล้ายคนยืนโบกธงพื้นสีขาวผืนใหญ่  มันไม่ใช่อย่างอื่นนอกจากเจ้าหุ่นกลคู่หูที่ขาดไม่ได้ของมารีนั่นเอง  อักษรตัวสีแดงเขียนว่า โชคดี บนริ้วธงเริ่มเห็นเด่นชัด  และยิ่งเมื่อขบวนรถไฟวิ่งเข้าใกล้  มารีก็เห็นใบหน้าของฌองน้องรักที่เปื้อนด้วยน้ำตานองกำลังตะโกนอะไรบางอย่างสุดเสียงบนเจ้าหุ่นนั่น  ที่ยิ่งทำให้มารีเกือบจะกลั้นน้ำตาแห่งความปิติได้ไม่อยู่คือภาพของมารดาที่ยืนโบกมือลาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอยู่เคียงข้างกับน้องชาย  คนอื่น ๆ ในรถไฟที่สังเกตเห็นหุ่นกลก็รีบยื้อแย่งกันยื่นหน้ายื่นตาออกไปโห่ร้องส่งเสียงเชียร์อย่างตื่นเต้น 

     

    หลังจากที่ทั้งฌอง  คุณแม่ และเจ้าหุ่นกลหายไปจากระยะสายตาแล้ว  ทุกอย่างก็กลับสงบลงตามเดิม  แม้แต่ตัวมารีเองก็กลับไปเหม่อมองภาพทิวทัศน์ภายนอกต่อ

     

    นี่  เมื่อกี๊ฉันเห็นฌองพยายามตะโกนอะไรบางอย่าง  เธอคิดว่าฌองอยากบอกอะไรหรือ 

     

    ไม่รู้สิ...  มารีตอบซิลวีอย่างเฉยเมย  แต่ถึงกระนั้นซิลวีก็รู้ดีว่าเพื่อนของเธอพยายามเก็บซ่อนน้ำตาที่กำลังเอ่อนองอยู่  จึงได้เพียงแต่โอบกอดเธอเป็นการปลอบประโลม

     

    แต่ฉันคิดว่ามันต้องเป็นสิ่งที่ดีแน่นอนเลยล่ะ  เธอว่าไหม

     

    ฉันก็ว่างั้นล่ะ  เสียงสูดน้ำมูกดังขึ้นพร้อมกับกมือที่แอบยกขึ้นเช็ดคราบน้ำตา  จริงสิ  เห็นคุณแม่แล้วเลยนึกได้ว่าท่านอบพายมาแอ็ปเปิ้ลมาเผื่อทุกคนด้วยนี่  มารีเช็ดขอบตาที่บวมเป่งก่อนจะหยิบห่อผ้ามาจากกระเป๋าที่วางไว้ตรงปลายเท้า  เพียงแค่แกะห่อผ้าออก  กลิ่นหอมฉุยของพายแอ็บเปิ้ลก็ฟุ้งกระจายไปทั่ว  ในถาดทรงกลมมีพายสีทองอร่ามถูกหั่นแบ่งเป็นชิ้นเล็ก ๆ เสร็จสรรพ  มารีแบ่งสามชิ้นให้บุคคลข้างเคียงก่อนจะตะโกนเรียกให้ผู้อื่นมามีส่วนร่วมในรสชาติพายแอ็บเปิ้ลของมาดามมาลเดอร์  เนื่องจากจำนวนชิ้นไม่พอกับจำนวนคนที่มีอยู่  ดังนั้นจึงต้องแบ่งให้เป็นชิ้นเล็กลงไปอีก  อย่างไรเสียทุกคนก็ได้ส่วนแบ่งกันอย่างครบถ้วน

     

    นี่อย่างกับพายร่วมสาบานเลยนะเนี่ย  เด็กหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มกล่าวออกมา 

     

    ความคิดไม่เลวเลย  พายร่วมสาบานของพวกเราทั้ง 17 หน่อจากแคว้นแกรนูร์    ซิลวีสนับสนุนความคิดนั้น  งั้นเรามากินพร้อม ๆ กันเพื่ออวยชัยให้พวกเราล่วงหน้าเถอะ

     

    ใช่แล้ว  เจ้าพวกจักรวรรดิระวังไว้ให้ดีเถิด  พวกเราสมาคมคนขับหุ่นกลแห่งแกรนูร์กำลังมาเยี่ยมพวกแกแล้ว  แด่พวกเราที่จะกลับมาเหยียบแผ่นดินแกรนูร์เกิดอีกครั้ง

     

    แด่พวกเราที่จะกลับมาเหยียบเหยียบแผ่นดินแกรนูร์อีกครั้ง !” ทุกคนต่างยกชิ้นพายขึ้นคำนับก่อนจะกินมันเสียด้วยความเชื่อมั่นว่า  สักวันหนึ่งจะต้องกลับมายังผืนดินบ้านเกิดอีกครั้ง...

     

    แน่นอนว่ามันเป็นคำสัญญาที่แสนสั้นยิ่งนัก  จากสิบเจ็ดชีวิตที่ร่วมกินพายร่วมสามบานนี้  อย่างน้อยกว่าครึ่งหนึ่งจะจบชีวิตลงในอีกหนึ่งเดือนให้หลัง  และไม่รู้อีกกี่ชีวิตจะต้องดับสิ้นไประหว่างสงคราม   



    @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

    Edit Log: June 22th, 2009: จบตอน
    Edit Log: June 27th, 2009: แก้คำผิดเล็กน้อย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×