ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ใต้ฟ้าสาธารณรัฐ

    ลำดับตอนที่ #8 : Train Station ประตูสู่วาฮัลลา (2)

    • อัปเดตล่าสุด 19 มิ.ย. 52


    /> href="file:///C:\Users\Tok\AppData\Local\Temp\msohtml1\01\clip_filelist.xml" />

    href="file:///C:\Users\Tok\AppData\Local\Temp\msohtml1\01\clip_filelist.xml" />

                ม้าเหล็กที่มากับควันสีขาวลอยคลุ้งปรากฏตัวขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงหวูดครวญครางของเครื่องจักรที่ลอยแว่วมาตามสายลม  เงาทะมึนจากเส้นของฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนมาเป็นภาพของหัวรถจักรเหล็กกล้าสีดำที่ขับเคลื่อนมาตามรางอย่างเชื่องช้า  ธงสีเขียวแห่งการปฏิวัติที่ถูกวางไขว้ไว้บนหัวจักรโบกสะบัดช้าลงเรื่อย ๆ ตามความเร็วที่ลดลงเมื่อเข้าใกล้ชานชลา  ซึ่งมันเป็นเวลาเดียวกับที่นายสถานีเริ่มตีระฆังส่งสัญญาณเตือนให้ทุกคนเตรียมพร้อม

     

                    เจ้าอาชาเหล็กที่ตะบึงมาตลอดทางค่อย ๆ ชะลอตัว   หัวรถจักรเคลื่อนผ่านหน้ามารีไป  ก่อนที่ล้อตู้รถขบวนที่ 8 จะหยุดตรงหน้าพอดิบพอดี  เสียงไอน้ำแสบแก้วหูคล้ายกับส่งสัญญาณว่ารถจอดสนิทเรียบร้อย  ถึงตอนนั้นชานชลาก็อื้ออึงไปด้วยเสียงกระเป๋าที่ถูกยกขึ้น  พร้อมกับผู้คนที่เริ่มมาออกันริมตู้ขบวนที่ยาวเหยียด

     

                    เมื่อประตูโบกี้ที่ 8  เปิดออก  นายทหารยศร้อยตรีในชุดเครื่องแบบเต็มยศก้าวเท้าลงมาเผชิญหน้ากับกลุ่มของมารีที่รออยู่  เขาเป็นชายวัยกลางคนอายุเกือบสี่สิบแล้วเห็นจะได้  ศีรษะล้านเลี่ยนที่มีผมฟูอยู่ข้าง ๆ ราวกับรังนักถูกปกปิดไว้โดยหมวกทรงกระบอก  มีใบหน้าที่ดูคล้ายกับหมูป่าติดหนวดแพะก็ไม่ปาน  และร่างกายดูอุ้ยอ้ายไม่เข้ากับเครื่องแบบสีน้ำเงินตึงเปรี๊ยะ  รองเท้าขัดมันส่งเสียงดังแก๊บยามเมื่อเขาตบเท้าเรียกความสนใจจากกองทหารอาสา

     

                    นายทหารผู้นี้กวาดสายตามองเหล่าลูกน้องในอนาคตก่อนแนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงแหบตีบราวกับเด็กเพิ่งเสียงแตกว่าชื่อ ร้อยตรีฟิลิป  เลอร์วู  เป็นหัวหน้าหมวดผู้รับผิดชอบหน่วยของพวกเขา  จากนั้นเขาจึงหยิบเอกสารรายนามขึ้นมาขานเรียกตรวจสอบการมาของแต่ล่ะคน...

     

                    พริบตาแรกที่มารียลโฉมของร้อยตรีฟิลิปผู้นี้มันก็เพียงพอที่จะกระตุ้นต่อมความไม่เป็นมิตรได้แล้ว  ความรู้สึกของมารีถูกยืนยันได้เป็นอย่างดีจากสีหน้าของเพื่อนพ้องร่วมอาชีพบางคนที่มีความรู้สึกไวกว่าเพื่อน  โดยเฉพาะกับมองซิเออร์โคลแบร์ที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก

     

                    มารี  แอน  มาลเดอร์  ได้ยินแล้วขานตอบด้วย!”

     

                    มารีที่เผลอเหม่อไปสักครู่รีบขานตอบด้วยความตื่นตระหนก  สร้างเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดูให้กับเหล่ามิตรสหายโดยรอบ  ทว่า...

     

                    พวกแกขำอะไรนะ  หา!”

     

                    ร้อยตรีฟิลิปเป้ตวาดดังลั่นด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งอย่างไม่น่าเชื่อ  ใบหน้าที่ตอนแรกก็บึ้งตึงดูคล้ายหมูป่าอยู่แล้ว  ยิ่งตะโกนแหกปากลั่นเยี่ยงนี้ยิ่งเหมือนเข้าไปใหญ่  นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมารีเขม็งฉายแววความหงุดหงิด  ก่อนจะเหยียดมองไปยังกลุ่มคนที่เหลือราวกับพวกเขาเหล่านั้นเป็นมด

     

                    เจ้าพวกลูกหมาฟังไว้ให้ดี  นับตั้งแต่พวกแกสมัครเข้ากองกำลังอาสา  ชีวิตของพวกแกทั้งหมดเป็นสมบัติของกองทัพแห่งการปลดปล่อย  การกระทำไร้ระเบียบวินัยแบบพลเรือนเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ในหน่วยของฉัน  จำไว้  พวกแกไม่ใช่พลเรือนอีกต่อไปแล้ว !”

     

                    ทุกคนได้แต่เงียบกริบอ้ำอึ้งไปกับสิ่งที่ร้อยตรีผู้นั้นกล่าวมา  นอกจากคำพูดที่ใช้เรียกด้วยความดูถูกแคลนแล้ว  เหล่าทหารอาสาจำเป็นแห่งหน่วยหุ่นกลอาสาก็อดนึกถ่มน้ำลายกับคำว่า สมัครเข้ากองกำลังอาสา เสียมิได้  แน่ล่ะ  พวกเขาอยากสมัครไปสงครามที่ต้องทิ้งครอบครัว  ทิ้งอาชีพ  เอาชีวิตไปเสี่ยงกับอุดมการณ์บ้า ๆ ของพวกคณะปฏิวัตินั่นเสียที่ไหนกัน    

     

    ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์หรือคณะปฏิวัติ  สุดท้ายคนรับเคราะห์ก็ต้องเป็นประชาชนตาดำ ๆ อยู่ดีนั่นแล

     

                    เมื่อเห็นว่าเหล่าว่าที่ลูกน้องอยู่ในระเบียบแล้ว  เขาจึงเริ่มตรวจเช็คชื่อต่อ  ระหว่างนั้นเองเสียงกระซิบกระซาบก็เริ่มกระจายไปทั่ว  ซิลวีเองยังแอบมองสบตากับมารีทำท่าทางเหยเกกับเจ้าร้อยตรีผู้นี้  นายทหารสัญญาบัตรไล่ขานชื่อไปจนเกือบครบ  ก่อนที่จะสะดุดอยู่กับรายชื่อสองรายที่มิได้ขานตอบ

     

                    ฟรองซัว  เนย์  กับ  อัลแบร์  เนย์  ได้ยินชื่อแล้วขานตอบด้วย 

     

                    ทุกคนเงียบกริบ  ไม่มีผู้ใดเอ่ยอะไรขึ้นมาทั้งสิ้น  แม้แต่เสียงกระซิบกระซาบที่ระงมเมื่อสักครู่ยังหยุดกึก

     

                    พ่อ... เจ้าพวกคู่แฝด

     

                    เอาไว้ก่อน 

     

    มองซิเออร์โคลแบร์เอ็ดลูกให้เงียบเอาไว้  แน่นอนว่าทุกคนรู้จักดีกับบุคคลที่ร้อยตรีฟิลิปเรียกหา  ไม่มีใครไม่รู้จักคู่แฝดฟรองซัว อัลแบร์ แห่งไร่ตระกูลเนย์ที่หน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ  ตั้งแต่มายืนรอรถไฟทุกคนก็พูดถึงการหายตัวไปของทั้งสองอยู่เหมือนกัน  แต่ก็คิดไปว่าทั้งสองอาจจะยังไม่ได้รับจดหมายเพราะไร่ทั้งสองอยู่ห่างใกลก็เป็นได้

     

    เมื่อไม่เห็นว่ามีใครตอบ  ร้อยตรีแห่งกองทัพปลดปล่อยกวักมือเรียกเจ้าหน้าที่อาสาเข้ามาคุยด้วย  เจ้าหนุ่มที่ในตอนแรกก็ก็ตัวสั่นงันงกกับการตวาดรอบแรกอยู่แล้ว  ยิ่งได้ยินสิ่งที่ร้อยตรีกล่าวออกมาเขาถึงกับออกอาการตะลึงอย่างน่าแปลก  เจ้าหน้าที่อาสาหนุ่มพยายามจะเจรจา  ทว่า  คำพูดที่ว่า นี่คือคำสั่ง  ทำเอากระดาษในมือสั่นเทา  ก่อนที่เขาจะเดินปลีกตัวออกไป

     

    พวกแกทั้งหลายอาจคิดว่าไม่สำคัญ  แต่การให้ช่วยเหลือผู้ละทิ้งหน้าที่มีโทษมหันต์  กองทัพเราไม่เคยอ่อนข้อให้กับพวกขี้ขลาดที่ไม่ยอมเสียสละเพื่อประเทศชาติ เข้าใจไว้ด้วย !”

     

    ในตอนนี้ไม่มีใครเดาออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคู่ฝาแฝดฟรองซัว อัลแบร์  กว่ามารีจะรู้ความจริงเกี่ยวกับทั้งสองก็เป็นอีกสักพักใหญ่

     

    ในที่สุดร้อยตรีก็ขานชื่อมายังมองซิเออร์โคลแบร์เป็นรายสุดท้าย  ตามรายชื่อหมายเลขทะเบียนจากใหม่ไปเก่าสุด  ซึ่งมันเป็นตอนนั้นเองที่ร้อยตรีฟิลิปสังเกตเห็นขาไม้ของมองซิเออร์โคลแบร์

     

    ลุง  สภาพอย่างนั้นแล้วยังอยากจะไปรบอีกหรือ   

     

    ถึงตอนนั้นแล้วมิเกลผู้เป็นบุตรก็รีบออกมาคุยกับร้อยตรีฟิลิปเรื่องสภาพร่างกายของบิดา  ความจริงแล้วมันคือแผนในตอนแรกของทั้งสอง  ที่มองซิเออร์จะมาแสดงตัวก่อนว่าไม่อยู่ในสภาพพร้อมที่จะเข้าสนามรบได้  เพื่อที่จะได้รับงดเว้นการบังคับเกณฑ์  ทว่า  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น  เคลเมนท์ผู้เป็นพ่อกลับรั้งบุตรชายไว้ก่อนจะเดินเขยก ๆ มาคุยกับร้อยตรีแทน

     

    ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะไปรบอะไรกับใครเขาได้หรอก  แต่เลือดรักชาติของฉันมันยังแรงอยู่นะ  อย่างน้อยผมเองก็เคยเป็นถึงอดีตช่างใหญ่ของหน่วยหุ่นกลประจำกองทัพพายัพเชียวนะ  คงพอจะช่วยดูแลหุ่นกลให้พวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ พวกนี้ได้ล่ะ 

     

    ร้อยตรีฟิลิปเพ่งพิจารณาอยู่สักครู่ก่อนจะพยักหน้าตกลง  ก็ได้  กองทัพเราต้อนรับทุกคนที่ใจกล้าอยู่แล้ว  แต่หัวของลุงก็รักษาเอาเองนะ !”  ว่าแล้วร้อยตรีก็สั่งให้ทุกคนขึ้นไปบนตู้ขบวนได้ 

     

    มิเกลที่เฝ้ามองพ่อพูดคุยกับร้อยตรีมาตลอดก็รีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความกังวล

     

    พ่อ  ทำไมพูดอย่างนั้นเล่า  ไหนตอนแรกบอกว่าจะ...

     

    ไม่ต้องพูดมากน่า...  มองซิเออร์โคลแบร์กลับมีสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งกว่า  ฉันปล่อยให้พวกแกอยู่กับหมอนี่ตามลำพังไม่ได้หรอก  ฉันมีความรู้สึกว่าเจ้านั่นจะพาพวกแกไปตายหมดนะสิ

     

    มิเกลได้แต่รับฟังอย่างสับสนกับการตัดสินใจของพ่อ  โดยมารีที่เดินตามอยู่เบื้องหลังพลอยกังวลไปกับคำพูดของผู้เฒ่าด้วย

     

    ............................

    .....................

    .............

    .....

    />



    @@@@@@@@@@@@@@@@

    Edit Log: June 17th, 2009: จบตอน  ขอบคุณท่านพันดารากับคำแนะนำในช่วงต้นเรื่องครับ
    Edit Log: June 19th, 2009: แก้ไขสำนวนเล็กน้อย  ขอบคุณท่านนักอ่านนิรนามนะครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×