คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Train Station ประตูสู่วาฮัลลา (2)
href="file:///C:\Users\Tok\AppData\Local\Temp\msohtml1\01\clip_filelist.xml" />
ม้าเหล็กที่มากับควันสีขาวลอยคลุ้งปรากฏตัวขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงหวูดครวญครางของเครื่องจักรที่ลอยแว่วมาตามสายลม เงาทะมึนจากเส้นของฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนมาเป็นภาพของหัวรถจักรเหล็กกล้าสีดำที่ขับเคลื่อนมาตามรางอย่างเชื่องช้า ธงสีเขียวแห่งการปฏิวัติที่ถูกวางไขว้ไว้บนหัวจักรโบกสะบัดช้าลงเรื่อย ๆ ตามความเร็วที่ลดลงเมื่อเข้าใกล้ชานชลา ซึ่งมันเป็นเวลาเดียวกับที่นายสถานีเริ่มตีระฆังส่งสัญญาณเตือนให้ทุกคนเตรียมพร้อม
เจ้าอาชาเหล็กที่ตะบึงมาตลอดทางค่อย ๆ ชะลอตัว หัวรถจักรเคลื่อนผ่านหน้ามารีไป ก่อนที่ล้อตู้รถขบวนที่ 8 จะหยุดตรงหน้าพอดิบพอดี เสียงไอน้ำแสบแก้วหูคล้ายกับส่งสัญญาณว่ารถจอดสนิทเรียบร้อย ถึงตอนนั้นชานชลาก็อื้ออึงไปด้วยเสียงกระเป๋าที่ถูกยกขึ้น พร้อมกับผู้คนที่เริ่มมาออกันริมตู้ขบวนที่ยาวเหยียด
เมื่อประตูโบกี้ที่ 8 เปิดออก นายทหารยศร้อยตรีในชุดเครื่องแบบเต็มยศก้าวเท้าลงมาเผชิญหน้ากับกลุ่มของมารีที่รออยู่ เขาเป็นชายวัยกลางคนอายุเกือบสี่สิบแล้วเห็นจะได้ ศีรษะล้านเลี่ยนที่มีผมฟูอยู่ข้าง ๆ ราวกับรังนักถูกปกปิดไว้โดยหมวกทรงกระบอก มีใบหน้าที่ดูคล้ายกับหมูป่าติดหนวดแพะก็ไม่ปาน และร่างกายดูอุ้ยอ้ายไม่เข้ากับเครื่องแบบสีน้ำเงินตึงเปรี๊ยะ รองเท้าขัดมันส่งเสียงดังแก๊บยามเมื่อเขาตบเท้าเรียกความสนใจจากกองทหารอาสา
นายทหารผู้นี้กวาดสายตามองเหล่าลูกน้องในอนาคตก่อนแนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงแหบตีบราวกับเด็กเพิ่งเสียงแตกว่าชื่อ ร้อยตรีฟิลิป เลอร์วู เป็นหัวหน้าหมวดผู้รับผิดชอบหน่วยของพวกเขา จากนั้นเขาจึงหยิบเอกสารรายนามขึ้นมาขานเรียกตรวจสอบการมาของแต่ล่ะคน...
พริบตาแรกที่มารียลโฉมของร้อยตรีฟิลิปผู้นี้มันก็เพียงพอที่จะกระตุ้นต่อมความไม่เป็นมิตรได้แล้ว ความรู้สึกของมารีถูกยืนยันได้เป็นอย่างดีจากสีหน้าของเพื่อนพ้องร่วมอาชีพบางคนที่มีความรู้สึกไวกว่าเพื่อน โดยเฉพาะกับมองซิเออร์โคลแบร์ที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“มารี แอน มาลเดอร์ ได้ยินแล้วขานตอบด้วย!”
มารีที่เผลอเหม่อไปสักครู่รีบขานตอบด้วยความตื่นตระหนก สร้างเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดูให้กับเหล่ามิตรสหายโดยรอบ ทว่า...
“พวกแกขำอะไรนะ หา!”
ร้อยตรีฟิลิปเป้ตวาดดังลั่นด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งอย่างไม่น่าเชื่อ ใบหน้าที่ตอนแรกก็บึ้งตึงดูคล้ายหมูป่าอยู่แล้ว ยิ่งตะโกนแหกปากลั่นเยี่ยงนี้ยิ่งเหมือนเข้าไปใหญ่ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมารีเขม็งฉายแววความหงุดหงิด ก่อนจะเหยียดมองไปยังกลุ่มคนที่เหลือราวกับพวกเขาเหล่านั้นเป็นมด
“เจ้าพวกลูกหมาฟังไว้ให้ดี นับตั้งแต่พวกแกสมัครเข้ากองกำลังอาสา ชีวิตของพวกแกทั้งหมดเป็นสมบัติของกองทัพแห่งการปลดปล่อย การกระทำไร้ระเบียบวินัยแบบพลเรือนเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ในหน่วยของฉัน จำไว้ พวกแกไม่ใช่พลเรือนอีกต่อไปแล้ว !”
ทุกคนได้แต่เงียบกริบอ้ำอึ้งไปกับสิ่งที่ร้อยตรีผู้นั้นกล่าวมา นอกจากคำพูดที่ใช้เรียกด้วยความดูถูกแคลนแล้ว เหล่าทหารอาสาจำเป็นแห่งหน่วยหุ่นกลอาสาก็อดนึกถ่มน้ำลายกับคำว่า “สมัครเข้ากองกำลังอาสา” เสียมิได้ แน่ล่ะ พวกเขาอยากสมัครไปสงครามที่ต้องทิ้งครอบครัว ทิ้งอาชีพ เอาชีวิตไปเสี่ยงกับอุดมการณ์บ้า ๆ ของพวกคณะปฏิวัตินั่นเสียที่ไหนกัน
ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์หรือคณะปฏิวัติ สุดท้ายคนรับเคราะห์ก็ต้องเป็นประชาชนตาดำ ๆ อยู่ดีนั่นแล
เมื่อเห็นว่าเหล่าว่าที่ลูกน้องอยู่ในระเบียบแล้ว เขาจึงเริ่มตรวจเช็คชื่อต่อ ระหว่างนั้นเองเสียงกระซิบกระซาบก็เริ่มกระจายไปทั่ว ซิลวีเองยังแอบมองสบตากับมารีทำท่าทางเหยเกกับเจ้าร้อยตรีผู้นี้ นายทหารสัญญาบัตรไล่ขานชื่อไปจนเกือบครบ ก่อนที่จะสะดุดอยู่กับรายชื่อสองรายที่มิได้ขานตอบ
“ฟรองซัว เนย์ กับ อัลแบร์ เนย์ ได้ยินชื่อแล้วขานตอบด้วย”
ทุกคนเงียบกริบ ไม่มีผู้ใดเอ่ยอะไรขึ้นมาทั้งสิ้น แม้แต่เสียงกระซิบกระซาบที่ระงมเมื่อสักครู่ยังหยุดกึก
“พ่อ... เจ้าพวกคู่แฝด”
“เอาไว้ก่อน”
มองซิเออร์โคลแบร์เอ็ดลูกให้เงียบเอาไว้ แน่นอนว่าทุกคนรู้จักดีกับบุคคลที่ร้อยตรีฟิลิปเรียกหา ไม่มีใครไม่รู้จักคู่แฝดฟรองซัว – อัลแบร์ แห่งไร่ตระกูลเนย์ที่หน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ ตั้งแต่มายืนรอรถไฟทุกคนก็พูดถึงการหายตัวไปของทั้งสองอยู่เหมือนกัน แต่ก็คิดไปว่าทั้งสองอาจจะยังไม่ได้รับจดหมายเพราะไร่ทั้งสองอยู่ห่างใกลก็เป็นได้
เมื่อไม่เห็นว่ามีใครตอบ ร้อยตรีแห่งกองทัพปลดปล่อยกวักมือเรียกเจ้าหน้าที่อาสาเข้ามาคุยด้วย เจ้าหนุ่มที่ในตอนแรกก็ก็ตัวสั่นงันงกกับการตวาดรอบแรกอยู่แล้ว ยิ่งได้ยินสิ่งที่ร้อยตรีกล่าวออกมาเขาถึงกับออกอาการตะลึงอย่างน่าแปลก เจ้าหน้าที่อาสาหนุ่มพยายามจะเจรจา ทว่า คำพูดที่ว่า “นี่คือคำสั่ง” ทำเอากระดาษในมือสั่นเทา ก่อนที่เขาจะเดินปลีกตัวออกไป
“พวกแกทั้งหลายอาจคิดว่าไม่สำคัญ แต่การให้ช่วยเหลือผู้ละทิ้งหน้าที่มีโทษมหันต์ กองทัพเราไม่เคยอ่อนข้อให้กับพวกขี้ขลาดที่ไม่ยอมเสียสละเพื่อประเทศชาติ เข้าใจไว้ด้วย !”
ในตอนนี้ไม่มีใครเดาออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคู่ฝาแฝดฟรองซัว – อัลแบร์ กว่ามารีจะรู้ความจริงเกี่ยวกับทั้งสองก็เป็นอีกสักพักใหญ่
ในที่สุดร้อยตรีก็ขานชื่อมายังมองซิเออร์โคลแบร์เป็นรายสุดท้าย ตามรายชื่อหมายเลขทะเบียนจากใหม่ไปเก่าสุด ซึ่งมันเป็นตอนนั้นเองที่ร้อยตรีฟิลิปสังเกตเห็นขาไม้ของมองซิเออร์โคลแบร์
“ลุง สภาพอย่างนั้นแล้วยังอยากจะไปรบอีกหรือ”
ถึงตอนนั้นแล้วมิเกลผู้เป็นบุตรก็รีบออกมาคุยกับร้อยตรีฟิลิปเรื่องสภาพร่างกายของบิดา ความจริงแล้วมันคือแผนในตอนแรกของทั้งสอง ที่มองซิเออร์จะมาแสดงตัวก่อนว่าไม่อยู่ในสภาพพร้อมที่จะเข้าสนามรบได้ เพื่อที่จะได้รับงดเว้นการบังคับเกณฑ์ ทว่า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เคลเมนท์ผู้เป็นพ่อกลับรั้งบุตรชายไว้ก่อนจะเดินเขยก ๆ มาคุยกับร้อยตรีแทน
“ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะไปรบอะไรกับใครเขาได้หรอก แต่เลือดรักชาติของฉันมันยังแรงอยู่นะ อย่างน้อยผมเองก็เคยเป็นถึงอดีตช่างใหญ่ของหน่วยหุ่นกลประจำกองทัพพายัพเชียวนะ คงพอจะช่วยดูแลหุ่นกลให้พวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ พวกนี้ได้ล่ะ”
ร้อยตรีฟิลิปเพ่งพิจารณาอยู่สักครู่ก่อนจะพยักหน้าตกลง “ก็ได้ กองทัพเราต้อนรับทุกคนที่ใจกล้าอยู่แล้ว แต่หัวของลุงก็รักษาเอาเองนะ !” ว่าแล้วร้อยตรีก็สั่งให้ทุกคนขึ้นไปบนตู้ขบวนได้
มิเกลที่เฝ้ามองพ่อพูดคุยกับร้อยตรีมาตลอดก็รีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความกังวล
“พ่อ ทำไมพูดอย่างนั้นเล่า ไหนตอนแรกบอกว่าจะ...”
“ไม่ต้องพูดมากน่า...” มองซิเออร์โคลแบร์กลับมีสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งกว่า “ฉันปล่อยให้พวกแกอยู่กับหมอนี่ตามลำพังไม่ได้หรอก ฉันมีความรู้สึกว่าเจ้านั่นจะพาพวกแกไปตายหมดนะสิ”
มิเกลได้แต่รับฟังอย่างสับสนกับการตัดสินใจของพ่อ โดยมารีที่เดินตามอยู่เบื้องหลังพลอยกังวลไปกับคำพูดของผู้เฒ่าด้วย
............................
.....................
.............
.....
@@@@@@@@@@@@@@@@
Edit Log: June 17th, 2009: จบตอน ขอบคุณท่านพันดารากับคำแนะนำในช่วงต้นเรื่องครับ
Edit Log: June 19th, 2009: แก้ไขสำนวนเล็กน้อย ขอบคุณท่านนักอ่านนิรนามนะครับ
ความคิดเห็น