ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ใต้ฟ้าสาธารณรัฐ

    ลำดับตอนที่ #7 : Train Station ประตูสู่วาฮัลลา (1)

    • อัปเดตล่าสุด 10 มิ.ย. 54


                มารี !”

     

                    เสียงทักทายของหญิงสาวดังขึ้นจากเบื้องหลัง  ก่อนที่มารีจะได้ทันหันไปหาต้นเสียงเธอก็ถูกร่างหญิงสาวร่างใหญ่โตกระโจนเข้าโผกอดราวกับพายุ  ทำเอามารีเกือบกลิ้งตกรางรถไฟไปแล้ว

     

                    มารี  แอน  มาลเดอร์  โอ้  มารี  แอน  เพื่อนรักของฉัน 

     

                    ซิลวี  ฉันหายใจไม่ออก  มารีกล่าวกับหญิงสาวที่เธอเพิ่งเรียกว่า ซิลวี ด้วยความอึดอัดอย่างหาที่สุดมิได้  ซึ่งมันไม่แปลกเลย  ตัวของซิลวีนั้นราวกับผู้ชายที่มีหน้าอกกับสะโพก

     

                    ตายแล้ว  โทษที  ว่าแล้วซิลวีก็คลายมารีออก  ปล่อยให้มารีตั้งหลักสักพักก่อนจะได้ยลโฉมเพื่อนสาวชัด ๆ เสียที

     

                    อย่างที่กล่าวไว้  ซิลวีผู้นี้แม้จะเป็นผู้หญิง  แต่กลับมีร่างกายใหญ่โตเฉกเช่นบุรุษเพศ  ใบหน้าหน้าตาเองก็มิได้ผิดเพี้ยนไปจากผู้ชายเสียเท่าไหร่  ทำให้ไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอคนนี้จะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับมารี  กระนั้นผมสีทองสกปรกถูกมัดเป็นเปียแกละสองข้างยาวไปจนถึงเอว  กับใบหน้าที่ตกแต่งด้วยเครื่องสำอางจนดูคล้ายนักแสดงละครจำอวด  เสื้อกระโปรงสีชมพูอ่อนที่เจ้าหล่อนสวมก็ดูราวกับจะไปงานปาร์ตี้เสียมากกว่า 

     

                    ไงซิลวี  เมื่อตั้งตัวได้แล้ว  มารีก็ยิ้มหวานให้แก่สหายก่อนจะเข้าสวมกอดกันอีกครา  ไม่ได้เจอกันตั้งแต่งานเทศกาลแล้ว  สวยขึ้นเป็นกองเลย

     

                    ขอให้สมพรปากเถิด  จะได้หาผัวได้เสียที  ซีลวีลูบศีรษะมารีก่อนจะสังเกตเห็นกระเป๋าถือใบใหญ่ที่อยู่ข้างเคียง  แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่กันล่ะ  อย่าบอกนะว่า...

     

                    มารีเพียงแค่พยักหน้าหงึก ๆ บ่งบอกเรื่องราวทุกอย่าง

     

                    ตายจริง  เธอเองก็โดนเรียกตัวด้วยหรือนี่  ตายแล้ว ๆ  ไอ้ฉันก็นึกว่าที่เขาเรียกตัวฉันมาเพราะเข้าใจผิดนึกว่าฉันเป็นผู้ชายเสียอีก  ดีใจจัง  เฮ้ย  ไม่สิ  แย่แล้วล่ะ

     

     

                    เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็จะเห็นเหล่าชายมากมายหลายรูปแบบ  ทั้งทั้งแก่ทั้งหนุ่ม  ต่างยืนกันแน่นเต็มชานชลาโทรม ๆ  รอยคอยขบวนรถไฟที่จะนำพวกเขาไปสู่ค่ายทหารเลอร์จูน ที่พวกเขาจะได้รับการฝึกอย่างเร่งรัดก่อนจะถูกจับโยนเข้าสู่สนามรบ  แน่นอนว่าท่ามกลางว่าที่ทหารหนุ่มแห่งสาธารณรัฐนั้นมีเพียง มารี และ ซิลวี เท่านั้นที่เป็นสตรีเพศ  ยิ่งซิลวีที่ดูคลายกับบุรุษแล้วมันยิ่งทำให้มารีเหมือนเป็นกล้วยไม้หนึ่งเดียวท่ามกลางป่าสนอันอึมครึม

     

                    แล้วนี่เธอมาคนเดียวเองหรือนี่  แล้วมาดามแคธี่ กับเจ้าฌองล่ะ 

     

                    ซิลวีก็รู้นี่ว่าคุณแม่ท่านร่างกายอ่อนแอแค่ไหนกัน  ส่วนเจ้าฌองนั่นก็...  ว่าแล้วมารีก็เล่าถึงเรื่องที่จนป่านนี้ฌองยังงอนมารีไม่หาย  เธอจำได้ดี  จนป่านนี้ฌองยังโวยวายด้วยน้ำเสียงน้อยใจว่าทำไมพี่สาวถึงได้ไปรบ  ในขณะที่เขาต้องอยู่เฝ้าบ้าน  เมื่อไม่กี่วันมานี้มารีต้องวุ่นกับการจับตาฌองอยู่ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้แอบหนีไปสมัครทหารได้  ต้องเกลี้ยกล่อมอยู่นานกว่าจะยอมสงบโดยต้องอ้างเหตุผลถึงสุขภาพของมารดาที่ต้องมีคนช่วยดูแล      

     

                    มารีเองก็ลำบากเหมือนกันนะ

     

                    ไม่หรอก  แค่ให้เจ้าฌองอยู่ติดบ้านได้ฉันก็ดีใจแล้วล่ะ  มารีส่ายศีรษะอย่างไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก  จริงสิ  แล้วคนอื่นล่ะอยู่ไหนกัน  ถ้าขนาดทางการเรียกตัวฉันกับเธอมาแล้ว...

     

                    ยังไม่ทันขาดคำ  เสียงตะโกนร้องเรียกหาซิลวีก็แว่วมากระทบหูทั้งสอง  ตามมาด้วยการปรากฏตัวของชายหนุ่มร่างผอมสูงกำลังพยายามเดินฝ่าฝูงคนมาหาเจ้าหล่อน เขามีผมสีน้ำตาลหยักศกรุงรัง และใบหน้าที่ดูเป็นห่วงอะไรบางอย่างอยู่เสมอ 

     

                    ซิลวี  เธออย่าแยกออกมาคนเดียว  สิจะหลงกับ... 

     

                    แต่แล้วเมื่อเจ้าหนุ่มได้สังเกตเห็นมารี  เขาถึงกับอ้ำอึ้งจมไปกับคำพูดที่ยังไม่ทันจบประโยค  ใบหน้าที่อมเลือดฝาดราวกับคนเมาอยู่แล้วยิ่งแดงก่ำเข้าไปอีก  นัยน์ตาคู่สีน้ำตาลเข้มของเจ้าหนุ่มเผลอจดจ้องหญิงสาวตรงหน้าได้เพียงครู่เดียว  ก่อนจะรีบก้มหลบไปมองรองเท้าหนังคู่สีน้ำตาลที่ได้รับเป็นมรดกตกทอดจากบิดาเสีย...

     

                    กระนั้น  มันก็ไม่ใช่เจ้าหนุ่มที่แสดงกิริยาแปลก ๆ เยี่ยงนี้เพียงผู้เดียว  มารีเองกลับมีท่าทางไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  หน้าของหล่อนที่ได้ยลโฉมของหนุ่มผู้นั้นเพียงชั่วพริบตาก็รีบก้มไปสำรวจรองเท้าหนังสีดำจากร้านมองซิเออร์ลองแบลงที่ได้รับเป็นค่าจ้างตอนมารีไปช่วยซ่อมร้าน  ไม่ต่างจากผู้มาเยือนตรงหน้าแม้แต่น้อย

     

                    มารี... 

     

                    มิเกล 

     

                    มันเป็นห้วงเวลาแห่งหนุ่มสาวที่กำลังเริ่มผลิดอกออกผลท่ามกลางยุคสมัยแห่งความสับสนวุ่นวาย  ราวกับว่าเวลาของทั้งโลกได้พร้อมใจกันเดินช้าลง  ภาพของผู้คนรอบข้าง  แม้แต่ร่างอันใหญ่โตของซิลวีที่ขวางกั้นระหว่างทั้งสองก็ดูจะเจือจางสูญเสียความมีตัวตนไปจนหมดสิ้น  เหลือแต่ภาพของบุคคลตรงหน้าที่กลับเด่นชัดขึ้นราวกับโลกนี้มีเพียงเราสอง

     

                    ทว่า  ทั้งสองก็ต้องถูกกระชากกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอย่างรวดเร็ว  เมื่อซิลวีกระโจนโอบกอดทั้งสองเข้าไปในอ้อมแขนอันแสนแข็งแกร่ง 

     

                    แหม ๆ อย่าเพิ่งลืมฉันสิยะ  เจ้าพวกนกรักคู่นี้นี่ 

     

                    เมื่อได้ยินคำพูดทีเล่นทีจริงที่หลุดมาจากปากของซิลวี  หนุ่มสาวที่หน้าแทบจะชนกันภายใต้ท่อนแขนก็ยิ่งหน้าแดงก่ำหนักขึ้นเข้าไปอีก 

     

                    ม... ไม่ใช่นะ !”

     

                    คำพูดที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว  แถมยังโผลงออกมาพร้อมกันจากปากของทั้งสองโดยมิได้นัดหมายยิ่งทำให้ซิลวีหัวเราะร่าอย่างถูกใจ  ก่อนจะปล่อยให้ทั้งสองหลุดเป็นอิสระเสียที

     

              ให้ตายสิ  พวกเธอทำให้ฉันสนุกได้เสมอเลย

     

                    ไม่ต้องมาหัวเราะเลยซิลวี  อย่าหลุดออกมานอกกลุ่มคนเดียวสิ  เดี๋ยวหลงหรอก  ชายหนุ่มที่ชื่อ มิเกล  รีบหันไปต่อว่า ซิลวี  ราวกับพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนบนใบหน้า 

     

                    จ้า ๆ พ่อหนุ่มน้อย  ก่อนจะเป็นห่วงฉันไม่คิดจะถามหรือว่าทำไมมารีมาอยู่ที่นี่ด้วยเล่า  ว่าแล้วซิลวีก็รีบไปดันมารีให้เขยิบเข้าใกล้มิเกลมากขึ้น  นี่แนะ  มารีอุตส่าห์มาส่งนายถึงสถานีเชียวนะ  บอกว่าอยากจะมาอวยชัยให้นายให้ได้เลยล่ะ 

     

                    หัวใจของมิเกลเริ่มเต้นระส่ำระสายขึ้น  มาส่งเขาถึงสถานีอย่างนั้นหรือ  หมายความว่าเธอมีความรู้สึกพิเศษให้กับเขาขนาดยอมเดินทางมาอวยชัยให้ได้อย่างนั้นหรือ  แน่นอนว่าความหวังเล็ก ๆ นั้นแตกสลายไปอย่างรวดเร็ว  เมื่อมารีรีบบอกปฏิเสธด้วยใบหน้าขวยเขินไม่แพ้มิเกล  แต่เมื่อมารีบอกเหตุผลที่แท้จริงออกไป  มิเกลก็ถึงกับหน้าถอดสีด้วยไม่คาดคิดว่า  อิสตรีดั่งเช่นมารียังต้องโดนเกณฑ์ไปรบกับเขาด้วย

     

                    เดี๋ยวก่อนสิ  มันต้องมีอะไรผิดพลาดสิ  ทำไมอย่างมารีต้อง...

     

              เฮ้  ฉันเองก็เป็นผู้หญิงนะ  ทำไมนายยังไม่เห็นจะแปลกใจเลย  ซิลวีตบหัวมิเกลด้วยความหงุดหงิด  เรียกเสียงหัวเราะจากมารีที่กำลังขวยเขินให้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงตามเดิม

     

                    ....................................

                    ............................

                    ...................

                    ..........

     

                    ให้ตายสิ  ประเทศนี้เป็นอะไรไปของมันแล้วนะ  ถึงขนาดต้องเกณฑ์เด็กสาวมาร่วมรบด้วยนี่  ชายชราวัยเกษียณอายุ  มองซิเออร์โคลแบร์  เคลเมนท์  เป็นทั้งเจ้าของอู่เคลเมนท์  และบิดาของมิเกล  กำลังบ่นออกอย่างเสียงดังโดยไม่สนใจว่าเจ้าหน้าที่อาสาหนุ่มของคณะปฎิวัติจะยืนฟังอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก 

     

                    นี่พ่อ  อย่าพูดออกไปดังสิ

     

                    ใครได้ยินพ่อพูดแล้วจะทำไมล่ะ  มองซิเออร์โคลแบร์โวยวายใส่เจ้าลูกชายก่อนจะหันไปหาเจ้าหน้าที่อาสาหนุ่มที่กำลังจะตกเป็นเป้าระบายอารมณ์คนต่อไป  ใช่ไหมล่ะเจ้าหนุ่ม  ฉันรับใช้ราชการประเทศนี้มาสี่สิบกว่าปี  เสียขาไปข้าง  ผมก็หงอกจนถึงขนาดนี้แล้วยังไม่เคยเห็นสมัยไหนที่ตกต่ำจนถึงขนาดต้องเกณฑ์ผู้หญิงและเด็กเข้าสงครามอย่างนี้มาก่อน  สมัยโน้นนะ  มันเป็นหน้าที่ของผู้ชายที่ต้องเข้าสู่สนามรบเพื่อปกป้องผู้หญิง และเด็กที่อยู่แนวหลัง...

     

                    มารีรู้สึกสงสารเจ้าหนุ่มนั่นพอสมควรกับการที่ต้องมานั่งหัวหดเป็นเหยื่อการเทศนาของมองซิเออร์โคลแบร์  โดยมีมิเกลพยายามจะหยุดพ่อหัวดื้อนั่นให้ได้  ซิลวีและผู้อื่นโดยรอบได้แต่มองดูเรื่องวุ่น ๆ อย่างตลกขบขัน

     

                    ไม่ต้องห่วงหรอกนะแม่หนู  เดี๋ยวเจ้าพวกหนุ่ม ๆ ของลุงจะปกป้องพวกหนูเอง  มองซิเออร์โคลแบร์หันมากล่าวอย่างยิ้มแย้มกับหญิงสาวทั้งสอง  จนซิลวีอดที่จะแอบย้อนไม่ได้ว่า แหม  อย่างกับลุงจะไปกับพวกหนูด้วยงั้นล่ะ  ทำเอาผู้เฒ่าขาเดียวหัวเราะร่า

     

                    ใช่แล้ว  มองซิเออร์ไม่มีทางเข้าสนามรบได้อีก  ต้นขาขวาของเขาถูกเครื่องจักรบดขยี้ไประหว่างซ่อมหุ่นกลตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว  ตอนนี้เขาจึงเป็นเพียงตาแก่ขาไม้ธรรมดา ๆ ไม่เหลือเค้าของอดีตทหารช่างผู้เชี่ยวชาญเลย  แต่เพียงเพราะชื่อของมองซิเออร์โคลแบร์มีอยู่ในรายชื่อของผู้มีใบอนุญาติขับหุ่นกล  เขาจึงถูกเรียกตัวมาที่นี่อย่างช่วยไม่ได้  เฉกเช่นเดียวชายหนุ่มและหญิงสาวอีก 17 ชีวิตที่ถูกเกณฑ์เข้าหน่วยอาสาที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่เพื่อทดแทนกองกำลังเก่าที่ไม่หนีออกนอกประเทศช่วงปฏิวัติหรือเสียชีวิตในสนามรบ 

     

                    พี่น้องตระกูลเครเมอร์มาทั้งคู่  อองรีจากหมู่บ้านเมอเซียร์ก็มา  พ่อลูกตระกูลเคลเมนท์มาพร้อม  ทุกคนในกลุ่มนี้ล้วนเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาทั้งสิ้น  เนื่องจากจำนวนผู้ที่สามารถบังคับหุ่นกลที่ไม่ใช่พวกชนชั้นสูงมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย  ดังนั้นกลุ่มสังคมของพวกเขาจึงค่อนข้างแคบ  อย่างน้อยทุกคนต้องเคยพบหน้าพบตากันที่อู่ซ่อมหุ่นกลเคลเมนท์ที่เป็นอู่เพียงแห่งเดียวในเมือง  ตามงานก่อนสร้าง หรืองานเทศกาลประจำโอกาศต่าง ๆ  ยิ่งมารีเป็นผู้หญิงหนึ่งในสองคนทำให้ไม่มีใครที่ไม่รู้จักมารี  แอน  มาลเดอร์ ผู้นี้

     

                    แล้วมาดามแคทเธอรีนกับฌองไม่มาส่งหนูหรือ  มองซิเออร์โคลแบร์ถามหาภรรยาของอดีตสหายที่ล่วงลับไปก่อนแล้ว  ซึ่งมารีก็เล่าไปตามที่เคยเล่าให้ซิลวีฟัง 

     

                    อืมมม... ความจริงยายแก่กับลูก ๆ ของลุงก็มาส่งด้วยล่ะนะ  แต่เจ้าพวกทหารพวกนั้นกั้นไว้ไม่ให้เข้ามานะ  แต่ก็ดีแล้วล่ะ  มาดามแคทเธอรีนยิ่งร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่ด้วย  ให้เธอมาอยู่ตรงคนพลุกพล่านท่าจะเป็นความคิดที่ไม่ดีนัก  มารีหันไปมองข้างนอกรั้วที่ญาติพี่น้องของเหล่าว่าที่ทหารอาสาเกาะรั้วโบกมือหยอย ๆ เต็มพรืดไปหมด  โดยมีทหารคาดแถบผ้าสีเขียวตรงต้นแขนอาวุธครบมือคอยยืนกันไว้ 

     

                    ถึงจะเห็นด้วยกับมองซิเออร์โคลแบร์  แต่มารีก็อดที่จะเหงาเสียมิได้

    @@@@@@@@@@@@@@@@@@

    Edit Log: June 16th, 2009: จบตอน
    Edit Log: June 17th, 2009: แก้ชื่อ ณอง เป็น ฌอง  ต้องขอบคุณท่านหน่องจริง ๆ ที่ช่วยเตือนนะครับ
    Edit Log; Jan 20th, 2010: แก้สำนวนเล็กน้อย
    Edit Log: June 10th, 2011: แก้สำนวนเล็กน้อย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×