ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมบทความเกี่ยวกับการ์ตูนที่เคยเขียน

    ลำดับตอนที่ #6 : (รีวิวมังหงะ) SHINGEKI NO KYOJIN กับสถานการณ์น้ำท่วมบ้านเรา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 925
      0
      7 ต.ค. 57




    วันนี้นั่งเป็นหูเป็นตาให้แม่ที่บ้าน  เลยมีเวลามาทำอะไรไร้สาระหน่อย

    เรื่องที่อยากจะรีวิววันนี้คือเรื่อง SHINGEKI NO KYOJIN  หรือแปลชื่อเป็นอังกฤษได้ว่า Attack on Titan  ถ้าจำไม่ผิดวิบูลกิจจะได้ลิขสิทธิ์เรื่องนี้ไปแล้ว  ซึ่งอาจจะนับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีก็ได้  เพราะเรื่องนี้เป็นการ์ตูนที่ผมอ่านแล้วรู้สึกว่ามันสนุกมากเลยล่ะ  ส่วนมันจะเป็นอย่างไรลองอ่านจากเนื้อหาและรายละเอียดได้เลย




     
    เรื่องย่อ  (แปลจากเรื่องย่อของเว็ปแสกนเรื่องนี้  ขอไม่แปะเครดิตแลวกันนะจ๊ะ)

    หลายร้อยปีก่อนหน้านี้  มนุษยชาติได้ถูกกำจัดจนเกือบสูญพันธุ์โดยเหล่ายักษ์  ยักษ์โดยทั่วไปจะสูงประมาณอาคารหลายชั้น  ดูเหมือนจะไม่มีสติปัญญา  กินมนุษย์  และที่แย่ที่สุดคือพวกมันดูเหมือนทำไปเพราะความชอบใจมากกว่ากินเพื่อเป็นอาหาร  มนุษย์ที่เหลืออยู่มีชีวิตรอดอยู่ได้โดยขังตัวเองอยู่ในเมืองที่ปกป้องด้วยกำแพงสูงชันที่สูงยิ่งกว่ายักษ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด

    ในยุคปัจจุบัน  เมืองที่มนุษย์อาศัยไม่พบเห็นยักษ์มากกว่าร้อยปีแล้ว  เด็กหนุ่มนามว่าอีเลน และน้องสาวบุญธรรมมาคาสะ  ได้เป็นสักขีพยานของบางสิ่งบางอย่างที่น่าหวาดหวั่น  เมื่อกำแพงเมืองถูกทำลายโดยยักษ์ตัวขนาดมหึมาที่จู่ ๆ โผล่ขึ้นมา  ในขณะที่ยักษ์ขนาดเล็กลงมาถล่มเมือง  เด็กทั้งสองได้แต่มองมารดาของตนถูกยักษ์กินทั้งเป็นอย่างสยดสยอง  เอเลนจึงได้แต่เฝ้าปฏิญาณตนว่าเขาจะฆ่ายักษ์ทุกตัวให้หมดสิ้น และจะแก้แค้นแทนมนุษยชาติทั้งปวง

    เรื่องนี้ได้รับเสนอชื่อรับรางวัล Manga Taisho Awards ปี 2011 และผู้ชนะการประกวดรางวัลการ์ตูนของ Kodansha ครั้งที่ 35 ในสาขาการ์ตูนผู้ชายยอดเยี่ยม

    เล่มหนึ่งออกวางขายแล้วโดย สนพ. วิบูลย์กิจ นะจ๊ะ  ไปหาซื้อกันได้

    ความเห็น

    เวลาอ่านเรื่องนี้ในช่วงแรก ๆ หลาย ๆ คนอาจเมินเรื่องที่ลายเส้นที่ดูหยาบ ๆ และไม่น่าดึงดูด  แถมเรื่องย่อยังดูกาก ๆ ยังไงก็ไม่รู้  ซึ่งพูดตามตรงแล้วถ้าไม่ได้แรงเชียร์จากคนในเว็ปพันดริฟต์ผมคงไม่อ่านเหมือนกัน  แต่พอทนอ่านได้จบปุ๊บ... ผมก็มาราธอนต่อจนจบถึงตอนล่าสุดเลย

    สนุก... เรื่องนี้มันสนุกเป็นบ้า

    จากภาพที่ว่าหยาบ  กลายเป็นว่าเข้ากับอารมณ์ดิบเถื่อนของเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว  ถึงลายเส้นจะไม่ดึงดูด  แต่วิธีการเล่าเรื่องกับการเรียงช่องของคนเขียนเรียกได้ว่าสุดยอดมาก  อ่านแต่ละตอนก็อดที่จะลุ้นไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหน้าถัดไป  บีบคั้นอารมณ์ทั้งความสยดสยอง  ความสิ้นหวัง  และความหวังที่เป็นดั่งสายลมพัดผ่านได้อย่างไหลลื่น  อาจจะมีขัด ๆ บ้างตอนที่ชอบย้อนอดีตเอาเสียดื้อ ๆ แต่ตรงที่ย้อนอดีตกลับเป็นกุญแจที่จะขับเคลื่อนเรื่องในช่วงต่อไปได้อย่างชาญฉลาด

    อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้สื่ออารมณ์ได้เจ๋งมาก  ทั้งที่พล็อตก็ดูไม่มีอะไร  แต่คนเขียนกลับวาดให้อ่านแล้วรู้สึกอินกับเนื้อเรื่องเหลือเกิน  ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่ผู้คนต่างมัวแต่หลงระเริงกับความสุขลวงตาที่ถูกปกป้องด้วยกำแพงสูง  แต่พอความปลอดภัยถูกทำลาย  รอยยิ้มที่ไม่กีช่องก่อนยังยิ้มได้ก็เหมือนกับกลายเป็นแค่อดีตอันห่างไกล  แถมเวลามนุษย์ต้องสู้กับยักษ์ก็ดูจะสิ้นหวังเหลือเกิน  เพราะกว่าจะฆ่ายักษ์ได้แต่ละตัวต้องสู้แทบตาย  เพื่อนก็ตายไปตั้งเยอะ  แต่มันกลับเข้ามาเรื่อย ๆ ไม่มีหยุด  ประหนึ่งว่าเป็นการเดินเข้าลานประหารเลยก็ว่าได้  สู้ให้ตายอย่างไรก็ไม่ชนะ  อนาคตของมนุษยชาติดูมืดมัวเหลือเกิน

     
     
    ดีไซน์ของยักษ์เองก็น่าสนใจไม่น้อย  ดูเผิน ๆ ดีไซน์ของยักษ์มันดูกวนตีนมากเลย  แต่พออ่านไปได้สักพักจะรู้สึกว่ามันน่าสยดสยองมาก  ร่างกายของยักษ์ก็เหมือนคนสติไม่สบประกอบที่แก้ผ้าเดินไปมา  คอยไล่กินมนุษย์  ซึ่งคิดว่าคนเขียนฉลาดมากเลยที่ออกแบบตัวยักษ์ออกมาได้ในรูปแบบนี้ 

     

    นอกจากนี้ที่เป็นหัวใจหลักของเรื่องคือวิธีการต่อกรเจ้ายักษ์ที่ดูไร้เทียมทานเหล่านี้  เจ้ายักษ์พวกนี้ที่น่ากลัวยิ่งกว่าขนาดอันใหญ่โตและแรงมหาศาลคือทำอย่างไรมันก็ไม่ตายเสียที  ยิงไปแป๊บ ๆ มันก็ฟื้นพลังได้แล้ว  วิธีสังหารยักษ์อย่างเดียวคือการเฉือนตรงต้นคอด้านหลังของยักษ์เท่านั้น  และการที่จะทำอย่างนั้นได้  มนุษย์จึงได้พัฒนาทักษะและเครื่องมือที่จะต่อสู้กับยักษ์ที่สามารถทำให้มนุษย์เคลื่อนไหวได้สามมิติ  พูดง่าย ๆ ก็ลองนึกถึงพี่สไปเดอร์แมน หรือเฮย์จาก Darker than Black ก็แล้วกัน  ซึ่งคนเขียนก็เขียนการต่อสู้ได้น่าตื่นตาตื่นใจมาก  (กระโจนห้อยโหนไปมาบนอาคารพยายามฟันต้นคอยักษ์)

    ความจริงมีอีกหลายประเด็นที่ผมอยากจะฝอยเกี่ยวกับเรื่องนี้เหลือเกิน  ทั้งความเหลื่อมล้ำของสังคม  ความเห็นแก่ตัว  ความมุ่งมั่นของมนุษยชาติในการเอาชนะภัยที่เหนือกว่าแม้ว่าจะต้องสูญเสียมากมายสักแค่ไหน  รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ดูแล้วก็รู้สึกว่าคนเขียนเอาใจใส่กับเนื้อเรื่องมาก  เช่นยุทธวิธีในการสู้ยักษ์  อุปกรณ์  สภาพสังคม  บลา ๆ

    และสิ่งสุดท้ายที่ผมอยากพูดถึงคือผมชอบนางเอกของเรื่อง มิคาสะ มากกกกกก  หน้าตาแม่นางไร้อารมณ์อยู่ตลอดเวลา  แต่เพื่อพระเอกแล้วแม่นางทำได้ทุกอย่าง  ถึงขนาดหากต้องหันหลังให้กับผองเพื่อนหรือมนุษยชาติก็ยอม  แถมฝีมืออย่างเมพอีกต่างหาก  อา...จะให้สาธยายถึงความเท่ของมิคาสะคนอื่นคงจะเบื่อเสียก่อน  รู้แต่ว่าพระเอกจะตายเป็นเป็ดยังไงผมก็ไม่สน  ขอแค่แม่นางรอดก็พอ  ฮา
     

    เอาล่ะ  มาเข้าประเด็นสุดท้ายกันเลยดีกว่า

    แล้วมันเกี่ยวอะไรกับสถานการณ์น้ำท่วมบ้านเราล่ะ ?

    ผมเขียนรีวิวเรื่องนี้หลังจากดูข่าวคันกั้นน้ำที่นครสวรรค์แตก  อ่านข่าวแล้วแล้วรู้สึกว่า  เฮ้ย... มันดูคล้ายกับเนื้อเรื่องของเรื่องนี้มากเลย  ยักษ์ในการ์ตูนก็เปรียบกับภัยพิบัติ (น้ำท่วม) ที่มนุษย์ยากจะต้านทาน  การที่ยักษ์บุกเข้าเมืองหลังจากกำแพงแตก  ก็เหมือนกับน้ำที่เอ่อทะลักเข้าท่วมเมืองหลังจากคันกั้นน้ำแตก  สถานการณ์ของประเทศไทยในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากมนุษยชาติในเรื่องที่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับยักษ์  และสิ่งเดียวที่ยังปกป้องทั้งโลกแห่งความเป็นจริงและการ์ตูนก็คือแนวกำแพงที่จะแตกเมื่อไหร่ก็ได้  แต่กระนั้น  มนุษย์เช่นเราแม้จะสิ้นหวังแค่ไหนแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้  แม้จะเผชิญกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า  แต่เมื่อยังมองเห็นแสงแห่งความหวัง  เราก็ยังจะสู้ต่อไปเรื่อย ๆ

    ก็ต้องขอเอาใจช่วงพี่น้องชาวไทยทุกท่านที่ประสบปัญหา และได้รับผลกระทบกับภัยพิบัติในครั้งนี้ด้วยนะครับ  บ้านผมก็สร้างแนวอิฐกั้นแล้วเรียบร้อย  ท่านอืนก็ขอให้ติดตามข่าว  ไม่ต้องตื่นตระหนกกัน  แต่ระแวดระวังเตรียมพร้อมไว้ก็ไม่เสียหาย

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×