ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : (รีวิวมังหงะ) SHINGEKI NO KYOJIN กับสถานการณ์น้ำท่วมบ้านเรา
วันนี้นั่งเป็นหูเป็นตาให้แม่ที่บ้าน เลยมีเวลามาทำอะไรไร้สาระหน่อย
เรื่องที่อยากจะรีวิววันนี้คือเรื่อง SHINGEKI NO KYOJIN หรือแปลชื่อเป็นอังกฤษได้ว่า Attack on Titan ถ้าจำไม่ผิดวิบูลกิจจะได้ลิขสิทธิ์เรื่องนี้ไปแล้ว ซึ่งอาจจะนับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีก็ได้ เพราะเรื่องนี้เป็นการ์ตูนที่ผมอ่านแล้วรู้สึกว่ามันสนุกมากเลยล่ะ ส่วนมันจะเป็นอย่างไรลองอ่านจากเนื้อหาและรายละเอียดได้เลย
เรื่องย่อ (แปลจากเรื่องย่อของเว็ปแสกนเรื่องนี้ ขอไม่แปะเครดิตแลวกันนะจ๊ะ)
หลายร้อยปีก่อนหน้านี้ มนุษยชาติได้ถูกกำจัดจนเกือบสูญพันธุ์โดยเหล่ายักษ์ ยักษ์โดยทั่วไปจะสูงประมาณอาคารหลายชั้น ดูเหมือนจะไม่มีสติปัญญา กินมนุษย์ และที่แย่ที่สุดคือพวกมันดูเหมือนทำไปเพราะความชอบใจมากกว่ากินเพื่อเป็นอาหาร มนุษย์ที่เหลืออยู่มีชีวิตรอดอยู่ได้โดยขังตัวเองอยู่ในเมืองที่ปกป้องด้วยกำแพงสูงชันที่สูงยิ่งกว่ายักษ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
ในยุคปัจจุบัน เมืองที่มนุษย์อาศัยไม่พบเห็นยักษ์มากกว่าร้อยปีแล้ว เด็กหนุ่มนามว่าอีเลน และน้องสาวบุญธรรมมาคาสะ ได้เป็นสักขีพยานของบางสิ่งบางอย่างที่น่าหวาดหวั่น เมื่อกำแพงเมืองถูกทำลายโดยยักษ์ตัวขนาดมหึมาที่จู่ ๆ โผล่ขึ้นมา ในขณะที่ยักษ์ขนาดเล็กลงมาถล่มเมือง เด็กทั้งสองได้แต่มองมารดาของตนถูกยักษ์กินทั้งเป็นอย่างสยดสยอง เอเลนจึงได้แต่เฝ้าปฏิญาณตนว่าเขาจะฆ่ายักษ์ทุกตัวให้หมดสิ้น และจะแก้แค้นแทนมนุษยชาติทั้งปวง
เรื่องนี้ได้รับเสนอชื่อรับรางวัล Manga Taisho Awards ปี 2011 และผู้ชนะการประกวดรางวัลการ์ตูนของ Kodansha ครั้งที่ 35 ในสาขาการ์ตูนผู้ชายยอดเยี่ยม
เล่มหนึ่งออกวางขายแล้วโดย สนพ. วิบูลย์กิจ นะจ๊ะ ไปหาซื้อกันได้
ความเห็น
เวลาอ่านเรื่องนี้ในช่วงแรก ๆ หลาย ๆ คนอาจเมินเรื่องที่ลายเส้นที่ดูหยาบ ๆ และไม่น่าดึงดูด แถมเรื่องย่อยังดูกาก ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ซึ่งพูดตามตรงแล้วถ้าไม่ได้แรงเชียร์จากคนในเว็ปพันดริฟต์ผมคงไม่อ่านเหมือนกัน แต่พอทนอ่านได้จบปุ๊บ... ผมก็มาราธอนต่อจนจบถึงตอนล่าสุดเลย
สนุก... เรื่องนี้มันสนุกเป็นบ้า
จากภาพที่ว่าหยาบ กลายเป็นว่าเข้ากับอารมณ์ดิบเถื่อนของเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ถึงลายเส้นจะไม่ดึงดูด แต่วิธีการเล่าเรื่องกับการเรียงช่องของคนเขียนเรียกได้ว่าสุดยอดมาก อ่านแต่ละตอนก็อดที่จะลุ้นไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหน้าถัดไป บีบคั้นอารมณ์ทั้งความสยดสยอง ความสิ้นหวัง และความหวังที่เป็นดั่งสายลมพัดผ่านได้อย่างไหลลื่น อาจจะมีขัด ๆ บ้างตอนที่ชอบย้อนอดีตเอาเสียดื้อ ๆ แต่ตรงที่ย้อนอดีตกลับเป็นกุญแจที่จะขับเคลื่อนเรื่องในช่วงต่อไปได้อย่างชาญฉลาด
อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้สื่ออารมณ์ได้เจ๋งมาก ทั้งที่พล็อตก็ดูไม่มีอะไร แต่คนเขียนกลับวาดให้อ่านแล้วรู้สึกอินกับเนื้อเรื่องเหลือเกิน ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่ผู้คนต่างมัวแต่หลงระเริงกับความสุขลวงตาที่ถูกปกป้องด้วยกำแพงสูง แต่พอความปลอดภัยถูกทำลาย รอยยิ้มที่ไม่กีช่องก่อนยังยิ้มได้ก็เหมือนกับกลายเป็นแค่อดีตอันห่างไกล แถมเวลามนุษย์ต้องสู้กับยักษ์ก็ดูจะสิ้นหวังเหลือเกิน เพราะกว่าจะฆ่ายักษ์ได้แต่ละตัวต้องสู้แทบตาย เพื่อนก็ตายไปตั้งเยอะ แต่มันกลับเข้ามาเรื่อย ๆ ไม่มีหยุด ประหนึ่งว่าเป็นการเดินเข้าลานประหารเลยก็ว่าได้ สู้ให้ตายอย่างไรก็ไม่ชนะ อนาคตของมนุษยชาติดูมืดมัวเหลือเกิน
หลายร้อยปีก่อนหน้านี้ มนุษยชาติได้ถูกกำจัดจนเกือบสูญพันธุ์โดยเหล่ายักษ์ ยักษ์โดยทั่วไปจะสูงประมาณอาคารหลายชั้น ดูเหมือนจะไม่มีสติปัญญา กินมนุษย์ และที่แย่ที่สุดคือพวกมันดูเหมือนทำไปเพราะความชอบใจมากกว่ากินเพื่อเป็นอาหาร มนุษย์ที่เหลืออยู่มีชีวิตรอดอยู่ได้โดยขังตัวเองอยู่ในเมืองที่ปกป้องด้วยกำแพงสูงชันที่สูงยิ่งกว่ายักษ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
ในยุคปัจจุบัน เมืองที่มนุษย์อาศัยไม่พบเห็นยักษ์มากกว่าร้อยปีแล้ว เด็กหนุ่มนามว่าอีเลน และน้องสาวบุญธรรมมาคาสะ ได้เป็นสักขีพยานของบางสิ่งบางอย่างที่น่าหวาดหวั่น เมื่อกำแพงเมืองถูกทำลายโดยยักษ์ตัวขนาดมหึมาที่จู่ ๆ โผล่ขึ้นมา ในขณะที่ยักษ์ขนาดเล็กลงมาถล่มเมือง เด็กทั้งสองได้แต่มองมารดาของตนถูกยักษ์กินทั้งเป็นอย่างสยดสยอง เอเลนจึงได้แต่เฝ้าปฏิญาณตนว่าเขาจะฆ่ายักษ์ทุกตัวให้หมดสิ้น และจะแก้แค้นแทนมนุษยชาติทั้งปวง
เรื่องนี้ได้รับเสนอชื่อรับรางวัล Manga Taisho Awards ปี 2011 และผู้ชนะการประกวดรางวัลการ์ตูนของ Kodansha ครั้งที่ 35 ในสาขาการ์ตูนผู้ชายยอดเยี่ยม
เล่มหนึ่งออกวางขายแล้วโดย สนพ. วิบูลย์กิจ นะจ๊ะ ไปหาซื้อกันได้
ความเห็น
เวลาอ่านเรื่องนี้ในช่วงแรก ๆ หลาย ๆ คนอาจเมินเรื่องที่ลายเส้นที่ดูหยาบ ๆ และไม่น่าดึงดูด แถมเรื่องย่อยังดูกาก ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ซึ่งพูดตามตรงแล้วถ้าไม่ได้แรงเชียร์จากคนในเว็ปพันดริฟต์ผมคงไม่อ่านเหมือนกัน แต่พอทนอ่านได้จบปุ๊บ... ผมก็มาราธอนต่อจนจบถึงตอนล่าสุดเลย
สนุก... เรื่องนี้มันสนุกเป็นบ้า
จากภาพที่ว่าหยาบ กลายเป็นว่าเข้ากับอารมณ์ดิบเถื่อนของเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ถึงลายเส้นจะไม่ดึงดูด แต่วิธีการเล่าเรื่องกับการเรียงช่องของคนเขียนเรียกได้ว่าสุดยอดมาก อ่านแต่ละตอนก็อดที่จะลุ้นไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหน้าถัดไป บีบคั้นอารมณ์ทั้งความสยดสยอง ความสิ้นหวัง และความหวังที่เป็นดั่งสายลมพัดผ่านได้อย่างไหลลื่น อาจจะมีขัด ๆ บ้างตอนที่ชอบย้อนอดีตเอาเสียดื้อ ๆ แต่ตรงที่ย้อนอดีตกลับเป็นกุญแจที่จะขับเคลื่อนเรื่องในช่วงต่อไปได้อย่างชาญฉลาด
อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้สื่ออารมณ์ได้เจ๋งมาก ทั้งที่พล็อตก็ดูไม่มีอะไร แต่คนเขียนกลับวาดให้อ่านแล้วรู้สึกอินกับเนื้อเรื่องเหลือเกิน ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่ผู้คนต่างมัวแต่หลงระเริงกับความสุขลวงตาที่ถูกปกป้องด้วยกำแพงสูง แต่พอความปลอดภัยถูกทำลาย รอยยิ้มที่ไม่กีช่องก่อนยังยิ้มได้ก็เหมือนกับกลายเป็นแค่อดีตอันห่างไกล แถมเวลามนุษย์ต้องสู้กับยักษ์ก็ดูจะสิ้นหวังเหลือเกิน เพราะกว่าจะฆ่ายักษ์ได้แต่ละตัวต้องสู้แทบตาย เพื่อนก็ตายไปตั้งเยอะ แต่มันกลับเข้ามาเรื่อย ๆ ไม่มีหยุด ประหนึ่งว่าเป็นการเดินเข้าลานประหารเลยก็ว่าได้ สู้ให้ตายอย่างไรก็ไม่ชนะ อนาคตของมนุษยชาติดูมืดมัวเหลือเกิน
ดีไซน์ของยักษ์เองก็น่าสนใจไม่น้อย ดูเผิน ๆ ดีไซน์ของยักษ์มันดูกวนตีนมากเลย แต่พออ่านไปได้สักพักจะรู้สึกว่ามันน่าสยดสยองมาก ร่างกายของยักษ์ก็เหมือนคนสติไม่สบประกอบที่แก้ผ้าเดินไปมา คอยไล่กินมนุษย์ ซึ่งคิดว่าคนเขียนฉลาดมากเลยที่ออกแบบตัวยักษ์ออกมาได้ในรูปแบบนี้
นอกจากนี้ที่เป็นหัวใจหลักของเรื่องคือวิธีการต่อกรเจ้ายักษ์ที่ดูไร้เทียมทานเหล่านี้ เจ้ายักษ์พวกนี้ที่น่ากลัวยิ่งกว่าขนาดอันใหญ่โตและแรงมหาศาลคือทำอย่างไรมันก็ไม่ตายเสียที ยิงไปแป๊บ ๆ มันก็ฟื้นพลังได้แล้ว วิธีสังหารยักษ์อย่างเดียวคือการเฉือนตรงต้นคอด้านหลังของยักษ์เท่านั้น และการที่จะทำอย่างนั้นได้ มนุษย์จึงได้พัฒนาทักษะและเครื่องมือที่จะต่อสู้กับยักษ์ที่สามารถทำให้มนุษย์เคลื่อนไหวได้สามมิติ พูดง่าย ๆ ก็ลองนึกถึงพี่สไปเดอร์แมน หรือเฮย์จาก Darker than Black ก็แล้วกัน ซึ่งคนเขียนก็เขียนการต่อสู้ได้น่าตื่นตาตื่นใจมาก (กระโจนห้อยโหนไปมาบนอาคารพยายามฟันต้นคอยักษ์)
ความจริงมีอีกหลายประเด็นที่ผมอยากจะฝอยเกี่ยวกับเรื่องนี้เหลือเกิน ทั้งความเหลื่อมล้ำของสังคม ความเห็นแก่ตัว ความมุ่งมั่นของมนุษยชาติในการเอาชนะภัยที่เหนือกว่าแม้ว่าจะต้องสูญเสียมากมายสักแค่ไหน รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ดูแล้วก็รู้สึกว่าคนเขียนเอาใจใส่กับเนื้อเรื่องมาก เช่นยุทธวิธีในการสู้ยักษ์ อุปกรณ์ สภาพสังคม บลา ๆ
และสิ่งสุดท้ายที่ผมอยากพูดถึงคือผมชอบนางเอกของเรื่อง มิคาสะ มากกกกกก หน้าตาแม่นางไร้อารมณ์อยู่ตลอดเวลา แต่เพื่อพระเอกแล้วแม่นางทำได้ทุกอย่าง ถึงขนาดหากต้องหันหลังให้กับผองเพื่อนหรือมนุษยชาติก็ยอม แถมฝีมืออย่างเมพอีกต่างหาก อา...จะให้สาธยายถึงความเท่ของมิคาสะคนอื่นคงจะเบื่อเสียก่อน รู้แต่ว่าพระเอกจะตายเป็นเป็ดยังไงผมก็ไม่สน ขอแค่แม่นางรอดก็พอ ฮา
เอาล่ะ มาเข้าประเด็นสุดท้ายกันเลยดีกว่า
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับสถานการณ์น้ำท่วมบ้านเราล่ะ ?
ผมเขียนรีวิวเรื่องนี้หลังจากดูข่าวคันกั้นน้ำที่นครสวรรค์แตก อ่านข่าวแล้วแล้วรู้สึกว่า เฮ้ย... มันดูคล้ายกับเนื้อเรื่องของเรื่องนี้มากเลย ยักษ์ในการ์ตูนก็เปรียบกับภัยพิบัติ (น้ำท่วม) ที่มนุษย์ยากจะต้านทาน การที่ยักษ์บุกเข้าเมืองหลังจากกำแพงแตก ก็เหมือนกับน้ำที่เอ่อทะลักเข้าท่วมเมืองหลังจากคันกั้นน้ำแตก สถานการณ์ของประเทศไทยในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากมนุษยชาติในเรื่องที่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับยักษ์ และสิ่งเดียวที่ยังปกป้องทั้งโลกแห่งความเป็นจริงและการ์ตูนก็คือแนวกำแพงที่จะแตกเมื่อไหร่ก็ได้ แต่กระนั้น มนุษย์เช่นเราแม้จะสิ้นหวังแค่ไหนแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ แม้จะเผชิญกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า แต่เมื่อยังมองเห็นแสงแห่งความหวัง เราก็ยังจะสู้ต่อไปเรื่อย ๆ
ก็ต้องขอเอาใจช่วงพี่น้องชาวไทยทุกท่านที่ประสบปัญหา และได้รับผลกระทบกับภัยพิบัติในครั้งนี้ด้วยนะครับ บ้านผมก็สร้างแนวอิฐกั้นแล้วเรียบร้อย ท่านอืนก็ขอให้ติดตามข่าว ไม่ต้องตื่นตระหนกกัน แต่ระแวดระวังเตรียมพร้อมไว้ก็ไม่เสียหาย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น