คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : For the Greater Cause: สละชีพเพื่อสะพาน
กลิ่นดินปืนผสมปนเปกับกลิ่นมูลดิน กลิ่นคาวเลือด และกลิ่นเศษเนื้อไหม้ลอยคละคลุ้งไปทั่ว ท่ามกลางกลุ่มฝุ่นควันตลบอบอวลที่ยังไม่ซานั้น เหล่าผู้รอดชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนิดค่อย ๆ โผล่ศีรษะอย่างระมัดระวังขึ้นมาทีละคนสองคน สำรวจสถานการณ์โดยรอบพลางขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยให้พวกเขาไม่ประสบชะตาเดียวกับเพื่อนร่วมรบที่ถูกฝังใต้กองดิน
หลังจากเสียงระเบิดดังสนั่นราวกับโลกถึงกาลปาวสาน ทุกอย่างถูกครอบงำด้วยความสงบเงียบราวกับทุกอย่างถูกหยุดเวลาไว้ แต่ความเงียบนั้นก็อยู่ได้ไม่นานนัก มันถูกแทนที่ด้วยเสียงครวญครางร้องเรียกหาแพทย์สนาม เสียงพร่ำพรรณนาหาคนรัก และเสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของม้าที่มักลงท้ายด้วยเสียงปืนเป็นการดับทุกข์มันเสีย
หมอกควันหลังการทำลายล้างค่อย ๆ จางหายไป เผยให้เห็นสภาพความวิบัติที่มันซุกซ่อนไว้ในตอนแรก...
ทว่า เหล่าทหารหาญแห่งสาธารณรัฐไม่มีเวลาที่จะตื่นกลัวกับภาพที่เห็น ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินคลุกฝุ่นพร้อมปืนในมือ วิ่งฝ่าสหายร่วมรบที่ร้องขอความช่วยเหลืออย่างไม่เหลียวแล เหยียบย่ำข้ามเศษซากของธงที่ครั้งหนึ่งเคยโบกสบัดอย่างเกรียงไกร กระโดดข้ามกองซากศพของเพื่อนที่เคยกอดคอเฮฮาด้วยกัน เข้าประจำพื้นที่สังหารที่เพิ่งขุดมาลวก ๆ ของตนอย่างรวดเร็ว ส่วนทหารปืนใหญ่รีบเข็นปืนกระบอกโตที่ยังพอใช้งานได้ขึ้นไปยังแนวคันดิน
เสียงระเบิดจากการระดมยิงปืนใหญ่ได้สงบลงครู่หนึ่ง แต่มันก็เหมือนช่วงพักยกระหว่างเข้าไปอยู่ในกลางตาของพายุ...
พวกเขาทราบดีว่าหลังจากปืนใหญ่หยุดลงมันหมายถึงอะไร
ปืนไรเฟิลถูกกระชับแน่น ลำกล้องปืนพาดกองมูลดินอันแห้งกราก ศูนย์เล็งตรงไปยังข้างหน้า ยังพื้นที่รกร้างที่สมัยก่อนเคยเป็นสวนแอ็บเปิ้ลสวนใหญ่ที่บัดนี้เหลือเพียงตอไม้และหลุมบ่อระเบิด
จากนั้นเสียงเครื่องยนต์ก็ค่อย ๆ ฉีกคร่าความเงียบงันด้วยเสียงดังเอียดอ้าดอันเป็นเอกลักษณ์... ฝันร้ายของเหล่าทหารราบเคลื่อนตัวมุ่งหน้าเข้าหาแนวทหารทุกที ความเครียดเริ่มเข้าครอบงำทหารที่หลงเหลืออยู่ บางคนมือที่กำปืนไรเฟิลเริ่มสั่นเทิ้ม บางรายก็เริ่มสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระเจ้า มีอยู่คนที่ทนไม่ไหวละปืนทิ้งพร้อมหันหลังหนี แต่แล้วเสียงปืนดังลั่นจากปืนสั้นในมือของนายทหารที่ขาสั่นไม่แพ้กันดับชีวิตเขา และความคิดที่จะหนีของอีกหลาย ๆ คนเสีย
มีเสียงระเบิดจากระยะไกลดังขึ้น ซึ่งอีกสักพักตามมาด้วยควันสีขาวที่ลอยเข้ามาใกล้ บดบังทัศนวิสัยด้านหน้าเสียหมดสิ้น แต่มันก็ไม่อาจปิดบังเสียงย่ำฝีเท้าที่เข้ามาใกล้เรื่อย ๆ
และแล้ว...
เงามหึมาราวยักษ์โคโลซัสปรากฏเบื้องหลังควันขาวที่เป็นม่านกำบัง มันไม่นานนักก่อนที่ตราโล่พยัคฆ์คะนองศึก สัญลักษณ์ของจักรวรรดิจะเผยออกมาให้เห็นโฉมบนหุ่นยนต์ยักษ์รูปทรงมนุษย์ที่มีโครงร่างเป็นเหล็กสีเทานับสิบ ๆ ร่างจะวิ่งฝ่าควันขาวเป็นหน้าตับ พร้อมด้วยแผงคลื่นมนุษย์ชุดเทาสีเทาถือไรเฟิลติดดาบปลายปืนแวววาวนับร้อย เสียงกู่ร้องอย่างบ้าคลั่งดังระงม วิ่งดาหน้าตรงเข้ามาหาหน่วยทหารของสาธารณรัฐที่ยังเหลือรอดอยู่...
ทันใดนั้น ปืนทุกกระบอกก็เริ่มระเบิดเสียงคำราม พ่นประกายเพลิงระยิบระยับราวกับดาวบนท้องฟ้า
ห่าฝนตะกั่วปลิวว่อนไปทั่วแนวรบ เหล่าทหารที่วิ่งดาตะลุยเข้ามาต่างล้มทรุดลงเป็นใบไม้ร่วง แต่ทหารที่ตามหลังก็ยังคงเติมแนวรุกได้ไม่ขาด กระโดดข้ามพวกพ้องที่ร่วงโรย พุ่งตรงเข้ามาเรื่อย ๆ อย่างไม่ลดละ
ทว่า กระสุนปืนไรเฟิลไม่สามารภสะกิดเหล่ายักษ์เหล็กที่วิ่งตรงมาได้เลย ปืนใหญ่ที่เหลือเพียงไม่กี่กระบอกก็ถูกเป่ากระจุยไปในพริบตา จากนั้นกองทัพหุ่นเหล็กที่เริ่มส่งมอบความตายให้แก่ฝ่ายป้องกันบนเนินคันดิน เพียงกระหน่ำยิงชุดแรกไป ทหารหาญแห่งสาธารณรัฐก็เหลือเพียงแต่ชื่อ ร่างในเครื่องแบบสีน้ำเงินรุ่งริ่งลอยปลิวไปคนละทิศละทางกับชิ้นส่วนอื่น พร้อมกับเสาควันที่พวยพุ่งออกมา
ผู้ที่รอดชีวิตจากชุดยิงชุดแรกก็เริ่มแตกฮือหนีไปยังทิศตรงข้าม ละทิ้งทั้งปืน และเกียรติยศที่พวกตนเคยภาคภูมิหนักหนา
เจ้าหุ่นยนต์ยักษ์เคลื่อนตัวข้ามผ่านแนวคันดินที่เสียหายได้อย่างคล่องแคล่ว ท่อนขาเหล็กมหึมาบดขยี้เหล่าผู้ที่ยังไม่ทิ้งตำแหน่ง และผู้บาดเจ็บจนเหลือแต่เพียงเศษเนื้อ ทหารที่นอนครางโอดครวญพยายามคลานหนีสุดชีวิตก็ถูกดาบปลายปืนเสียบตายคาพื้น ไม่ก็ถูกกระหน่ำยิงจนพรุนอย่างไร้ปรานี
ทหารสาธารณรัฐที่เหลือเริ่มหนีตายอย่างไม่คิดชีวิต แต่นั่นก็ไม่ทำให้ชะตาของพวกเขาดีขึ้นไปเลย เมื่อห่ากระสุนปืนใหญ่ที่ยิงดักผู้ที่ถอยร่นฉีกพวกเขาเป็นชิ้น ๆ
จากนั้น ทุกอย่างก็พลันเงียบลงอีกครา...
...........................
.................
.........
...
ห่างออกไปเพียงไม่กี่สิบกิโลเมตรจากเนินเขามีสะพานเหล็กกล้าที่เชื่อมต่อระหว่างพรมแดนสาธารณรัฐกับจักรวรรดิ เงาของเนินสังหารยังสามารถเห็นได้บนเส้นขอบฟ้าจากสะพานแห่งนี้ มันใกล้จนถึงขนาดเสียงปืนยังคงแว่วได้ยินเป็นระยะ ปะปนกับเสียงของแม่น้ำไหลเชี่ยวที่ขับกล่อมเป็นฉากหลัง
บนสะพานนั้นยังมีนายทหารยศพันตรีแห่งกองทัพสาธารณรัฐที่ยืนส่องกล้องมองเนินที่ว่า รองเท้าบูทที่เคยมันขลับกลับเปรอะเปื้อนฝุ่นจนเขรอะไปหมด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังรักษาสภาพเครื่องแบบกองทัพสาธารณรัฐให้เนียบได้อย่างไร้ที่ติ เสื้อนอกสีน้ำเงินกลัดกระดุมสีทองมีเข็มขัดและสายคาดหนังรัดเข้ารูป ปลอกแขนสีเขียวกลัดไว้บนต้นแขนซ้ายสลักคำขวัญ เพื่อเสรีภาพแห่งมวลมนุษย์ เพื่อสาธารณรัฐ ผมน้ำตาลตัดสั้นถูกซุกซ่อนไว้ใต้หมวกทรงกระบอกมิดชิด
หลังจากนั้นไม่นาน ประกายแสงและเสียงแว่วจากเนินเขาพลันจางหาย เหลือทิ้งไว้แต่กลิ่นอายแห่งความตายที่พัดพามาแทน
เขาลดกล้องเลนส์คู่ลง เผยให้เห็นใบหน้าของชายอายุสามสิบตอนต้นที่ดูอ่อนวัยกว่ายศที่ติดอยู่บนคอเสื้อ นัยน์ตาสีน้ำตาลที่จ้องมองไกลออกไปนั้นกลับดูไร้ความรู้สึก ราวกับเป็นเพียงทะเลทรายแห้ง ๆ เท่านั้น
“จบแล้วหรือ”
แทบจะไม่ทันขาดคำ เสียงรองเท้ากระทบพื้นก็ดังขึ้นมาจากเบื้องหลัง นายทหารชั้นประทวนผู้หนึ่งวิ่งเหนื่อยหอบเพียงเพื่อมาแจ้งข่าวร้ายที่ผู้เป็นนายล่วงรู้ก่อนอยู่แล้ว
“แนวป้องกันรั้งท้ายแตกแล้วครับ...”
หลังฟังรายงานจบ นายทหารยศพันตรีแหงนมองท้องฟ้าที่มืดมัวราวกับจะร่ำไห้แก่กองทหารทั้งร้อยยี่สิบนายนั่น มองบอลลูนสังเกตการณ์สีขาวลอยเด่นอย่างเหม่อลอย สำหรับกองทัพแล้ว เจ้าบอลลูนสังเกตการณ์นี้ถือว่าเป็น “ตา” ของสนามรบเลยก็ว่าได้
เขาเฝ้ามองพลางคิดในใจว่าเขาจะรู้สึกเช่นไรที่ต้องมองพวกพ้องร่วมชาติถูกสังหารโหดจากบนบอลลูนนั่น....
โกรธแค้น
เจ็บใจ
ไม่หรอก มันคงรู้สึกเหมือนกับเวลาเราเฝ้ามองฝูงมดโดนเหยียบจากเบื้องบนล่ะมั้ง เขาอดคิดไม่ได้ว่าเวลาพระเจ้ามองมนุษย์จากสวรรค์ก็คงรู้สึกอย่างนี้เช่นกัน เป็นแค่จุดเล็ก ๆ ที่แตกดับ ไกลออกไปจากตัวของเรา จนกลายเป็นความชินชากับสิ่งที่เห็นไป
“ความชินชาของพระเจ้างั้นหรือ มิน่าทำไมท่านถึงมองดูดวงวิญญาณเหล่านั้นดับไปได้อย่างหน้าตาเฉย”
แต่ว่า
คนที่ส่งพวกเขาไปตายนั้นมิใช่เป็นคำสั่งของพระเจ้า....
ใช่แล้ว... มันไม่ใช่คำสั่งของพระเจ้า และมันก็ไม่ใช่พระเจ้าที่สร้างขุมนรกระยำนี่ขึ้นมา
เพียงอีกสักครู่ใหญ่ พลุแสงสว่างวาบถูกจุดขึ้นกลางท้องฟ้า เป็นสัญญาณแสดงการเสร็จสิ้นของการถอยทัพ และเป็นสัญญาณคำสั่งให้หน่วยรั้งท้ายทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบนายถอนกำลังออกมาได้
แน่นอนว่า อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ ไม่มีใครเหลือรอดอยู่ดูสัญญาณนั่นอีกแล้ว
“ท่านครับ กองกำลังพันธมิตรทุกกองถอนกำลังเสร็จสิ้นแล้ว พวกเราเองก็รีบไปกันเถอะครับ”
“ไม่ทุกกองหรอก” นัยน์ตาสีน้ำตาลเย็นชายังคงจ้องมองเนินนั่นไม่ขยับ “สะพานแห่งนี้มีค่าเท่ากับชีวิตทหารหาญร้อยยี่สิบชีวิตงั้นหรือ”
“ท่านครับ พวกเราเองก็รีบเถอะครับ อีกไม่นานปืนใหญ่ฝ่ายโน้นจะประจำที่แล้วนะครับ”
นายทหารพยักหน้าให้ลูกน้องก่อนจะเดินผ่านเส้นสายไฟที่ถูกผูกระโยงระยางค์ไว้ทั่วสะพาน กลับไปยังฝั่งแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้ง
พ่อของลูก สามีของภรรยา บุตรชายของมารดา หนึ่งร้อยยี่สิบชีวิตที่ต้องจบสิ้นลง ณ วันนี้เพียงเพื่อจะยืดชีวิตของสะพานให้นานพอที่จะระเบิดมันทิ้ง
“มันน่าเจ็บใจจริง ๆ ครับท่าน ที่เราอุตส่าห์ทุ่มเทเสียสละไปตั้งมากขนาดนี้ แต่กลับต้องถอยกลับมายังพรมแดนเก่าในสภาพตั้งรับแบบนี้อีก...” นายทหารชั้นประทวนกัดฟันกล่าวกับเจ้านายอย่างเจ็บแค้น “ทั้งที่เรามีกำลังพลมากมายแล้วแท้ ๆ ไอ้เจ้าพวกนั้น...”
“คนที่เราจะต้องโกรธคือความอ่อนหัดของพวกที่สั่งเรามากกว่า” นายทหารพันตรีกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “ถึงกองกำลังมากก็ใช่ว่าจะชนะเสมอไป ฝั่งโน้นเตรียมการก่อนเรามานานแล้วยังจะดันทุรังโจมตีก่อนอีก แถมกำลังพลของหุ่นกลก็เหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบ... หึ...ส่วนใหญ่พวกที่เชี่ยวชาญบังคับหุ่นกลก็เป็นพวกขุนนางที่เผ่นออกนอกประเทศไปซะเกลี้ยงแล้ว จะเอาอะไรไปสู้กับเขาล่ะ”
“แต่ได้ข่าวมาว่าทางฝ่ายเรากำลังระดมพลผู้ที่บังคับหุ่นกลได้จากทั่วสาธารณรัฐเพื่อเข้าประจำกองทัพนะครับ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วผมเองก็หวังว่า...”
“ผมเองก็หวังเช่นเดียวกับคุณนั่นล่ะ” นายทหารพันตรีมองกลุ่มทหารช่างที่กำลังวิ่งหนีจากระยะระเบิดอย่างไม่คิดชีวิต “แต่กว่าเจ้าพวกข้างบนนั้นจะทำอะไร กี่ชีวิตแล้วที่จะต้องสังเวยไป”
ทันทีที่ทหารช่างตะโกนให้สัญญาณการระเบิด สะพานเหล็กที่ยืนตระหง่านเหนือแม่น้ำก็ระเบิดเป็นจุล ภายในพริบตา เสียงระเบิดและเปลวเพลิงสนั่นหวั่นไหวเป็นการจุดสดุดีเหล่าผู้กล้าที่สละชีพของตนเพื่อให้กองกำลังส่วนใหญ่หนีรอดกลับมาได้
นายทหารทั้งสองได้แต่วันธยาหัตถ์เป็นครั้งสุดท้ายให้กับชีวิตที่จบสิ้นในวันนี้
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
Edit Log: Dec 30th, 2008: จบตอน
Edit Log: June 11th, 2009: แก้คำผิด
Edit Log: July 10th, 2009: แก้เรื่องจำนวนเล็กน้อย
Edit Log: Oct 1st, 2009: เปลี่ยนสีหุ่น จากสีขาว เป็นสีเทา
Edit Log: June 10th, 2011: แก้สำนวน
ความคิดเห็น