ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ใต้ฟ้าสาธารณรัฐ

    ลำดับตอนที่ #6 : For the Greater Cause: สละชีพเพื่อสะพาน

    • อัปเดตล่าสุด 10 มิ.ย. 54


                    กลิ่นดินปืนผสมปนเปกับกลิ่นมูลดิน  กลิ่นคาวเลือด  และกลิ่นเศษเนื้อไหม้ลอยคละคลุ้งไปทั่ว  ท่ามกลางกลุ่มฝุ่นควันตลบอบอวลที่ยังไม่ซานั้น  เหล่าผู้รอดชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนิดค่อย ๆ โผล่ศีรษะอย่างระมัดระวังขึ้นมาทีละคนสองคน  สำรวจสถานการณ์โดยรอบพลางขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยให้พวกเขาไม่ประสบชะตาเดียวกับเพื่อนร่วมรบที่ถูกฝังใต้กองดิน      

     

    หลังจากเสียงระเบิดดังสนั่นราวกับโลกถึงกาลปาวสาน  ทุกอย่างถูกครอบงำด้วยความสงบเงียบราวกับทุกอย่างถูกหยุดเวลาไว้  แต่ความเงียบนั้นก็อยู่ได้ไม่นานนัก  มันถูกแทนที่ด้วยเสียงครวญครางร้องเรียกหาแพทย์สนาม  เสียงพร่ำพรรณนาหาคนรัก  และเสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของม้าที่มักลงท้ายด้วยเสียงปืนเป็นการดับทุกข์มันเสีย

     

    หมอกควันหลังการทำลายล้างค่อย ๆ จางหายไป  เผยให้เห็นสภาพความวิบัติที่มันซุกซ่อนไว้ในตอนแรก...

     

    ทว่า  เหล่าทหารหาญแห่งสาธารณรัฐไม่มีเวลาที่จะตื่นกลัวกับภาพที่เห็น  ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินคลุกฝุ่นพร้อมปืนในมือ  วิ่งฝ่าสหายร่วมรบที่ร้องขอความช่วยเหลืออย่างไม่เหลียวแล  เหยียบย่ำข้ามเศษซากของธงที่ครั้งหนึ่งเคยโบกสบัดอย่างเกรียงไกร  กระโดดข้ามกองซากศพของเพื่อนที่เคยกอดคอเฮฮาด้วยกัน  เข้าประจำพื้นที่สังหารที่เพิ่งขุดมาลวก ๆ ของตนอย่างรวดเร็ว  ส่วนทหารปืนใหญ่รีบเข็นปืนกระบอกโตที่ยังพอใช้งานได้ขึ้นไปยังแนวคันดิน

     

    เสียงระเบิดจากการระดมยิงปืนใหญ่ได้สงบลงครู่หนึ่ง  แต่มันก็เหมือนช่วงพักยกระหว่างเข้าไปอยู่ในกลางตาของพายุ...

     

    พวกเขาทราบดีว่าหลังจากปืนใหญ่หยุดลงมันหมายถึงอะไร

     

    ปืนไรเฟิลถูกกระชับแน่น  ลำกล้องปืนพาดกองมูลดินอันแห้งกราก  ศูนย์เล็งตรงไปยังข้างหน้า  ยังพื้นที่รกร้างที่สมัยก่อนเคยเป็นสวนแอ็บเปิ้ลสวนใหญ่ที่บัดนี้เหลือเพียงตอไม้และหลุมบ่อระเบิด

     

                    จากนั้นเสียงเครื่องยนต์ก็ค่อย ๆ ฉีกคร่าความเงียบงันด้วยเสียงดังเอียดอ้าดอันเป็นเอกลักษณ์... ฝันร้ายของเหล่าทหารราบเคลื่อนตัวมุ่งหน้าเข้าหาแนวทหารทุกที  ความเครียดเริ่มเข้าครอบงำทหารที่หลงเหลืออยู่  บางคนมือที่กำปืนไรเฟิลเริ่มสั่นเทิ้ม  บางรายก็เริ่มสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระเจ้า  มีอยู่คนที่ทนไม่ไหวละปืนทิ้งพร้อมหันหลังหนี  แต่แล้วเสียงปืนดังลั่นจากปืนสั้นในมือของนายทหารที่ขาสั่นไม่แพ้กันดับชีวิตเขา  และความคิดที่จะหนีของอีกหลาย ๆ คนเสีย

     

                    มีเสียงระเบิดจากระยะไกลดังขึ้น  ซึ่งอีกสักพักตามมาด้วยควันสีขาวที่ลอยเข้ามาใกล้  บดบังทัศนวิสัยด้านหน้าเสียหมดสิ้น  แต่มันก็ไม่อาจปิดบังเสียงย่ำฝีเท้าที่เข้ามาใกล้เรื่อย ๆ

     

                    และแล้ว...

     

                    เงามหึมาราวยักษ์โคโลซัสปรากฏเบื้องหลังควันขาวที่เป็นม่านกำบัง  มันไม่นานนักก่อนที่ตราโล่พยัคฆ์คะนองศึก สัญลักษณ์ของจักรวรรดิจะเผยออกมาให้เห็นโฉมบนหุ่นยนต์ยักษ์รูปทรงมนุษย์ที่มีโครงร่างเป็นเหล็กสีเทานับสิบ ๆ ร่างจะวิ่งฝ่าควันขาวเป็นหน้าตับ  พร้อมด้วยแผงคลื่นมนุษย์ชุดเทาสีเทาถือไรเฟิลติดดาบปลายปืนแวววาวนับร้อย  เสียงกู่ร้องอย่างบ้าคลั่งดังระงม  วิ่งดาหน้าตรงเข้ามาหาหน่วยทหารของสาธารณรัฐที่ยังเหลือรอดอยู่...

     

                    ทันใดนั้น  ปืนทุกกระบอกก็เริ่มระเบิดเสียงคำราม  พ่นประกายเพลิงระยิบระยับราวกับดาวบนท้องฟ้า 

     

                    ห่าฝนตะกั่วปลิวว่อนไปทั่วแนวรบ  เหล่าทหารที่วิ่งดาตะลุยเข้ามาต่างล้มทรุดลงเป็นใบไม้ร่วง  แต่ทหารที่ตามหลังก็ยังคงเติมแนวรุกได้ไม่ขาด  กระโดดข้ามพวกพ้องที่ร่วงโรย  พุ่งตรงเข้ามาเรื่อย ๆ อย่างไม่ลดละ

     

                    ทว่า  กระสุนปืนไรเฟิลไม่สามารภสะกิดเหล่ายักษ์เหล็กที่วิ่งตรงมาได้เลย  ปืนใหญ่ที่เหลือเพียงไม่กี่กระบอกก็ถูกเป่ากระจุยไปในพริบตา จากนั้นกองทัพหุ่นเหล็กที่เริ่มส่งมอบความตายให้แก่ฝ่ายป้องกันบนเนินคันดิน  เพียงกระหน่ำยิงชุดแรกไป  ทหารหาญแห่งสาธารณรัฐก็เหลือเพียงแต่ชื่อ  ร่างในเครื่องแบบสีน้ำเงินรุ่งริ่งลอยปลิวไปคนละทิศละทางกับชิ้นส่วนอื่น  พร้อมกับเสาควันที่พวยพุ่งออกมา 

     

    ผู้ที่รอดชีวิตจากชุดยิงชุดแรกก็เริ่มแตกฮือหนีไปยังทิศตรงข้าม  ละทิ้งทั้งปืน  และเกียรติยศที่พวกตนเคยภาคภูมิหนักหนา

     

    เจ้าหุ่นยนต์ยักษ์เคลื่อนตัวข้ามผ่านแนวคันดินที่เสียหายได้อย่างคล่องแคล่ว  ท่อนขาเหล็กมหึมาบดขยี้เหล่าผู้ที่ยังไม่ทิ้งตำแหน่ง และผู้บาดเจ็บจนเหลือแต่เพียงเศษเนื้อ  ทหารที่นอนครางโอดครวญพยายามคลานหนีสุดชีวิตก็ถูกดาบปลายปืนเสียบตายคาพื้น  ไม่ก็ถูกกระหน่ำยิงจนพรุนอย่างไร้ปรานี 

     

    ทหารสาธารณรัฐที่เหลือเริ่มหนีตายอย่างไม่คิดชีวิต  แต่นั่นก็ไม่ทำให้ชะตาของพวกเขาดีขึ้นไปเลย  เมื่อห่ากระสุนปืนใหญ่ที่ยิงดักผู้ที่ถอยร่นฉีกพวกเขาเป็นชิ้น ๆ

     

    จากนั้น  ทุกอย่างก็พลันเงียบลงอีกครา...

     

    ...........................

    .................

    .........

    ...

     

    ห่างออกไปเพียงไม่กี่สิบกิโลเมตรจากเนินเขามีสะพานเหล็กกล้าที่เชื่อมต่อระหว่างพรมแดนสาธารณรัฐกับจักรวรรดิ  เงาของเนินสังหารยังสามารถเห็นได้บนเส้นขอบฟ้าจากสะพานแห่งนี้  มันใกล้จนถึงขนาดเสียงปืนยังคงแว่วได้ยินเป็นระยะ  ปะปนกับเสียงของแม่น้ำไหลเชี่ยวที่ขับกล่อมเป็นฉากหลัง

     

    บนสะพานนั้นยังมีนายทหารยศพันตรีแห่งกองทัพสาธารณรัฐที่ยืนส่องกล้องมองเนินที่ว่า  รองเท้าบูทที่เคยมันขลับกลับเปรอะเปื้อนฝุ่นจนเขรอะไปหมด  แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังรักษาสภาพเครื่องแบบกองทัพสาธารณรัฐให้เนียบได้อย่างไร้ที่ติ  เสื้อนอกสีน้ำเงินกลัดกระดุมสีทองมีเข็มขัดและสายคาดหนังรัดเข้ารูป  ปลอกแขนสีเขียวกลัดไว้บนต้นแขนซ้ายสลักคำขวัญ เพื่อเสรีภาพแห่งมวลมนุษย์  เพื่อสาธารณรัฐ  ผมน้ำตาลตัดสั้นถูกซุกซ่อนไว้ใต้หมวกทรงกระบอกมิดชิด     

     

    หลังจากนั้นไม่นาน  ประกายแสงและเสียงแว่วจากเนินเขาพลันจางหาย  เหลือทิ้งไว้แต่กลิ่นอายแห่งความตายที่พัดพามาแทน

     

    เขาลดกล้องเลนส์คู่ลง  เผยให้เห็นใบหน้าของชายอายุสามสิบตอนต้นที่ดูอ่อนวัยกว่ายศที่ติดอยู่บนคอเสื้อ  นัยน์ตาสีน้ำตาลที่จ้องมองไกลออกไปนั้นกลับดูไร้ความรู้สึก  ราวกับเป็นเพียงทะเลทรายแห้ง ๆ เท่านั้น   

     

    จบแล้วหรือ

     

    แทบจะไม่ทันขาดคำ  เสียงรองเท้ากระทบพื้นก็ดังขึ้นมาจากเบื้องหลัง  นายทหารชั้นประทวนผู้หนึ่งวิ่งเหนื่อยหอบเพียงเพื่อมาแจ้งข่าวร้ายที่ผู้เป็นนายล่วงรู้ก่อนอยู่แล้ว

     

    แนวป้องกันรั้งท้ายแตกแล้วครับ...

     

    หลังฟังรายงานจบ  นายทหารยศพันตรีแหงนมองท้องฟ้าที่มืดมัวราวกับจะร่ำไห้แก่กองทหารทั้งร้อยยี่สิบนายนั่น  มองบอลลูนสังเกตการณ์สีขาวลอยเด่นอย่างเหม่อลอย  สำหรับกองทัพแล้ว  เจ้าบอลลูนสังเกตการณ์นี้ถือว่าเป็น ตา ของสนามรบเลยก็ว่าได้ 

     

    เขาเฝ้ามองพลางคิดในใจว่าเขาจะรู้สึกเช่นไรที่ต้องมองพวกพ้องร่วมชาติถูกสังหารโหดจากบนบอลลูนนั่น....

     

    โกรธแค้น

     

    เจ็บใจ

     

    ไม่หรอก  มันคงรู้สึกเหมือนกับเวลาเราเฝ้ามองฝูงมดโดนเหยียบจากเบื้องบนล่ะมั้ง  เขาอดคิดไม่ได้ว่าเวลาพระเจ้ามองมนุษย์จากสวรรค์ก็คงรู้สึกอย่างนี้เช่นกัน  เป็นแค่จุดเล็ก ๆ ที่แตกดับ  ไกลออกไปจากตัวของเรา  จนกลายเป็นความชินชากับสิ่งที่เห็นไป

     

    ความชินชาของพระเจ้างั้นหรือ  มิน่าทำไมท่านถึงมองดูดวงวิญญาณเหล่านั้นดับไปได้อย่างหน้าตาเฉย

     

    แต่ว่า

     

    คนที่ส่งพวกเขาไปตายนั้นมิใช่เป็นคำสั่งของพระเจ้า....

     

    ใช่แล้ว... มันไม่ใช่คำสั่งของพระเจ้า  และมันก็ไม่ใช่พระเจ้าที่สร้างขุมนรกระยำนี่ขึ้นมา

     

    เพียงอีกสักครู่ใหญ่  พลุแสงสว่างวาบถูกจุดขึ้นกลางท้องฟ้า  เป็นสัญญาณแสดงการเสร็จสิ้นของการถอยทัพ  และเป็นสัญญาณคำสั่งให้หน่วยรั้งท้ายทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบนายถอนกำลังออกมาได้

     

    แน่นอนว่า  อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ  ไม่มีใครเหลือรอดอยู่ดูสัญญาณนั่นอีกแล้ว

     

    ท่านครับ  กองกำลังพันธมิตรทุกกองถอนกำลังเสร็จสิ้นแล้ว  พวกเราเองก็รีบไปกันเถอะครับ

     

    ไม่ทุกกองหรอก  นัยน์ตาสีน้ำตาลเย็นชายังคงจ้องมองเนินนั่นไม่ขยับ  สะพานแห่งนี้มีค่าเท่ากับชีวิตทหารหาญร้อยยี่สิบชีวิตงั้นหรือ    

     

    ท่านครับ  พวกเราเองก็รีบเถอะครับ  อีกไม่นานปืนใหญ่ฝ่ายโน้นจะประจำที่แล้วนะครับ

     

    นายทหารพยักหน้าให้ลูกน้องก่อนจะเดินผ่านเส้นสายไฟที่ถูกผูกระโยงระยางค์ไว้ทั่วสะพาน  กลับไปยังฝั่งแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้ง

     

    พ่อของลูก  สามีของภรรยา  บุตรชายของมารดา  หนึ่งร้อยยี่สิบชีวิตที่ต้องจบสิ้นลง ณ วันนี้เพียงเพื่อจะยืดชีวิตของสะพานให้นานพอที่จะระเบิดมันทิ้ง

     

    มันน่าเจ็บใจจริง ๆ ครับท่าน  ที่เราอุตส่าห์ทุ่มเทเสียสละไปตั้งมากขนาดนี้  แต่กลับต้องถอยกลับมายังพรมแดนเก่าในสภาพตั้งรับแบบนี้อีก...  นายทหารชั้นประทวนกัดฟันกล่าวกับเจ้านายอย่างเจ็บแค้น  ทั้งที่เรามีกำลังพลมากมายแล้วแท้ ๆ  ไอ้เจ้าพวกนั้น...

     

    คนที่เราจะต้องโกรธคือความอ่อนหัดของพวกที่สั่งเรามากกว่า  นายทหารพันตรีกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์  ถึงกองกำลังมากก็ใช่ว่าจะชนะเสมอไป  ฝั่งโน้นเตรียมการก่อนเรามานานแล้วยังจะดันทุรังโจมตีก่อนอีก  แถมกำลังพลของหุ่นกลก็เหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบ... หึ...ส่วนใหญ่พวกที่เชี่ยวชาญบังคับหุ่นกลก็เป็นพวกขุนนางที่เผ่นออกนอกประเทศไปซะเกลี้ยงแล้ว  จะเอาอะไรไปสู้กับเขาล่ะ

     

    แต่ได้ข่าวมาว่าทางฝ่ายเรากำลังระดมพลผู้ที่บังคับหุ่นกลได้จากทั่วสาธารณรัฐเพื่อเข้าประจำกองทัพนะครับ  ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วผมเองก็หวังว่า...

     

    ผมเองก็หวังเช่นเดียวกับคุณนั่นล่ะ  นายทหารพันตรีมองกลุ่มทหารช่างที่กำลังวิ่งหนีจากระยะระเบิดอย่างไม่คิดชีวิต  แต่กว่าเจ้าพวกข้างบนนั้นจะทำอะไร  กี่ชีวิตแล้วที่จะต้องสังเวยไป

     

    ทันทีที่ทหารช่างตะโกนให้สัญญาณการระเบิด  สะพานเหล็กที่ยืนตระหง่านเหนือแม่น้ำก็ระเบิดเป็นจุล ภายในพริบตา  เสียงระเบิดและเปลวเพลิงสนั่นหวั่นไหวเป็นการจุดสดุดีเหล่าผู้กล้าที่สละชีพของตนเพื่อให้กองกำลังส่วนใหญ่หนีรอดกลับมาได้

     

    นายทหารทั้งสองได้แต่วันธยาหัตถ์เป็นครั้งสุดท้ายให้กับชีวิตที่จบสิ้นในวันนี้



    ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

    Edit Log: Dec 30th, 2008: จบตอน
    Edit Log: June 11th, 2009: แก้คำผิด
    Edit Log: July 10th, 2009: แก้เรื่องจำนวนเล็กน้อย
    Edit Log: Oct 1st, 2009: เปลี่ยนสีหุ่น จากสีขาว เป็นสีเทา
    Edit Log: June 10th, 2011: แก้สำนวน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×