คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 2 ตอนต้น
ภายในเรือนหอคอยแปดเหลี่ยมที่สว่างไสวไปด้วยแสงอาทิตย์อบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิ มิเชลและมาเรียนนั่งสนทนาอย่างสนุกสนาน แต่ความสนิทสนมนั้นถูกขวางกั้นด้วยโต๊ะและการจับตามองอย่างใกล้ชิดของครูสอนส่วนตัว ท่านคอมป์เตส เลอชอมบลู ที่มีหน้าตาราวกับราวกับแม่เลี้ยงใจร้ายในนิทานปรัมปรา ตั้งแต่ตอนที่พวกเขากอดกัน ก็เป็นครูวัยกลางคนผู้นี้ที่รีบโวยวายจับแยกเด็กทั้งสองออกด้วยเหตุผลว่ามันมิใช่มารยาทที่คู่ควรของราชนิกูล หรือแม้แต่ตอนที่ทั้งสองเริ่มคุยกันออกรส สตรีวัยกลางคนผู้มีอารมณ์ดุจสตรีใกล้วัยขาดระดูก็มักจะไอกระอ้อมกระแอ้มขัดขึ้นเสมอ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ทั้งสองก็แอบหัวเราะเสมอยามเมื่อเจ้าโมนาร์ทรีบวิ่งไปตะกุยที่ชายกระโปรงของท่านคอมป์เตสทุกครั้งที่เธอพยายามขัดขวางความสุขของคู่ชายหญิง
ใครที่ได้เห็นรอยยิ้มของทั้งสองในช่วงเวลานั้นคงต้องรู้สึกได้ถึงความสุขอันไร้เดียงสาของทั้งสองอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
.........................................
.............................
......................
........
ภายในห้องดนตรีที่จับจองชั้นบนของหอแปดเหลี่ยม มิเชลและองค์หญิงมาเรียนต่างประจำเครื่องดนตรีที่ตนถนัด มาเรียนกำลังตั้งสายไวโอลินตัวโปรดของหล่อนใหม่ ในขณะที่มิเชลพรมนิ้วไล่เสกลบนแป้นโน้ตเปียโนอย่างคล่องแคล่วเป็นการอุ่นเครื่อง
แต่จริง ๆ แล้วแล้วมันเป็นการข่มความรู้สึกบางอย่างที่อัดแน่นในหัวใจของมิเชลเสียมากกว่า
ส่วนโมนาร์ทนั้นนอนกระดิกหางอยู่หน้าประตูราวกับพยายามเฝ้าไม่ให้คอมปเตส เลอชอมบลูเข้ามากวนช่วงเวลาของทั้งสอง
“เราล่ะรำคาญเจ้าดยุคอารียองนั่นมากเลยล่ะ พยายามเซ้าซี้ชวนให้เราไปร่วมกลุ่มที่ซาลอนของเขาอยู่ได้นะ” มาเรียนพรั่งพรูสิ่งที่อัดอั้นตันใจออกมาอย่างไม่หยุดหย่อนระหว่างใช้คีมตัดสายไวโอลินอย่างคล่องแคล่ว “อยากให้ไปเล่นดนตรีแสดงร่วมกับวงของเขาบ้าง อยากชวนไปขี่ม้ากันสองคนบ้าง เราล่ะเบื่อเหลือเกิน”
“แล้วมาเรียนไปกับดยุคอะไรนั่นหรือเปล่าล่ะ” มิเชลถาม
“ก็ไปสิ... ไม่งั้นเราจะบ่นให้มิเชลฟังเรอะ” มาเรียนบ่นแก้มป่องดูน่ารักน่าชังเหลือเกิน แต่ขืนมิเชลบอกไปตอนนี้คงไม่แคล้วโดนงอนข้อหาสนใจผิดเรื่องเป็นแน่ “คนอะไรก็ไม่รู้ ไร้รสนิยมด้านดนตรีสิ้นดี แถมยังหลงตัวเองเป็นบ้าเลย เป็นตาลุงพุงพลุ้ยแต่ทำอย่างกับตัวเองหล่อที่สุดในสามโลก แถมยังชอบมองเราด้วยสายตาน่าขยะแขยงอีกต่างหาก อยากจะอ้วก ”
“ถ้ามาเรียนไม่ชอบขนาดนั้นทำไมไม่ปฏิเสธไปเสียล่ะ”
นั่นเป็นคำแนะนำที่ผิดอย่างร้ายกาจ และมิเชลก็ทราบได้โดยทันทีจากสายตาขวางขององค์หญิงที่จ้องเขม็งมาทางเขา
“ถ้าปฏิเสธได้เราจะบ่นให้มิเชลฟังเรอะ”
“เอ่อ... ขอโทษขอรับนายหญิง”
เมื่อเห็นท่าทางเลิกลักของมิเชลแล้ว มาเรียนจึงได้แต่ปลงลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน พลางหมกมุ่นอยู่กับการจูนเสียงไวโอลินต่อ แต่ไม่วายที่ปากเรียวงามของพระองค์จะขยับต่อไปอย่างเป็นอัตโนมัติ
“ก็เสด็จพ่อของเรานะสิ วางแผนอยากให้เราหมั้นหมายของดยุคนั่นเหลือเกิน...”
ทันทีที่มิเชลได้ยินคำพูดขององค์หญิง เขาก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจหล่นวูบไปจนถึงตาตุ่ม มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย
มาเรียน.... หมั้นหมายกับท่านดยุคผู้สูงศักดิ์....อย่างนั้นหรือ
และแล้ว ความจริงที่แสนโหดร้ายของโลกที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงของหนุ่มสาวทั้งสองก็กลับมาย้ำเตือนมิเชลอีกครั้ง ถึงตอนนี้ทั้งสองจะคุยเล่นชวนหัวอย่างไม่ถือตัว แต่สุดท้ายความจริงก็ยังเป็นความจริงวันยังค่ำ
มาเรียนคือเจ้าหญิงราชนิกูลของราชอาณาจักร ในขณะที่เขาเป็นเพียงแค่ลูกเจ้าหน้าที่การทูตระดับล่างเท่านั้นเอง
นี่มันยิ่งกว่าดอกฟ้ากับหมาวัดเสียอีก ถึงเขาจะเลี้ยงเจ้าพุซ แมวในรองเท้าบู้ทไว้สักสิบตัวก็คงไม่อาจทำให้เขาสมหวังได้หรอก
ว่าแล้วจินตนาการของเด็กหนุ่มก็เริ่มวาดภาพบางอย่างที่แสนสกปรก...
มาเรียน กับ ดยุคอารียอง
มาเรียนที่แสนบริสุทธิ์ ไร้ราคี...กับตาแก่พลุงพลุ้ยมากราคะ
“มิเชล ขอเสียง G อีกที”
เสียงเจื้อยแจ้วของเพื่อนสาวก็ปลุกเขาให้ตื่นจากความนึกคิดแสนสกปรก มิเชลก็ไม่รีรอที่จะกดแป้นเปียโนตัว “ซอล” ลากเสียงยาว มาเรียนหลับตาฟังเสียงอย่างใจเย็น เธอค่อย ๆ สีคันชักไปบนสายไวโอลินพลางปรับเสียงให้โทนเสียงเท่ากับเปียโน
“เรียบร้อย สมบูรณ์แบบ”
มาเรียนกล่าวกับมิเชลอย่างภาคภูมิกับผลงานการปรับแต่งเสียงของตน
ทว่า สิ่งที่จับใจมิเชลในตอนนี้กลับเป็นรอยยิ้มที่เห็นนั่นช่างดูใสซื่อบริสุทธิ์...
ช่างน่าอายเหลือเกิน มิเชล จิราร์จ
มันช่างน่าอายเหลือเกินที่เขากลับมีความคิดอันแสนโสมมกับเพื่อนคนสำคัญคนนี้
พอได้เห็นรอยยิ้มนั่นแล้วความกังวลในใจเหมือนกับจะถูกชำระล้างไปจนหมดสิ้น
ปล่อยให้เรื่องในอนาคตมันคลี่คลายไปเองเสียดีกว่า แค่ตอนนี้เธอยิ้มให้เขาก็พอแล้ว
ใช่แล้ว... ของเพียงแค่ตัวเขาสามารถทำให้มาเรียนยิ้มได้อย่างนี้เสมอมันก็พอแล้ว
“มิเชล เราปรับเสียงเสร็จแล้วนะ”
ทว่า มิเชลมิได้หยุดมือกดแป้นนั้น เขายังคงกดย้ำโน้ตตัวเดิมอยู่เรื่อย ๆ พร้อมกับการตัดสินใจ
“บีฮาเว่น โซนาตา จี เมเจอร์...”
“หา ?”
เด็กหนุ่มมิได้ตอบองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ด้วยคำพูด หากแต่เริ่มพรมนิ้วบรรเลงเพลงที่เพิ่งกล่าวออกมาอย่างคล่องแคล่วด้วยหัวใจที่ปลอดโปร่งไร้ซึ่งมลทิน
“...อัลเลโกร วิวาเต้” มิเชลหันมากล่าวด้วยน้ำเสียงท้าทาย “มาเรียนยังจำเพลงที่เราฝึกค้างไว้ตอนที่อยู่ที่สหราชอาณาจักรได้หรือเปล่าเอ่ย”
เมื่อมาเรียนได้ยินท่วงทำนอง เธอก็ยิ้มตอบรับคำท้า ก่อนจะเริ่มเหน็บไวโอลินที่ซอกคอก่อนเริ่มบรรเลงเพลงท่วงทำนองร่าเริงขับกล่อมคลอเคลียไปกับเสียงเปียโนของมิเชล เจ้าโมนาร์ทเองก็ไม่ยอมน้อยหน้า หางของมันปัดไปมาตามจังหวะเพลงอันสดชื่นราวกับเป็นเมโทรนอมจับจังหวะดนตรีก็มิปาน
เสียงบรรเลงเพลงของเครื่องดนตรีต่างชนิดส่งเสียงประสานกันภายในห้องแปดเหลี่ยมชั้นบนที่เปิดหน้าต่างให้ลมโกรกเข้าในอาคาร แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาในห้องที่มีเพียงสองคนกับอีกหนึ่งตัว ปล่อยให้บทเพลงขับขานไปตามสายลมพร้อมกับกลิ่นแห่งเสียงเพลงที่อบอวลไปทั่วคฤหาสน์หลังน้อยแห่งนี้
b g
ความคิดเห็น