คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 1 ตอนปลาย
วันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้ามืดมัวไร้แสงแดด
มิเชลรู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูกที่ได้กลับมายืนอยู่ที่นี่อีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มหน้าตาขึงขังอายุราว 25 ปี คือบ้านคฤหาสน์หลังน้อยหลังคาสีแดงที่ดูทรุดโทรม ตัวอาคารมีสองชั้นทำจากอิฐสกัดสีขาวที่เคยดูขาวละมุน แต่บัดนี้กลับดูหม่นหมองร้างราการทำความสะอาดอย่างยาวนาน ฟากด้านข้างมีซากของรากไม้ที่เคยเกาะอยู่ข้างบ้าน ชั้นบนมีระเบียงยื่นออกมาทำหน้าที่เป็นจั่วหลังคาทางเข้าหน้าบ้านในตัว ทางด้านปีกซ้ายมีหอแปดมุกยื่นออกมาจากตัวอาคารมีหลังคาทรงกรวยสูงสีแดงแทงยอดขึ้นเหนือหลังคาส่วนอื่น หน้าต่างที่เจาะแซมตามผนังส่วนใหญ่ถูกตอกปิดด้วยไม้กระดาน มีแต่ตรงบริเวณหอคอยเท่านั้นที่ยังมีกระจกอยู่ครบบาน
อาคารที่เคยเป็นวิมานที่อบอุ่น บัดนี้กลับดูเศร้าหมองไร้ชีวิตชีวา ลมหนาวที่พัดเศษใบไม้แห้งยิ่งตอกย้ำถึงความรู้สึกในแง่ลบให้หนักขึ้นไปอีก
มิเชลยืนบนทางพื้นหินขรุขระที่มีต้นหญ้าแห้งเฉาขึ้นแซมเป็นหย่อม ๆ สวนพฤษชาติที่เคยร่มรื่นไปด้วยเงาไม้และสีสันสดใสของดอกไม้หลากสีบัดนี้เหลือแต่พื้นที่รกร้างไร้การดูแล ดอกไม้ที่เคยงามสะพรั่งไม่เหลืออีกแล้ว ต้นไม้ใหญ่ที่เคยให้ความร่มรื่นเหลือแต่เพียงกิ่งก้านแห้งแล้ง มีเพียงกองหญ้ารกชัฎที่รอวันเหี่ยวเฉาเมื่อหน้าหนาวมาเยือน
มิเชลมิได้อยู่ตามลำพังในที่นี้ บริเวณโดยรอบมีชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือราวห้าคนยืนสูบบุหรี่แก้หน้าวระเกะระกะไปทั่วพื้นที่ พวกเขามิได้สวมชุดเครื่องแบบทหาร หากแต่แต่งชุดพลเรือนอย่างไร้ระเบียบ มีเพียงอย่างเดียวที่ทุกคนมีเหมือนกันคือปลอกแขนสีเขียวที่สลักข้อความว่า “เพื่อเสรีภาพแห่งมวลมนุษย์ เพื่อสาธารณรัฐ” ที่สวมบนต้นแขนซ้าย
พวกเขาคือหน่วยซาน คูล็อต... กองกำลังติดอาวุธที่ขึ้นตรงต่อคณะปฎิวัติ
ซึ่งตัวมิเชลเองก็สวมปลอกแขนสีเขียวที่แขนซ้ายด้วยเช่นกัน
ชายหนุ่มเหม่อมองคฤหาสน์ด้วยความรู้สึกโหยหาในอดีตอย่างประหลาด
“ยินดีต้อนรับครับ ท่านผู้ตรวจการ จิราร์จ กระผม อ.ส. มิเตรองต์ หัวหน้าหน่วยรักษาการพิเศษที่ 12 ยินดีรับใช้ครับ”
และแล้ว มิเชลก็ถูกดึงกลับเข้ามาสู่โลกของความเป็นจริง ชายวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้าของกองกำลังติดอาวุธเดินตบเท้าทำความเคารพมิเชลเยี่ยงทหาร ซึ่งมิเชลก้มหน้าเล็กน้อยตอบรับ
“แขกคนสำคัญของเราเป็นอย่างไรบ้างล่ะ” มิเชลกล่าว
“ยังเล่นไวโอลินอยู่ในบ้านนะครับ” เขามองไปยังหอคอยที่มีแสงไฟสีส้มลอดออกมาจากม่าน “ตอนนี้เชิญท่านเข้าไปหลบลมหนาวในบ้านก่อนดีกว่าครับ”
ว่าแล้วหัวหน้าหน่วย ซาน คูล็อต ที่ชื่อ มิเตรองต์ ก็พามิเชลเข้าตัวอาคารทางประตูหน้า มิเชลหยุดยืนต่อหน้าประตูทางเข้าหลักด้วยความรู้สึกประหลาด แม้ลูกน้องของมิเตรองต์จะเปิดบานประตูให้แล้ว แต่มิเชลก็ยังคงยืนดูด้านหน้าของบ้านอยู่อย่างนั้น
“ท่านครับ มีอะไรหรือครับ ?”
“เปล่า ไม่มีอะไร” มิเชลตอบอย่างไร้อารมณ์ ก่อนจะก้าวเดินผ่านทวารประตูหลัก เข้าสู่ห้องโถงหลักของคฤหาสน์
เมื่ออยู่ข้างในแล้ว มิเชลก็จัดแจงถอดเสื้อคลุมสีดำและหมวกทรงกระบอกให้กับมิเตรองต์ มองสะท้อนในกระจกเขาจะเป็นชายหนุ่มหน้าตายที่แต่งชุดเครื่องแบบทหารสีเขียวแก่
“ท่านไม่ถอดถุงมือหรือครับ” มิเตรองต์กล่าวเมื่อสังเกตว่ามิเชลยังคงสวมถุงมือหนังสีดำอยู่
“อ้อ ไม่เป็นไร ผมสบายใจกว่าถ้าจะสวมมันไว้อยู่นะ”
มิเชลยกมือทั้งสองข้างที่ยังสวมถุงมือขึ้นมาดู เขาพยายามจะกำมันแต่ดูเหมือนมือจะไม่ยอมทำตามคำสั่งเสียเท่าไหร่ เขาถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อยก่อนจะหันมองไปรอบ ๆ ห้องโถงมืดสลัวอันว่างเปล่า ตามพื้นมีรอยคราบของเฟอร์นิเจอร์ที่เคยตั้งอยู่ แต่บัดนี้ทั้งห้องเหลือแต่ฝุ่นจาง ๆ และรอยรองเท้าบู้ทที่เหยียบย่ำไปทั่ว ตรงผนังระหว่างบันไดหลักห้องมีรอยจาง ๆ ที่เคยแขวนรูปภาพสีน้ำมันขนาดใหญ่ครอบครัวของเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้
แน่นอนว่าทรัพย์สินล้ำค่าที่ชายหนุ่มเคยเห็นสมัยก่อนพลันอันตธานหายไปหมดแล้ว ไม่สิ... ต้องกล่าวว่าถูกยึดเป็นของประชาชนเสียมากกว่า
มันเป็นระหว่างที่มิเชลกำลังรำลึกถึงความหลังนี่เองที่เขาได้ยินเสียงไวโอลินดังขึ้นจากชั้นบนของอาคาร ซึ่งมิเชลหลับตาฟังเสียงดนตรีที่อันไพเราะแต่แฝงไปด้วยความเศร้าหมองอย่างคุ้นเคย
♫ ♪ ~
โซนาต้า อี แฟล็ต เมเจอร์ ของวาลดินี่
ยังมีรสนิยมคนแก่เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนเลยนะ
“ท่านครับ เดี๋ยวผมจะไปตามนักโทษลงมาให้ครับ” มิเตรองต์กล่าว
“ไม่เป็นไร รอให้เธอเล่นจนจบก็ได้” มิเชลปรามเขาไว้ “เรายังมีเวลาอีกสักพัก ปล่อยให้เธอเล่นตามใจไปก่อน”
“ถ้าท่านว่าอย่างนั้นผมก็ไม่ขัดข้องครับ”
ดังนั้นทั้งสองจึงปล่อยให้เสียงไวโอลินจากข้างบนบรรเลงต่อไปโดยมิได้ขัดขวาง
“มิเตรองต์ คุณชอบฟังเพลงไหม”
“ชอบนะครับ แต่ไม่ใช่แนวชั้นสูงแบบที่ผมกำลังฟังอยู่นี่” มิเตรองต์ตอบ
“แล้วคุณคิดว่าฝีมือคนสีไวโอลินที่คุณได้ยินอยู่เป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
“ก็คงฝีมือดีมั้งครับ” มิเตรองต์กล่าว “แต่ถ้าให้ผมพูดตามตรง จะให้ไม่ดีได้อย่างไรกันล่ะครับ ก็เอาภาษีของประชาชนมาถมกับเรื่องไร้สาระอย่างนี้ตั้งเท่าไหร่กัน”
“จริงอย่างที่คุณพูด” มิเชลกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่กระนั้นในใจของเขากลับรู้สึกต่างออกไป...
มาเรียน ฝีมือเธอดีขึ้นมากเลยนะ ไม่สิ คงต้องเรียกว่าตอนนี้เธอเล่นเพลงนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ วาลดินี่เองคงไม่อาจบรรเลงได้ไพเราะไปมากกว่านี้แล้ว
มิเชลไม่ทราบว่าเขายืนฟังเสียงเพลงอยู่ตรงนั้นนานขนาดไหน จนกระทั่งเมื่อเพลงหยุดลง เขาจึงค่อยลืมตาขึ้นมา
“มิเตรองต์ พวกเราไปกันเถอะ”
มิเชลเดินนำมิเตรองต์ไปตามบันไดเวียนอย่างคุ้นเคย แต่ละก้าวที่เหยียบส่งเสียงเอี้ยดอ้าดอย่างน่ารำคาญ ราวบันไดที่มือเขาพยุงตัวไว้มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด มันใช้เวลาไม่นานที่ทั้งสองจะขึ้นไปถึงชั้นสอง ซึ่งมันเป็นจังหวะนั้นพอดีที่ทั้งสองได้ยินเสียงหญิงสาวร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับจะเป็นจะตาย
“หม่อมฉันรับไว้ไม่ได้หรอกเพคะ” เสียงหญิงสาวหนึ่งกล่าวทั้งเสียงสะอื้น
“เอาไปเถิด นี่เป็นไวโอลินของวาลดินี่เชียวนะ อย่างน้อยน่าจะขายได้ไม่ต่ำกว่าหมื่นฟรังค์หรอก” เสียงหญิงสาวอีกคนกล่าวตอบอย่างสงบนิ่งเยี่ยงผู้สูงศักดิ์
“แต่มันเป็นไวโอลินโปรดของฝ่าบาทนี่เพคะ” หญิงสาวอีกคนยังดื้อแพ่ง
“เราเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ สู้ให้เจ้าเอาไปขายเป็นเงินเลี้ยงชีพยังจะดีกว่า”
กระนั้น การสนทนาของทั้งสองก็ต้องหยุดชะงักเมื่อรับรู้การมาของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
ในเมื่อทราบถึงการมาของเขาแล้ว มิเชลก็ไม่เกรงใจที่จะเปิดประตูออก เผยให้เห็นสตรีสองนางที่อยู่ภายในห้องแปดเหลี่ยมอันว่างเปล่า
หญิงสาวเบญเพสนางหนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นพร้อมกับไวโอลินที่หล่อนไม่เคยปรารถนา ใบหน้าของหล่อนเต็มไปด้วยคราบน้ำตาดูน่าเวทนายิ่งนัก เธอมีผมสีเกาลัดสกปรกที่ถูกรวบไว้เป็นเปียม้วนก้นหอยด้านหลัง สวมเสื้อสาวรับใช้สีดำคาดผ้ากันเปื้อนสีขาวที่ดูเก่าซอมซ่อ สีหน้าของหล่อนดูตื่นกลัวเหลือเกินยามเมื่อเห็นมิเชลและมิเตรองต์ที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ด้านหลัง แต่ความกลัวนั่นก็มิได้ขัดขวางให้หล่อนรีบยืนขึ้นเอาตัวปกป้องหญิงสาวอีกคน
“ไม่เป็นไรหรอกล็อตเต้” หญิงสาวที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้านายของสาวใช้นามล็อตเต้กล่าว พลางก้าวเท้าออกมาเผชิญหน้ากับมิเชลอย่างไม่หวั่นเกรง
กระนั้น เมื่อหญิงผู้นั้นได้เห็นว่าผู้มาเยือนเป็นใคร ใบหน้าของหล่อนก็เผลอแสดงอารมณ์แปลก ๆ ออกมา... เพียงแค่ชั่วพริบตาหนึ่ง ใบหน้าที่ดูนิ่งเฉยราวกับผู้ที่เตรียมใจพร้อมแล้วกลับแสดงสีหน้าที่ทั้ง ใจหาย เศร้าสร้อย และโกรธแค้น ในคราเดียวกัน ก่อนจะค่อย ๆ บังคับให้กลับไปวางมาดนิ่งเฉยอีกครา
มิเชลจำสตรีผู้นี้ได้ดี แม้จะไม่ได้พบกันราวแปดปีแล้วและร่างกายจะเจริญเติบโตจนเป็นหญิงสาวเต็มวัย แต่เธอยังคงไว้ซึ่งใบหน้าของสตรีที่เขาเคยรู้จักเป็นอย่างดี กระนั้น มิเชลก็ไม่รับรู้ถึงความรัศมีแห่งความสุขเมื่อครั้งสมัยก่อนแล้ว ผมสีน้ำตาลเกาลัดที่เคยถูกดัดเป็นลอนบัดนี้ถูกตัดสั้นเพียงประบ่า นัยน์ตากลมโตที่เคยแฝงด้วยวิญญาณของความเยาว์วัยกลับหม่นหมอง เธอสวมเพียงแค่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงผ้าสีน้ำตาลที่ยาวคลุมถึงหน้าแข้ง
“มาเรียน ไม่ได้พบตั้งนานเลยนะครับ”
มิเชลกล่าวทักทายแต่มาเรียนกลับมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา
“จำผมไม่ได้หรือ กระผม มิเชล จิราร์จ เอง...”
เมื่อกล่าวจบ ฝ่ามือเรียวบางที่ใช้จับคันชักบรรเลงเพลงสวรรค์ก็ฟาดเข้าที่ใบหน้าอันหยาบกร้านของมิเชล
“เราไม่เคยรู้จักคนเนรคุณอย่างเจ้า !”
มิเตรองต์ที่เห็นดังนั้นก็เตรียมชักปืนลูกโม่ออกจากซองปืน แต่มิเชลก็ยกมือห้ามไว้ เขาเช็ดปากที่รู้สึกถึงรสคาวเลือด ก่อนจะหันไปหาหญิงสาวที่เพิ่งทำร้ายเขาไปอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ผมไม่มีปัญหากับท่าทีอย่างนี้หรอกนะครับ มาดมัวแซลมาเรียน”
เมื่อได้ยินคำว่า “มาดมัวแซล” จากปากของมิเชล สาวใช้นามว่าล็อตเต้ก็ตะโกนด่าเขาด้วยความเกรี้ยวกราด
“บังอาจเรียกฝ่าบาทด้วยคำนำหน้าของคนสามัญเยี่ยงนั้นได้อย่างไรกัน”
“ทำไมจะไม่ได้ !” มิเชลตะคอกกลับ “ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 3/01 ยกเลิกฐานันดรไปหมดแล้ว ผมไม่จำเป็นต้องให้เกียรติมาดมัวแซลในฐานะเจ้าหญิงอีกต่อไป !”
กับล็อตเต้ผู้นี้มิเชลไม่จำเป็นต้องเกรงใจอะไรมากนัก เขาตวาดใส่จนสาวใช้มีสีหน้าซีดเผือกไปเลย มิเชลไอเล็กน้อยก่อนหันไปหามาเรียนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มาดมัวแซลมาเรียน คงทราบสินะว่าผมมาหาคุณทำไม”
มาเรียนมองเขาด้วยนัยน์ตาที่ตื่นกลัว มันทำให้มิเชลรู้สึกเจ็บในอกอย่างประหลาด เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่คล้ายกันเช่นนี้ในอดีต มิเชลจำได้ว่ามันเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่เขามีความสุขที่สุดตอนที่เขาได้โอบกอดมาเรียนพลางกล่าวว่า “ดีใจที่ได้พบมาเรียนอีกนะ”
ทว่า การพบกันคราวนี้มันไม่ใช่การพบกันที่เต็มไปด้วยความสุขเหมือนครั้งนั้นอีกแล้ว
ดูเหมือนหญิงสาวจะพยายามกลั้นน้ำตาก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ อย่างไม่เต็มใจนัก...
“ถึงเวลาแล้วสินะ” มาเรียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มความกลัวไว้สุดความสามารถ
“ครับผม... ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าเหลือเกินที่เราต้องพบกันในลักษณะนี้เป็นครั้งสุดท้าย”
มิเชลยื่นสาส์นคำสั่งให้มิเตรองต์อ่านออกเสียงอย่างหนักแน่น
“คำสั่งคณะปฏิวัติฉบับที่ 148 ปีสาธารณรัฐศักราชที่ 02 เรื่อง คำสั่งประหารชีวิตพลเมือง มาเรียน เธเรเซ่ เดอ บูบัวร์...”
b g
ความคิดเห็น