ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    3 M บทเพลงของสองเราและหนึ่งตัว

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 1 ตอนปลาย

    • อัปเดตล่าสุด 5 ม.ค. 55


    วันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้ามืดมัวไร้แสงแดด

     

                    มิเชลรู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูกที่ได้กลับมายืนอยู่ที่นี่อีกครั้ง  สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มหน้าตาขึงขังอายุราว 25 ปี คือบ้านคฤหาสน์หลังน้อยหลังคาสีแดงที่ดูทรุดโทรม  ตัวอาคารมีสองชั้นทำจากอิฐสกัดสีขาวที่เคยดูขาวละมุน  แต่บัดนี้กลับดูหม่นหมองร้างราการทำความสะอาดอย่างยาวนาน  ฟากด้านข้างมีซากของรากไม้ที่เคยเกาะอยู่ข้างบ้าน  ชั้นบนมีระเบียงยื่นออกมาทำหน้าที่เป็นจั่วหลังคาทางเข้าหน้าบ้านในตัว  ทางด้านปีกซ้ายมีหอแปดมุกยื่นออกมาจากตัวอาคารมีหลังคาทรงกรวยสูงสีแดงแทงยอดขึ้นเหนือหลังคาส่วนอื่น หน้าต่างที่เจาะแซมตามผนังส่วนใหญ่ถูกตอกปิดด้วยไม้กระดาน  มีแต่ตรงบริเวณหอคอยเท่านั้นที่ยังมีกระจกอยู่ครบบาน

     

              อาคารที่เคยเป็นวิมานที่อบอุ่น  บัดนี้กลับดูเศร้าหมองไร้ชีวิตชีวา  ลมหนาวที่พัดเศษใบไม้แห้งยิ่งตอกย้ำถึงความรู้สึกในแง่ลบให้หนักขึ้นไปอีก

     

                    มิเชลยืนบนทางพื้นหินขรุขระที่มีต้นหญ้าแห้งเฉาขึ้นแซมเป็นหย่อม ๆ สวนพฤษชาติที่เคยร่มรื่นไปด้วยเงาไม้และสีสันสดใสของดอกไม้หลากสีบัดนี้เหลือแต่พื้นที่รกร้างไร้การดูแล  ดอกไม้ที่เคยงามสะพรั่งไม่เหลืออีกแล้ว  ต้นไม้ใหญ่ที่เคยให้ความร่มรื่นเหลือแต่เพียงกิ่งก้านแห้งแล้ง  มีเพียงกองหญ้ารกชัฎที่รอวันเหี่ยวเฉาเมื่อหน้าหนาวมาเยือน

     

                    มิเชลมิได้อยู่ตามลำพังในที่นี้  บริเวณโดยรอบมีชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือราวห้าคนยืนสูบบุหรี่แก้หน้าวระเกะระกะไปทั่วพื้นที่  พวกเขามิได้สวมชุดเครื่องแบบทหาร  หากแต่แต่งชุดพลเรือนอย่างไร้ระเบียบ  มีเพียงอย่างเดียวที่ทุกคนมีเหมือนกันคือปลอกแขนสีเขียวที่สลักข้อความว่า เพื่อเสรีภาพแห่งมวลมนุษย์  เพื่อสาธารณรัฐ ที่สวมบนต้นแขนซ้าย

     

                    พวกเขาคือหน่วยซาน คูล็อต... กองกำลังติดอาวุธที่ขึ้นตรงต่อคณะปฎิวัติ

     

                    ซึ่งตัวมิเชลเองก็สวมปลอกแขนสีเขียวที่แขนซ้ายด้วยเช่นกัน

     

                    ชายหนุ่มเหม่อมองคฤหาสน์ด้วยความรู้สึกโหยหาในอดีตอย่างประหลาด

     

                    ยินดีต้อนรับครับ  ท่านผู้ตรวจการ จิราร์จ  กระผม อ.ส. มิเตรองต์ หัวหน้าหน่วยรักษาการพิเศษที่ 12 ยินดีรับใช้ครับ

     

                    และแล้ว  มิเชลก็ถูกดึงกลับเข้ามาสู่โลกของความเป็นจริง  ชายวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้าของกองกำลังติดอาวุธเดินตบเท้าทำความเคารพมิเชลเยี่ยงทหาร  ซึ่งมิเชลก้มหน้าเล็กน้อยตอบรับ

     

                    แขกคนสำคัญของเราเป็นอย่างไรบ้างล่ะ  มิเชลกล่าว

     

                    ยังเล่นไวโอลินอยู่ในบ้านนะครับ  เขามองไปยังหอคอยที่มีแสงไฟสีส้มลอดออกมาจากม่าน  ตอนนี้เชิญท่านเข้าไปหลบลมหนาวในบ้านก่อนดีกว่าครับ 

     

                    ว่าแล้วหัวหน้าหน่วย ซาน คูล็อต ที่ชื่อ มิเตรองต์ ก็พามิเชลเข้าตัวอาคารทางประตูหน้า มิเชลหยุดยืนต่อหน้าประตูทางเข้าหลักด้วยความรู้สึกประหลาด  แม้ลูกน้องของมิเตรองต์จะเปิดบานประตูให้แล้ว  แต่มิเชลก็ยังคงยืนดูด้านหน้าของบ้านอยู่อย่างนั้น

     

                    ท่านครับ  มีอะไรหรือครับ ?

     

              เปล่า  ไม่มีอะไร  มิเชลตอบอย่างไร้อารมณ์  ก่อนจะก้าวเดินผ่านทวารประตูหลัก  เข้าสู่ห้องโถงหลักของคฤหาสน์

     

                    เมื่ออยู่ข้างในแล้ว  มิเชลก็จัดแจงถอดเสื้อคลุมสีดำและหมวกทรงกระบอกให้กับมิเตรองต์  มองสะท้อนในกระจกเขาจะเป็นชายหนุ่มหน้าตายที่แต่งชุดเครื่องแบบทหารสีเขียวแก่

     

                    ท่านไม่ถอดถุงมือหรือครับ  มิเตรองต์กล่าวเมื่อสังเกตว่ามิเชลยังคงสวมถุงมือหนังสีดำอยู่

     

                    อ้อ  ไม่เป็นไร  ผมสบายใจกว่าถ้าจะสวมมันไว้อยู่นะ 

     

                    มิเชลยกมือทั้งสองข้างที่ยังสวมถุงมือขึ้นมาดู  เขาพยายามจะกำมันแต่ดูเหมือนมือจะไม่ยอมทำตามคำสั่งเสียเท่าไหร่  เขาถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อยก่อนจะหันมองไปรอบ ๆ ห้องโถงมืดสลัวอันว่างเปล่า ตามพื้นมีรอยคราบของเฟอร์นิเจอร์ที่เคยตั้งอยู่  แต่บัดนี้ทั้งห้องเหลือแต่ฝุ่นจาง ๆ และรอยรองเท้าบู้ทที่เหยียบย่ำไปทั่ว  ตรงผนังระหว่างบันไดหลักห้องมีรอยจาง ๆ ที่เคยแขวนรูปภาพสีน้ำมันขนาดใหญ่ครอบครัวของเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้

     

                    แน่นอนว่าทรัพย์สินล้ำค่าที่ชายหนุ่มเคยเห็นสมัยก่อนพลันอันตธานหายไปหมดแล้ว  ไม่สิ... ต้องกล่าวว่าถูกยึดเป็นของประชาชนเสียมากกว่า

     

                    มันเป็นระหว่างที่มิเชลกำลังรำลึกถึงความหลังนี่เองที่เขาได้ยินเสียงไวโอลินดังขึ้นจากชั้นบนของอาคาร  ซึ่งมิเชลหลับตาฟังเสียงดนตรีที่อันไพเราะแต่แฝงไปด้วยความเศร้าหมองอย่างคุ้นเคย

     

    ♫ ♪ ~

     

    โซนาต้า อี แฟล็ต เมเจอร์ ของวาลดินี่

     

                    ยังมีรสนิยมคนแก่เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนเลยนะ

     

                    ท่านครับ  เดี๋ยวผมจะไปตามนักโทษลงมาให้ครับ  มิเตรองต์กล่าว

     

                    ไม่เป็นไร  รอให้เธอเล่นจนจบก็ได้  มิเชลปรามเขาไว้  เรายังมีเวลาอีกสักพัก  ปล่อยให้เธอเล่นตามใจไปก่อน 

     

                    ถ้าท่านว่าอย่างนั้นผมก็ไม่ขัดข้องครับ

     

                    ดังนั้นทั้งสองจึงปล่อยให้เสียงไวโอลินจากข้างบนบรรเลงต่อไปโดยมิได้ขัดขวาง

     

                    มิเตรองต์  คุณชอบฟังเพลงไหม 

     

                    ชอบนะครับ  แต่ไม่ใช่แนวชั้นสูงแบบที่ผมกำลังฟังอยู่นี่  มิเตรองต์ตอบ

     

                    แล้วคุณคิดว่าฝีมือคนสีไวโอลินที่คุณได้ยินอยู่เป็นอย่างไรบ้างล่ะ 

     

                    ก็คงฝีมือดีมั้งครับ  มิเตรองต์กล่าว  แต่ถ้าให้ผมพูดตามตรง  จะให้ไม่ดีได้อย่างไรกันล่ะครับ  ก็เอาภาษีของประชาชนมาถมกับเรื่องไร้สาระอย่างนี้ตั้งเท่าไหร่กัน

     

                    จริงอย่างที่คุณพูด  มิเชลกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  แต่กระนั้นในใจของเขากลับรู้สึกต่างออกไป...

     

                    มาเรียน  ฝีมือเธอดีขึ้นมากเลยนะ   ไม่สิ  คงต้องเรียกว่าตอนนี้เธอเล่นเพลงนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ วาลดินี่เองคงไม่อาจบรรเลงได้ไพเราะไปมากกว่านี้แล้ว

     

                    มิเชลไม่ทราบว่าเขายืนฟังเสียงเพลงอยู่ตรงนั้นนานขนาดไหน  จนกระทั่งเมื่อเพลงหยุดลง  เขาจึงค่อยลืมตาขึ้นมา

     

                    มิเตรองต์  พวกเราไปกันเถอะ

     

                    มิเชลเดินนำมิเตรองต์ไปตามบันไดเวียนอย่างคุ้นเคย  แต่ละก้าวที่เหยียบส่งเสียงเอี้ยดอ้าดอย่างน่ารำคาญ  ราวบันไดที่มือเขาพยุงตัวไว้มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด  มันใช้เวลาไม่นานที่ทั้งสองจะขึ้นไปถึงชั้นสอง  ซึ่งมันเป็นจังหวะนั้นพอดีที่ทั้งสองได้ยินเสียงหญิงสาวร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับจะเป็นจะตาย

     

                    หม่อมฉันรับไว้ไม่ได้หรอกเพคะ  เสียงหญิงสาวหนึ่งกล่าวทั้งเสียงสะอื้น

     

                    เอาไปเถิด  นี่เป็นไวโอลินของวาลดินี่เชียวนะ  อย่างน้อยน่าจะขายได้ไม่ต่ำกว่าหมื่นฟรังค์หรอก  เสียงหญิงสาวอีกคนกล่าวตอบอย่างสงบนิ่งเยี่ยงผู้สูงศักดิ์ 

     

                    แต่มันเป็นไวโอลินโปรดของฝ่าบาทนี่เพคะ  หญิงสาวอีกคนยังดื้อแพ่ง

     

                    เราเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์  สู้ให้เจ้าเอาไปขายเป็นเงินเลี้ยงชีพยังจะดีกว่า

     

                    กระนั้น  การสนทนาของทั้งสองก็ต้องหยุดชะงักเมื่อรับรู้การมาของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ

     

                    ในเมื่อทราบถึงการมาของเขาแล้ว  มิเชลก็ไม่เกรงใจที่จะเปิดประตูออก  เผยให้เห็นสตรีสองนางที่อยู่ภายในห้องแปดเหลี่ยมอันว่างเปล่า

     

                    หญิงสาวเบญเพสนางหนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นพร้อมกับไวโอลินที่หล่อนไม่เคยปรารถนา  ใบหน้าของหล่อนเต็มไปด้วยคราบน้ำตาดูน่าเวทนายิ่งนัก  เธอมีผมสีเกาลัดสกปรกที่ถูกรวบไว้เป็นเปียม้วนก้นหอยด้านหลัง  สวมเสื้อสาวรับใช้สีดำคาดผ้ากันเปื้อนสีขาวที่ดูเก่าซอมซ่อ  สีหน้าของหล่อนดูตื่นกลัวเหลือเกินยามเมื่อเห็นมิเชลและมิเตรองต์ที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ด้านหลัง  แต่ความกลัวนั่นก็มิได้ขัดขวางให้หล่อนรีบยืนขึ้นเอาตัวปกป้องหญิงสาวอีกคน

     

                    ไม่เป็นไรหรอกล็อตเต้  หญิงสาวที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้านายของสาวใช้นามล็อตเต้กล่าว  พลางก้าวเท้าออกมาเผชิญหน้ากับมิเชลอย่างไม่หวั่นเกรง 

     

                    กระนั้น  เมื่อหญิงผู้นั้นได้เห็นว่าผู้มาเยือนเป็นใคร  ใบหน้าของหล่อนก็เผลอแสดงอารมณ์แปลก ๆ ออกมา...  เพียงแค่ชั่วพริบตาหนึ่ง  ใบหน้าที่ดูนิ่งเฉยราวกับผู้ที่เตรียมใจพร้อมแล้วกลับแสดงสีหน้าที่ทั้ง  ใจหาย  เศร้าสร้อย  และโกรธแค้น ในคราเดียวกัน  ก่อนจะค่อย ๆ บังคับให้กลับไปวางมาดนิ่งเฉยอีกครา

     

                    มิเชลจำสตรีผู้นี้ได้ดี  แม้จะไม่ได้พบกันราวแปดปีแล้วและร่างกายจะเจริญเติบโตจนเป็นหญิงสาวเต็มวัย  แต่เธอยังคงไว้ซึ่งใบหน้าของสตรีที่เขาเคยรู้จักเป็นอย่างดี  กระนั้น  มิเชลก็ไม่รับรู้ถึงความรัศมีแห่งความสุขเมื่อครั้งสมัยก่อนแล้ว  ผมสีน้ำตาลเกาลัดที่เคยถูกดัดเป็นลอนบัดนี้ถูกตัดสั้นเพียงประบ่า  นัยน์ตากลมโตที่เคยแฝงด้วยวิญญาณของความเยาว์วัยกลับหม่นหมอง  เธอสวมเพียงแค่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงผ้าสีน้ำตาลที่ยาวคลุมถึงหน้าแข้ง

     

                    มาเรียน  ไม่ได้พบตั้งนานเลยนะครับ 

     

                    มิเชลกล่าวทักทายแต่มาเรียนกลับมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา

     

                    จำผมไม่ได้หรือ  กระผม มิเชล  จิราร์จ เอง...

     

                    เมื่อกล่าวจบ  ฝ่ามือเรียวบางที่ใช้จับคันชักบรรเลงเพลงสวรรค์ก็ฟาดเข้าที่ใบหน้าอันหยาบกร้านของมิเชล

     

    เราไม่เคยรู้จักคนเนรคุณอย่างเจ้า !”

     

    มิเตรองต์ที่เห็นดังนั้นก็เตรียมชักปืนลูกโม่ออกจากซองปืน  แต่มิเชลก็ยกมือห้ามไว้  เขาเช็ดปากที่รู้สึกถึงรสคาวเลือด  ก่อนจะหันไปหาหญิงสาวที่เพิ่งทำร้ายเขาไปอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

    ผมไม่มีปัญหากับท่าทีอย่างนี้หรอกนะครับ  มาดมัวแซลมาเรียน

     

    เมื่อได้ยินคำว่า มาดมัวแซล  จากปากของมิเชล  สาวใช้นามว่าล็อตเต้ก็ตะโกนด่าเขาด้วยความเกรี้ยวกราด

     

    บังอาจเรียกฝ่าบาทด้วยคำนำหน้าของคนสามัญเยี่ยงนั้นได้อย่างไรกัน

     

    ทำไมจะไม่ได้ !” มิเชลตะคอกกลับ  ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 3/01 ยกเลิกฐานันดรไปหมดแล้ว  ผมไม่จำเป็นต้องให้เกียรติมาดมัวแซลในฐานะเจ้าหญิงอีกต่อไป !”

     

    กับล็อตเต้ผู้นี้มิเชลไม่จำเป็นต้องเกรงใจอะไรมากนัก  เขาตวาดใส่จนสาวใช้มีสีหน้าซีดเผือกไปเลย  มิเชลไอเล็กน้อยก่อนหันไปหามาเรียนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

    มาดมัวแซลมาเรียน  คงทราบสินะว่าผมมาหาคุณทำไม

     

    มาเรียนมองเขาด้วยนัยน์ตาที่ตื่นกลัว  มันทำให้มิเชลรู้สึกเจ็บในอกอย่างประหลาด  เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่คล้ายกันเช่นนี้ในอดีต  มิเชลจำได้ว่ามันเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่เขามีความสุขที่สุดตอนที่เขาได้โอบกอดมาเรียนพลางกล่าวว่า ดีใจที่ได้พบมาเรียนอีกนะ

     

    ทว่า  การพบกันคราวนี้มันไม่ใช่การพบกันที่เต็มไปด้วยความสุขเหมือนครั้งนั้นอีกแล้ว

     

    ดูเหมือนหญิงสาวจะพยายามกลั้นน้ำตาก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ อย่างไม่เต็มใจนัก...

     

    ถึงเวลาแล้วสินะ  มาเรียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มความกลัวไว้สุดความสามารถ

     

    ครับผม... ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าเหลือเกินที่เราต้องพบกันในลักษณะนี้เป็นครั้งสุดท้าย

     

    มิเชลยื่นสาส์นคำสั่งให้มิเตรองต์อ่านออกเสียงอย่างหนักแน่น 

     

    คำสั่งคณะปฏิวัติฉบับที่ 148 ปีสาธารณรัฐศักราชที่ 02 เรื่อง คำสั่งประหารชีวิตพลเมือง มาเรียน เธเรเซ่ เดอ บูบัวร์...

    b g

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×