คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Peaceful Day ภาพลวงตาของความสงบ (2)
ท่ามกลางไฟแห่งการปฏิวัติที่กำลังโหมกระพือไปทุกหย่อมหญ้า ยังมีหมู่บ้านกสิกรรมขนาดเล็กทางภาคตะวันออกของอดีตราชอาณาจักรที่ความวุ่นวายในนครหลวงดูจะห่างไกลจากความสนใจของผู้คนท้องถิ่น ระยะทางอันห่างไกลรวมกับความจริงที่ว่าหมู่บ้านนี้เป็นเพียงพื้นที่ไม่กี่แห่งที่ชาวนาส่วนใหญ่เป็นเจ้าของที่นาของตนผิดกับเป็นไพร่ติดที่นาเหมือนส่วนใหญ่ของประเทศ ทำให้ทุกอย่างเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อครั้นสมัยก่อนเท่าไหร่นัก มีเพียงผังรายการวิทยุที่ถูกแทนที่ด้วยเพลงปลุกใจและโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลชั่วคราวแห่งชาติ และระบบไปรษณีล่มเป็นชั่วครั้งชั่วคราว
แสงอาทิตย์ยามบ่ายทอดตัวผ่านหมู่เมฆสีครามลงมายังผืนดินอันแสนอุดมสมบูรณ์แห่งลุ่มแม่น้ำทั้งห้า โอบอุ้มทุกชีวิตด้วยความอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิ ปรกติแล้วผืนดินแห่งนี้เคยรองรับทุ่งข้าวสาลีที่ทอดตัวจากแม่น้ำแกรนูร์ไปจนสุดขอบภูเขาทางทิศเหนือ ยามเมื่อสายลมพัดผ่านจะเห็นเป็นคลื่นบนทุ่งข้าวสีทองอร่าม จนมีคำพูดติดปากของคนท้องถิ่นว่า
“ถ้าอยากรู้สึกถึงสายลม ก็จงมองหาที่ทุ่งข้าวสาลีริมฝั่งแม่น้ำแกรนูร์สิ”
แน่นอนว่าคำพูดนั้นใช้ได้กับเฉพาะยามหน้าเก็บเกี่ยวผลผลิตเท่านั้น เพราะถ้ามองผืนแผ่นดินอันแสนน่าภูมิใจในยามนี้จะไม่เห็นอย่างอื่น นอกจากผืนดินสีน้ำตาลเข้มที่ที่พลิกขึ้นเป็นทางยาวสุดลูกหูลูกตา
และเจ้าสิ่งที่รับผิดชอบต่อสภาพของผืนดินที่ว่ากำลังเคลื่อนตัวอย่างอืดอาดกลางผืนแผ่นดินอันว่างเปล่า เสียงเครื่องยนต์เก่าที่จะพังมิพังแหล่ดังรบกวนสุนทรียรสของบ้านนอกคอกนา ถึงกระนั้นมันก็เป็นเครื่องจักรเพียงไม่กี่เครื่องที่คอยช่วยพรวนผืนดินอันแสนกว้างใหญ่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเพาะปลูกในขั้นต่อไป
สิ่งที่มารีต้องทำคือลากเจ้าแผงเหล็กที่ติดอยู่ด้านหลังเจ้าหุ่นที่ดูคล้ายเศษเหล็กนี่ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเสร็จ เนื่องจากที่นาของครอบครัวหล่อนไม่ได้ใหญ่มากมายนัก เธอจึงรับจ้างพรวนดินให้กับที่นาแปลงอื่น หรือไม่ก็ช่วยงานก่อสร้างเพื่อหารายได้เสริมเป็นค่าเล่าเรียนของฌองอีกด้วย
ระหว่างการเดินไปตามผืนนากว้างอย่างไร้จุดหมายเช่นนี้ มารีบิดหน้าปัดบนช่องวิทยุพลางหาวอย่างเบื่อหน่าย ส่วนฌองนั้นหมดความตื่นเต้นกับการขับเจ้าหุ่นในตอนแรกไปนานแล้ว ลงเอยด้วยการหลับไปสองสามตื่นคาไหล่พี่สาวได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ตัวหุ่นเองก็สั่นไปมาอยู่ตลอดแท้ ๆ
“พี่ จะฟังช่องอะไรก็ฟังไปสักช่องสิ”
“ก็เจ้ารายการวิทยุพวกนี้นี่สิ ไม่คิดจะเล่นเพลงอื่นนอกจาก ตื่นเถิดเหล่าพลเมือง หรือมาร์ชแห่งการอะไรนั่นเลยหรือ”
“เพลงมันก็เพราะดีออกนี่นา ตอนนี้ที่โรงเรียนใคร ๆ ก็ร้องกันแต่เพลงนี้ทั้งนั้น”
มารีที่ไม่สามารถหาช่องที่ต้องการได้เสียทีก็จัดการปิดวิทยุนั่นเสีย “มันก็เพราะอยู่หรอก แต่ฟังเพลงอยู่ไม่กี่เพลงทุกวี่ทุกวันมันก็เบื่อเหมือนกันนะ”
“ถ้าพี่ไม่ฟังงั้นขอผมฟังนะ” ฌองได้ทีเอื้อมมือไปเปิดวิทยุโดยไม่สนใจว่าพี่สาวเพิ่งบ่นอะไรไปเมื่อสักครู่ มาลเดอร์ผู้พี่นั้นขี้เกียจต่อกรกับเจ้าน้องชายจอมดื้อแล้วจึงเพียงแต่สบถออกมาเบา ๆ
และแล้ว เสียงเพลงมาร์ชปลุกใจก็ดังอู้อี้ขับกล่อมไปกับเสียงเครื่องยนต์และเสียงชิ้นส่วนขัดกันดังเอี๊ยดอ๊าด ประสานเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“... พระเจ้าตรัสไว้ มนุษยชาตินั้นล้วนเท่าเทียม แม้ยามเด็กน้อยเกิดมามันก็ร้องอย่างเสรี แต่ไฉนเรากลับเติบโตขึ้นมาพร้อมห่วงโซ่ที่พรากสิทธิโดยธรรมชาติจากเราไป... จงแหกโซ่ตรวนออกเถิดเหล่าผู้กระหายอิสรภาพ จงลุกขึ้นเถิดเหล่าผู้ที่จมปลักอยู่ในพันธนาการแห่งชนชั้น จงลืมตาเถิดเหล่าผู้ที่สายตาพร่ามัวจากหมอกแห่งคำหลอกลวง วันนี้เราจะก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน เพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า เพื่อสาธารณรัฐของมวลมนุษย์...”
ในแต่ละวันของมารีนั้นมักจะจมปลักอยู่กับเจ้าหุ่นกระป๋องและกองเศษซากอะไหล่ทั้งหลายแหล่ มิได้สนใจข่าวสารบ้านเมืองหรือเหตุการณ์ของโลกกว้างเลยแม้แต่น้อย โลกกว้างที่เธอคุ้นเคยมีเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ กับตัวเมืองข้างเคียงที่ไปแวะซื้ออะไหล่บ้างในบางครั้ง ช่องทางรับรู้ข่าวสารเพียงอย่างเดียวคือสถานีท้องถิ่นสุดโปรดที่มักจะเล่นแต่เพลงลูกทุ่งกับมุกตลกฝืด ๆ มันจึงทำให้เธอแปลกประหลาดใจเหลือเกินเมื่อเห็นน้องชายที่ปรกติไม่สนอะไรนอกจากจะอ้อนวอนขอยืมหุ่นของไปอวดลูกสาวบ้านเครเมอร์ริมแม่น้ำ กลับนั่งฮัมเพลงปลุกใจที่มีเนื้อหาที่ดูยากจะเข้าถึงด้วยความกระตือรือร้นเช่นนี้
“ฌอง พี่ล่ะไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเอ็งต้องไปตื่นเต้นกับสาธารณราดอะไรนั่นนักหนา”
“มันอ่านว่าสาธารณรัฐ เข้าใจเปล่าพี่ สา ทา ระ นะ รัด” ฌองเน้นเสียงช้า ๆ ทำราวกับว่าพี่สาวเป็นเด็กน้อย จึงส่งผลให้ศีรษะของเขาต้องรับเคราะห์จากฝ่ามือลงทัณฑ์แทนปากนั่นเสีย
“เออน่า จะอ่านว่าอะไรก็ช่างมันเหอะ แกเองก็ตอบคำถามมาเถอะ”
“โธ่ พี่นี่ไม่รู้สึกว่ากำลังมีส่วนร่วมกับบางสิ่งเลยหรือ ตอนนี้ประเทศของเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งเลยนะ ตอนนี้เราไม่ใช่ข้าทาสบริวารของพระราชาและเหล่าขุนนางสันหลังยาวนั่นอีกแล้ว แต่ทุกคนเป็นพลเมืองของสาธารณรัฐที่เสรีภาพ และอิสรภาพ มีคุณค่าความเป็นมนุษย์เท่ากันทุกคน ไม่มีแบ่งชนชั้นวรรณะ ไม่มีใครเหนือกว่าใคร ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน”
“แล้วทั้งพี่และแกไปเป็นพลเมืองอะไรนั่นกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ ตอนนี้ทุกอย่างมันก็เหมือนเดิม ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยนี่ บ้านเครเมอร์เองก็เพิ่งซื้อหุ่นมาตัวใหม่ทำไมบ้านเราไม่มีใครเอาหุ่นตัวใหม่มาให้เหมือน ๆ กันเลยล่ะ ฉันเองก็ตัวสูงกว่าแก แถมยังเขกกะโหลกแกได้อยู่ดี ไม่เป็นจะเท่ากันอะไรตรงไหนเลย”
“คุณครูบอกว่ามันเป็นสิทธิอันชอบธรรมสำหรับพวกเราทุกคนที่เกิดบนดินแดนนี้นะ ไม่ต้องไปสมัครตอนไหนหรอก มันติดตัวพวกเราตั้งแต่เกิดแล้ว เพียงแต่เราไม่เคยได้รับในช่วงสมัยของพระราชานั่นต่างหาก ส่วนเรื่องความเท่าเทียมนั้นคือความเท่าเทียมในคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ว่าใครมีอะไรเราก็ต้องมีมั่ง นั่นมันคนล่ะเรื่องกัน มันอาจจะถูกตามที่พี่ว่าว่าผมกับพี่อาจจะมีร่างกายแตกต่างกัน แต่คุณค่าความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพนั้นมีเท่า ๆ กัน ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายเหมือนสมัยก่อนไงล่ะ ถึงพี่บอกว่าไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่คุณครูบอกว่าความจริงแล้วส่วนอื่นของประเทศไม่ได้โชคดีเหมือนหมู่บ้านของพวกเราหรอก การปฏิวัติปลดปล่อยข้าทาสติดที่ที่เคยถูกเอารัดเอาเปรียบจากพวกชนชั้นขุนนางมานาน ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยบนที่ดินนั้นแท้ ๆ แต่พวกขุนนางกลับริบรอนเอาผลผลิตพวกนั้นไปเสียด้วยเหตุผลที่ว่าพวกนั้นทำงานบนที่ดินของมัน เป็นพี่พี่ไม่โมโหหรือที่อุตส่าห์ทำงานแทบตายแต่ผลผลิตกลับถูกพวกที่ไม่ได้ทำอะไรเลยแย่งชิงไป ไม่คิดหรือว่าทำไมพวกขุนนางถึงได้แต่งตัวหรูหรา จัดงานปาร์ตี้ใหญ่โต ในขณะที่ชาวนาพวกนั้นต้องอดมื้อกินมื้อเพียงเพื่อประทังชีวิตอันแสนบัดซบนั่นต่อไป พี่ไม่คิดหรือว่ามันมีอะไรผิดปรกติ”
“พระเจ้าทรงโปรดเถิด พี่อุตส่าห์ส่งแกไปเรียนหนังสือ แต่สิ่งที่แกพล่ามออกมากับมีแต่เรื่องการเมืองทั้งนั้น”
“นี่มันเป็นสามัญสำนึกที่พลเมืองทุกคนควรจะต้องตระหนักนะครับพี่ ไม่เกี่ยวกับว่าผมไปเรียนอะไรมากหรอก ในเมื่อสาธารณรัฐให้อิสรภาพและเสรีภาพกับเราแล้ว เราเองในทางกลับกันก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อสาธารณรัฐด้วยเช่นกัน”
“เอาเถิด พี่ไม่เคยขอร้องว่าอยากจะเป็นพลเมืองของสาธารณรัฐนั่นอะไรสักหน่อย”
“ให้ตายสิ ถ้าพี่พูดอย่างนี้ผมเลิกพูดดีกว่า”
ฌองผู้ที่แทบจะไม่เคยกล้าขึ้นเสียงกับพี่สาวมาก่อน กลับแสดงท่าทีโมโหใส่พี่สาวก่อนจะหันหน้าเงียบไม่พูดไม่จาอีก มารีเงียบไปสักครู่ก่อนจะรู้ตัวว่าเจ้าน้องชายจอมซนนั่นกำลังโมโหอยู่จริง ถึงได้มีท่าทีอ่อนข้อลง
“เฮ้ย นี่โมโหเพราะเรื่องแค่นี้เหรอ” มารีเขย่าเจ้าน้องชายตัวดี ทว่า เขากลับเบี่ยงไหล่หนีอย่างไม่สนใจ มารีได้แต่ถอนหายใจอย่างกลุ้มใจ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเธอจะต้องยอมขอโทษขอโพยเจ้าน้องชายผู้นี้
ถึงฌองจะยอมหายงอนแต่โดยดี การสนทนาเรื่องสาธารณรัฐก็ต้องหยุดลงไปอย่างช่วยไม่ได้ ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาพเดิมโดยมีรายการปลุกใจความรักชาติขับกล่อมบรรยากาศแสนน่าเบื่อนั่นตลอดช่วงการทำงาน
...................................
.........................
...............
....
Edit Log: Dec 29th, 2008: จบตอน
Edit Log: June 17th, 2009: แก้ชื่อ ณอง เป็น ฌอง ต้องขอบคุณท่านหน่องที่ช่วยเตือนครับ
Edit Log: May 21st, 2011: แก้สำนวนเล็กน้อย
ความคิดเห็น