ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ใต้ฟ้าสาธารณรัฐ

    ลำดับตอนที่ #10 : Repentance อดีตอันยากจะลบเลือน (1)

    • อัปเดตล่าสุด 6 ก.ค. 52


    /> href="file:///C:\Users\Tok\AppData\Local\Temp\msohtml1\01\clip_filelist.xml" /> href="file:///C:\Users\Tok\AppData\Local\Temp\msohtml1\01\clip_filelist.xml" /> /> />

                ทุกอย่างรอบตัวดูมืดมัว  เงาของอุปกรณ์ต่างรายล้อมราวกับพยายามจะบีบอัดเข้ามาอย่างไร้ความปราณี  มีแต่แสงสีเขียวอ่อน ๆ อันคุ้นเคยจากมอนิเตอร์รอบตัวที่พอทำให้รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน

     

    ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขากลับมานั่งในโลงศพเดินได้นี่อีกครั้ง...

     

    มือทั้งสองสัมผัสได้ถึงคันบังคับที่เปียกชุ่มด้วยเหงื่อ  เช่นเดียวกับความรู้สึกเหนียวเหนอะบนต้นคอที่สำผัสกับเบาะหนังของเก้าอี้  เขาไม่รู้สึกขยะแขยงถึงกลิ่นเหม็นอับที่ผสมกับเหงื่อไคลนัก  แต่กลิ่นจาง ๆ ของสบู่บนหนวดที่เขานึกว่าโกนทิ้งไปตั้งแต่ช่วงปฏิวัตินี่สิ  มันทำให้เขาอยากจะอ้วกเสียเหลือเกิน  เสียงโหวกเหวกของใครสักคนดังขึ้นในหูอยู่ตลอดเวลา  แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมันมากไปกว่าเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มอยู่เบื้องหลังเสียเท่าไร

     

    ผู้กอง  ออกคำสั่งให้ลูกน้องคุณเปิดฉากยิงเดี๋ยวนี้ !”

     

    ทำไมเขาต้องเป็นคนสั่งเล่า  ถ้าอยากจะให้เปิดฉากยิงก็สั่งเองสิ  เขาเหม่อลอยผ่านหน้าจอสีเขียวหม่นโดยไม่ใส่ใจทั้งคำสั่งหรือคำขู่ที่เป็นเหมือนเสียงนกกาที่ชอบมาขับร้องริมห้องนอนยามเช้า

     

    ตอนที่รู้ตัวอีกที  เขาก็ปลดเข็มขัดนิรภัย  โยนหูฟังทิ้งไปเสียแล้ว  ก่อนมือจะเอื้อมไปปลดสลักทั้งสองที่อยู่เหนือหัว  ทันใดนั้น  โลกที่เคยพร่ามัวปรากฏเส้นสีขาวบางค่อย ๆ แทรกตัวผ่านเงามืดพร้อมกับลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามา  เส้นสีขาวนั่นแปรเปลี่ยนเป็นแสงสว่างจ้าที่ครอบงำการมองเห็นทุกอย่าง  ต้องใช้เวลาอีกสักพักก่อนที่นัยน์ตาอันอ่อนล้าจะปรับตัวเข้ากับแสงภายนอกได้อีกครั้ง  แต่ก่อนหน้านั้นประสาทรับเสียงก็ถูกโหมกระหน่ำด้วยเสียงเพลง ลา รีพับบลิค ที่ดังกึกก้องยิ่งกว่าเสียงฆ้อนของทอร์  หรืออาจจะเทียบเท่ากับเสียงกู่ร้องของพระเจ้าเลยก็ว่าได้  และเมื่อนัยน์ตาเริ่มอาจหาญแข็งข้อสู้กับแสงอันร้อนแรงของอาทิตย์ยามบ่ายได้  ทุกอย่างก็ประจักษ์ชัดแจ้ง...

     

    ทะเลมนุษย์นับหมื่นนับแสนกำลังมุ่งหน้ามาหาเขาอย่างเชื่องช้า  ทั้งเด็ก  สตรี คนชรา  ผู้ใหญ่ต่างจับมือคล้องแขนเป็นกำแพงมนุษย์เคลื่อนที่ผ่านถนนเส้นหลักเป็นแผงโดยปราศจากอาวุธ  ริ้วธงสีเขียวนับร้อยโบกสะบัดไปมาสอดคล้องกับจังหวะเสียงเพลงดังกระหึ่มที่เปล่งออกมาจากปากนับแสน  ขบวนของคลื่นมนุษย์นั้นหนาแน่นไปจนสุดลูกหูลูกตา  แม้จะเลยผ่านจตุรัสแห่งกษัตริย์ไปแล้วเขายังคงมองเห็นริ้วธงและแผ่นป้ายอยู่อยู่รำไร 

     

    ที่ขวางกั้นระหว่างตัวเขากับมวลชนที่เคลื่อนตัวเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้งคือกองทหารชุดสีน้ำเงินแห่งราชอาณาจักรที่วางตัวเป็นแถวหน้ากระดานอยู่เบื้องล่าง  ในมือถือปืนไรเฟิลติดดาบปลายปืนวาววับ  หันปลายปืนไปยังทิศของฝูงชนในท่าเตรียมยิง  เหล่าทหารหาญต่างยืนนิ่งอยู่ในระเบียบวินัยราวกับหุ่นกระบอกไร้ความรู้สึก  เคลื่อนไหวได้เพียงตามคำสั่งของตัวเขาที่นั่งอยู่บนหุ่นกลสูงขึ้นไปเท่านั้น

     

    ทหารเหล่านั้นไร้ความรู้สึกจริงหรือ ?

     

    ในหมู่ฝูงชนที่พวกเขากำลังหันกระบอกปืนเข้าหาอาจมีคนในครอบครัวของเขารวมอยู่ก็เป็นได้  คนที่รู้จัก  ญาติมิตร  สหายใกล้ชิด  ความเป็นไปได้มากมายที่บุคคลเหล่านั้นอาจเป็นหนึ่งในฝูงชนที่กำลังร่ำร้องหาเสรีภาพอยู่ก็เป็นได้ 

     

    แล้วพวกเขาจะกล้ายิงหรือ ?

     

    แล้วเขาจะกล้าสั่งให้พวกเขายิงหรือ ?

     

    แม้จะยืนนิ่งไม่ไหวติง  แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงความลังเลในหมู่ทหารเบื้องล่าง  ทำไมเขาถึงรู้นะหรือ  ก็เพราะตัวเขาเองก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นกัน  ถึงจะถูกผึกมาให้ทำตัวไร้ความรู้สึกยามอยู่ในสนามรบ  ละทิ้งความเป็นปัจเจกชน  ขับเคลื่อนด้วยจิตวิญญาณของหมู่คณะ  แต่กระนั้นพวกเขาก็เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนที่เลียนแบบเครื่องจักรเท่านั้น  หยาดเหงื่อที่ผุดขึ้นตามใบหน้าของพวกเขาเป็นหลักฐานอย่างดี 

     

    เสียงปืนขึ้นลำกล้องดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมาจากห้วงความคิด  ฝูงชนเดินรุดหน้าเขามาเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจถึงคำขู่ของจ่ากองร้อยที่ตะโกนบอกให้สลายการชุมนุมไปเสีย  บางแถวเริ่มเข้าใกล้คมของดาบปลายปืนเพียงไม่กี่ก้าว  ถึงตอนนั้นเหล่าทหารชุดน้ำเงินก็ประทับปืนเข้ากับร่องแขนเตรียมพร้อมยิง  เหลือเพียงแค่คำสั่งเพียงคำเดียว  นิ้วมือในโกร่งไกจะกระตุก  และห่าฝนตะกั่วจะพุ่งทะยานทะลุกำแพงเนื้อนั่นล้มระเนระนาด

     

    เสียงตะโกนแหกปากจากหูฟังบนที่นั่งพลขับยังดังไม่หยุด  คำว่า ทรยศ ศาลทหาร หรือ ยิงเป้า ไม่อาจบังคับให้เขาเอ่ยปากคำที่เจ้าพวกในวังนั่นอยากให้กล่าวออกมาได้ 

     

    ทำไมมือเขาต้องสกปรกแทนเจ้าพวกนั้นด้วยล่ะ...

     

    ลดปืนลง  ขอย้ำอีกครั้ง  ลดปืนลง ห้ามมีการยิงใด ๆ ทั้งนั้น !  นี่คือคำสั่ง !”  เขาประกาศผ่านวิทยุและเครื่องประกาศในหุ่นกลของเขา  พวกเราเป็นทหารของประชาชน  ศัตรูของเราไม่ใช่ประชาชน  ขอย้ำอีกครั้ง  ศัตรูของเราไม่ใช่ประชาชน !”

     

    เมื่อถึงตอนนั้นเหล่าฝูงชนก็เดินฝ่ากำแพงทหารอย่างไร้การต่อต้าน  โดยที่เหล่าทหารต่างมองหน้าสหายร่วมหน่วยอย่างสับสน  ก่อนจะร่วมส่งเสียงเฮดังลั่นไปพร้อม ๆ กับฝูงชนที่ส่งเสียงกันอื้ออึง    บางคนถึงกับวิ่งเข้าสวมกอดทหารขอบคุณที่ไม่ยิงพวกเขา  กำแพงสีน้ำเงินที่เคยเป็นดั่งเกราะป้องกันแห่งราชวงศ์บัดนี้ถูกกลืนหายไปกับประชาชนผู้ใฝ่หาเสรีภาพ 

     

    เส้นแบ่งแยกของทหารกับประชาชนไม่มีอีกต่อไปแล้ว

     

    ตัวเขาเองก็หยุดอยู่ในเจ้าหุ่นกลนี่ไม่ได้  ทว่า  ก่อนที่เขาจะได้ก้าวลงจากหุ่นสูงเท่าตึกสองชั้นนั่น  เหล่าประชาชนผู้ซาบซึ้งในการกระทำของเขาก็ต่างปีนขึ้นมาจับไม้จับมือ  บางคนถือธงมาด้วยก็ปีนไปบนตัวหุ่นโบกธงสีเขียวไปมาราวกับผู้พิชิต  ส่วนตัวเขานั้นแทบจะไม่ต้องปีนลงก็มีฝูงชนคอยรองรับ  ทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความยินดีกับนายทหารผู้รักประชาชนคนนี้

     

    นั่นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเขาเลยทีเดียว

     

    ในกลุ่มที่แบกตัวเขาไปกับคลื่นฝูงชนคือเหล่าทหารใต้บังคับบัญชา  พวกเขาต่างยิ้มแย้ม  ส่งเสียงเชียร์ ผู้กองเดเวโรว์ ราวกับเขาเป็นวีรบุรุษ...

     

    วีรบุรุษ... เขาเป็นวีรบุรุษอย่างนั้นหรือ

     

    เพียงเสี้ยววินาทีต่อมาที่เขานึกเช่นนั้น  ใบหน้าของเหล่าทหารที่กำลังยิ้มแย้มก็แปรเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าของซากศพเน่าเฟะ  ปากที่เคยส่งยิ้มให้เขาก็มีหนอนพุ่งทะลักออกมา  มือที่เคยรองรับเขาบนอากาศก็ค่อย ๆ ฉีกขาด  ปล่อยให้ตัวเขาตกลงไปในบ่อบึงเหม็นเน่า  ที่เขาตะเกียกตะกายอยู่ในบ่อที่พยายามจะดูดลงไปให้ได้  มือพยายามควานหาสิ่งยึดเหนี่ยวอย่างไม่คิดชีวิต  ก่อนจะคว้าท่อนอะไรบางอย่างได้  แต่เมื่อรู้ตัวอีกทีเขาก็พบว่า  สิ่งที่เขาคว้าไว้นั้นคือแขนของซากศพของทหารใต้บัญชาที่เขารู้จักดีกำลังจ้องเขม็งมาด้วยดวงตาอันกลวงโบ๋  ปากที่ห้อยร่องแร่งของมันกล่าวพึมพำอะไรบางอย่างกับเขาที่กำลังจะจม    

     

    ทำไมแกถึงรอดในขณะที่พวกเราอีกร้อยยี่สิบคนต้องตาย  ทำไม  ทำไม ทำไม...

     

    ระหว่างนั้นเอง  ร่างอันเน่าเปื่อยนับสิบของอดีตทหารใต้บัญชาผุดขึ้นมาจากโคลนตม  รุมจับรัดตรึงร่างเขาอย่างโกรธแค้น  ใบหน้าที่บิดเบี้ยวอย่างทรมานกรีดร้องราวกับผีแบนชี 

     

    แกเป็นคนส่งเราไปตาย ไอ้ฆาตกร  ไอ้ฆาตกร ไอ้ฆาตกร

     

    ไอ้ระยำ ! ดาวที่เพิ่มมาอีกดวงบนไหล่แกนะ  มันชีวิตพวกกู  ชีวิตพวกกู !”

     

    เสียงหัวเราะ  เสียงร้องไห้คร่ำครวญ  เสียงกรีดร้อง  คำด่าสาปแช่งผสมปนเปจนฟังไม่ได้ศัพท์  ทุกอย่างดูวุ่นวาย  วิบัติ  วิปลาส  ทัศนวิสัยทุกอย่างเริ่มบิดเบี้ยว  ซากศพที่เคยรัดตรึงเริ่มหล่อหลอมรวมกับวิญญาณที่กำลังแตกสลาย  ภาพความทรงจำทุกอย่างเริ่มไหลย้อนกลับราวกับกระแสน้ำปั่นป่วน

     

    ตาย !

     

    ตาย ! 

     

    ตาย !

     

    แกตายซะ  อย่าอยู่เลยให้รกโลกเลย ไอ้วีรบุรุษจอมปลอม !

     

    และเมื่อความทรมาณที่แท้จริงกำลังจะเริ่ม... 

     

    เขาก็ตื่นขึ้น

     



    @@@@@@@@@@@@@@@@
    Edit Log: June 24th, 2009: จบตอน
    Edit Log: June 25th, 2009: แก้ไขเนื้อหาเล็กน้อย
    Edit Log: June 27th, 2009: แก้คำผิดเล็กน้อย
    Edit LogL July 6th, 2009: แก้สำนวนเล็กน้อย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×