คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Rookie of the Year (1)
สาวน้อยวัยใสนามว่าเมเปิ้ลกำลังแต่งตัวอย่างขะมักเขม้น เธอเสยผมสีน้ำตาลเข้มที่ยาวถึงกลางหลังออกจากเสื้อเชิ้ต จากนั้นก็เริ่มติดกระดุมเสื้ออย่างทุลักทุเลที่ทำอย่างไรกระดุมเจ้ากรรมไม่ยอมเข้าที่ซักที ซึ่งกว่าจะสวมเสื้อเสร็จเธอก็ถอนหายใจไปหลายเฮือกจนสมองเธอคงได้รับออกซิเจนเกินพอแล้ว
หลังจากผูกโบที่คอเสื้อ และสวมกระโปรงพลีตที่ยาวถึงเข่าอย่างทุลักทุเลจนเสร็จ เธอเดินตรงไปยังกระจกเงาบานเล็กที่ติดอยู่ข้างตู้ นัยน์ตาน้ำตาสวยเหลือบดูริบบิ้นที่อยู่ในมืออย่างขยาด หลังลังเลอยู่นานในที่สุดเธอก็รวบผูกเป็นผมแกละ
ภายในห้องที่เธออยู่เป็นห้องมืดๆ แคบๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นห้องเก็บของมากกว่าเป็นห้องพัก อีกไม่กี่คืบศีรษะของสาวน้อยก็จะแตะเพดานแล้ว ซ้ำร้ายห้องนี้ไม่มีแม้แต่หน้าต่างสักบาน ดังนั้นมันจึงมืดและดูอึดอัดที่สุด มีเพียงแสงไฟสีส้มสลัวๆ จากตะเกียงบนโต๊ะเท่านั้นที่ทำให้ยังมองอะไรเห็นได้อยู่ แต่ถึงห้องจะเล็กและเลวร้ายแค่ไหนคนเราก็อุตส่าห์ยัดเตียงเข้าไปได้ตั้งสองที่วางขนานอยู่คนละฟากของห้องเหลือพื้นที่ว่างกลางห้องไว้นิดเดียวพอให้เดินผ่านได้แค่นั้น ด้านข้างเตียงมีโต๊ะเขียนหนังสือขนาดเล็กสองตัวแต่กลับมีเก้าอี้เพียงแค่ตัวเดียว
หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้วเธอก็จัดแจงเก็บเสื้อนอนไว้ในตะกร้า พับผ้าห่ม ดึงผ้าปูเตียงให้ตึง จัดเตียงให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ผิดกับเตียงฝั่งตรงข้ามที่สภาพต่างกับเตียงของเธอโดยสิ้นเชิงที่ผ้าปูเตียงยับยู่ยี่ ผ้าห่มกองอยู่กับพื้น ปลอกหมอนหลุดจากตัวหมอน ตรงพื้นมีเสื้อผ้ากองอยู่ทั่ว เมเปิ้ลส่ายหน้าอย่างระอาแต่ก็ทำได้แค่เขี่ยผ้าห่มไปให้ไกลๆ เท้า
ความจริงเมเปิ้ล มีรูมเมทห้องด้วย แต่ทว่าคงตื่นออกไปตั้งแต่เช้าเหลือทิ้งไว้แต่สภาพราวพายุเข้าไว้เบื้องหลัง เมเปิ้ลเองก็รู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องตื่นขึ้นมาเจอกับรูมเมทคนนี้เท่าไรนัก มันมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายระหว่างสองคนนี้ และส่วนหนึ่งของเรื่องนั้นคือการที่พวกเธอทั้งสองต้องระเห็จมาอยู่ในห้องนี้นั่นเอง
เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาที่ต้องจรลีหลีกหนีออกไปจากรูหนูนี่เสียที เธอใช้เวลาสักพักในความพยายามปิดตะเกียงน้ำมันก่อนจะรีบรุดออกไปข้างนอกพร้อมๆ กับหนังสือเล่มหนาในมือ
ทันทีที่ประตูเปิดออก แสงสว่างยามเช้าก็ส่องเข้ามากระทบกับผมสีน้ำตาลเข้มเป็นประกาย เผยให้เห็นใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาและขาวนวลของสาวน้อยอายุราว 17 ปีคนนี้ เมเปิ้ลหยีตาสักครู่ก่อนที่จะค่อยๆ ลืมตาสีน้ำตาลเข้มกลมโตออกมามองโลกภายนอก เสียงนกน้อยขับขานราวกับต้อนรับเธอจากการหลบหนีออกจากคุกใต้ดิน ถ้าเอ็ดมันด์รู้สึกอย่างไรยามที่เขาหนีออกมาจากคุกชาโต้ ดิฟได้สำเร็จ ตอนนี้เมเปิ้ลก็คงมีความรู้สึกคล้ายกันอย่างนั้นนั่นแล เธอก้มหัวลอดออกมาจากประตูที่สูงถึงแค่ระดับตาพร้อมกับปิดประตู แล้วจึงเดินขึ้นไปตามบันไดที่ทำจากขอนไม้ง่ายๆ เรียงกันสองสามขั้น
เมื่อหันกลับไปมองห้องที่ออกมา ก็จะเห็นเป็นเพียงประตูเล็กๆ อยู่ในหลืบของรากต้นไม้ต้นมหึมา ที่นี่คือหอพักต้นไม้ของนักเรียนปีหนึ่งของโรงเรียนโซเฟีย ถ้าดูจากภายนอกก็เหมือนกับต้นไม้ที่ใหญ่มากที่มีประตูกับหน้าต่างมากมายอยู่ตามลำต้นกับทางเดินวนไปตามลำต้น แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเป็นหอพักสำหรับนักเรียนอยู่อาศัยที่จุนักเรียนได้เกือบร้อยคนเลยทีเดียว มองกี่ทีเมเปิ้ลก็อดทึ่งไม่ได้เสมอ
แต่ถ้าลองสังเกตดูที่ชั้นที่ 3 ของต้นไม้จะเห็นห้องหนึ่งมีรอยไหม้ดำเป็นตอตะโก หน้าต่างหายไปทั้งบานเหลือเป็นเพียงรูกว้างๆ สองรูบนต้นไม้ราวกับเพิ่งโดนวางระเบิดมาไม่นาน
นั่นไม่ใช่ฝีมือฉันเสียหน่อย เธอคิด
"อ้าว หวัดดีเมเปิ้ล"
ทว่าเสียงทักทายอันสดใสดังจากทางด้านหลังทำเอาหล่อนสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ สูดอากาศหายใจลึกๆ ก่อนค่อยๆ หันไปเผชิญหน้ากับบุคคลที่ทักทาย
"อรุณสวัสดิ์....เอ่อ...ตาลอสติเตส" เมเปิ้ลยิ้มแห้งๆ ทักทาย
ผู้ที่ทักทายเมเปิ้ลเป็นสาวน้อยผมดำฟูหยิกหยอย ผิวคล้ำร่างเล็กที่สูงแค่ไหล่ของเมเปิ้ล ร่างผอมบางสวมเสื้อนักเรียนแบบเดียวกับที่เมเปิ้ลสวม เมเปิ้ลเพิ่งพบกับสาวน้อยคนนี้เมื่อวานก่อน แต่เมเปิ้ลก็จำสาวน้อยคนนี้ได้อย่างแม่นยำเนื่องจากชื่ออันแปลกประหลาด และ...
ร่มคันโตที่ยาวพอๆ กับความสูงที่เจ้าหล่อนแบกไปแบกมาติดตัวอยู่ตลอดเวลา
เมื่อตอนเมเปิ้ลพบเธอครั้งแรก เธอแบกเป้ใบที่ดูใหญ่โตเกินตัวไปพร้อมๆ กับแบกร่มเจ้ากรรมนี่บวกด้วยแมวสีเทาอีกตัวที่เกาะบนกระเป๋าเดินขึ้นบันได้ตัวปลิวเหมือนกับไม่ได้แบกอะไรมาเลย
"เรียกแค่เตเต้ก็พอแล้วนิ เรียกชื่อจริงของเราแล้วมันดูพิลึกๆ นิ" นัยน์ตาสีดำอันบ้องแบ๊วของเตเต้จ้องมองตรงมายังเมเปิ้ลด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร
“รับทราบ...” เมเปิ้ลตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
"แล้วเมเปิ้ลมีเรียนอะไรตอนเช้าล่ะนิ"
เมเปิ้ลชูหนังสือเล่มหนาเตอะให้เตเต้ดู
"อ๋อ...วิชาประวัติศาตร์เบื้องต้นเหรอนิ งั้นเดินไปด้วยกันมั้ยนิ เราเรียนวิชาอักษรโบราณไปทางเดียวกันพอดี"
เตเต้ยิ้มให้เมเปิ้ลก่อนจะเดินมาข้างๆ เมเปิ้ลที่ยังยืนเฉยไม่ขยับไปไหน
"งั้นเรารีบไปกันเถอะ อย่าไปสายคาบแรกของการเรียนครั้งแรกดีกว่านิ"
เมเปิ้ลพยักหน้าหงึกๆ ก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มเดินไปเรียนวิชาคาบแรก ความจริงแล้วโรงเรียนโซเฟียเปิดการเรียนการสอนมาได้สัปดาห์นึงแล้ว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้ทั้งเมเปิ้ลและเตเต้เพิ่งมาเข้าเรียนหลังชาวบ้านเค้า
ทั้งสองเดินไปตามทางที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้อันสูงใหญ่ที่คอยเป็นร่มเงาให้กับผู้ที่สัญจรไปมา เมื่อมีลมพัดผ่านแต่ละคราเศษใบไม้จำนวนมากมายมหาศาลก็ร่วงโรยราวกับหิมะที่โปรยปราย กลีบใบไม้หลากสีนับร้อยพันโปรยปรายมาจากท้องฟ้าสะกดสายตาทุกสายตา โดยเฉพาะกับพนักงานทำความสะอาดที่แทบจะเป็นลมกับกองเศษใบไม้ที่ต้องกวาด
ทิวทัศน์ราวภาพวาดเช่นนี้สามารถเห็นได้ทั่วไปในโรงเรียนโซเฟีย ตัวโรงเรียนโซเฟียเองเคยเป็นพระราชวังก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ทั้งตัวอาคารและทัศนียภาพต่างๆ จะดูงดงาม ยิ่งใหญ่และมีมนต์ขลังตราตรึงทุกคนที่ได้มาเยี่ยมเยียน นอกจากความงามและความอลังการแล้วโรงเรียนโซเฟียถือว่าเป็นโรงเรียนอันดับ 1 ของสหพันธรัฐอาราเนียที่ผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพสู่สังคมมากมาย เป็นโรงเรียนที่มีประวัติและชื่อเสียงมาอย่างยาวนานที่ขึ้นชื่อทั้งด้านการเรียนการสอนด้านวิชาการ เวทมนตร์ และพละศึกษา และสิ่งที่ทำให้โรงเรียนโซเฟียมีชื่อเสียงที่สุดคือการที่ตัวโรงเรียนได้รับเกียรติรับใช้ถวายการสอนราชินีทุกพระองค์ในช่วงที่ยังทรงพระเยาว์ นับว่าเป็นโรงเรียนอันดับหนึ่งที่ทุกคนในอาราเนียต่างหมายปองที่จะได้เข้ามาศึกษาในที่นี้
แต่ว่านอกจากทิวทัศน์อันงดงามแล้ว สิ่งที่ทำให้ผู้คนที่เดินตามทางต่างสนใจมองเป็นจุดเดียวกันนั่นก็คือ
เมเปิ้ลกับเตเต้นั่นเอง
สายตาของคลื่นนักเรียนที่กำลังเคลื่อนตัวไปในทิศเดียวกันแอบจับจ้องมายังทั้งสองพร้อมกับกระซิบกระซาบกันอย่างเผ็ดมัน
"ว้าว...เมเปิ้ล ดูสินิ มีแต่คนสนใจเธอทั้งนั้นเลยนิ"
เตเต้หันมากระซิบกับเมเปิ้ลที่พยายามไม่ใส่ใจกับสายตาของคนรอบข้าง แต่พอมาถึงบันไดทางขึ้นไปยังบริเวณอาคารเรียนเมเปิ้ลก็หยุดชะงักกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า
"เร่เข้ามาๆ ข่าวพิเศษวันนี้ต้อนรับการเปิดตัวชมรมข่าวอิสระกระบือบ๊องจ้า สกู๊ปพิเศษนักเรียนใหม่ เมเปิ้ล ไซรัป จ้า"
มีนักเรียนหญิงผิวแทนคนหนึ่งยืนป่าวประกาศตรงทางขึ้นบันไดพร้อมกับแจกหนังสือพิมพ์ที่มีรูปของเมเปิ้ลโชว์หราอยู่ที่หน้าหนึ่งในมือของหล่อนให้กับผู้ที่เดินผ่านไปมา เธอสูงปานกลาง รูปร่างเพรียวบางดูสมส่วน แต่หน้าตาอันคมคายของหล่อนกลับดูอิดโรย ขอบตาช้ำเป็นจ้ำเหมือนกับอดหลับอดนอนมานาน แต่ถึงกระนั้นหล่อนก็ยังมีท่าทีอันกระตือรือร้นคึกคักยิ่งกว่าม้าแข่งเสียอีก บนหัวของเธอสวมหมวกปีกทรงสูงสีแดงขาวที่แทบจะครอบหัวทั้งหัว มีข้อความเขียนว่า ชมรมข่าวอิสระกระบือบ๊อง!
"อ่า...คือว่า...อ่านเสร็จแล้ว...กรุณาทิ้งลงถังขยะรีไซเคิลด้วยนะค่ะ"
ข้างๆ ของสาวผิวแทนมีสาวน้อยร่างผอมบางผิวขาวซีด ผมสีดำขลับของเธอเหยียดตรงสยายไปจนถึงกลางหลัง เธอโพกผ้าสีแดงเลือดหมู ถึงแม้ผมของเธอจะปรกหน้าซะจนมองไม่เห็นหน้า แต่ก็เห็นได้ชัดว่าหน้าตาของเธอดูอิดโรยยิ่งกว่าคนข้างๆ เสียอีก เสียงของเธอที่ดูเหมือนพยายามจะเปล่งออกมาให้ดังที่สุดกลับแผ่วเบา เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ท่าทางที่เธอพยายามแจกหนังสือพิมพ์ดูแล้วเลิกลักๆ น่าสงสารเหมือนกับลูกหมาน้อยกำลังตามหาแม่อยู่ก็ไม่ผิดนัก
เมเปิ้ลที่เห็นดังนั้นก็รีบเดินต่อไปโดยหันหน้าหลบไปอีกทางเดินต่อไปทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่า เตเต้กลับเดินยิ้มแย้มเข้าไปหาสาวผิวแทนคนนั้น
"หวัดดี แจ๊ส " เตเต้ทักทายสาวผิวแทน
"อ้าว เตเต้ เป็นหวัดมันไม่ดีหรอก เอานี่ไปฉบับนึง" หญิงสาวผิวแทนที่ชื่อแจ๊สหันมาพร้อมกับรีบยัดหนังสือพิมพ์ใส่มือเตเต้อย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่เตเต้จะได้พูดขอบคุณ แจ๊สก็เหลือบเห็นเมเปิ้ลที่กำลังเนียนเดินหนีไปอยู่ แจ๊สไม่รอช้ารีบเดินฉับๆ ไปหาโดยพลัน
"เฮ้ เมเปิ้ล จะไปไหนนะ มานี่ก่อนๆ มาช่วยโปรโมตหนังสือพิมพ์ของเรากันก่อน" แจ๊สคว้ามือของเมเปิ้ลไม่ให้หนีไปไหนก่อนจะลากเมเปิ้ลไปตรงกลางขั้นบันไดท่ามกลางคลื่นนักเรียนที่กำลังมุ่งหน้าไปเรียนหนังสือโดยไม่สนใจท่าทางอันกระอักกระอ่วนของเธอเลย
"เอ่อ...เดี๋ยวก่อน"
เมเปิ้ลพยายามจะขอตัวไปเรียนแต่แจ๊สก็เมินคำทัดทานนั้นอย่างสมบูรณ์ แจ๊สหยิบไม้แท่งยาวประมาณหนึ่งช่วงแขนขึ้นมาก่อนจะเคาะมันกับหมวก ทันใดนั้นก็มีพลุถูกยิงออกมาจากหมวกนับสิบๆ ลูกกลายเป็นรูปควายตัวใหญ่ส่งเสียงดังลั่นไปทั่ว ก่อนที่แจ๊สจะเริ่มป่าวประกาศกับฝูงชนที่กำลังตกตะลึง
"สวัสดีค่าพี่น้องที่เคารพทุกท่าน เนื่องในโอกาสที่ชมรมข่าวกระบือบ๊องเปิดตัวเป็นครั้งแรก ดิชั้นขอนำเสนอท็อปปิกที่ทุกคนกำลังกล่าวถึงมาสู่ท่านแล้ว นี่เลยค่า..." แจ๊สดึงตัวเมเปิ้ลที่สูงกว่าเกือบคืบเข้ามาชิด "เมเปิ้ล ไซรัป ตัวจริงเสียงจริงค่า!"
"เอ่อ...คือว่า"
"ไม่ต้องอาย เมเปิ้ล! นี่เป็นโอกาสทองของพวกเราที่จะทำให้ชมรมของเราเป็นที่รู้จักนะ" แจ๊สกระซิบกับเมเปิ้ลโดยไม่สนใจคำทัดทานเลยแม้แต่น้อยก่อนจะเริ่มป่าวประกาศต่อฝูงชนต่อ
"เรื่องราวเจาะลึกของเธอสามารถอ่านได้ในหนังสือพิมพ์แจกฟรีนี้ค่า ถ้าใครสนใจสมัครสมาชิกได้ ณ ห้องพักเบอร์ ๕๐๓ หอพักต้นไม้ปี ๑ หรือห้องชมรมของเรานะค้า หนังสือพิมพ์ของเราจะออกทุกวันจันทร์ และวันศุกร์”
แต่ก่อนที่แจ๊สจะพูดจบ เสียงระฆังดังกังวานไปทั่วบอกเตือนว่าอีกไม่นานจะได้เวลาเข้าเรียนแล้ว ฝูงชนที่มุงดูอยู่ก็พลอยค่อยๆ สลายตัวเคลื่อนตัวต่อไป ทิ้งคนทั้งสี่ไว้เบื้องหลัง
"...แจ๊ส คือว่า...คาบเรียนกำลังจะ...เริ่มแล้วนะ" สาวน้อยผมปรกหน้ากล่าวด้วยเสียงอันแผ่วเบาพร้อมกับดึงแขนเสื้อของแจ๊สเบาๆ ราวกับเด็กน้อยจะขออะไรบางอย่างจากพ่อแม่
"เดี๋ยวเซ่ คอนเน่ เรายังแจกไปไม่ถึงครึ่งเลยนะ" แจ๊สกล่าวกับสาวน้อยผมปรกหน้าที่ชื่อ คอนเน่ โดยที่ยังล็อกแขนของเมเปิ้ลไว้ไม่ให้ไปไหน เมเปิ้ลที่พยายามจะผละตัวออกมาแต่แจ๊สก็ยิ่งล็อกแขนไว้แน่นขึ้น
"เอ่อ...เมเปิ้ล งั้นเราไปก่อนนิ เดี๋ยวค่อยมาเจอกันตอนเที่ยงแล้วกันนิ" เตเต้ส่งยิ้มให้กับเมเปิ้ลก่อนจะผละตัวเดินตามกลุ่มนักเรียนที่กำลังมุ่งหน้าไปยังคาบเรียนของตน ปล่อยทิ้งเมเปิ้ลที่ตาละห้อยที่เหมือนพยายามขอความช่วยเหลือจากเตเต้มีอันต้องผิดหวังไป
"นี่..." แจ๊สคว้าปึกหนังสือพิมพ์จากมือของคอนเน่มาส่วนหนึ่งก่อนจะยัดมันใส่มือของเมเปิ้ล "ชั้นเชื่อว่าต้องมีพวกตื่นสายอยู่แน่ ไปดักรอพวกนั้นเถอะ"
เมเปิ้ลมองปึกหนังสือพิมพ์ในมือก่อนที่จะมองถนนซึ่งบัดนี้ไร้ผู้คน เหลือเพียงพวกเธอสามคนเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่ เธอลังเลอยู่สักครู่ก่อนจะเอ่ยปากออกไป
"เอ่อ...ทำไมเราไม่ไปแจกเวลาอื่นล่ะ" เมเปิ้ลกล่าวกับแจ๊ส
"หา...เมื่อกี๊พูดว่าอะไรนะ ชั้นฟังไม่รู้เรื่อง" แจ๊สถามเมเปิ้ล
เมเปิ้ลได้ยินอย่างนั้นก็ถอนหายใจก่อนที่จะกล่าวคำพูดเดิมซ้ำอีกรอบด้วยความเบื่อหน่าย
"ให้ตายสิ สำเนียงเธอนี่มันฟังยากจริงๆ โอเค ฟังนะ ขืนรอเวลาอื่นข่าวมันก็ขายไม่ออกแล้ว ชั้นกับคอนเน่ช่วยกันนั่งปั่นหนังสือพิมพ์พวกนี้กันทั้งคืน ชั้นไม่ยอมให้ความพยายามทั้งหมดนี้สูญเปล่าหรอก" แจ๊สจ้องหน้าเมเปิ้ลด้วยใบหน้าที่ขอบตาช้ำเป็นวง แต่นัยน์ตาสีทองกลับลุกโชนด้วยความกระตือรือร้น
แต่สายตาอันเบื่อหน่ายเมเปิ้ลก็เหมือนกับตะโกนออกมาดังๆ เลยว่าแค่เอาเรื่องของตัวเธอไปทำเป็นข่าวใหญ่ก็สูญเปล่าตั้งแต่ต้นแล้ว เธอเป็นเพียงแค่นักเรียนที่เพิ่งเข้าใหม่ที่ตัวดูสูงกว่าชาวบ้านเค้ากับวิธีการเข้ามันพิสดารกว่าคนอื่นแค่นั้นเอง
อ้อ ถ้าจะรวมเรื่องไฟไหม้เมื่อวานไปด้วยก็คงจะไม่ผิดนัก
ในขณะที่แจ๊สยังคึกเหมือนเพิ่งกินยาโด๊ปไป (ซึ่งความจริงเธอก็กินไปจริงๆ นั่นล่ะ) คอนเน่ที่อยู่ข้างๆ กลับขยี้ตาหาววอดๆ หัวส่ายไปเซมาใกล้จะล้มมิล้มแหล่
และแล้วระฆังบอกเวลาเริ่มเรียนก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าทั้งสามสายสำหรับคาบเรียนคาบแรกของวันเสียแล้ว
"ช่างมัน ไงชั้นก็ไม่มีเรียนเช้าอยู่แล้ว"
แจ๊สกล่าวออกมาอย่างไม่สนใจเมเปิ้ลที่มองแจ๊สอย่างเซ็งอารมณ์กับคอนเน่ที่ตอนแรกดูจะกระวนกระวายกับเสียงระฆัง แต่สุดท้ายก็หาววอดๆ ออกมาด้วยความง่วงสุดขีดโดยดูเหมือนจะไม่ใส่ใจกับมันอีกแล้ว
“พวกเธอนะ ทำไมยังไม่ไปเรียนอีก!”
ทั้งสามต่างหันควับไปมองยังทิศที่เสียงตะโกนมา บุคคลผมสีเงินขุ่นรวบเป็นเปียยืนตัดกับแสงอาทิตย์ยามเช้าราวกับพญามารในชุดนักเรียนลงมาจุติ ปลอกแขนสีแดงแปลกตาตรงต้นแขนซ้ายทำให้เธอดูแตกต่างจากนักเรียนทั่วไป นอกจากนี้มือขวาของหล่อนกำดาบด้ามยาวแน่น ดวงตาสีแดงขุ่นบนใบหน้าขาวเนียนดูเคร่งเครียดจ้องมองตรงมายังพวกเขาทั้งสามอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
“ยัยเมลิซซ่า ยุ่งอะไรกิจกรรมชมรมคนอื่น หา!” แจ๊สตะโกนสวนกลับไป
“กิจกรรมบ้าอะไรทำกันตอนนี้ ระเบียบการข้อที่ 35 บอกแล้วไม่ใช่เรอะว่าห้ามจัดกิจกรรมชมรมก่อน 4 โมงยกเว้นวันเสาร์อาทิตย์หรือได้รับคำอนุญาตจากสภานักเรียนนะ”
หญิงสาวที่แจ๊สเรียกชื่อว่าเมลิซซ่าค่อยๆ ย่างก้าวเดินลงบันไดมา แต่ทันทีที่เธอเห็นหน้าของเมเปิ้ล สีหน้าอันเคร่งเครียดของเธอเปลี่ยนจากเคร่งเครียดเป็นหงุดหงิด และหงุดหงิดที่สุด ซึ่งไม่ต่างอะไรจากเมเปิ้ลที่ตากระตุกด้วยความเซ็ง...
ที่ดันต้องมาเจอหน้ารูมเมทของเธอในตอนนี้อีก
“ชิ” เมลิซซ่าสบถออกมา ก่อนจะเดินมาหยุดต่อหน้าเมเปิ้ล ก่อนจะกล่าวต่อไป “คิดว่าเส้นใหญ่แล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบหรือไง”
เมเปิ้ลหรี่ตามองเมลิซซ่าที่ตอนนี้เข้ามาชิดซะจนหน้าผากจะชนกันอยู่แล้ว ตัวเมลิซซ่าเองก็สูงเกือบเท่าเมเปิ้ลซึ่งก็จัดว่าเป็นคนสูงคนหนึ่งเลยทีเดียว
“เฮ้...แล้วเธอนะไม่มีเรียนรึไงยะ มาสั่งๆ คนอื่นอยู่ได้” แจ๊สเข้ามาแทรกระหว่างยักษ์ทั้งสองโดยปล่อยมือจากเมเปิ้ล “คิดว่าเป็นสุนัขรับใช้สภานักเรียนแล้วจะทำทุกอย่างได้เหรอ”
“เจ้าหน้าที่อาสาสมัครรักษาความเรียบร้อยต่างหาก และอีกอย่าง ตอนนี้เป็นเวรที่ชั้นต้องดูแลพื้นที่นี้ย่ะ”
“อ้อเหรอ งั้นก็ไปทำหน้าที่ต่อสิ” แจ๊สทำมือท่าทางไล่เมลิซซ่าให้ไปไกลๆ ซะ
“ก็นี่ล่ะ ชั้นกำลังทำหน้าที่ไล่ต้อนพวกเด็กไม่ดีอย่างพวกเธอไงล่ะ”
“ก็ชั้นไม่มีเรียนนี่นา ชั้นจะทำอะไรก็เรื่องของชั้น”
“แต่ได้ข่าวว่าสองคนนั้นมีเรียนนิ” เมลิซซ่าหันมามองเมเปิ้ลด้วยดวงตาพยายมก่อนจะหันกับไปพูดกับแจ๊สต่อ” โดยเฉพาะยัยเด็กเส้นกวยจั๊บนั่นด้วย นี่คาบเรียนคาบแรกของเธอไม่ใช่เรอะ”
เมลิซซ่ามองดูทั้งสองด้วยแววตาอันเหี้ยมเกรียมจนถึงกับทำเอาคอนเน่ที่กำลังง่วงนอนกลับหน้าถอดสีตัวสั่นจนต้องไปหลบเกาะหลังทำเอาเมเปิ้ลสะดุ้งโหยงไม่ทันตั้งตัวติด
“เฮ้อ...โอเค เมเปิ้ลกับคอนเน่ พวกเธอไปเรียนเถอะ” แจ๊สถอนหายใจด้วยความเซ็ง
เมเปิ้ลที่เห็นอย่างนั้นก็ถอนหายใจก่อนจะหันไปมองคอนเน่ที่ซุกอยู่ข้างหลังเธอตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว เมเปิ้ลจะเอื้อมมือไปแตะเธอแต่ก็ชะงักไป ก่อนจะกลืนน้ำลายแล้วในที่สุดถึงจะลูบศีรษะของคอนเน่เบาๆ
“พวกเราไปกันเถอะ” เมเปิ้ลกล่าวกับคอนเน่ ที่เงยหน้ามองเมเปิ้ลเหมือนแมวน้อยที่ถูกทิ้ง
ก่อนที่เมเปิ้ลจะเริ่มเดิน แจ๊สก็รั้งตัวเมเปิ้ลไว้ก่อนจะยัดปึกหนังสือพิมพ์ที่เหลือในมือของเมเปิ้ลกับคอนเน่
“ให้แน่ใจว่าทุกคนในชั้นได้ครบทุกคนนะ”
เมเปิ้ลมองปึกหนังสือพิมพ์ในมือของเธออย่างหนักใจก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับคอนเน่ มุ่งหน้าไปยังชั้นเรียนของตน
ทั้งสองเดินไปด้วยกันโดยคนหนึ่งมีสีหน้าหนักใจกับปึกหนังสือพิมพ์ในมือ กับอีกคนที่มีสีหน้าเบลอๆ หลังจากหายตื่นตระหนกจากดวงตาพญามารของเมลิซซ่าแล้ว คอนเน่เริ่มกลับเข้าสู่สภาวะจำศีลอีกครั้ง
เมเปิ้ลสังเกตหนังสือเรียนที่คอนเน่ถือมาด้วยว่าเป็นหนังสือเรียนของวิชาเดียวกันกับที่เมเปิ้ลกำลังจะไปเรียน
“เอ่อ...เธอเรียนวิชาประวัติศาสตร์เบื้องต้นเหมือนกันเหรอ” เมเปิ้ลถามคอนเน่ที่กำลังเดินซะลำซะลืออยู่
“เอ...เอ๋...คะ..ค่ะ” คอนเน่ตอบด้วยน้ำเสียงเบลอๆ แต่แฝงด้วยความเขินอายนิดๆ แต่ในขณะที่เดินอยู่ คอนเน่ก็เดินสะดุดหินระหว่างทางจนเกือบจะล้ม ยังดีที่เธอประคองตัวอยู่ แต่หนังสือพิมพ์ส่วนหนึ่งก็หล่นกระจายกับพื้น
“ม...ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเก็บเองค่ะ” คอนเน่กล่าวกับเมเปิ้ลที่ทำท่าจะก้มตัวลงไปเก็บหนังสือพิมพ์ให้ก่อนจะค่อยๆ วางกองหนังสือพิมพ์กับพื้นทับด้วยหนังสือประวัติศาสตร์อันหนาเตอะ ก่อนจะคว้าไม้แท่งยาวประมาณไม้บรรทัด เธอตวัดหมุนปลายไม้ก่อนจะท่องคาถาแปลกๆ ทันใดนั้นหนังสือพิมพ์ที่กระจายอยู่ตามพื้นก็ค่อยๆ เหมือนกับถูกลมพัดมาหมุนรวมกันหน้าคอนเน่ ซึ่งเธอก็ค่อยๆ เก็บมันไปรวมกับกองหนังสือพิมพ์
คอนเน่สังเกตว่าเมเปิ้ลที่จ้องดูเหตุการณ์ด้วยความสนอกสนใจจึงเริ่มหน้าแดงก้มหน้าหลบสายตาด้วยความอาย
“ว้าย...เอ่อ...คือว่า...เวทนี้เพิ่งเรียนมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนะคะ ไม่ได้ตั้งใจจะทำเป็นเก่งเลยนะคะ” คอนเน่กล่าวน้อยน้ำเสียงที่ดูกังวลปนกับเขินนิดๆ ราวกับกำลังพูดกับตัวเองอยู่
“ม...ไม่ใช่อย่างนั้น” เมเปิ้ลกล่าวด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “มันดูยอดเยี่ยมมากเลย”
“เหรอ...คะ” คอนเน่ยังคงพยายามแก้เขินด้วยการก้มลงไปหยิบของที่เธอวางไว้กับพื้น
“เอ่อ...กองหนังสือพิมพ์นั่น ให้...ฉันช่วยถือไหม” เมเปิ้ลถามคอนเน่
“ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงมันก็เป็นของที่ชั้นกับแจ๊สช่วยกันทำทั้งคืนนะ” เธอตอบด้วยย้ำเสียงที่เบาราวกระซิบ
เมเปิ้ลที่ได้ยินเช่นงั้นก็ต้องถอนหายใจยกเลิกแผนการที่จะเอากองหนังสือพิมพ์นี้ไปโยนทิ้งที่ไหนซักแห่งระหว่างทาง ไงๆ ก็คงไม่มีใครอยากอ่านเรื่องของตัวเค้าอยู่แล้วล่ะ
หลังจากนั้นก็ใช้เวลาไม่นานมาถึงอาคารเรียนของพวกเธอ มันดูเหมือนปราสาทที่ทำจากหินเก่าๆ ที่ถูกทิ้งร้างไว้จนต้นไม้โตขึ้นมาจนเหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของตัวอาคารเลย คอนเน่เดินนำทางเมเปิ้ลไปยังห้องเรียนซึ่งไปไกลนักจากทางเข้า
ทั้งสองยืนหน้าห้องเรียนที่มีเสียงของอาจารย์ดุๆ กำลังกล่อมนักเรียนในห้องให้หลับอยู่ คอนเน่กลืนน้ำลายดังเอื๊อกลังเลที่จะเข้าไปในห้อง
“อ่า...คือว่าพวกเราน่าจะโดดกันดีกว่า...” คอนเน่บ่นพึมพำขึ้นมา
“สายแล้ว สายแล้ว ตายแน่ ตายแน่!”
ก่อนที่ทั้งสองจะได้ตั้งตัว นกแก้วสีเขียวมรกตเกาะอยู่ตรงรากไม้ที่แซมอยู่ตามกำแพงหน้าประตูเข้าห้องเรียนพร้อมกับส่งเสียงกวนประสาทดังลั่นทางเดินอันว่างเปล่า เมเปิ้ลที่เห็นนกแก้วก็หน้าถอดสีทันทีพร้อมกับเผลอถอยหลังไปสองสามก้าว
“พวกเธอทำอะไรกันนะ!” ทันทีที่เสียงตะโกนดังลั่นมาจากข้างในก่อนที่หญิงวัยกลางคนในเสื้อคลุมสีเขียวจะก้าวเท้าเดินมาจากห้อง เจ้านกแก้วตัวดีก็บินไปเกาะบนไหล่ของหญิงวัยกลางคนคนนั้นอย่างรู้หน้าที่ เธอสูงประมาณจมูกของเมเปิ้ล เกศาสีเกาลัดรวบเป็นก้อน ข้างหูมีไม้กายสิทธิ์ขนาดประมาณไม้บรรทัดเหน็บอยู่ สวมเสื้อคลุมสีขี้ม้าคลุมทั้งตัว สายตาอันเข้มงวดจ้องมายังทั้งสองด้วยอารมณ์หงุดหงิด
เธอคืออาจารย์ประจำวิชานี้นั่นเอง
“มาสาย มาสาย ตายแน่ ตายแน่” เจ้านกแก้วตัวแสบก็ยังแหกปากส่งเสียงกวนประสาทอยู่เหมือนเดิม
“โอ๋ๆ ทำได้ดีมา เพกกี้” อาจารย์ลูบเจ้านกแก้วตัวนั้นก่อนหันกลับมามองทั้งสองด้วยสายตาดุๆ ราวกับพญามาร “รู้มั้ยว่าคาบเรียนเริ่มเมื่อไหร่ แล้วตอนนี้กี่โมงกี่ยามกันแล้ว”
“ข...ขอโทษคะอาจารย์ฟลอร่า” คอนเน่ก้มหัวขอโทษอาจารย์งกๆ
“งั้นก็รีบๆ เข้ามาเรียนเร็วเข้า...” อาจารย์ฟลอร่าอนุญาติให้คอนเน่เข้าก่อนจะสังเกตว่ามีนักเรียนที่ไม่คุ้นหน้าอีกคนอยู่ข้างหลังคอนเน่ “โอ้...นี่คงเป็นเมเปิ้ล ไซรัปที่เขาพูดถึงกันสินะ”
อาจารย์ฟลอร่ามองเมเปิ้ลจรดหัวถึงเท้าก่อนจะหรี่ตามองดวงตาของเมเปิ้ลที่จ้องตรงมาอย่างไม่สะทกสะท้านก่อนจะหลับตาถอนหายใจ
“ถึงแม้เธอจะเป็นใครมาจากไหนครูก็ไม่สนหรอกนะ เดี๋ยวทั้งสองอยู่พบครูก่อนหลังเลิกคาบนี้” อาจารย์ฟลอร่าดุทั้งสองแล้วจึงเปิดทางให้ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องเรียน แต่ว่าอาจารย์ฟลอร่าก็สังเกตเห็นกองหนังสือพิมพ์ที่ทั้งสองถืออยู่
“นั่นอะไรนะ” อาจารย์ไม่รอช้าหยิบไม้จากข้างหูขึ้นมาโบกกลางอากาศ ทันใดนั้นกองหนังสือพิมพ์ก็หลุดลอยออกจากมือของทั้งสองไปยังโต๊ะของอาจารย์ที่อยู่หน้าห้อง โดยมีอีกฉบับลอยมาในมือของอาจารย์
“เข้าห้องได้แล้ว ส่วนของพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียน ครูจะริบเอาไว้ก่อน”
เมเปิ้ลหายใจด้วยความโล่งอกที่สามารถกำจัดหนังสือพิมพ์พวกนั้นได้ซะที ผิดกับคอนเน่ที่น้ำตาแทบร่วงที่หนังสือพิมพ์ที่อุตส่าห์ทำมาทั้งคืนถูกริบไปต่อหน้าต่อตา
ระหว่างที่ทั้งสองเดินเข้าไปในห้อง อาจารย์ก็หยิบหนังสือพิมพ์ที่เพิ่งริบมาอ่านอย่างลวกๆ ก่อนจะถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย “เฮ้อ...ทำไมอาจารย์ปันจมีถึงเอาเด็กพรรค์นี้เข้ามาเรียนได้น้า..” อาจารย์ฟลอร่าบ่นกับตัวเอง
ภายในห้องเต็มไปด้วยนักเรียนที่จับจ้องสายตามายังทั้งสองพร้อมกับกระซิบกระซาบคุยกันอย่างเมามัน โต๊ะแทบทุกส่วนของห้องถูกจับจองยกเว้นแถวหน้าสุดที่โล่งโจ้งไม่มีใครนั่น ทั้งสองจึงไม่มีทางเลือกนอกจากนั่งหัวโด่อยู่สองคนตรงแถวหน้าสุด ทันทีที่อาจารย์ฟลอร่าก้าวเข้ามาในห้อง ทั้งห้องก็พลันเงียบลงราวกับมีใครมากดปุ่มปิดเสียง
“เรามาต่อจากที่ค้างไว้เมื่อสักครู่ ทุกคนเปิดหน้า...” อาจารย์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังก้องกังวานไปทั่วห้องก่อนที่อาจารย์จะเริ่มสอนต่อ
Edit Log: 19 Jan 2008: ลงซ้ำ + เปลี่ยนรูปแบบตัวอักษร + ซอยตอน
Edit Log: 25 March 2008: แก้ไขคำผิด ขอบคุณคุณ Star of Radiance มากเลยนะครับที่ช่วยชี้จุดให้ + แก้สำนวนเล็กน้อย ถ้าใครไม่รู้จักว่าเอ็ดมันด์มันคือไผ เขาคือตัวละครจากเรื่องเคาท ออฟ มอนเต คริสโตครับ มันมีช่วงหนึ่งที่เขาถูกขังคุกแล้วหนีออกมาได้
Edit Log: 30 July 2008: แก้สำนวน
ความคิดเห็น