ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Psalms of the New World

    ลำดับตอนที่ #2 : Rookie of the Year (1)

    • อัปเดตล่าสุด 30 ก.ค. 51


    สาวน้อยวัยใสนามว่าเมเปิ้ลกำลังแต่งตัวอย่างขะมักเขม้น  เธอเสยผมสีน้ำตาลเข้มที่ยาวถึงกลางหลังออกจากเสื้อเชิ้ต  จากนั้นก็เริ่มติดกระดุมเสื้ออย่างทุลักทุเลที่ทำอย่างไรกระดุมเจ้ากรรมไม่ยอมเข้าที่ซักที  ซึ่งกว่าจะสวมเสื้อเสร็จเธอก็ถอนหายใจไปหลายเฮือกจนสมองเธอคงได้รับออกซิเจนเกินพอแล้ว

                   

    หลังจากผูกโบที่คอเสื้อ  และสวมกระโปรงพลีตที่ยาวถึงเข่าอย่างทุลักทุเลจนเสร็จ  เธอเดินตรงไปยังกระจกเงาบานเล็กที่ติดอยู่ข้างตู้  นัยน์ตาน้ำตาสวยเหลือบดูริบบิ้นที่อยู่ในมืออย่างขยาด  หลังลังเลอยู่นานในที่สุดเธอก็รวบผูกเป็นผมแกละ

                   

    ภายในห้องที่เธออยู่เป็นห้องมืดๆ แคบๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นห้องเก็บของมากกว่าเป็นห้องพัก  อีกไม่กี่คืบศีรษะของสาวน้อยก็จะแตะเพดานแล้ว  ซ้ำร้ายห้องนี้ไม่มีแม้แต่หน้าต่างสักบาน  ดังนั้นมันจึงมืดและดูอึดอัดที่สุด  มีเพียงแสงไฟสีส้มสลัวๆ จากตะเกียงบนโต๊ะเท่านั้นที่ทำให้ยังมองอะไรเห็นได้อยู่  แต่ถึงห้องจะเล็กและเลวร้ายแค่ไหนคนเราก็อุตส่าห์ยัดเตียงเข้าไปได้ตั้งสองที่วางขนานอยู่คนละฟากของห้องเหลือพื้นที่ว่างกลางห้องไว้นิดเดียวพอให้เดินผ่านได้แค่นั้น  ด้านข้างเตียงมีโต๊ะเขียนหนังสือขนาดเล็กสองตัวแต่กลับมีเก้าอี้เพียงแค่ตัวเดียว 

                   

    หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้วเธอก็จัดแจงเก็บเสื้อนอนไว้ในตะกร้า  พับผ้าห่ม ดึงผ้าปูเตียงให้ตึง  จัดเตียงให้เป็นระเบียบเรียบร้อย  ผิดกับเตียงฝั่งตรงข้ามที่สภาพต่างกับเตียงของเธอโดยสิ้นเชิงที่ผ้าปูเตียงยับยู่ยี่  ผ้าห่มกองอยู่กับพื้น  ปลอกหมอนหลุดจากตัวหมอน  ตรงพื้นมีเสื้อผ้ากองอยู่ทั่ว  เมเปิ้ลส่ายหน้าอย่างระอาแต่ก็ทำได้แค่เขี่ยผ้าห่มไปให้ไกลๆ เท้า

     

    ความจริงเมเปิ้ล มีรูมเมทห้องด้วย  แต่ทว่าคงตื่นออกไปตั้งแต่เช้าเหลือทิ้งไว้แต่สภาพราวพายุเข้าไว้เบื้องหลัง  เมเปิ้ลเองก็รู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องตื่นขึ้นมาเจอกับรูมเมทคนนี้เท่าไรนัก  มันมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายระหว่างสองคนนี้  และส่วนหนึ่งของเรื่องนั้นคือการที่พวกเธอทั้งสองต้องระเห็จมาอยู่ในห้องนี้นั่นเอง

     

    เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาที่ต้องจรลีหลีกหนีออกไปจากรูหนูนี่เสียที  เธอใช้เวลาสักพักในความพยายามปิดตะเกียงน้ำมันก่อนจะรีบรุดออกไปข้างนอกพร้อมๆ กับหนังสือเล่มหนาในมือ

     

    ทันทีที่ประตูเปิดออก  แสงสว่างยามเช้าก็ส่องเข้ามากระทบกับผมสีน้ำตาลเข้มเป็นประกาย  เผยให้เห็นใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาและขาวนวลของสาวน้อยอายุราว 17 ปีคนนี้ เมเปิ้ลหยีตาสักครู่ก่อนที่จะค่อยๆ ลืมตาสีน้ำตาลเข้มกลมโตออกมามองโลกภายนอก  เสียงนกน้อยขับขานราวกับต้อนรับเธอจากการหลบหนีออกจากคุกใต้ดิน  ถ้าเอ็ดมันด์รู้สึกอย่างไรยามที่เขาหนีออกมาจากคุกชาโต้ ดิฟได้สำเร็จ  ตอนนี้เมเปิ้ลก็คงมีความรู้สึกคล้ายกันอย่างนั้นนั่นแล เธอก้มหัวลอดออกมาจากประตูที่สูงถึงแค่ระดับตาพร้อมกับปิดประตู  แล้วจึงเดินขึ้นไปตามบันไดที่ทำจากขอนไม้ง่ายๆ เรียงกันสองสามขั้น 

     

    เมื่อหันกลับไปมองห้องที่ออกมา  ก็จะเห็นเป็นเพียงประตูเล็กๆ อยู่ในหลืบของรากต้นไม้ต้นมหึมา  ที่นี่คือหอพักต้นไม้ของนักเรียนปีหนึ่งของโรงเรียนโซเฟีย  ถ้าดูจากภายนอกก็เหมือนกับต้นไม้ที่ใหญ่มากที่มีประตูกับหน้าต่างมากมายอยู่ตามลำต้นกับทางเดินวนไปตามลำต้น  แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเป็นหอพักสำหรับนักเรียนอยู่อาศัยที่จุนักเรียนได้เกือบร้อยคนเลยทีเดียว  มองกี่ทีเมเปิ้ลก็อดทึ่งไม่ได้เสมอ

     

    แต่ถ้าลองสังเกตดูที่ชั้นที่ 3 ของต้นไม้จะเห็นห้องหนึ่งมีรอยไหม้ดำเป็นตอตะโก  หน้าต่างหายไปทั้งบานเหลือเป็นเพียงรูกว้างๆ สองรูบนต้นไม้ราวกับเพิ่งโดนวางระเบิดมาไม่นาน 

     

    นั่นไม่ใช่ฝีมือฉันเสียหน่อย  เธอคิด

     

    "อ้าว  หวัดดีเมเปิ้ล"

     

    ทว่าเสียงทักทายอันสดใสดังจากทางด้านหลังทำเอาหล่อนสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ สูดอากาศหายใจลึกๆ  ก่อนค่อยๆ หันไปเผชิญหน้ากับบุคคลที่ทักทาย

     

    "อรุณสวัสดิ์....เอ่อ...ตาลอสติเตส"  เมเปิ้ลยิ้มแห้งๆ ทักทาย

     

    ผู้ที่ทักทายเมเปิ้ลเป็นสาวน้อยผมดำฟูหยิกหยอย  ผิวคล้ำร่างเล็กที่สูงแค่ไหล่ของเมเปิ้ล  ร่างผอมบางสวมเสื้อนักเรียนแบบเดียวกับที่เมเปิ้ลสวม   เมเปิ้ลเพิ่งพบกับสาวน้อยคนนี้เมื่อวานก่อน  แต่เมเปิ้ลก็จำสาวน้อยคนนี้ได้อย่างแม่นยำเนื่องจากชื่ออันแปลกประหลาด และ...

     

    ร่มคันโตที่ยาวพอๆ กับความสูงที่เจ้าหล่อนแบกไปแบกมาติดตัวอยู่ตลอดเวลา

     

    เมื่อตอนเมเปิ้ลพบเธอครั้งแรก  เธอแบกเป้ใบที่ดูใหญ่โตเกินตัวไปพร้อมๆ กับแบกร่มเจ้ากรรมนี่บวกด้วยแมวสีเทาอีกตัวที่เกาะบนกระเป๋าเดินขึ้นบันได้ตัวปลิวเหมือนกับไม่ได้แบกอะไรมาเลย 

     

    "เรียกแค่เตเต้ก็พอแล้วนิ  เรียกชื่อจริงของเราแล้วมันดูพิลึกๆ นิ"  นัยน์ตาสีดำอันบ้องแบ๊วของเตเต้จ้องมองตรงมายังเมเปิ้ลด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร 

     

    รับทราบ...  เมเปิ้ลตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

     

    "แล้วเมเปิ้ลมีเรียนอะไรตอนเช้าล่ะนิ"

     

    เมเปิ้ลชูหนังสือเล่มหนาเตอะให้เตเต้ดู

     

    "อ๋อ...วิชาประวัติศาตร์เบื้องต้นเหรอนิ  งั้นเดินไปด้วยกันมั้ยนิ  เราเรียนวิชาอักษรโบราณไปทางเดียวกันพอดี"

     

    เตเต้ยิ้มให้เมเปิ้ลก่อนจะเดินมาข้างๆ เมเปิ้ลที่ยังยืนเฉยไม่ขยับไปไหน

     

    "งั้นเรารีบไปกันเถอะ  อย่าไปสายคาบแรกของการเรียนครั้งแรกดีกว่านิ"

     

    เมเปิ้ลพยักหน้าหงึกๆ ก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มเดินไปเรียนวิชาคาบแรก  ความจริงแล้วโรงเรียนโซเฟียเปิดการเรียนการสอนมาได้สัปดาห์นึงแล้ว  แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้ทั้งเมเปิ้ลและเตเต้เพิ่งมาเข้าเรียนหลังชาวบ้านเค้า 

     

    ทั้งสองเดินไปตามทางที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้อันสูงใหญ่ที่คอยเป็นร่มเงาให้กับผู้ที่สัญจรไปมา  เมื่อมีลมพัดผ่านแต่ละคราเศษใบไม้จำนวนมากมายมหาศาลก็ร่วงโรยราวกับหิมะที่โปรยปราย  กลีบใบไม้หลากสีนับร้อยพันโปรยปรายมาจากท้องฟ้าสะกดสายตาทุกสายตา  โดยเฉพาะกับพนักงานทำความสะอาดที่แทบจะเป็นลมกับกองเศษใบไม้ที่ต้องกวาด

     

    ทิวทัศน์ราวภาพวาดเช่นนี้สามารถเห็นได้ทั่วไปในโรงเรียนโซเฟีย  ตัวโรงเรียนโซเฟียเองเคยเป็นพระราชวังก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียน  ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ทั้งตัวอาคารและทัศนียภาพต่างๆ  จะดูงดงาม  ยิ่งใหญ่และมีมนต์ขลังตราตรึงทุกคนที่ได้มาเยี่ยมเยียน  นอกจากความงามและความอลังการแล้วโรงเรียนโซเฟียถือว่าเป็นโรงเรียนอันดับ 1 ของสหพันธรัฐอาราเนียที่ผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพสู่สังคมมากมาย  เป็นโรงเรียนที่มีประวัติและชื่อเสียงมาอย่างยาวนานที่ขึ้นชื่อทั้งด้านการเรียนการสอนด้านวิชาการ  เวทมนตร์  และพละศึกษา  และสิ่งที่ทำให้โรงเรียนโซเฟียมีชื่อเสียงที่สุดคือการที่ตัวโรงเรียนได้รับเกียรติรับใช้ถวายการสอนราชินีทุกพระองค์ในช่วงที่ยังทรงพระเยาว์  นับว่าเป็นโรงเรียนอันดับหนึ่งที่ทุกคนในอาราเนียต่างหมายปองที่จะได้เข้ามาศึกษาในที่นี้ 

     

    แต่ว่านอกจากทิวทัศน์อันงดงามแล้ว  สิ่งที่ทำให้ผู้คนที่เดินตามทางต่างสนใจมองเป็นจุดเดียวกันนั่นก็คือ

     

    เมเปิ้ลกับเตเต้นั่นเอง

     

    สายตาของคลื่นนักเรียนที่กำลังเคลื่อนตัวไปในทิศเดียวกันแอบจับจ้องมายังทั้งสองพร้อมกับกระซิบกระซาบกันอย่างเผ็ดมัน

     

    "ว้าว...เมเปิ้ล  ดูสินิ  มีแต่คนสนใจเธอทั้งนั้นเลยนิ" 

     

    เตเต้หันมากระซิบกับเมเปิ้ลที่พยายามไม่ใส่ใจกับสายตาของคนรอบข้าง  แต่พอมาถึงบันไดทางขึ้นไปยังบริเวณอาคารเรียนเมเปิ้ลก็หยุดชะงักกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า

     

    "เร่เข้ามาๆ  ข่าวพิเศษวันนี้ต้อนรับการเปิดตัวชมรมข่าวอิสระกระบือบ๊องจ้า  สกู๊ปพิเศษนักเรียนใหม่ เมเปิ้ล  ไซรัป  จ้า"

     

    มีนักเรียนหญิงผิวแทนคนหนึ่งยืนป่าวประกาศตรงทางขึ้นบันไดพร้อมกับแจกหนังสือพิมพ์ที่มีรูปของเมเปิ้ลโชว์หราอยู่ที่หน้าหนึ่งในมือของหล่อนให้กับผู้ที่เดินผ่านไปมา  เธอสูงปานกลาง  รูปร่างเพรียวบางดูสมส่วน  แต่หน้าตาอันคมคายของหล่อนกลับดูอิดโรย  ขอบตาช้ำเป็นจ้ำเหมือนกับอดหลับอดนอนมานาน  แต่ถึงกระนั้นหล่อนก็ยังมีท่าทีอันกระตือรือร้นคึกคักยิ่งกว่าม้าแข่งเสียอีก  บนหัวของเธอสวมหมวกปีกทรงสูงสีแดงขาวที่แทบจะครอบหัวทั้งหัว  มีข้อความเขียนว่า  ชมรมข่าวอิสระกระบือบ๊อง!  

     

    "อ่า...คือว่า...อ่านเสร็จแล้ว...กรุณาทิ้งลงถังขยะรีไซเคิลด้วยนะค่ะ"

     

    ข้างๆ ของสาวผิวแทนมีสาวน้อยร่างผอมบางผิวขาวซีด  ผมสีดำขลับของเธอเหยียดตรงสยายไปจนถึงกลางหลัง  เธอโพกผ้าสีแดงเลือดหมู  ถึงแม้ผมของเธอจะปรกหน้าซะจนมองไม่เห็นหน้า  แต่ก็เห็นได้ชัดว่าหน้าตาของเธอดูอิดโรยยิ่งกว่าคนข้างๆ เสียอีก  เสียงของเธอที่ดูเหมือนพยายามจะเปล่งออกมาให้ดังที่สุดกลับแผ่วเบา  เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า  ท่าทางที่เธอพยายามแจกหนังสือพิมพ์ดูแล้วเลิกลักๆ น่าสงสารเหมือนกับลูกหมาน้อยกำลังตามหาแม่อยู่ก็ไม่ผิดนัก

     

    เมเปิ้ลที่เห็นดังนั้นก็รีบเดินต่อไปโดยหันหน้าหลบไปอีกทางเดินต่อไปทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น  แต่ว่า  เตเต้กลับเดินยิ้มแย้มเข้าไปหาสาวผิวแทนคนนั้น

     

    "หวัดดี แจ๊ส "  เตเต้ทักทายสาวผิวแทน

     

    "อ้าว เตเต้ เป็นหวัดมันไม่ดีหรอก เอานี่ไปฉบับนึง"  หญิงสาวผิวแทนที่ชื่อแจ๊สหันมาพร้อมกับรีบยัดหนังสือพิมพ์ใส่มือเตเต้อย่างรวดเร็ว  แต่ก่อนที่เตเต้จะได้พูดขอบคุณ  แจ๊สก็เหลือบเห็นเมเปิ้ลที่กำลังเนียนเดินหนีไปอยู่  แจ๊สไม่รอช้ารีบเดินฉับๆ ไปหาโดยพลัน

     

    "เฮ้ เมเปิ้ล  จะไปไหนนะ  มานี่ก่อนๆ  มาช่วยโปรโมตหนังสือพิมพ์ของเรากันก่อน"  แจ๊สคว้ามือของเมเปิ้ลไม่ให้หนีไปไหนก่อนจะลากเมเปิ้ลไปตรงกลางขั้นบันไดท่ามกลางคลื่นนักเรียนที่กำลังมุ่งหน้าไปเรียนหนังสือโดยไม่สนใจท่าทางอันกระอักกระอ่วนของเธอเลย 

     

    "เอ่อ...เดี๋ยวก่อน"

     

    เมเปิ้ลพยายามจะขอตัวไปเรียนแต่แจ๊สก็เมินคำทัดทานนั้นอย่างสมบูรณ์  แจ๊สหยิบไม้แท่งยาวประมาณหนึ่งช่วงแขนขึ้นมาก่อนจะเคาะมันกับหมวก  ทันใดนั้นก็มีพลุถูกยิงออกมาจากหมวกนับสิบๆ ลูกกลายเป็นรูปควายตัวใหญ่ส่งเสียงดังลั่นไปทั่ว  ก่อนที่แจ๊สจะเริ่มป่าวประกาศกับฝูงชนที่กำลังตกตะลึง

     

    "สวัสดีค่าพี่น้องที่เคารพทุกท่าน  เนื่องในโอกาสที่ชมรมข่าวกระบือบ๊องเปิดตัวเป็นครั้งแรก  ดิชั้นขอนำเสนอท็อปปิกที่ทุกคนกำลังกล่าวถึงมาสู่ท่านแล้ว  นี่เลยค่า..."  แจ๊สดึงตัวเมเปิ้ลที่สูงกว่าเกือบคืบเข้ามาชิด  "เมเปิ้ล  ไซรัป  ตัวจริงเสียงจริงค่า!"

     

    "เอ่อ...คือว่า" 

     

    "ไม่ต้องอาย  เมเปิ้ล!  นี่เป็นโอกาสทองของพวกเราที่จะทำให้ชมรมของเราเป็นที่รู้จักนะ"  แจ๊สกระซิบกับเมเปิ้ลโดยไม่สนใจคำทัดทานเลยแม้แต่น้อยก่อนจะเริ่มป่าวประกาศต่อฝูงชนต่อ

     

    "เรื่องราวเจาะลึกของเธอสามารถอ่านได้ในหนังสือพิมพ์แจกฟรีนี้ค่า  ถ้าใครสนใจสมัครสมาชิกได้ ณ ห้องพักเบอร์ ๕๐๓  หอพักต้นไม้ปี ๑ หรือห้องชมรมของเรานะค้า  หนังสือพิมพ์ของเราจะออกทุกวันจันทร์  และวันศุกร์

     

    แต่ก่อนที่แจ๊สจะพูดจบ  เสียงระฆังดังกังวานไปทั่วบอกเตือนว่าอีกไม่นานจะได้เวลาเข้าเรียนแล้ว  ฝูงชนที่มุงดูอยู่ก็พลอยค่อยๆ สลายตัวเคลื่อนตัวต่อไป ทิ้งคนทั้งสี่ไว้เบื้องหลัง

     

    "...แจ๊ส  คือว่า...คาบเรียนกำลังจะ...เริ่มแล้วนะ" สาวน้อยผมปรกหน้ากล่าวด้วยเสียงอันแผ่วเบาพร้อมกับดึงแขนเสื้อของแจ๊สเบาๆ  ราวกับเด็กน้อยจะขออะไรบางอย่างจากพ่อแม่

     

    "เดี๋ยวเซ่ คอนเน่  เรายังแจกไปไม่ถึงครึ่งเลยนะ"  แจ๊สกล่าวกับสาวน้อยผมปรกหน้าที่ชื่อ คอนเน่  โดยที่ยังล็อกแขนของเมเปิ้ลไว้ไม่ให้ไปไหน  เมเปิ้ลที่พยายามจะผละตัวออกมาแต่แจ๊สก็ยิ่งล็อกแขนไว้แน่นขึ้น 

     

    "เอ่อ...เมเปิ้ล  งั้นเราไปก่อนนิ  เดี๋ยวค่อยมาเจอกันตอนเที่ยงแล้วกันนิ"  เตเต้ส่งยิ้มให้กับเมเปิ้ลก่อนจะผละตัวเดินตามกลุ่มนักเรียนที่กำลังมุ่งหน้าไปยังคาบเรียนของตน  ปล่อยทิ้งเมเปิ้ลที่ตาละห้อยที่เหมือนพยายามขอความช่วยเหลือจากเตเต้มีอันต้องผิดหวังไป

     

    "นี่..." แจ๊สคว้าปึกหนังสือพิมพ์จากมือของคอนเน่มาส่วนหนึ่งก่อนจะยัดมันใส่มือของเมเปิ้ล  "ชั้นเชื่อว่าต้องมีพวกตื่นสายอยู่แน่  ไปดักรอพวกนั้นเถอะ"

     

    เมเปิ้ลมองปึกหนังสือพิมพ์ในมือก่อนที่จะมองถนนซึ่งบัดนี้ไร้ผู้คน  เหลือเพียงพวกเธอสามคนเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่  เธอลังเลอยู่สักครู่ก่อนจะเอ่ยปากออกไป

     

    "เอ่อ...ทำไมเราไม่ไปแจกเวลาอื่นล่ะ"  เมเปิ้ลกล่าวกับแจ๊ส

     

    "หา...เมื่อกี๊พูดว่าอะไรนะ  ชั้นฟังไม่รู้เรื่อง"  แจ๊สถามเมเปิ้ล

     

    เมเปิ้ลได้ยินอย่างนั้นก็ถอนหายใจก่อนที่จะกล่าวคำพูดเดิมซ้ำอีกรอบด้วยความเบื่อหน่าย

     

    "ให้ตายสิ  สำเนียงเธอนี่มันฟังยากจริงๆ  โอเค  ฟังนะ  ขืนรอเวลาอื่นข่าวมันก็ขายไม่ออกแล้ว  ชั้นกับคอนเน่ช่วยกันนั่งปั่นหนังสือพิมพ์พวกนี้กันทั้งคืน  ชั้นไม่ยอมให้ความพยายามทั้งหมดนี้สูญเปล่าหรอก"  แจ๊สจ้องหน้าเมเปิ้ลด้วยใบหน้าที่ขอบตาช้ำเป็นวง  แต่นัยน์ตาสีทองกลับลุกโชนด้วยความกระตือรือร้น

     

    แต่สายตาอันเบื่อหน่ายเมเปิ้ลก็เหมือนกับตะโกนออกมาดังๆ เลยว่าแค่เอาเรื่องของตัวเธอไปทำเป็นข่าวใหญ่ก็สูญเปล่าตั้งแต่ต้นแล้ว  เธอเป็นเพียงแค่นักเรียนที่เพิ่งเข้าใหม่ที่ตัวดูสูงกว่าชาวบ้านเค้ากับวิธีการเข้ามันพิสดารกว่าคนอื่นแค่นั้นเอง 

     

    อ้อ  ถ้าจะรวมเรื่องไฟไหม้เมื่อวานไปด้วยก็คงจะไม่ผิดนัก

     

    ในขณะที่แจ๊สยังคึกเหมือนเพิ่งกินยาโด๊ปไป (ซึ่งความจริงเธอก็กินไปจริงๆ นั่นล่ะ)  คอนเน่ที่อยู่ข้างๆ กลับขยี้ตาหาววอดๆ  หัวส่ายไปเซมาใกล้จะล้มมิล้มแหล่   

     

    และแล้วระฆังบอกเวลาเริ่มเรียนก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าทั้งสามสายสำหรับคาบเรียนคาบแรกของวันเสียแล้ว

     

    "ช่างมัน  ไงชั้นก็ไม่มีเรียนเช้าอยู่แล้ว" 

     

    แจ๊สกล่าวออกมาอย่างไม่สนใจเมเปิ้ลที่มองแจ๊สอย่างเซ็งอารมณ์กับคอนเน่ที่ตอนแรกดูจะกระวนกระวายกับเสียงระฆัง  แต่สุดท้ายก็หาววอดๆ ออกมาด้วยความง่วงสุดขีดโดยดูเหมือนจะไม่ใส่ใจกับมันอีกแล้ว

     

    พวกเธอนะ  ทำไมยังไม่ไปเรียนอีก!” 

     

    ทั้งสามต่างหันควับไปมองยังทิศที่เสียงตะโกนมา  บุคคลผมสีเงินขุ่นรวบเป็นเปียยืนตัดกับแสงอาทิตย์ยามเช้าราวกับพญามารในชุดนักเรียนลงมาจุติ  ปลอกแขนสีแดงแปลกตาตรงต้นแขนซ้ายทำให้เธอดูแตกต่างจากนักเรียนทั่วไป  นอกจากนี้มือขวาของหล่อนกำดาบด้ามยาวแน่น  ดวงตาสีแดงขุ่นบนใบหน้าขาวเนียนดูเคร่งเครียดจ้องมองตรงมายังพวกเขาทั้งสามอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ     

     

    ยัยเมลิซซ่า  ยุ่งอะไรกิจกรรมชมรมคนอื่น หา!”  แจ๊สตะโกนสวนกลับไป

     

    กิจกรรมบ้าอะไรทำกันตอนนี้  ระเบียบการข้อที่ 35 บอกแล้วไม่ใช่เรอะว่าห้ามจัดกิจกรรมชมรมก่อน 4 โมงยกเว้นวันเสาร์อาทิตย์หรือได้รับคำอนุญาตจากสภานักเรียนนะ 

     

    หญิงสาวที่แจ๊สเรียกชื่อว่าเมลิซซ่าค่อยๆ ย่างก้าวเดินลงบันไดมา  แต่ทันทีที่เธอเห็นหน้าของเมเปิ้ล  สีหน้าอันเคร่งเครียดของเธอเปลี่ยนจากเคร่งเครียดเป็นหงุดหงิด และหงุดหงิดที่สุด  ซึ่งไม่ต่างอะไรจากเมเปิ้ลที่ตากระตุกด้วยความเซ็ง...

     

    ที่ดันต้องมาเจอหน้ารูมเมทของเธอในตอนนี้อีก

     

    ชิ  เมลิซซ่าสบถออกมา  ก่อนจะเดินมาหยุดต่อหน้าเมเปิ้ล  ก่อนจะกล่าวต่อไป  คิดว่าเส้นใหญ่แล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบหรือไง 

     

    เมเปิ้ลหรี่ตามองเมลิซซ่าที่ตอนนี้เข้ามาชิดซะจนหน้าผากจะชนกันอยู่แล้ว  ตัวเมลิซซ่าเองก็สูงเกือบเท่าเมเปิ้ลซึ่งก็จัดว่าเป็นคนสูงคนหนึ่งเลยทีเดียว 

     

    เฮ้...แล้วเธอนะไม่มีเรียนรึไงยะ  มาสั่งๆ คนอื่นอยู่ได้  แจ๊สเข้ามาแทรกระหว่างยักษ์ทั้งสองโดยปล่อยมือจากเมเปิ้ล  คิดว่าเป็นสุนัขรับใช้สภานักเรียนแล้วจะทำทุกอย่างได้เหรอ

     

    เจ้าหน้าที่อาสาสมัครรักษาความเรียบร้อยต่างหาก  และอีกอย่าง  ตอนนี้เป็นเวรที่ชั้นต้องดูแลพื้นที่นี้ย่ะ

     

    อ้อเหรอ  งั้นก็ไปทำหน้าที่ต่อสิ  แจ๊สทำมือท่าทางไล่เมลิซซ่าให้ไปไกลๆ ซะ

     

    ก็นี่ล่ะ  ชั้นกำลังทำหน้าที่ไล่ต้อนพวกเด็กไม่ดีอย่างพวกเธอไงล่ะ

     

    ก็ชั้นไม่มีเรียนนี่นา  ชั้นจะทำอะไรก็เรื่องของชั้น

     

    แต่ได้ข่าวว่าสองคนนั้นมีเรียนนิ เมลิซซ่าหันมามองเมเปิ้ลด้วยดวงตาพยายมก่อนจะหันกับไปพูดกับแจ๊สต่อ  โดยเฉพาะยัยเด็กเส้นกวยจั๊บนั่นด้วย  นี่คาบเรียนคาบแรกของเธอไม่ใช่เรอะ

     

    เมลิซซ่ามองดูทั้งสองด้วยแววตาอันเหี้ยมเกรียมจนถึงกับทำเอาคอนเน่ที่กำลังง่วงนอนกลับหน้าถอดสีตัวสั่นจนต้องไปหลบเกาะหลังทำเอาเมเปิ้ลสะดุ้งโหยงไม่ทันตั้งตัวติด 

     

    เฮ้อ...โอเค  เมเปิ้ลกับคอนเน่  พวกเธอไปเรียนเถอะ  แจ๊สถอนหายใจด้วยความเซ็ง

     

    เมเปิ้ลที่เห็นอย่างนั้นก็ถอนหายใจก่อนจะหันไปมองคอนเน่ที่ซุกอยู่ข้างหลังเธอตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว  เมเปิ้ลจะเอื้อมมือไปแตะเธอแต่ก็ชะงักไป  ก่อนจะกลืนน้ำลายแล้วในที่สุดถึงจะลูบศีรษะของคอนเน่เบาๆ

     

    พวกเราไปกันเถอะ  เมเปิ้ลกล่าวกับคอนเน่ ที่เงยหน้ามองเมเปิ้ลเหมือนแมวน้อยที่ถูกทิ้ง

     

    ก่อนที่เมเปิ้ลจะเริ่มเดิน  แจ๊สก็รั้งตัวเมเปิ้ลไว้ก่อนจะยัดปึกหนังสือพิมพ์ที่เหลือในมือของเมเปิ้ลกับคอนเน่

     

    ให้แน่ใจว่าทุกคนในชั้นได้ครบทุกคนนะ

     

    เมเปิ้ลมองปึกหนังสือพิมพ์ในมือของเธออย่างหนักใจก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับคอนเน่  มุ่งหน้าไปยังชั้นเรียนของตน

      

    ทั้งสองเดินไปด้วยกันโดยคนหนึ่งมีสีหน้าหนักใจกับปึกหนังสือพิมพ์ในมือ  กับอีกคนที่มีสีหน้าเบลอๆ  หลังจากหายตื่นตระหนกจากดวงตาพญามารของเมลิซซ่าแล้ว  คอนเน่เริ่มกลับเข้าสู่สภาวะจำศีลอีกครั้ง 

     

    เมเปิ้ลสังเกตหนังสือเรียนที่คอนเน่ถือมาด้วยว่าเป็นหนังสือเรียนของวิชาเดียวกันกับที่เมเปิ้ลกำลังจะไปเรียน 

     

    เอ่อ...เธอเรียนวิชาประวัติศาสตร์เบื้องต้นเหมือนกันเหรอ  เมเปิ้ลถามคอนเน่ที่กำลังเดินซะลำซะลืออยู่

     

    เอ...เอ๋...คะ..ค่ะ  คอนเน่ตอบด้วยน้ำเสียงเบลอๆ  แต่แฝงด้วยความเขินอายนิดๆ แต่ในขณะที่เดินอยู่  คอนเน่ก็เดินสะดุดหินระหว่างทางจนเกือบจะล้ม  ยังดีที่เธอประคองตัวอยู่  แต่หนังสือพิมพ์ส่วนหนึ่งก็หล่นกระจายกับพื้น

     

    ม...ไม่เป็นไรค่ะ  เดี๋ยวเก็บเองค่ะ  คอนเน่กล่าวกับเมเปิ้ลที่ทำท่าจะก้มตัวลงไปเก็บหนังสือพิมพ์ให้ก่อนจะค่อยๆ วางกองหนังสือพิมพ์กับพื้นทับด้วยหนังสือประวัติศาสตร์อันหนาเตอะ  ก่อนจะคว้าไม้แท่งยาวประมาณไม้บรรทัด  เธอตวัดหมุนปลายไม้ก่อนจะท่องคาถาแปลกๆ  ทันใดนั้นหนังสือพิมพ์ที่กระจายอยู่ตามพื้นก็ค่อยๆ เหมือนกับถูกลมพัดมาหมุนรวมกันหน้าคอนเน่  ซึ่งเธอก็ค่อยๆ เก็บมันไปรวมกับกองหนังสือพิมพ์

     

    คอนเน่สังเกตว่าเมเปิ้ลที่จ้องดูเหตุการณ์ด้วยความสนอกสนใจจึงเริ่มหน้าแดงก้มหน้าหลบสายตาด้วยความอาย

     

    ว้าย...เอ่อ...คือว่า...เวทนี้เพิ่งเรียนมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนะคะ  ไม่ได้ตั้งใจจะทำเป็นเก่งเลยนะคะ  คอนเน่กล่าวน้อยน้ำเสียงที่ดูกังวลปนกับเขินนิดๆ  ราวกับกำลังพูดกับตัวเองอยู่

     

    ม...ไม่ใช่อย่างนั้น  เมเปิ้ลกล่าวด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก  มันดูยอดเยี่ยมมากเลย

     

    เหรอ...คะ  คอนเน่ยังคงพยายามแก้เขินด้วยการก้มลงไปหยิบของที่เธอวางไว้กับพื้น

     

    เอ่อ...กองหนังสือพิมพ์นั่น  ให้...ฉันช่วยถือไหม  เมเปิ้ลถามคอนเน่

     

    ไม่เป็นไรค่ะ  ยังไงมันก็เป็นของที่ชั้นกับแจ๊สช่วยกันทำทั้งคืนนะ  เธอตอบด้วยย้ำเสียงที่เบาราวกระซิบ

     

    เมเปิ้ลที่ได้ยินเช่นงั้นก็ต้องถอนหายใจยกเลิกแผนการที่จะเอากองหนังสือพิมพ์นี้ไปโยนทิ้งที่ไหนซักแห่งระหว่างทาง  ไงๆ  ก็คงไม่มีใครอยากอ่านเรื่องของตัวเค้าอยู่แล้วล่ะ

     

    หลังจากนั้นก็ใช้เวลาไม่นานมาถึงอาคารเรียนของพวกเธอ  มันดูเหมือนปราสาทที่ทำจากหินเก่าๆ  ที่ถูกทิ้งร้างไว้จนต้นไม้โตขึ้นมาจนเหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของตัวอาคารเลย  คอนเน่เดินนำทางเมเปิ้ลไปยังห้องเรียนซึ่งไปไกลนักจากทางเข้า 

     

    ทั้งสองยืนหน้าห้องเรียนที่มีเสียงของอาจารย์ดุๆ  กำลังกล่อมนักเรียนในห้องให้หลับอยู่  คอนเน่กลืนน้ำลายดังเอื๊อกลังเลที่จะเข้าไปในห้อง

     

    อ่า...คือว่าพวกเราน่าจะโดดกันดีกว่า... คอนเน่บ่นพึมพำขึ้นมา

     

    สายแล้ว  สายแล้ว  ตายแน่  ตายแน่!”

     

    ก่อนที่ทั้งสองจะได้ตั้งตัว  นกแก้วสีเขียวมรกตเกาะอยู่ตรงรากไม้ที่แซมอยู่ตามกำแพงหน้าประตูเข้าห้องเรียนพร้อมกับส่งเสียงกวนประสาทดังลั่นทางเดินอันว่างเปล่า  เมเปิ้ลที่เห็นนกแก้วก็หน้าถอดสีทันทีพร้อมกับเผลอถอยหลังไปสองสามก้าว 

     

    พวกเธอทำอะไรกันนะ!”  ทันทีที่เสียงตะโกนดังลั่นมาจากข้างในก่อนที่หญิงวัยกลางคนในเสื้อคลุมสีเขียวจะก้าวเท้าเดินมาจากห้อง  เจ้านกแก้วตัวดีก็บินไปเกาะบนไหล่ของหญิงวัยกลางคนคนนั้นอย่างรู้หน้าที่  เธอสูงประมาณจมูกของเมเปิ้ล  เกศาสีเกาลัดรวบเป็นก้อน  ข้างหูมีไม้กายสิทธิ์ขนาดประมาณไม้บรรทัดเหน็บอยู่  สวมเสื้อคลุมสีขี้ม้าคลุมทั้งตัว  สายตาอันเข้มงวดจ้องมายังทั้งสองด้วยอารมณ์หงุดหงิด 

     

    เธอคืออาจารย์ประจำวิชานี้นั่นเอง

     

    มาสาย มาสาย ตายแน่ ตายแน่ เจ้านกแก้วตัวแสบก็ยังแหกปากส่งเสียงกวนประสาทอยู่เหมือนเดิม

     

    โอ๋ๆ ทำได้ดีมา เพกกี้  อาจารย์ลูบเจ้านกแก้วตัวนั้นก่อนหันกลับมามองทั้งสองด้วยสายตาดุๆ ราวกับพญามาร  รู้มั้ยว่าคาบเรียนเริ่มเมื่อไหร่  แล้วตอนนี้กี่โมงกี่ยามกันแล้ว

     

    ข...ขอโทษคะอาจารย์ฟลอร่า  คอนเน่ก้มหัวขอโทษอาจารย์งกๆ

     

    งั้นก็รีบๆ เข้ามาเรียนเร็วเข้า...  อาจารย์ฟลอร่าอนุญาติให้คอนเน่เข้าก่อนจะสังเกตว่ามีนักเรียนที่ไม่คุ้นหน้าอีกคนอยู่ข้างหลังคอนเน่ โอ้...นี่คงเป็นเมเปิ้ล  ไซรัปที่เขาพูดถึงกันสินะ

     

    อาจารย์ฟลอร่ามองเมเปิ้ลจรดหัวถึงเท้าก่อนจะหรี่ตามองดวงตาของเมเปิ้ลที่จ้องตรงมาอย่างไม่สะทกสะท้านก่อนจะหลับตาถอนหายใจ

     

    ถึงแม้เธอจะเป็นใครมาจากไหนครูก็ไม่สนหรอกนะ  เดี๋ยวทั้งสองอยู่พบครูก่อนหลังเลิกคาบนี้  อาจารย์ฟลอร่าดุทั้งสองแล้วจึงเปิดทางให้ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องเรียน  แต่ว่าอาจารย์ฟลอร่าก็สังเกตเห็นกองหนังสือพิมพ์ที่ทั้งสองถืออยู่

     

    นั่นอะไรนะ  อาจารย์ไม่รอช้าหยิบไม้จากข้างหูขึ้นมาโบกกลางอากาศ  ทันใดนั้นกองหนังสือพิมพ์ก็หลุดลอยออกจากมือของทั้งสองไปยังโต๊ะของอาจารย์ที่อยู่หน้าห้อง  โดยมีอีกฉบับลอยมาในมือของอาจารย์

     

    เข้าห้องได้แล้ว  ส่วนของพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียน  ครูจะริบเอาไว้ก่อน 

     

    เมเปิ้ลหายใจด้วยความโล่งอกที่สามารถกำจัดหนังสือพิมพ์พวกนั้นได้ซะที  ผิดกับคอนเน่ที่น้ำตาแทบร่วงที่หนังสือพิมพ์ที่อุตส่าห์ทำมาทั้งคืนถูกริบไปต่อหน้าต่อตา

     

    ระหว่างที่ทั้งสองเดินเข้าไปในห้อง  อาจารย์ก็หยิบหนังสือพิมพ์ที่เพิ่งริบมาอ่านอย่างลวกๆ  ก่อนจะถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย  เฮ้อ...ทำไมอาจารย์ปันจมีถึงเอาเด็กพรรค์นี้เข้ามาเรียนได้น้า.. อาจารย์ฟลอร่าบ่นกับตัวเอง 

     

    ภายในห้องเต็มไปด้วยนักเรียนที่จับจ้องสายตามายังทั้งสองพร้อมกับกระซิบกระซาบคุยกันอย่างเมามัน  โต๊ะแทบทุกส่วนของห้องถูกจับจองยกเว้นแถวหน้าสุดที่โล่งโจ้งไม่มีใครนั่น  ทั้งสองจึงไม่มีทางเลือกนอกจากนั่งหัวโด่อยู่สองคนตรงแถวหน้าสุด  ทันทีที่อาจารย์ฟลอร่าก้าวเข้ามาในห้อง  ทั้งห้องก็พลันเงียบลงราวกับมีใครมากดปุ่มปิดเสียง   

     

    เรามาต่อจากที่ค้างไว้เมื่อสักครู่  ทุกคนเปิดหน้า...  อาจารย์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังก้องกังวานไปทั่วห้องก่อนที่อาจารย์จะเริ่มสอนต่อ      

     

    @@@@@@@@@@@@@@@

    Edit Log: 19 Jan 2008: ลงซ้ำ + เปลี่ยนรูปแบบตัวอักษร + ซอยตอน
    Edit Log: 25 March 2008: แก้ไขคำผิด  ขอบคุณคุณ Star of Radiance มากเลยนะครับที่ช่วยชี้จุดให้ + แก้สำนวนเล็กน้อย  ถ้าใครไม่รู้จักว่าเอ็ดมันด์มันคือไผ  เขาคือตัวละครจากเรื่องเคาท ออฟ มอนเต คริสโตครับ  มันมีช่วงหนึ่งที่เขาถูกขังคุกแล้วหนีออกมาได้
    Edit Log: 30 July 2008: แก้สำนวน
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×