ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ONE DAY LOVER

    ลำดับตอนที่ #2 : SUNDAY 2 : รอ

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.ค. 57


    SUNDAY 2 : รอ
    (story talk by. Kim Jongwoon, Yesung)

    9.00 น.

                    ผมจอดรถยนต์ของผมเอาไว้ที่หน้าร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง ร้านที่ผมมาทุกวันอาทิตย์ แต่ก็ทำได้แค่ จอดรถอยู่ที่หน้าร้าน แล้วก็ไม่เคยซื้ออะไรเลย วันอาทิตย์วันนี้ จะเป็นวันแรก ที่ผมจะเดินเข้าไปในร้าน

                    เดินอยู่นาน ผมไม่ได้ซื้ออะไรเลย เดินวนไปวนมาจนเด็กที่เค้าน์เตอร์แอบชะโงกมองผมเป็นพักๆ คงจะตลกดีล่ะมั้ง ...บางทีเด็กนั่นอาจจะคิดว่า ไอ้บ้านี่มันมาเดินไปเดินมา เกาหัวแกรมๆ ทำตัวมึนๆอึนๆ อะไรในนี้นะ... คิดได้อย่างนั้นผมก็ยังอยากจะหัวเราะเยาะตัวเองเลยนะ จะนานแค่ไหนก็ไม่เคยเป็น เรื่องเดินซื้อของ

                    สมัยเรียน ผมมักจะเดินเข้ามาเพื่อหาอะไรไปกิน แต่สุดท้ายก็เดินวนไปวนมาไม่เคยได้ซื้ออะไรออกมากินหรอก นอกจากน้ำเปล่า แต่เหตุผลหลักที่ผมมาที่ร้านสะดวกซื้อบ่อยๆ ตอนสมัยเรียนก็คง เป็นเพราะผมไม่รู้ว่า เจ้าเด็กขนมปังหัวยุ่งนั่น จะมาซื้อขนมปังอีกวันไหน  นั่นไม่ใช่รักครั้งแรกของผมหรอกนะ แต่จะเป็นครั้งที่เท่าไหร่ผมก็ไม่รู้หรอก ไม่เคยนับลำดับเหมือนกัน...

                    9.30 น.

    “หวัดดีครับ มาอีกแล้วนะ”

    “ครับ ” เสียงนี้แหละ ที่ผมคุ้นเคย ขนมปังหัวยุ่ง! ชัวร์ ....นายมาแล้วงั้นเหรอ กำลังรออยู่เลย ชั้นอยู่ตรงขนมปังนะ ผมกำลังยิ้มอยู่หล่ะ ตลกนิดๆล่ะมั้ง  

    ขนาดมันเดินมาใกล้ขนาดนี้ยังไม่มองเลยแฮะว่า ผมยืนอยู่ตรงนี้เนี่ย ผมได้ยินแต่เสียงก๊อบแก๊บ ก๊อบแก๊บ กรอบแกรบ ของถุงขนมปัง ที่เจ้าหัวยุ่งมันแต่เลือกอันที่วันหมดอายุช้าที่สุด

    “.....” พอมองเห็นผม มันก็ไม่พูดอะไรซักคำ ท่าทางมึนๆของมันผมเกือบจะขำแล้วนะ แต่ก็ต้องกลืนมันลงไป แล้วก็เปิดบทสนทนาซักประโยค ก็ผมรออยู่แล้วนี่

    “ยังไม่เลิกกินอีกเหรอ แซนวิชน่ะ”

    “อ่ะ...ห๊ะ อ๋อ เออ ใช่ ...เหอะๆ..................ทูน่านี่นะ ”

    “...ทูน่าเหรอ ??”

    “ก็ชั้นนึกไม่ออกว่าลืมอะไรไป  ..ชั้นต้องซื้อทูน่าน่ะ .......แซนวิชไง” ดูมันทำ ไม่มีเรื่องของผมหลุดออกมาจากปากซักคำ ใจดำสิ้นดี แถมยังรีบหนีไปจ่ายตังอีก สุดท้าย ผมก็แค่เดินไปหยิบน้ำมาขวดนึง แล้วก็ตามไปจ่ายตัง ...วันนี้เป็นวันที่ชั้นโคตรตั้งใจ อย่าคิดจะมาเปลี่ยนแผนชั้น ...

    แต่พอมันจ่ายเงินเสร็จก็รีบเดินออกจากร้าน  บอกตามตรงว่า ตบมือข้างเดียวมันท้อนะ ถ้าชั้นเดินออกไปแล้วนายไม่หันมามองซักนิด ชั้นจะกลับบ้าน 

    ตามคาด ก็ไม่แม้แต่จะมอง หางตาก็ยังไม่มี จะให้ผมทำยังไงล่ะ ผมก็เปิดประตูรถแล้วก็กำลังจะขึ้นไป ผมหัวเสียมากนะ ผมไม่ชอบเลยการที่ทำอะไรแล้วมันเก้อ ขนาดนี้ มันน่าอาย

                    “...นายไม่คิดจะถามสารทุกข์สุขดิบชั้นเลยรึไง”  สุดท้ายผมก็พูดมันออกไป ก็บอกแล้วไงว่าวันนี้เป็นวันที่โคตรตั้งใจ นายไม่ควรจะเปลี่ยนแผนของชั้นง่ายๆ  แต่สุดท้ายหมอนั่นก็หันมามอง แล้วก็ทำหน้าอย่างกับรู้สึกผิด ถ้านายรู้สึกผิดก็พูดสิ่ มองเฉยๆแบบนี้ได้ยังไง

                    “ไม่พูด!... ชั้นไปแล้วนะ”

                    “เดี๋ยวดิ่ ..”   “ นายไปช้อปปิ้งกับชั้นมั้ย??”

                    “ก็แค่เนี้ยยยยยยยยยยยยย”   ผมจัดแจงปิดประตูรถ เรียบร้อย

                    “ลงมาดิ่ ..ชั้นปั่นให้”

                    “อ้าว แล้วนายจะให้ชั้นนั่งตรงไหนเล่า”

                    “ซ้อนท้ายสิ่”

                    “ตะกร้าชั้นล่ะ...”

    “เอาไปไว้ในรถโน่น” พูดแล้วก็ล้วงกระเป๋าไปหยิบกุญแจรถแล้วก็เอาให้ เจ้าหัวยุ่ง เอาของไปเก็บในรถ  แต่มันก็ยังทำหน้าตายู่ยี่ รับกุญแจไปอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่  ไม่เคยเข้าใจอะไรเล้ย 5 ปี ผ่านไป ก็ยังไม่มีเซ้นเหมือนเดิม

                    “ทำหน้าย่นอยู่ได้ ...นี่นายกำลังด่าชั้นว่าทำไมไม่เอารถยนต์ไปล่ะสิ่”

                    “เออ” ดูมันตอบ

                    “รถยนต์ไม่โรแมนติกเท่าจักรยานหรอกน่า...”

                    ผมปั่นจักรยานไปซุปเปอร์มาร์เก็ต ระหว่างเดินอยู่ในนั้น ผมก็ไม่รู้หรอกว่า  มันซื้ออะไรบ้าง แค่คิดว่า ซื้อแค่นี้ กินทั้งอาทิตย์ได้ยังไง  ไดเอท รึไงวะ

    ซื้อของเสร็จผมก็ปั่นจักรยานกลับมาที่เดิม ที่ที่รถผมจอดอยู่ ผมให้หมอนั่นไปเปิดรถ แล้วผมก็ยัดของทั้งหมดอันน้อยนิดที่มันซื้อมาใส่รถ ผมบอกให้หมอนั่นขับรถผมไปที่บ้าน แล้วผมก็ปั่นจักรยานมา


     

    5 ปี ที่ผ่านมา ผมทิ้งอะไรไว้นักนะ อะไรบ้างที่ผมปล่อยให้ล่องอยไปเหมือนกับอากาศ และผมไปคว้าอะไรมาผมถึงได้ต้องทิ้งบางสิ่งบางอย่างไป ผมคิดแต่เรื่องนี้ตลอด ตอนที่ปั่นจักรยานไปที่บ้านหมอนั่น บ้านตั้งแต่สมัยเรียน หมอนี่ไม่เคยย้ายไปไหนเลย นายอยู่ของนายมายังไงชั้นก็ไม่รู้หรอกนะ และนายก็คงไม่รู้ว่า ชั้นอยู่ของชั้นมายังไง

    11.00 น.

    ผมจอดจักรยานที่หน้าบ้านหลังเล็กๆที่ ผมเคยมาทุกๆเย็นหลังเลิกเรียน ที่หลับ ที่นอน ที่เล่นเกม ห้องร้องเพลง ที่กินเบียร์ ผมทำทุกอย่างที่นี่ 

    “ปั่นช้าจังล่ะ ...เข้ามาเหอะฝนจะตกแล้ว”

    ผมเดินเข้ามาในบ้าน มีหลายอย่างนะที่ดูเปลี่ยนแปลง เหมือนจะเปลี่ยนทีวีใหม่ ผ้าม่านอันใหม่  ตู้เย็นก็เหมือนจะเปลี่ยนใหม่ แต่มีอย่างนึงที่ยังเหมือนเดิม  ความสะอาด ทำงานทุกวัน นายเอาเวลาที่ไหนไปเก็บ ไม่เข้าใจ

    “ส่องพอยัง บ้านคนอื่นน่ะ”  แนะ มีกวน

    “ข้าวเที่ยงอ่ะ...”

    “จะกินด้วยหรือไง”

    “แน่นอน...ค่าน้ำมันรถ”

    “ชั้นไม่เคยขอเลยนะ อย่ามาเล่นลิ้น”

    “แค่หิว .... มีให้กินมั้ยล่ะ”

    “ก็แค่เนี้ย”

    เวลาที่หมอนี่ทำอาหาร มันดูใส่ใจดีนะ ผมมีความสุขไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลย แต่จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะเหมือนเดิมไปซะทุกอย่างหรอก ...ผมเองก็รู้สึกได้ถึงความอึดอัดอยู่ลึกๆ แต่ก็ได้แต่พูดจากวนประสาทไปเรื่อยๆ  ทั้งๆที่แต่ละคำที่จะพูดออกมานั้นต้องคิดแล้วคิดอีก แต่ก็ดูเหมือนว่ามันไม่ได้ทำให้เราพูดกันได้อย่างสนิทใจเหมือนเมื่อก่อน ถ้าผมจะลองทำอะไรที่เคยทำดู มันจะดีรึเปล่านะ  

    “นั่งคิดอะไรอยู่.....”  รู้สึกเหมือนเมื่อกี๊ผมฝันเลย พอมาเรียกก็เลยสะดุ้งตื่น

    “ก็เปล่าหรอก......กินได้แล้วใช่มั้ย”  หมอนั่นวางถ้วยสองใบลงบนโต๊ะ มาม่าหม้อใหญ่ เครื่องเคียงอีกนิดหน่อย วางตะเกียบ  วางช้อนเสร็จก็ก้มหน้าก้มตากิน ผมเองก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากก้มหน้าก้มตากิน สลับกับเหลือบมองการกระทำของคนที่ผมตั้งใจมาหาในวันนี้เป็นพักๆ 

    “รยออุค......”

    “หื้ม...” คำสั้นๆจากผมทำให้หมอนั่น เงยหน้าขึ้นมาแล้วก็มองหน้าผม สายตาคู่นั้น ที่ทำให้ผมรู้สึกสับสน  ...อย่ามองชั้นเหมือนกับว่านายไม่รักชั้นเลยสิ่...

    “นายมีแฟนรึยัง...ไม่สิ่ ไม่ ไม่ ไม่ คิดซะว่าชั้นไม่ได้ถามแล้วกันนะ”

    “.....”

    ผมชอบความสงบนะ แต่นี่มันคงจะสงบเกินไป เงียบ วังเวง ยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูกหรอก นอกจากผมจะไม่มีอะไรพูดต่อ เพราะต้องกลืนคำพูดคำโตของตัวเองเมื่อกี๊ลงไป หมอนั่นก็ไม่ได้ตอบอะไรด้วย ได้แต่เก็บช้อนชามไปล้าง  ตอนนี้ในหัวผมมีแต่คำด่าตัวเองทั้งนั้น ทำอะไรของมึงเนี่ย!

    “ชั้นมีนะ คนแบบที่นายถามน่ะ”

    “อ่า เหรอ ....................แนะนำให้รู้จักมั่งสิ่”

    “แนะนำให้รู้จักคงไม่ได้หรอก   เพราะคนที่ชั้นชอบเค้าชอบชั้นรึเปล่าก็ไม่รู้”

    เป็นคำตอบเรียบๆ น้ำเสียงเรียบๆ  ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นก้อนหิน ที่ขยับไปไหนไม่ได้ นี่กูต้องตายเพราะคำถามของตัวเองเหรอเนี่ย

    “เยซอง”

    “ห๊ะ.....อะไรเหรอ”

    “จนถึงวันนี้  นายยังเป็นคนเดียวที่ชั้นมีนะ”

    “หมายความว่าไง”

    “เหตุผลที่มาวันนี้เพราะอะไรเหรอ ชั้นไม่เข้าใจนะ ชั้นจำได้ว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เราไม่ได้เลิกกัน  แต่ชั้นก็คิดว่านายคงไปมีใหม่เอาข้างหน้าแล้ว เพราะมันก็เป็นเรื่องที่นานมาแล้ว ชั้นแค่คิดว่าสำหรับนายแล้ว ชั้นมันเป็นอดีตไปแล้วน่ะ”

    “ที่บอกว่าจนถึงวันนี้ มีชั้นคนเดียว นายหมายความว่าไง”

    “นายมาทำไม”  นี่ไม่ได้ฟังที่ผมถามเลยรึไง พูดอะไรก็ไม่รู้เรื่อง  “ชั้นถามว่า นายมาทำไม?”  ร้องไห้งั้นเหรอ ทำไมล่ะ ชั้นยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ

    “เรียวอุค”

    “ไม่ได้ยินเหรอ ถามว่ามาทำไม นายต้องการอะไร!!  ผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่ามันเป็นสียงที่ดังกี่เดซิเบล เรียวอุคยังร้องไห้อยู่ตรงนั้น ตรงอ่างล้างจาน แต่ผมก็คิดได้ว่าผมควรจะเดินเข้าไปตรงนั้น  สุดมือของผมเอื้อมเอาวางไว้บนแผ่นหลังของเจ้านั่น มืออีกข้างของผมวางไว้บนหัวกลมๆ ลูบผมเบาๆ  นี่เป็นการกอดครั้งแรกในรอบ 5 ปี ที่ไม่เคยเจอกันเลยแบบซึ่งๆหน้า ...ไม่ได้อ้วนขึ้นเลยนะ ไอ้หัวยุ่ง

    “คิดถึง ก็เลยมา”  ชั้นตอบคำถามนายแล้วนะ

    ผมรู้สึกได้ว่าหมอนั่น พยักหน้าเข้าใจในคำตอบของผม

    “นายบอกเองนะ ว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้วเราไม่ได้เลิกกัน............งั้นเราก็ยังเป็นแฟนกันสินะ”  คุณรู้มั้ยว่า ผมกำลังยิ้มให้กับคำพูดของตัวเอง ผมรู้สึกเหมือนว่า นาฬิกาถ่านหมด ได้รับการเปลี่ยนถ่านใหม่ใส่เข้าไปแล้ว

    ถึงแม้ว่าเช้าวันนี้ของผมจะเริ่มต้นด้วยการรอ แต่สุดท้ายแล้วมันก็ลงเอยด้วยความคุ้ม อย่าให้พูดเลยว่าคืนนี้จะเกิดอะไรขึ้น เพราะผมไม่ได้วางแผนว่าจะกลับไปนอนที่บ้านตั้งแต่แรกแล้ว ผมบอกแล้วไงว่าผมจะไม่ยอมให้เจ้าหัวยุ่งมาเปลี่ยนแผนของผม....ชั้นไม่ได้ขอร้องให้นายซื้อเบียร์มานะ นายซื้อมาเอง นายเป็นคนซื้อมาเองนะ รยออุค

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×