คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ก้าวที่สี่,,
Chapter4
วันต่อมาที่เต๋าต้องไปให้ปากคำเกี่ยวกับเรื่องทะเลาะวิวาทที่ร้านของไทด์ที่สถานีตำรวจ เขาโทร.ไปนัดไทด์ว่าจะไปรับที่บ้านก่อนจะแต่งตัวแล้วออกจากห้องไป ระหว่างทางเดินผ่านไปยังล๊อบบี้ ร่างของคนที่คุ้นเคยก็เดินสวนเขาเข้ามา ท่าทางข้าวของในมือเหมือนว่าอีกฝ่ายเพิ่งกลับมาจากการซื้อของ
“คชา” เต๋าเรียกเสียงไม่ค่อยไม่ดัง เมื่อเดินมาใกล้กัน คนถูกเรียกก้าวชะงักแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตา พร้อมส่งยิ้มหวานไปให้
สวัสดีเต๋า ^^
มือเล็กเอื้อมไปแตะศอกของอีกฝ่ายเมื่อเต๋ากำลังจะเดินไป พลางขยับปากพูดช้าๆเป็นคำถาม พยายามให้อีกฝ่ายเข้าใจ
ก็คชาไม่ได้เอากระดาษลงมาด้วยนี่นา
‘ไป-ไหน’
“ว่าไงนะ”
‘ไป-ไหน’
“ไปไหน?...” รอจนคชาพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะตอบ “ไปสถานีตำรวจ เรื่องเมื่อวานน่ะ”
‘ไป-ด้วย’
“ไป.......ไป......ด้วย? ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันไปกับไทด์สองคนก็พอ” เต๋าพยายามอ่านปากคชาที่เจ้าตัวก็พยายามพูดช้าอย่างที่สุด
หลังจากที่ถูกปฏิเสธกลับมา คนที่ยื่นข้อเสนอก็เบ้ปาก แล้วส่ายหน้า มือยังคงยื้อแขนของอีกฝ่ายไว้แน่นไม่มีท่าทีว่าจะยอมปล่อย
ไม่ได้จะดื้อนะ คชาก็เห็นเหตุการณ์ คชาก็อยากไปด้วย
“นี่.........ฮื่อ เอา ไปก็ไป ขึ้นไปเปลี่ยนชุดก่อน” สุดท้ายก็ต้องยอมใจอ่อนพาคชาไปด้วย จากนั้นรอยยิ้มกว้างก็ถูกส่งมาให้อย่างรวดเร็ว ปากเรียวขยับพูดว่า ‘รอ-นะ’ แล้วรีบวิ่งไปกดลิฟต์
อันที่จริงมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกถ้าจะพาคชาไปด้วย เพียงแต่เขาคิดว่าสถานีตำรวจมันไม่ได้น่ารื่นรมย์สักนิดที่จะไปที่นั่นโดยไม่มีความจำเป็น แค่เขาต้องไปให้ปากคำแค่นี้ เขายังรู้สึกแปลกๆเลย แม้ว่าจะเป็นที่ทำงานเก่าของเขา แต่มันก็เต็มไปด้วยความทรงจำที่ยากต่อการลบทิ้งเป็นจำนวนมาก ความทรงจำที่อยากจะลืมแต่มันก็ไม่ลืมสักที
หลังจากที่คชาลงมาจากห้อง เต๋าก็พาขึ้นรถแล้วขับไปรับไทด์ ระหว่างทางก็อดแซวคนที่นั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ข้างๆไม่ได้
“ไปสถานีตำรวจนะ ไม่ใช่งานศพ” จะไม่ให้แซวได้ยังไงล่ะ ก็เจ้าตัวเล่นใส่เสื้อคอวีสีขาว กางเกงขายาวสีดำมาซะเป็นโทนขนาดนี้ คชาหัวเราะแหะๆแล้วเกาหัวแก้เก้อ
ก็เห็นเต๋าใส่เสื้อดำ เลยคิดว่าต้องใส่ด้วยน่ะสิ แหะๆ ;P
“ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มายืนตรงจุดนี้” เสียงค่อยๆของไทดังขึ้นข้างหู เมื่อทั้งสามคนก้าวลงจากรถแล้วเดินมาหยุดหน้าสถานีตำรวจ เต๋าขมวดคิ้วเข้มๆนั่นพลางพูดเสียงเรียบ ก่อนจะเดินนำเข้าไป
“ก็พูดไป”
หลังจากที่เดินตามไทด์กับเต๋าต้อยๆ สุดท้ายก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเคาท์เตอร์ได้ยินเต๋าพูดอะไรกับคุณตำรวจที่นั่งอยู่สองสามคำ ก่อนจะพามานั่งรออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“เดี๋ยวรอก่อนแปบนึง” เต๋าพูดเสียงเรียบสั้นๆ จนคชาอดคิดไปเองไม่ได้ว่า อีกฝ่ายจะอึดอัดกับการมาที่นี่อีกครั้งหรือเปล่า ก็ถ้ามันจะทำให้นึกถึงภาพเก่าๆพวกนั้นล่ะก็
คนตัวเล็กแอบมองผ่านไทด์ไปยังอีกคนที่นั่งถัดออกไป เต๋ายังคงนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด มียิ้มรับการทักทายของคุณตำรวจบางคนบ้างแล้วก็กลับมาหน้านิ่งเหมือนเดิม พลันก็นึกความคิดดีๆขึ้นมาได้ แอบหยิบกระดาษที่เตรียมมาขึ้นมาเขียนข้อความไว้ให้เต๋า ระหว่างนั้นไทด์ก็ขอตัวลุกไปเข้าห้องน้ำ คงจะตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
กระดาษใบน้อยที่เพิ่งถูกเขียนเสร็จโดยที่เจ้าของยังไม่ทันจะเก็บปากกาเข้าที่ เก้าอี้ข้างๆก็ถูกแทนที่ด้วยผู้ชายตัวมหึมาคนหนึ่ง(ในความคิดของคชา) ที่แขนซ้ายมีรอยสักเขียวเต็มไปหมดจนมองแทบไม่เห็นเนื้อหนัง หัวล้านเกรียนที่มองเห็นรอยบากเป็นแผลเป็น และใบหน้าที่มีเครารกครึ้มดูโหดเหี้ยม(ก็ในความคิดของคชาอีกนั่นแหล่ะ)
แม้ว่าจะมีคุณตำรวจอีกคนยืนคุมอยู่ข้างๆ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความกลัวและตกใจของผู้ชายตัวเล็กๆลดลงได้เลย คชาสะดุ้งโหยงเมื่ออีกฝ่ายหันขวับมาเพราะสังเกตได้ว่ามีคนจ้องหน้าตนอยู่ มือเล็กของคชาคว้าหมับไปที่มือเต๋าก่อนที่ตัวจะตามไปนั่งข้างๆจนชิดติดแน่น
เต๋ามองคนที่ตื่นกลัวอยู่แล้วมองเลื่อนไปข้างๆก็พอจะเข้าใจ มันก็เป็นธรรมดาของที่นี่ ไม่ได้มีคนหน้าตาดีสะอาดสะอ้านมาเดินป้วนเปี้ยนไปมาบ่อยๆหรอก ส่วนใหญ่ก็จะมีแต่ประมาณนี้ทั้งนั้น
“บอกแล้วว่าไม่ต้องมา” ก็อดจะดุอีกฝ่ายไม่ได้ล่ะนะ บอกไปแล้วก็ไม่เคยเชื่อ แต่ถึงจะบ่นจะดุยังไง มือกว้างๆนั่นก็ทำหน้าที่กุมมือเล็กๆไว้บนตัก บีบเบาๆทุกครั้งที่คชาสะดุ้งเมื่อหันไปมองคนตัวมหึมาข้างๆ
สักพักเหมือนคนที่ตกใจอยู่จะเพิ่งนึกออกว่าตัวเองได้เขียนอะไรไว้ให้เต๋า เลยรีบส่งกระดาษแผ่นนั้นให้ไปโดยที่ไม่ยอมปล่อยมืออีกฝ่าย
ก็กลัวนี่นา -^-
‘เต๋าไม่อยากมาที่นี่ใช่มั๊ย เต๋าไม่ต้องกลัวนะคชาจะอยู่เป็นเพื่อน’
คนตัวใหญ่กว่าอ่านข้อความแล้วก็พอจับใจความที่อีกฝ่ายพยายามจะบอกได้ ริมฝีปากยังคงทำได้แค่ยิ้มจางๆแล้วลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ มาบอกให้เขาไม่กลัว ตัวเองนั่นแหล่ะที่กลัวจนนั่งเบียดจนจะมานั่งเก้าอี้เดียวกันอยู่แล้ว
เขาไม่อยากมาที่นี่จริงๆ ก็คิดไว้แล้วว่าถ้าไม่จำเป็นใดก็ไม่อยากมา ยิ่งมายิ่งได้เห็นบรรยากาศตอนนี้ก็ยิ่งย้ำในภาพเก่าๆ ยิ่งมีเพื่อนร่วมงานเก่าๆมาทัก มาถามไถ่ ทั้งยังพูดถึงเหตุการณ์วันนั้นก็ยิ่งทำให้เขาอึดอัดและไม่สบายใจเสียเหลือเกิน
ใช้เวลาไม่นานกับการให้ปากคำแก่ตำรวจ อาจจะมีนอกประเด็นไปบ้างเมื่อไทด์เผลอโวยวายถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นและก่นด่าสาปแช่งกลุ่มนักเลงเหล่านั้น จนคชาต้องคอยดึงแขนไทด์ให้ใจเย็นๆและเต๋าที่มักจะเบี่ยงประเด็นกลับเข้าเรื่องเดิม
ไม่นานพวกเขาก็เตรียมเดินทางกลับ ระหว่างที่กำลังจะเดินมาถึงที่รถ ผู้หญิงในชุดเครื่องแบบตำรวจดูทะมัดทะแมงก็เดินสวนมาพอดีแล้วชะงักเมื่อเห็นเต๋า
“ผู้กอง!!” เสียงของเจ้าหล่อนดังจนคชาสะดุ้งโหยง พอๆกับไทด์ที่เอามือปิดหูแทบไม่ทัน
“ไง...หมวดแพรวา” เต๋าเอ่ยทักทายอย่างสนิทสนม คุยกันได้สักพักดวงตากลมโตของฝ่ายหญิงก็หันมาทักทายอีกสองคนที่เหลือซึ่งยืนเก้ๆกังๆทำตัวไม่ถูกอยู่ข้างหลังเต๋า จากนั้นสายตาก็มาหยุดอยู่ที่คนตัวเล็กที่ยิ้มแหยๆอย่างประหม่า
“คุณคะ เราเคยเจอกันที่ไหนหรือเปล่า หน้าคุ้นๆ” คชาชี้นิ้วมาที่ตัวเองแล้วทำตาโต จำได้ว่าเกิดมายังไม่เคยเจอใครแบบคุณตำรวจเลยนะ สาบานสามนิ้วเลย >O<
“ไปจำใครที่ไหนมามั่วล่ะหมวด” เต๋าปฏิเสธแทน หญิงสาวเถียงงุบงิบอยู่พักหนึ่งว่าคุ้นจริงๆ ก่อนจะขอตัวไปทำงานต่อ พวกเขาทั้งสามถึงได้กลับเสียที
“ไอ้ไทด์ แล้วอย่างงี้เมื่อไหร่จะได้เปิดร้าน” เต๋าเอ่ยถามเสียงเรียบ จนคชาแอบเหลือบตามองผ่านกระจกหลังไปยังคนที่กำพวงมาลัยรถอยู่ นึกว่าเต๋าจะเลิกทำหน้าเคร่งเครียดแบบเมื่อกี้แล้วหากแต่อีกฝ่ายยังคงขมวดคิ้วอยู่เป็นระยะๆ
“ไม่รู้ว่ะ นี่ก็จะจ้างคนอื่นเขามารื้อโต๊ะที่มันพังใหม่ ไหนๆก็ตกแต่งมันใหม่ซะเลย เผื่อจะหมดเคราะห์”
“ก็ดี”
ชายหนุ่มตอบสั้นๆ ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับเส้นทางข้างหน้าต่อ
คชาคิดว่าตัวเองพอจะรู้เหตุผลที่เต๋าทำหน้าเคร่งขนาดนี้ คงเป็นเพราะตอนที่คุยกับคุณตำรวจหนวดขาวคนนั้นแน่ๆ เห็นเต๋าพูดจาสีหน้าเคร่งเครียดเลย
“ขับรถกลับดีๆล่ะ คชาคาดเข็มขัดด้วย” หลังจากที่เต๋าขับรถมาส่งไทด์ที่หน้าบ้าน เจ้าตัวก็ลงจากรถแล้วหันมากล่าวลาก่อนจะช่วยคนตัวเล็กที่ย้ายที่นั่งมานั่งข้างคนขับแทนคาดเข็มขัดนิรภัย คชาโบกมือไหวๆให้ไทด์เมื่อรถค่อยๆเคลื่อนออก จนตอนนี้มีเพียงเขาและเต๋าอยู่ด้วยกันสองคน
‘มีอะไรหรือเปล่าเต๋า’ คนตัวใหญ่เหลือบมองกระดาษแผ่นน้อยที่ถูกส่งมา แม้จะรู้ว่ามันทำให้เต๋าไม่ถนัดอ่านเวลาขับรถแต่คชาก็อยากรู้อยู่ดี
“เปล่านี่ ทำไม” แม้จะปฏิเสธกลับมาแต่ใบหน้าก็ยังคงเคร่งเครียดอยู่เหมือนเดิม
‘เต๋าเครียด’ พอเห็นประโยคสั้นๆนั้นแล้วก็เรียกรอยยิ้มจางๆได้พร้อมกับมือที่เลื่อนมาขยี้กลุ่มผมนุ่มเบาๆจนคชาอมยิ้ม
“เป็นห่วงหรอ ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมากนะ” มือใหญ่ยังคงวางแหมะอยู่บนหัวกลมที่ขยับขึ้นลงช้าๆ
เต๋าไม่บอกไม่เป็นไร แต่อย่าเครียดนะ เป็นห่วงจริงๆ,,
หลังจากที่ขึ้นไปส่งคชาที่ห้องแล้ว ชายหนุ่มก็กลับมายังห้องของตัวเอง เต๋าทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาพลางยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก จริงอย่างที่คชาบอก เขาเครียด
วันนี้เขาเจอผู้กำกับฯ หัวหน้าเก่าที่เขาเคยทำงานด้วย อีกฝ่ายเข้ามาคุยกับเขาเพื่อต้องการให้เขากลับเข้ามาทำงานอีกครั้ง หากเขายังคงปฏิเสธ แต่เมื่อถูกขอร้องให้อย่างน้อยก็ช่วยเหลือในปฏิบัติการที่กำลังจะดำเนิน กลับทำให้เต๋าต้องคิดหนัก
‘นักค้ายาเสพติดกลุ่มเดิมกับคดีวันนั้น มันกลับมาอีกแล้ว หน่วยสืบคดีของเราติดตามการทำงานของมันมาระยะหนึ่งและพบว่ามันกำลังลักลอบขนยาเสพติดผ่านทางแนวชายแดน ยิ่งไปกว่านั้นเราได้รับรายงานมาว่ามันได้เข้ามาตั้งโรงงานผลิตแถวๆนี้’
‘ผมไม่เข้าใจที่ท่านพูด ผมเลิกแล้ว ผมจะไม่ยุ่งกับเรื่องพวกนี้อีก’
‘ผมอยากให้คุณเป็นกองหน้า คอยติดตามพวกมันก่อนที่ตำรวจจะเข้าจับกุม’
‘มันอาจจะจำผมได้’
‘แต่ตอนนี้คุณเป็นพลเรือนทั่วไป มันจะง่ายถ้าเราได้คนที่มีประสบการณ์และไม่ได้เป็นตำรวจมาทำงานนี้ มันสำคัญมากนะ เศรษฐพงศ์’
‘แต่ผมไม่อยากต้องเจอกับเรื่องแย่ๆแบบนั้นอีก ท่านก็รู้ดี’
‘ผมให้เวลาคุณตัดสินใจ แต่ผมอยากให้คุณรู้ว่านี่ไม่ใช่เพื่อคุณ หรือเพื่อผม แต่มันเป็นเรื่องระดับประเทศ เรื่องของส่วนรวมที่เราต้องร่วมรับผิดชอบ คุณเข้าใจผมใช่มั๊ย’
และสิ่งที่เต๋าเข้าใจนั้นกำลังทำให้เขาต้องมานอนกลุ้มอย่างนี้ ไม่ว่าอย่างไรท่านผู้กำกับฯก็อยากให้เขาร่วมงานด้วยอีกครั้ง ไม่ใช่ในฐานะตำรวจ หากแต่เป็นพลเรือนที่จะสามารถเจาะแทรกแซงกลุ่มคนร้ายและเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ได้
แต่ทำไมต้องเป็นเขา...โชคชะตาคงกำลังเล่นตลกกับคนๆหนึ่งอยู่อย่างสมใจ
------------------------------------------------
Talkin'
พาร์ทนี้สั้นไปหน่อย = = เนื่องด้วยอะไรหลายๆอย่าง(เช่นสอบไม่ติด TT) ที่ทำให้ฟีลมันไม่มาจริงๆ พาร์ทอาจจะสังเกตกันได้ว่า ไม่ค่อยมีฉากกระชุ่มกระชวยหัวใจ ต้องขอกราบขอประทานอภัยอย่างรุนแรง T^T รับรองพาร์ทหน้าแน่นอน (ฟีลขาดอีกแน่นอน ???)
ขอกำลังใจเยอะๆนะคะ + สวัสดีวันลอยกระทง
ความคิดเห็น