คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : FramexKacha :: Too close, Too far I
#1
ผมกำลังนั่งเล่นกีต้าร์
ผมกำลังนั่งเล่นกีต้าร์อยู่คนเดียว
ผมกำลังนั่งเล่นกีต้าร์อยู่คนเดียวและมองใครบางคน
ผมกำลังนั่งเล่นกีต้าร์อยู่คนเดียวและมองใครบางคนที่นั่งอยู่อีกฟากของห้อง
ผมกำลังนั่งเล่นกีต้าร์อยู่คนเดียวและมองใครบางคนที่นั่งอยู่อีกฟากของห้องที่กำลังนั่งจิ้มไอแพดอยู่ไม่วางตา
ผมกำลังนั่งเล่นกีต้าร์อยู่คนเดียวและมองใครบางคนที่นั่งอยู่อีกฟากของห้องที่กำลังนั่งจิ้มไอแพดอยู่ไม่วางตาแล้วอมยิ้มเบาๆกับตัวเอง
......
...
ผมกำลังนั่งเล่นกีต้าร์
ใครๆก็บอกว่าผมรักมันเสียยิ่งกว่าอะไร และผมก็คิดอย่างนั้น
ใครๆก็บอกว่าคงไม่มีอะไรมาทำให้ผมรักได้มากกว่ากีต้าร์แล้ว และผมว่ามันถูกต้องอย่างที่สุด
แต่จนวันนี้ ความคิดผมก็เปลี่ยนไป
เพราะเขา...คนที่กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามผม
มันเป็นเพราะเขา ที่ทำให้ความรักของผมไม่ได้มอบให้กับกีต้าร์อย่างเดียวอีกต่อไป
มันเป็นเพราะ.......
คชา
------------------ Too close, Too far ------------------
“หมาวัดมันได้แต่มอง”
เสียงแหลมกร้าวที่คุ้นหูดังขึ้นข้างๆผมพร้อมกับร่างโปร่งของพี่แพรวานั่งลงไม่ไกลจากตัวผม ผมรู้ว่าพี่แพรวาหมายถึงใครและต้องการสื่ออะไร
ใช่ ก็ผมนี่ไง...ผมนี่แหล่ะหมาวัดที่มีสิทธิ์ได้แค่มองโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย นั่นล่ะ...ผมเอง
“เสียงดังไปป่ะ” ผมแสร้งเปลี่ยนเรื่อง ผมไม่อยากฟังพี่แพรวาเปิดประเด็นเรื่องผม เพราะถึงพูดไปยังไง ทุกอย่างก็เหมือนเดิม เฟรมก็ยังได้แค่มองคชาอยู่เหมือนเดิม
“เขาไม่ได้ยินหรอกน่า อยู่ในโลกส่วนตัวขนาดนั้น ฉันแค่อยากแวบมาดูว่าแกจะทำอะไรๆบ้าง เห็นว่านั่งกันอยู่สองคน” ดูเหมือนว่าคำพูดเบี่ยงประเด็นของผมมันจะใช้ไม่ได้ผล แต่ถึงยังไงผมก็รู้ว่าต่อให้เบี่ยงเลี่ยงยังไงกับแพรวาก็เป็นไปไม่ได้หรอกถ้าเจ้าตัวตั้งใจจะพูดจริงๆ
“แล้วพี่จะให้ผมทำอะไรๆแบบไหนล่ะ” ผมตอบกลับไป ไม่ปฏิเสธว่ารู้สึกขมขื่นแค่ไหน ผมรู้สึกโกรธและเกลียดตัวเองอยู่ในใจ ก็ในเมื่อผมได้โอกาสอยู่กับเขาแค่สองแต่สอง แม้ว่าจะอยู่คนละฝั่งของห้องก็เถอะแต่ผมกลับไม่เริ่มทำอะไรสักอย่างอย่างที่พี่แพรวาคิด เอาแต่นั่งเล่นกีต้าร์ อิมโพรไวส์ตีคอร์ดไปมั่วๆ ก็เพราะสายตาผมจับจ้องอยู่ที่เดียวน่ะสิ ที่ฝั่งนู้นกับคนที่จมอยู่ในโลกส่วนตัวและไม่ได้สนใจผมเช่นกัน
“เฟรม แล้วแกจะยังไง ทีอยู่ในบ้านล่ะพูดนักพูดหนาว่าออกจากบ้านมาอยากทำอย่างนู้น อยากชวนคชาไปทำอันนั้นอันนี้ แล้วไง ฉันก็ไม่เคยเห็นแกทำอะไรสักที”
“เบาดิพี่” ผมเรียกเตือนสติพี่แพรวาเมื่อท้ายๆประโยคพี่เขาชักจะขึ้นเสียงโดยเฉพาะชื่อคชาที่ดูจะดังกว่าคำอื่นๆ เดี๋ยวเขาก็ได้ยินหมดหรอก
“ฉันล่ะเหนื่อยกับแกจริงๆ เฟรม ทำไมฉันต้องมารับรู้เรื่องของแกด้วยวะเนี่ย” น้ำเสียงผู้หญิงตรงหน้าผมฟังดูขัดใจ ผมรู้...และผมรู้ถ้ามันจะเป็นแบบนี้ ผมคงไม่เล่าให้พี่เขาฟัง….
ตั้งแต่อยู่ในบ้าน ผมกับพี่แพรวา เราถือความลับร่วมกันอยู่ แต่มันเป็นความลับของผม เป็นความอึดอัดภายในใจของผมที่ไม่อาจระบายที่ไหนได้ แต่พี่แพรวากลับมองเห็นความอึดอัดในแววตาผม พี่แพรวากลับรู้สึกถึงความลับในใจของผมและคาดคั้นจนได้คำตอบจากผมในที่สุด
จำได้ว่าตอนแรกผมไม่กล้าบอกความจริง ความจริงที่ว่าแอบชอบพี่คชา ผมกลัว กลัวว่ามันจะทำให้ความสัมพันธ์ที่ปกติก็ไม่ค่อยสนิทของเรามันยิ่งห่างเหินกันมากขึ้นไปอีก แต่พี่แพรวาเป็นที่ปรึกษาและนักเก็บความลับที่ดี เรื่องของผมจึงไม่เคยถูกพูดขึ้นมานอกเสียจากเราอยู่ด้วยกันสองคน
ผมชอบพี่คชา...ในตอนแรกความรู้สึกของผมมันแค่ชอบเหมือนชอบนักร้องสักคน ชอบเวลาที่เขายิ้ม เวลาที่พูด เวลาที่หัวเราะ เวลาที่เขาทำหน้านิ่งๆ เวลาที่เขาเล่นเปียโน เวลาที่เขาร้องเพลง เวลาที่เขาเต้น ชอบ...ในทุกๆการกระทำของเขา ผมรู้สึกแค่นั้น
แต่ยิ่งนานวันไป ผมได้รู้จักเขามากขึ้น และใส่ใจในรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเขามากขึ้น แต่นั่นมันไม่เท่ากับความรู้สึกของผม ผมรู้สึกอิจฉาพี่เต๋าที่สามารถอยู่ใกล้ๆพี่คชาได้อย่างสนิทใจ ไม่ว่าจะกิน นอน เต้น ร้องเพลง ออกกำลังกาย ที่ไหนมีพี่คชาก็จะมีพี่เต๋าอยู่ใกล้ๆ แต่ในทางกลับกัน...
ผม...กลับไม่เคยแม้แต่นั่งใกล้เขาสักครั้ง
เวลาที่พี่คชาเหนื่อย จะมีพี่เต๋าคอยอยู่ข้างๆ ตบบ่าและพูดว่าสู้ๆ ทั้งๆที่ผมก็ทำได้เหมือนกัน
เวลาที่พี่คชาเมื่อย จะมีพี่เต๋าคอยนวดให้อยู่ทุกครั้ง แต่ผมกลับต้องแสร้งนั่งสวดมนต์จนใครต่อใครล้อแซวกันบ่อยๆ
เวลาที่พี่คชาตื่นมาตอนดึกและเห็นพี่เต๋าไม่ห่มผ้า มือบางๆนั่นก็จะดึงผ้าขึ้นมาห่มให้ แต่ความห่วงใยนั่นก็ไม่เคยเผื่อมาถึงผมเลย
เวลาที่พี่คชาร้องไห้ จะมีมือของพี่เต๋าคอยกอดปลอบประโลมและเช็ดน้ำตาให้อยู่เสมอๆ แต่ผมกลับทำได้เพียงยืนมองน้ำตาของเขาและปล่อยให้น้ำตาตัวเองไหลอยู่เพียงลำพัง
จนวันหนึ่งที่ผมรู้ว่า ความรู้สึกของผมที่มีแต่เขามันไม่ใช่แค่ชอบเหมือนชอบนักร้องทั่วไป แต่มันคือความรัก ความรักที่ก่อตัวขึ้นมาท่ามกลางความปวดร้าวที่เกาะกินในจิตใจของผม ความรักที่ผมไม่อาจคาดหวังสิ่งใดๆเพราะเขามีใครอีกคนอยู่ข้างกายเสมอ ความรักที่เป็นความลับของผมเพียงผู้เดียว
เกือบทุกๆวันในบ้านที่ผมมักจะหาเวลาคุยกับพี่แพรวา ระบายความรู้สึก ความทุกข์ของผมให้พี่แพรวารับฟัง ผมแค่คิด...ว่ามันอาจจะช่วยแบ่งเบาความอึดอัดนี้ได้บ้าง แต่มันก็ไม่มีทางช่วยอะไรให้ดีขึ้นได้ แม้ว่าผมจะได้ใกล้ชิดกับพี่คชามากขึ้น แม้ว่าผมจะพูดคุยหยอกล้อกับพี่คชาได้มากกว่าเดิม แต่ความใกล้ชิดผูกพันระหว่างพี่คชากับพี่เต๋ากลับเพิ่มเป็นทวีคูณ แซงความรู้สึกของผมแบบไม่เห็นฝุ่น
ทุกๆวันผมพยายามฝึกร้องเพลง เล่นกีต้าร์อย่างหนัก เพื่อลืมความคิดที่มีต่อพี่คชาให้ได้ แต่แม้สักเสี้ยวนาที ใบหน้าของเขา เสียงของเขาก็ไม่อาจลอยออกไปจากจิตใจของผมได้เลย แต่เหมือนว่าคนบนฟ้าคงจะเห็นว่าผมยังทุกข์ไม่พอ ท่านเลยสาปสั่งให้ผมต้องเจอกับความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
มันเป็นเพราะผมกับพี่แพรวาที่เรามักจะคุยกันอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะสัปดาห์ที่เราต้องร้องเพลงคู่กัน ผมเลยถือโอกาสปรึกษาพี่แพรวาไปด้วย เพราะความสนิทสนมของเรามันเลยทำให้หลายๆคนคิดว่าเราชอบกันแล้วกลายเป็นประเด็นให้แซวอยู่ร่ำไป ผมคิดว่ามันดีเสียอีก ให้ผมมีข่าวกับพี่แพรวา พี่คชาจะได้ไม่สงสัยหรือเอะใจในความรู้สึกที่เปลี่ยนไปของผม แต่แล้วผมก็รู้สึกว่ามันผิดพลาดไปหมด เมื่อวันหนึ่งที่พี่คชาเดินเข้ามาแล้วแซวผมกับพี่แพรวาแถมยังเสนอตัวเป็นที่ปรึกษาให้ผมอีกต่างหาก ผมกลัวว่าพี่คชาจะเชื่ออย่างนั้นจริงๆ ผมแอบคิดว่าพี่คชาคงไม่ได้คิดอะไรกับพี่เต๋าและหวังอยู่ในใจลึกว่าผมน่าจะมีโอกาสบ้าง แต่ถ้าพี่คชาปักใจคิดว่าผมชอบพี่แพรวาจริงๆ สุดท้ายผมคงหมดหวัง ต้องแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ลงแข่ง
ตั้งแต่วันนั้นจนออกจากบ้าน ผมรู้สึกหมดหวังจริงๆ ยิ่งเห็นพี่คชาสนิทสนมกับพี่เต๋ามากแค่ไหน ผมก็รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าแล้วถูกตะคอกใส่ว่า แกยังจะหวังอยู่อีกหรือ ความรู้สึกของคนที่พ่ายแพ้เกาะกินจิตใจของผมจนไม่เหลือชิ้นดี
และมันก็ทำให้ผมยังคงเจ็บ...จนถึงทุกวันนี้
------------------ Too close, Too far ------------------
“แกฟังฉันอยู่รึเปล่าเนี่ย” เสียงพี่แพรวาปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ ผมหันไปมองผู้หญิงผมยาวข้างๆผมที่ถลึงตาใส่ผมเหมือนจะกินหัวผมให้ได้
“ว่าไงนะพี่”
“เห้อ....แกไม่รู้หรอกว่าตัวแกตกอยู่ใต้อิทธิพลของพี่คชามากแค่ไหน ถ้าแกจะยอมปล่อยให้ตัวแกเจ็บเพราะคนๆเดียว ฉันว่าถ้าไหนๆมันต้องเจ็บ แกก็ต้องทำให้ถึงที่สุด ทำให้เขารู้ว่าแกรักเขา แกรู้สึกยังไงกับเขา เข้าใจที่ฉันพูดป่ะ” คำพูดของพี่แพรวาปักกระแทกเต็มใจผมอย่างแรง นั่นสินะ ถ้าสุดท้ายผมต้องเจ็บ ผมก็ควรจะทำทุกอย่างให้มันถึงที่สุดไม่ใช่หรือไงกัน
“ขอบใจว่ะพี่” ผมแค่นยิ้มช้าๆ พี่แพรวาตบบ่าผมก่อนจะเดินออกไป ผมแอบเหลือบมองพี่คชาที่ยังคงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ดวงตาเรียวเหลือบมองพี่แพรวาที่เพิ่งเดินออกไปแล้วเลื่อนมาสบตาผมพอดี ผมไม่รู้จะทำยังไงเลยได้แต่ส่งยิ้มทะเล้นๆให้ไป เพราะมันเป็นนิสัยปกติของผมที่ต้องคอยปกปิดความลับจากพี่คชา
หลังจากที่พี่คชาก้มลงไปวุ่นวายกับไอแพดในมือต่อ ผมก็ได้แต่งมกับกีต้าร์ของตัวเองอยู่นานสองนาน อาจเป็นเพราะช่วงบ่ายที่ความเหนื่อยล้าครอบงำร่างกายของผม ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศและเบาะนุ่มสบายทำให้ผมผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
เสียงกีต้าร์จากที่ไหนนะ....เอ...หรือผมจะฝันไป
ครึงงงงง ตึก
แล้วผมก็รู้สึกตัว สะดุ้งขึ้นมา อา...ปวดหลังชะมัด ผมเอามือทุบหลังตัวเองเท่าที่พอจะเอื้อมถึงก่อนที่จะสังเกตว่ากีต้าร์ในมือผมมันหายไป ผมลุกพรวดขึ้นมานั่งก่อนจะพบว่ากีต้าร์ที่รักของผมกำลังอยู่ในมือของคนที่ผมรักเช่นกัน
“เฮ้ย โทษที ไม่คิดว่าจะทำให้ตื่นว่ะ” พระเจ้าครับ ท่านต้องการอะไรจากผม ถ้าท่านจะทำอย่างนี้ ได้โปรดเถอะครับ ฆ่าผมให้ตายเลยเสียยังดีกว่า
ผมไม่รู้ว่าเขาผละจากไอแพดและนั่งอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้พี่คชากำลังถือกีต้าร์ผมอยู่ พร้อมส่งยิ้มแห้งๆมาเป็นเชิงขอโทษ ผมรีบส่ายหน้าและโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน พยายามนึกถึงหัวข้อสนทนา เรื่องอะไรก็ได้ที่จะทำให้พี่คชานั่งอยู่กับผมตรงนี้นานๆ
ผมแค่อยากมีช่วงเวลาดีๆให้ได้เก็บไปฝันทุกคืน ช่วงเวลาที่ผมแทบไม่เคยได้จากเขา
“ล่ะ....เล่นเพลงอะไรอยู่หรอพี่” ไม่พูดพร่ำให้มากความ ผมรีบทรุดลงไปนั่งบนพื้นข้างๆพี่เขา มือเรียวพยายามกดคอร์ดแต่ดีดเบาๆอย่างไม่แน่ใจ
“เพลงนี้ แต่กำลังงงได้ที่เลย” พี่คชาชี้ที่กระดาษสีขาวบนพื้นแล้วลองดีดอีกครั้ง
“สอนหน่อยสิ” มือกำลังจะยกกีต้าร์คืนกลับมาให้ผม แต่ผมดันมันไว้ก่อนแล้วรีบคว้ากีต้าร์อีกตัวลงมาเล่นแทน
“พี่เล่นตัวของผมไปก็ได้ อา...ผมขอดูหน่อยล่ะกันนะ” ผมเลื่อนกระดาษมาใกล้ๆตัวแต่ก็กะระยะให้พี่คชายังมองเห็น แอบเนียนขยับเข้าไปใกล้พี่คชานิดหน่อยเพราะโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆ
“จับคอร์ดแบบนี้ แบบนี้ๆ...เอานิ้ววางไว้ตรงนี้ฮะ” มันเป็นคอร์ดที่ยากนิดหน่อย พี่คชาเลยวางนิ้วผิดผมเลยสาธิตให้ดู จนสุดท้าย ผมเลยตัดสินใจถือวิสาสะจับมือพี่เขาวางให้รู้แล้วรู้รอดไป ไม่ปฏิเสธหรอกครับว่าใจมันสั่นแค่ไหน แล้วพี่คชาจะสังเกตมั๊ยนะว่ามือผมมันก็สั่นด้วย
“ยากจังแฮะ” เสียงใสๆแอบบ่นงุบงิบ ผมเผลอมองคนที่ตั้งหน้าตั้งตาจับคอร์ดอย่างขะมักเขม้นและก็อดยิ้มไม่ได้ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงได้ขโมยความรักจากผมไปได้ง่ายดายและหมดจนเช่นนี้
ผมสีดำขลับรับกับใบหน้าที่ขาวใสเหมือนผู้หญิง ดวงตาเรียวที่เหมือนจะมีความรู้สึกมากมายอยู่ในนั้น จมูกเป็นสันเข้ากับริมฝีปากเรียวบางที่ผมอยากสัมผัสมันสักครั้ง
อยากจะสัมผัสสักครั้ง
ไวเท่าความคิด มือผมค่อยๆเลื่อนไปจับมือบางที่จับอยู่บนคอกีต้าร์ จนอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองผม ดวงตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกในนั้นมันกำลังส่งผ่านความสงสัยและประหลาดใจมาให้ผม แต่ผมจะไม่หยุดอีกแล้ว ผมจะไม่ยอมเป็นคนแพ้อีกแล้ว
ผมโน้มตัวไปข้างหน้า ใกล้เขาจนกีต้าร์ของเราชนกัน พี่คชายังคงนั่งตัวแข็งอยู่ตรงนั้น ไม่ได้หนีไปไหน ผมรู้สึกถึงแรงสั่นน้อยๆจากมือที่ผมกุมอยู่ หน้าผากของเราค่อยๆชนกัน เป็นครั้งแรกที่ผมได้สบตาดำขลับนานขนาดนี้ ความหวั่นไหวถูกส่งมาถึงผม ผมไม่รู้ว่าเขาจะรู้มั๊ยว่าผมเองก็หวั่นไหวเหมือนกัน ทั้งหวั่นไหวและกลัว
ใบหน้าผมเลื่อนต่ำลงช้าๆ ลมหายใจที่ติดขัดของเขาเป่ารดอยู่บนสันจมูกของผม ผมรู้สึกถึงมืออีกข้างของเขาเลื่อนมายันไว้ที่อกของผม แวบหนึ่งที่ผมคิดว่าเขาอาจปฏิเสธแต่ผมไม่เปิดโอกาสนั้น ริมฝีปากของผมค่อยๆแตะลงที่ริมฝีปากบาง มันเป็นสัมผัสเบาๆที่คนอย่างผมจะให้กับเขาได้
แต่แล้วมือเล็กๆทั้งสองข้างนั้นก็รวบรวมแรงแล้วผลักผมออกห่าง ผมผละออกมาแล้วเริ่มคิดว่า นี่ผมทำอะไรผิดไปรึเปล่า แววตาที่ไม่พอใจปรากฏเด่นชัดอยู่ต่อหน้าผม มันสั่นระริกแต่กลับแข็งกร้าวอยู่ในตัว
“ทำอะไรน่ะเฟรม” อย่าพูดกับผมด้วยเสียงแบบนี้ ได้โปรดอย่ามองผมด้วยสายตาแบบนี้เลย
“ผม....” ผมแค่หวังว่าเขาจะเปิดใจและให้โอกาสผม
แต่คำตอบคือ ‘ไม่’ สินะ
“ต้องการอะไรน่ะเฟรม ทำแบบนี้ทำไม” น้ำเสียงที่ผมชอบฟังกำลังสั่น ในแววตาของเขามันเป็นประกายและสั่นไหว ขออย่าให้เป็นน้ำตาเลย ได้โปรดอย่าร้องไห้เลยนะ
“ผม....รักพี่....ผมรักคชา” มือเล็กสะบัดหนีการเกาะกุมของผมหลังจากที่ผมสารภาพมันออกไป สิ่งที่ติดอยู่ในใจผมมานาน คำที่คอยตอกย้ำให้ผมเจียมตัว คำที่มันอาจอยู่ในใจผมคนเดียวตลอดไปถ้าไม่ได้พูดมันออกมาในวันนี้ และสิ่งที่ผมได้รับคือการปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยของคนที่ผมมอบความรักให้จนหมดใจ
คงโดนเกลียดแล้วสินะ
“พูดบ้าอะไรน่ะเฟรม เสียสติไปแล้วรึไง” แววตาที่สั่นไหวเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว แล้วตะคอกใส่ผมอย่างโกรธเคือง มันเจ็บ เจ็บจนรู้สึกว่าหัวใจมันถูกบีบจนแหลกเละ ถูกบีบด้วยน้ำมือของพี่คชา
“ผมบอกว่าผมรักพี่ ผมรักพี่คชา ได้ยินมั๊ย ผมทนที่จะต้องเก็บมันไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ผมต้องทนทำเป็นไม่รู้สึกอะไรกับพี่ไม่ได้อีกแล้ว คชา!!” คำสุดท้ายที่ผมตวาดใส่เขาทำให้พี่คชายกกีต้าร์ออกไปวางข้างๆแล้วลุกขึ้นยืน เหมือนจะเดินหนีผม
“นายแค่กำลังเข้าใจตัวเองผิด เฟรม” ผมรีบลุกขึ้นตามเขาแล้วคว้าแขนเล็กๆนั่นไว้ พี่คชาเอนมาชิดตัวผมทำให้ผมใช้มือทั้งสองข้างจับแขนเข้าไว้ได้ถนัด
“ผมเปล่าและผมไม่ได้เสียสติ แต่ผมคิดกับพี่อย่างนั้นจริงๆ”
“นายมันบ้าไปแล้ว มันไม่มีทาง พี่ไม่ได้คิดอะไรกับนาย เข้าใจมั๊ยเฟรม” เขาพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากมือของผม ทำไมผมรู้สึกว่าแววตาเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชิงชังในตัวผมเหลือเกิน ริมฝีปากที่ผมสัมผัสไปเมื่อครู่เม้มแน่น การกระทำของเขามันทำให้ผมรู้สึกเคียดแค้นและโกรธเคือง
“ทำไม มันต้องเป็นพี่เต๋ารึไง พี่ถึงจะยอม อะไรๆก็พี่เต๋า ทำไมถึงต้องเป็นเขา ทำไมไม่เป็นผมบ้าง ทำไมหา คชา” ผมเขย่าตัวเขาแรงๆด้วยโทสะ แต่ในขณะเดียวกันที่มือสองข้างของเขาตีอกทุบไหล่ผม มันคงเป็นอย่างที่ผมพูดจริงๆสินะ
ความอดทนผมถึงขีดสุด ผมดึงร่างของพี่คชามาแนบตัว มือข้างหนึ่งรั้งท้ายทอยของเขาเข้ามารับสัมผัสจากผม ความรู้สึกผมไม่เหมือนเมื่อครู่ที่ผมจูบเขาเพราะความรัก แต่ครั้งนี้เพราะความโกรธและชิงชังเหลือเกิน ผมพยายามดันแทรกเข้าไปในโพรงปากของเขา มือเล็กที่พยายามดันผมออกห่างไมได้ก็เปลี่ยนมาทุบตีผมแทนแต่ผมไม่สน ผมยังคงรุกล้ำเข้าไป เปลี่ยนองศาการสัมผัสและดูดกลืนความหอมหวานนั้นอย่างไม่ลดละ จนสุดท้ายผมก็ผละออกจากตัวเขา
สิ่งสุดท้ายที่ผมเห็นก่อนจะถูกชกร่วงลงไปกองกับพื้นคือน้ำตาเม็ดโตที่ไหลอาบนองใบหน้าหวานพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ค่อยๆจางหายไปตามเจ้าของร่างที่วิ่งหนีผมออกจากห้องไปทันที
และเขาคงพยายามวิ่งหนีผมไปตลอดกาล
------------------ To Be Continue ------------------
Talk ,,
อยากพูดอยากคุย =.,= บทความนี้เป็นเต๋าคชา แต่เห็นเจ้าเฟรมแล้วมันหมั่นเขี้ยว เลยอยากจับเด็กมันมาแต่งบ้าง สุดท้ายก็ลงเอยที่จับมาคู่กับพี่คชาของน้องนี่แหล่ะ ๕๕๕
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามตอนหน้า...ตอนจบนะคะ ^^;
ความคิดเห็น