คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ก้าวที่สอง,,
Chapter2
1203..1203...1203......อืม..........อ๊ะ เจอแล้ว ^O^
มือกำแล้วทำท่าเยสกับตัวเองเมื่อหาห้องที่ตัวเองต้องการเจอ ตอนนี้คชากำลังยืนอยู่หน้าห้องของเจ้าของกระเป๋าตังค์ใบนี้ หลังจากที่ชั่งใจว่าจะมาตอนเช้าดี ตอนบ่ายดี หรือจะเป็นตอนเย็นๆดี สุดท้ายก็ลงตัวที่ตอนบ่ายแก่ๆ
ถึงจะเจอห้องของเต๋าที่อยู่ชั้นล่างจากห้องตัวเองมาสามชั้น แต่คชาก็ใช่ว่าจะเป็นคนกล้าขนาดนั้น เลยได้แต่เดินวนไปวนมาอยู่หน้าประตูนานสองนาน จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งดังลอดมาจากในห้อง
“ผมบอกว่าไม่ก็ไม่สิ ผมไม่อยากต้องสูญเสียอีกแล้ว ไม่เอา ผมไม่ต้องการคู่หู ผมเลิกเป็นตำรวจแล้ว เข้าใจมั๊ย และไม่ว่าคุณจะโน้มน้าวผมยังไงผมก็จะยังคงปฏิเสธเพราะฉะนั้น เลิกยุ่งกับผมสักที !!” สิ้นเสียงตะคอกนั้น คชาก็แทบสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากข้างในพร้อมกับเสียงข้าวของแตกกระจาย
“โอ๊ย!!”
แต่พอได้ยินเสียงอุทานและจับน้ำเสียงได้ถึงความเจ็บปวดก็ทำให้คนที่รีรออยู่หน้าประตูรีบเคาะประตูและร้องหมุนลูกบิด ปรากฏว่าประตูไม่ได้ล็อก คชาจึงรีบวิ่งเข้าไปข้างในเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ชายหนุ่มคนเดียวกับเมื่อวานนั่งอยู่ท่ามกลางข้าวของที่แตกกระจายไปทั่วพื้นห้อง ใบหน้าขาวจัดก้มลงพร้อมกับมือที่แผ่ออก คชาเห็นเลือดไหลออกมาจากฝ่ามือนั่น
ถูกแก้วบาดแน่เลย...
ร่างเล็กเดินไปนั่งตรงข้าม พยายามหลบเศษแก้วที่แตกไปด้วย ไม่กล้าที่เอื้อมไปสัมผัสแต่เพราะเลือดที่ยังไหลไม่หยุดทำให้ต้องรีบคว้าข้อมืออีกฝ่ายขึ้นมา ฝ่ายเต๋าที่ไม่รู้ตัวว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาในห้อง ก็เงยหน้าขึ้นอย่างตกใจและพบว่าคนที่กำลังกดฝ่ามือเค้าแน่นคือคชา เด็กนักเปียโนที่ร้านไทด์นั่นเอง
“เข้ามาทำไม ออกไป” ดวงตาแข็งกร้าวหากแต่น้ำเสียงกลับสั่นเครืออย่างควบคุมไม่ได้ ไม่อยากให้ใครก็ตามมาเห็นเขาอ่อนแออย่างนี้ แต่เมื่อสบตาอีกฝ่าย กลับเหมือนน้ำเชี่ยวมวลใหญ่ที่พังทลายกำแพงของเขาลงอย่างสิ้นเชิง คชามองหน้าเขาอย่างจริงจังและเคร่งเครียด คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันพร้อมกับแววตาที่พยายามสื่อคำพูดออกมา และเต๋าก็พอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรประกอบกับมือเล็กๆที่กดห้ามเลือดที่ฝ่ามือเขาอยู่
“ไม่ต้องยุ่งน่า” ชักมือตัวเองออกจากมือเล็กๆ คชาผงะไปเมื่อเห็นท่าทีที่แข็งกร้าวนั่นอีกครั้ง เขาเลยลุกขึ้นแล้วเดินไปรอบๆห้องอย่างถือวิสาสะเพื่อหาอุปกรณ์ทำแผลด้วยตัวเอง
หงุดหงิดนะเนี่ย ถ้าคชาไม่รู้จักคชาจะปล่อยให้เลือดไหลตายอยู่ในห้องนี่แหล่ะ เฮอะ
เดินวนไปวนมาอยู่ครู่หนึ่ง ขาเรียวก็เดินกลับมาที่เดิมแล้วจ้องหน้าเต๋าอย่างเอาเรื่อง พลางยื่นกระดาษแผ่นน้อยให้อีกฝ่าย
‘ถ้าไม่บอกว่ายาอยู่ไหน คชาจะปล่อยให้ตายจริงๆนะ’
“แผลแค่นี้มันไม่ตายหรอก จะไปไหนก็ไป” คิดหน้าคิดหลังคิดแล้วคิดอีกยังไงก็ไม่เข้าใจเหตุผลที่ทำให้อีกฝ่ายมายืนหน้ายู่ในห้องเขาได้ ธุระก็ไม่ใช่ ไม่เข้าใจว่าจะมาวุ่นวายทำไม
แต่สุดท้ายแม้ว่าจะเอ่ยปากไล่ไปแล้ว คชาก็ยังยืนเท้าเอวหน้ายู่อยู่ตรงหน้า ประมาณว่าถ้าไม่ให้ทำแผลให้จะไม่ไปไหนจริงๆด้วย คนตัวใหญ่กว่าเลยจำใจบอกที่ของมัน และเจ้าเด็กนักเปียโนก็ผลุบหายไปและกลับมาพร้อมกล่องยาชุดหนึ่ง
แขนเล็กๆอีกข้างที่ว่างอยู่ดึงคนตัวใหญ่กว่าให้ลุกไปทำความสะอาดแผลก่อนมานั่งที่โซฟาเพื่อทำแผลต่อ ถึงจะดูลุกลี้ลุกลนแต่เมื่อเวลาทำแผล มือเล็กกลับทำอย่างเบามือและตั้งใจจนเต๋าแอบเผลอมองสำรวจใบหน้าที่ติดจะหวานเกินกว่าผู้ชายนั้นไม่ได้ คิ้วที่ยังคงขมวดแน่น ดวงตาที่จับจ้องอยู่ทุกขั้นตอนของการกระทำ และริมฝีปากที่เม้มแน่นยามที่เจ้าตัวค่อยๆบรรจงทายาเห็นแล้วก็ทำให้เต๋าต้องเลิกคิ้ว ถอนหายใจหนักๆ
“มันไม่ใช่ธุระอะไรของนายที่จะต้องมาทำแผลให้ฉัน”
คชาเงยหน้าขึ้นมองเหมือนรอให้เต๋าพูดต่อ แต่คนเริ่มประเด็นก็ปิดปากเงียบไป ทำให้พยาบาลจำเป็นก้มลงไปทำแผลต่อจนเสร็จ
ระหว่างที่คชากำลังเก็บอุปกรณ์ลงกล่องให้เรียบร้อยเหมือนเดิม เต๋าก็มองคนตัวเล็กแล้วแปลกใจกับตัวเอง เขามองคนที่วุ่นวายอยู่ในห้องของเขาโดยที่เขาไม่ได้ขับไสเหมือนที่เคยเป็นมา แม้จะนึกได้แต่ตอนนี้เขาก็ยังปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งจ้องหน้าเขาอยู่ตรงข้าม
“อยากเล่าอะไรรึเปล่า หน้าเหมือนมีอะไรสักอย่าง” เต๋าอ่านออกเสียงข้อความที่คชาเขียนในกระดาษแล้วสบตาอีกฝ่ายอีกครั้ง คนที่ทำตัววุ่นวายกับเขาเมื่อครู่ตอนนี้จะกลายเป็นผู้ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตไปแล้วรึไง
เล่ามาสิ .... เต๋าคิดว่าคชากำลังจะบอกเขาแบบนั้น และด้วยอะไรก็ตามแต่ที่ทำให้เขายอมเอ่ยปากเล่าเรื่องของตัวเองออกไป
“เมื่อกี้ คนที่เคยทำงานด้วยกันเขาโทรมา เขาอยากให้ฉันกลับไปเป็นตำรวจอีกครั้ง แต่ฉันปฏิเสธ ฉันไม่อยากต้องเจอกับเรื่องแย่ๆแบบนั้นอีกแล้ว อืม...แต่เล่าไปนายก็คงไม่เข้าใจ”
คชาก็หยิบแผ่นกระดาษที่เตรียมมาพร้อมปากกาเขียนอะไรบางอย่างส่งให้เต๋า
“คชารู้เรื่องเต๋าแล้ว เสียใจด้วยนะ”
คนตัวใหญ่อ่านออกเสียงให้ได้ยินกันทั้งสองฝ่ายแล้วถอนหายใจยาว รู้สึกขอบคุณอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่แค่การแสดงความเสียใจแต่เป็นบางอย่างในตัวเด็กคนนี้ที่ทำให้เขายอมเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังอย่างง่ายดาย จนตัวเองยังรู้สึกแปลกใจแต่มันก็ช่วยทำให้เขารู้สึกดีขึ้นกว่าเดิม
“ขอบใจ ฉันก็รู้เรื่องของคชาเหมือนกัน ถือว่าเจ๊ากันนะ” อมยิ้มนิดๆแต่กลับได้ยิ้มกว้างๆจากอีกฝ่ายตอบแทน
“แล้วตกลงมีธุระอะไร ถึงได้บุกเข้าห้องคนอื่นอย่างนี้ ไล่แล้วก็ไม่ไปอีกต่างหาก” คชาทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก ก่อนจะล้วงในกระเป๋าเสื้อกันหนาวแล้วหยิบกระเป๋าตังค์ที่มีกระดาษโน้ตติดอยู่ส่งคืนให้เต๋า
“อา...กระเป๋าฉันนี่ คชาเอามาคืน” ประโยคหลังเป็นการอ่านข้อความในกระดาษโน้ต เต๋ายิ้มเอ่ยขอบใจเบาๆ
กระดาษโน้ตอีกแผ่นถูกยื่นมาตรงหน้า “ให้คชาช่วยเก็บของนะ ไม่เป็นไร ฉันทำเองได้” แล้วกระดาษโน้ตก็ถูกส่งมาอย่างต่อเนื่อง “ให้คชาช่วยเก็บดีกว่า จะได้ไม่เหนื่อย” เต๋าเหลือบตามองคนที่พยักหน้าอย่างมุ่งมั่น นี่ถ้าไล่กลับไปจะร้องไห้งอแงมั๊ยเนี่ย สุดท้ายเต๋าก็เลยยอมให้อีกฝ่ายช่วยเขาเก็บของที่ตกเกลื่อนพื้น แถมยังไม่ลืมย้ำให้ระวังเศษแก้วด้วย
หลังจากที่ช่วยกันคนละไม้คนละมือเก็บกวาดจนสะอาดเรียบร้อย คนตัวเล็กก็ส่งกระดาษที่เขียนลากลับก่อน
“คชาพักอยู่ที่นี่เหมือนกัน มีอะไรอยากให้ช่วยบอกได้นะ” อ๋อ ถึงว่าล่ะทำไมถึงรู้จักห้องของเขา
“อืม ขอบใจ เดินกลับห้องดีๆล่ะกัน” ชายหนุ่มรอจนคชาเดินขึ้นลิฟต์ไปจึงค่อยๆปิดประตู แล้วมองไปรอบๆห้องที่ถูกจัดเป็นระเบียบอีกครั้งก่อนจะอมยิ้มกับตัวเอง
เขาแปลกใจตัวเอง ก่อนหน้านี้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่เขารู้สึกโมโหและรำคาญ แต่ภายในเวลาไม่กี่นาทีที่เขากลับรู้สึกสบายใจและผ่อนคลาย
เพราะเด็กคนนั้นคนเดียว...
ดิ๊งด่อง ~
เสียงกุกกักดังอยู่ข้างในก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก คชาแปลกใจเล็กน้อยเมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือเต๋า ชายหนุ่มออกจะเคอะเขินอยู่นิดๆด้วยไม่รู้จะเริ่มพูดในสิ่งที่ตัวเองจะพูดยังไง
“เอ่อ...ลงไปหาอะไรกินกันมั๊ย คือ...ฉันจะตอบแทนที่คชามาช่วยฉันวันนี้” สุดท้ายก็พูดออกไปจนได้ แวบแรกเต๋าแอบเห็นรอยยิ้มจางๆของคชาก่อนที่มันจะหายไปแทนที่ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยชอบใจนัก ร่างเล็กเบี่ยงตัวหลบให้ดูมาม่ากระป๋องที่กำลังถูกต้มอยู่บนโต๊ะ
“อา...งั้นไม่เป็นไร ไว้...วันหลังก็ได้” ความเสียดายปรากฏบนใบหน้าที่ปกปิดไม่มิด เต๋ากำลังจะหันหลังกลับแต่ถูกคชาดึงแขนไว้ก่อน คนตัวเล็กรีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องแล้วกลับมาพร้อมกระดาษโน้ตที่ถูกส่งให้เต๋าอย่างรีบร้อน
“ไม่เป็นไร คชาถือลงไปกินกับเต๋าก็ได้ เหอะๆ เอาจริงหรอ” อ่านไปก็ยิ้มไป รู้สึกเอ็นดูในความไร้เดียงสาของอีกฝ่าย คชาพยักหน้าสองสามทีแล้วกลับไปหยิบกระป๋องมาม่าออกมาจากห้อง ทั้งคู่เดินไปขึ้นลิฟต์แล้วเป็นเต๋าที่เป็นคนนำทางไปที่ร้านที่ต้องการ
“อากาศหนาวนะ ทำไมไม่ใส่เสื้อหนาๆล่ะ” เต๋าพาเดินออกมาจากคอนโดฯ ร้านที่เขาจะไปอยู่ไม่ไกลและคงใช่เวลาไม่นานเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันสำหรับคนที่ใส่เสื้อไหมพรมแขนยาวเพียงตัวเดียว
คชาส่ายหัวดิ๊กๆเป็นเชิงว่าไม่หนาว จนเต๋าไม่อยากเซ่าซี้ ทั้งคู่เลยเดินไปตามทางเท้าด้วยกันเงียบๆ
“ไปไหน ร้านนี้” คนตัวสูงเรียกคนที่เดินใจลอยจนเลยร้านไป คชาหันขวับมาทำหน้าเหรอหราแล้วรีบก้าวยาวๆกลับมา จนทำให้คนที่เปิดประตูรออยู่หลุดหัวเราะอย่างเอ็นดู
หลังจากที่ได้ที่นั่งเป็นโต๊ะซึ่งอยู่ด้านในของร้าน ที่สามารถมองผ่านกระจกใสเห็นสวยเล็กๆหลังร้านได้ คชาก็วางกระป๋องมาม่าตัวเองแล้วใช้ส้อมพลาสติกที่แถมมาคนๆจนสามารถกินได้
“ยังจะกินไอ้นั่นอยู่อีกหรอ” คชาพยักหน้าอย่างไม่เข้าใจในความหมายของเต๋า มือเล็กใช้ส้อมตักเส้นมาม่าสีเหลืองขึ้นมาใส่ปาก ท่าทางเอร็ดอร่อย จนคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับส่ายหัว
คนเค้าอุตส่าห์พาออกมากินข้างนอกแท้ๆ ช่างจงรักภักดีต่อมาม่าอะไรอย่างนี้นะ
ไม่นานพนักงานร้านก็เดินมาพร้อมเมนู เต๋าสั่งอาหารไปสองสามอย่าง แอบสั่งสลัดมาเผื่อให้คชาด้วย และไม่นานอาหารที่สั่งไปก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะ
“กินนี่ด้วย สั่งมาให้ กินแต่แป้งถึงได้ตัวเล็กอย่างนี้” ดันชามสลัดไปตรงหน้า คชาเบะปากเล็กน้อยเหมือนกำลังถูกดุยังไงไม่รู้ แต่ก็ยอมตักผักในชามกลมๆใส่ปาก
“แล้ววันนี้ไม่รีบไปร้านหรอ จะหกโมงเย็นแล้วนะ” จู่ๆเต๋าก็พูดขึ้นเมื่อจัดการกับมื้อเย็นของตัวเองเสร็จ หากแต่คนตรงหน้ายังค่อยๆจิ้มผักกินแต่ละคำ คชาส่ายหน้าเป็นคำตอบก่อนจะหยิบปากกาบนโต๊ะและกระดาษแถวๆนั้นมาเขียน
“ร้านปิดทุกวันอาทิตย์ อ้าวหรอ...ไม่ยักกะรู้ เมื่อก่อนมันเปิดทุกวันนี่นา” เต๋าอ่านอย่างแปลกใจ ก็เมื่อก่อนจำได้ว่ามันเปิดทุกวันจริงๆนะ แล้วแถมยังปิดวันอาทิตย์แบบนี้ขาดทุนแย่น่ะสิ
คชายู่หน้า แล้วก้มลงเขียนอีกรอบ
“ก็เต๋าไม่ได้มาตั้งนานไม่ใช่หรอ อะไรๆมันก็ต้องเปลี่ยนบ้างสิ อืม...จริงสินะ”
“เลิกอ่านออกเสียงได้มั๊ย อ่านในใจสิๆ” เต๋าอ่านข้อความบนกระดาษอีกแผ่นที่ส่งมาต่อเนื่องแล้วหัวเราะร่วน เมื่อตัวเองเผลออ่านออกเสียงไปอีกหน จนคนเขียนมาสั่งถลึงตาใส่ คชาทำปากมุบมิบอยู่คนเดียวแล้วค่อยๆจัดการมื้อเย็นคำสุดท้าย
“กินอะไรอีกมั๊ย” ถามดูเพราะแค่มาม่ากับสลัดอาจจะยังไม่อิ่มแต่คนตัวเล็กส่ายหน้าเป็นคำตอบพลางตีพุงแปะๆให้รู้ว่าอิ่มแล้ว เห็นอย่างนั้นจึงเรียกพนักงานมาเก็บเงิน
นิ้วเรียวกดปุ่มลิฟต์เมื่อเดินกลับมาถึงคอนโดฯ คชากดเลขชั้นของเต๋าก่อนที่จะถึงและทั้งสองคนเดินออกมา เต๋าที่ถูกมือเล็กๆดันๆให้ออกจากลิฟต์ออกอาการงงเล็กน้อยแล้วหันกลับไปก็เจออีกฝ่ายยืนโบกมือไหวๆ
“อ้าว เดี๋ยวไปส่งๆ” พยายามจะเดินย้อนกลับเข้าลิฟต์เพื่อตั้งใจจะไปส่งคชาที่ห้องก่อน แต่คชาก็ดันตัวเขาไว้อีกแล้วส่ายหน้า เต๋าเลยยอมแต่โดยดี
“งั้นก็กลับห้องดีๆก็แล้วกัน ฝันดีครับ” คชาทำท่าตะเบ๊ะแบบทหารใส่เขาทีหนึ่งแล้วเดินเข้าลิฟต์ไป เต๋ามองแววตาที่ส่งมาก่อนประตูลิฟต์จะปิดแล้วตีความเอาเองว่าอีกฝ่ายคงจะพูดประมาณ ‘ครับผม’ หรือไม่ก็ ‘ฝันดีเหมือนกันนะเต๋า’อะไรแบบนี้
‘ถ้าผมเจอเขาเมื่อไหร่ ผมจะขอเขกหัวกลมๆนั่นสักทีสองที ข้อหาทำให้ผมต้องมานั่งรอเขาที่ร้านไอ้ไทด์อย่างนี้ทุกคืน’
“เห้อ ~” เต๋าถอนหายใจเฮือกใหญ่ หยิบแก้วใสซดของเหลวสีฟ้าขุ่นลงคอแล้วหันไปมองที่เวทีซึ่งตลอดหนึ่งอาทิตย์มานี้มีเพียงนักร้องนำกับกีต้าร์โปร่งหนึ่งตัวเท่านั้น เปียโนที่มักจะมีเด็กหนุ่มตัวเล็กคอยกดลิ่มบรรเลงเพลงเพราะๆอยู่นั้นได้หายไป หายไปจากร้านและเมื่อไปหาที่ห้องก็ไม่มีสัญญาณใดๆตอบกลับมา
ทำไมถึงรู้น่ะหรอ ก็เพราะผมไปหาเขาทุกเช้า กลางวัน เย็นและนั่งรออยู่อย่างนั้นเหมือนคนบ้า ตลอดทั้งอาทิตย์นั้นผมเอาแต่เฝ้าถามตัวเองว่าทำไมผมถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ ทำไมผมถึงอยากเจอเขา ทำไมผมต้องมาใส่ใจกับคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน ไม่รู้สิ คงเป็นเพราะเราเจออะไรๆมาเหมือนกัน เพราะตอนนี้ผมไม่มีเพื่อน เพราะตอนนี้ผมว่าง ไม่มีอะไรทำนอกจากการหาใครสักคนมาทำให้ผมวุ่นวายเล่น
และแน่นอน คชาก็กำลังทำให้จิตใจของผมวุ่นวายอย่างที่ต้องการจริงๆ ผมรอ รอ และก็รอ จนถึงวันนี้ ในที่สุด ผมก็ทนรอไม่ได้อีกต่อไป
“ไทด์...ไอ้ไทด์” เสียงทุ้มดังเรียกคนที่เดินวุ่นให้มาหา ไทด์จัดการกับงานของตัวเองเสร็จก็เดินมานั่งข้างๆ
“อะไรวะ เห็นมั๊ยเนี่ยกูยุ่งอยู่ ไม่ได้ว่างแบบมึงนะ”
“กูแค่อยากรู้” เต๋าเว้นจังหวะอยู่นิดนึงจนทำให้คนฟังยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างจับผิด จนคนที่จะถามต่อต้องแสร้งเสมองไปทางอื่น “ว่า...นักเปียโนของมึงไปไหน ทำไมช่วงนี้ไม่เห็นมาเล่นเลย”
“ฮั่นแน่ !!!” เสียงไทด์แหลมจนคนที่รอคำตอบแทบสะดุ้ง เต๋าสบถด่าเบาๆแล้วตีหน้าซีเรียสกลบเกลื่อน
“นี่แปลว่าที่มึงมาร้านกูทุกคืนนี่ มึงมารอคชาใช่มั๊ย ไอ้เชี่ยยยย กินเด็ก”
“โตขนาดนี้มึงคิดอะไรเนี่ย กูแค่อยากรู้เฉยๆ” ชายหนุ่มยังคงยืนกรานที่จะปฏิเสธแต่ไทด์ก็สังเกตได้ ไม่สิ...ใครๆเขาก็สังเกตได้ จริงมั๊ยทุกคน *พยักหน้า*
“แหมๆๆ” แกล้งแซวนิดแซวหน่อยจนเต๋าทำหน้าเหมือนจะหาเรื่อง เขาเลยต้องยอมบอกความจริง “ช่วงนี้เด็กมันมีสอบที่มหา’ลัย เค้าเลยขอหยุดอาทิตย์นึง ที่จริงไอ้เฟรมมันก็สอบเหมือนกันนะ แต่มันบอกมันฉลาดกว่าคชา มันเลยยังมาทำงานอยู่” ช่วงหลังๆนี่เต๋าแทบไม่ได้ฟังแล้วว่าไทด์พูดอะไรบ้าง สมองหยุดอยู่แค่ว่าคชามีสอบ
มีสอบนี่เอง ก็ว่าถึงไม่มา...อ้าว แล้วทำไมไม่อยู่ที่ห้องล่ะ
“เออ...แล้วมึงมีเบอร์มั๊ย เอ...คชามีมือถือหรือเปล่าวะ.... อะไร” เต๋าถามต่ออย่างอยากรู้แต่พอเงยหน้ามองไทด์ที่ส่งสายตาเจ้าเล่ห์อมยิ้มกรุ่มกริ่มให้ก็รู้ว่าตัวเองพลาดท่าให้มันแซวได้อีกเสียแล้ว
“กูไม่ได้คิดอะไร กูแค่อยากรู้เบอร์เขาเฉยๆ จริงจริ๊งงงงงง”
จนได้น่ะสิ
ไทด์ดัดเสียงเต๋าและยังคงส่งเสียงแซวอย่างต่อเนื่องแต่มือก็ล้วงมือถือตัวเองออกมาหาเบอร์คชาให้ แอบส่ายหน้าเบาๆเมื่อเห็นคนปากแข็งรีบกดเมมเบอร์อย่างรวดเร็ว
พ่อคุณ มันไม่ได้จะระเหยไปไหนหรอก ไม่ต้องรีบขนาดนั้น
“แต่มึงระวังโทรไปแล้วเขาไม่พูดนา” เต๋ากำลังจะหันมาถามว่าทำไมวะ ก่อนที่เพิ่งจะนึกขึ้นได้ ร่างสูงเลยพยักหน้าเออออ หลังจากที่ได้เบอร์มาเสร็จสรรพ เต๋าก็นั่งดื่มเนียนๆอยู่ที่ร้านต่ออีกสักสิบนาที ก่อนจะขอตัวกลับก่อน พอดีกับที่เฟรมเดินลงจากเวทีมาหาไทด์พอดี
“ยิ้มอะไรอยู่วะพี่” เห็นคนที่กำลังเก็บแก้วยิ้มอยู่คนเดียวก็อดถามไม่ได้ ไทด์เงยหน้าขึ้นมาตอบอย่างอารมณ์ดีแต่ก็ทำให้เฟรมยืนงงไปหลายนาที
“กำลังคิดว่า อากาศมันชักจะอุ่นขึ้นมาแล้วล่ะ”
อุ่นไรวะ หนาวจะตาย -.,-
-------------------------100-------------------------
Talkin'
ครบร้อย *จุดพลุ*
ถามตัวเองอยู่เหมือนกันว่าที่เอามาลงมันสามสิบแน่หรือ ... สามสิบจริงๆจ๊ะ = =;; จะมีคนเชื่อมั๊ยน่อ ><
ก้าวที่สองนี้ค่อนข้างกุ๊งกิ๊งกรุบกริบนิดนึง ค่อนข้างถนัดหน่อยไม่หวานมาก พอให้รีดเดอร์จิ้นได้ต่อ (รึเปล่า)
ยังไงก็ตามแต่ เรื่องดำเนินมาสองก้าวแล้ว คิดยังไง บทเป็นยังไง เขียนเป็นยังไง แนะนำติเตียนชื่นชม ฯลฯกันได้นะคะ อยากให้เม้นกันเยอะๆจัง จะบอกว่าอ่านคอมเม้นของทุกคน ไม่ว่าจะสั้นหรือยาวมันก็อมยิ้มได้ทุกครั้งไปจริงๆ ^^ขอบคุณนะคะ
ความคิดเห็น