คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ก้าวที่หนึ่ง,,
Chapter1
“เผื่อวันใดเธอลืมไปว่ารักกันหรือเปล่า เผื่อวันเวลาที่เลยผ่านอาจจะเจือจางทุกเรื่องราว...”
“โหย พี่ไทด์ ทำไมวันนี้มีแต่เพลงเศร้าวะเนี่ย ไม่จอยๆ” เสียงตะโกนมาจากมุมหนึ่งของร้านทำให้เจ้าของร้านเงยหน้าจากเคาท์เตอร์มายิ้มขำ
“ก็ไปถามนักร้องมันเองสิ” โบ้ยความผิดให้เด็กหนุ่มหน้าตาดีที่นั่งถือไมค์ร้องเพลงอยู่หน้าเวที โดยมีฉากหลังเป็นเปียโนสีดำพร้อมด้วยผู้บรรเลงที่น่ารักไม่แพ้กัน
ที่นี่เป็นทั้งบาร์และร้านอาหารในตัว ด้วยความชอบส่วนตัวของไทด์เจ้าของร้าน ทำให้ร้านถูกตกแต่งออกมาในบรรยากาศชิลๆ มีเพลงสบายๆให้ฟังตลอดทั้งคืน ภายในร้านมีทั้งมุมปาร์ตี้สำหรับมาเป็นหมู่คณะ มุมสำหรับคู่รักหรือเพื่อนซี้สองสามคน มุมเอ็นจอยตรงหน้าเวทีรวมทั้งมุมคนโสดคนเหงาตรงเคาท์เตอร์ยาว ดูโดยรวมแล้วเหมาะเจาะและเป็นที่ถูกอกถูกใจลูกค้าเก่าใหม่จนทำให้ร้านนี้ครึกครื้นไปด้วยผู้คนตั้งแต่เปิดยันปิดร้าน
“ครับ ต่อไปมาฟังเพลงรักหวานๆ ให้อบอุ่นกันในบรรยากาศหน้าหนาวนี้กันครับ” สำเนียงอีสานฟังไม่ค่อยชัดทำเอาคนฟังทั้งหลายแอบอมยิ้ม ไม่อยากเชื่อว่าเป็นคนๆเดียวกับที่ร้องเพลงเพราะๆเมื่อกี้ เด็กหนุ่มหันไปหานักเปียโนของเขาก่อนจะส่งสัญญาณเป็นการเริ่มจังหวะเพลง
“คือฉันรักเธอ ฉันรักเธอ....” เสียงโห่ร้องชอบใจในบทเพลงเป็นสัญญาณตอบรับที่ดีจากผู้ฟังทำให้นักร้องนำฉีกยิ้มกว้าง รวมไปถึงหนุ่มน้อยหลังเปียโนตัวใหญ่ที่คลี่ยิ้มจางด้วยเช่นกัน
เมื่อเวลาล่วงเลยมาเกือบสามทุ่ม เวทีถูกผลัดเปลี่ยนแก่กลุ่มนักร้องอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งก็เรียกเสียงปรบมือได้ดีไม่แพ้กัน เด็กหนุ่มนักร้องนำเดินมาหาเจ้าของร้านที่เคาท์เตอร์ซึ่งกำลังเทน้ำใสๆลงในแก้วใบเล็กให้
“วันนี้มีคนขอเบอร์ด้วยล่ะ เฟรม” ไทด์พูดพลางทำท่ายักคิ้วหลิ่วตา เฟรมพูดตอบพลางยิ้มทะเล้นโชว์เหล็กดัดฟันสีชมพูอ่อน
“เบอร์พี่อ่ะหรอ ที่จริงขอผมก็ได้นะ ผมก็มี ฮ่าๆ”
“เดี๋ยวเหอะ ไอ่นี่” แก้วใสที่กำลังเช็ดอยู่ในมือเกือบจะถูกประเคนไปบนหัวชี้ฟูของเฟรม ในข้อหากวนตีนได้ทุกเวลา
“ว่าแต่ ใครขอพี่ สวยป่ะ”
“หึ ผู้ชายโต๊ะในนู่นต่างหาก น้องเฟรมฮ้า~” ว่าพลางแกล้งแหย่เฟรมเล่นจนเจ้าตัวออกอาการจั๊กจี้ขนลุก
“บ้าแล้ว...อ้าว เฮ้ย คชา จะกลับแล้วหรอ” ยังไม่ทันโวยวายตอบกลับ สายตาก็เหลือบไปเห็นนักเปียโนของเขากำลังสะพายกระเป๋าเตรียมออกจากร้าน เด็กหนุ่มร่างเล็กเงยหน้ามาอย่างงงๆก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
“อากาศมันหนาว รีบๆกลับนะเฮ้ย” เจ้าของร้านส่งเสียงอย่างเป็นกันเอง คนตัวเล็กคลี่ยิ้มแล้วพยักหน้าสองสามที คชามองรอบตัวสำรวจว่าลืมของอะไรอีกรึเปล่า ก่อนจะลาไทด์และเฟรมแล้วเปิดประตูออกจากร้านไป
หากระหว่างนั้นไม่มีใครอีกคนที่เปิดประตูเข้ามาพอดี ทำให้คนที่ตัวเล็กกว่าเผลอชนเข้าอย่างจัง
“เดินให้มันดีๆสิ” น้ำเสียงที่คชาเข้าใจว่าคนพูดต้องอยู่ในอาการเมาแน่ๆ เขาจึงไม่ติดใจอะไรในคำกล่าวโทษของชายหนุ่มตรงหน้า หัวกลมที่มีเฮดโฟนคล้องอยู่ที่คอโค้งให้เล็กน้อยแล้วเบี่ยงตัวเดินออกไป
“แม่ง เด็กสมัยนี้...” ชายร่างสูงเมื่อครู่เดินเกือบจะเซมานั่งตรงเคาท์เตอร์ ใบหน้าขาวจัดกระทบกับแสงไฟหลากสีทำให้เจ้าของร้านเกือบจะจำไม่ได้ ไทด์ผละมาจากเฟรมแล้วมุ่งตรงมาที่ชายหนุ่มผู้มาใหม่ซึ่งนั่งอยู่เก้าอี้ถัดไปสองตัว
“ไม่อยากจะเชื่อสายตา ยอมออกมาข้างนอกแล้วหรือไงพ่อคุณ” แน่ล่ะก็เขาไม่ได้เจอผู้ชายคนนี้มาเกือบสองเดือนเต็มๆทั้งที่ปกติออกจะเป็นลูกค้าประจำด้วยซ้ำ ชายหนุ่มยกยิ้มน้อยๆก่อนจะเสเปลี่ยนเรื่องไปสั่งเครื่องดื่มกับบริกรอีกคน
“ไอ้เต๋า เป็นไงวะเนี่ย เมาอยู่แล้วยังจะสั่งเหล้ากินอีก” พยายามยื่นจมูกเข้าไปใกล้อีกฝ่ายก็ได้กลิ่นแอลกอฮอล์จัดโชยมา คนถูกทักไม่ว่าอะไรกลับกระดกเครื่องดื่มที่เพิ่งเสิร์ฟมาจนหมดแก้ว และไม่วายสั่งเพิ่มอีก
“อร่อยเหมือนเดิม” คือคำพูดที่ร่างสูงตอบกลับมา ไทด์ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจปนสงสาร
“เออช่างเถอะ ออกมาข้างนอกบ้างก็ดีแล้ว กินอะไรก็สั่งไป กูเลี้ยงเอง”
“ใครวะพี่” เฟรมถามอย่างสงสัยแกมอยากรู้หลังจากที่ไทด์เดินกลับมา ไทด์มองกลับไปยังคนที่เอาแต่กระดกมะเร็งลงตับอย่างไม่หยุดหย่อนก่อนจะหันมาไขความกระจ่างให้เฟรม
“เต๋า มันเป็นตำรวจ...เคยเป็น แหมเรื่องคนอื่นน่ะสนใจดีแท้” ไทด์เริ่มเล่าและก็สังเกตเห็นแววตาเฟรมที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นจนอดกัดอดแซวไม่ได้
“โถ่พี่...ต่อๆ แล้วทำไมเคยเป็น ตอนนี้ไม่ได้เป็นแล้วหรอ”
“เห็นว่าเพราะคดียาเสพติดคดีหนึ่งที่เต๋ามันรับผิดชอบเกิดผิดพลาด ลูกน้องที่พาไปด้วยถูกยิงตายหมดเหลือเต๋ามันคนเดียวที่ยังรอด มันคิดว่ามันเป็นต้นเหตุ เลยลาออกแล้ว...”
กึก !
“เลิกพูดถึงมันซะทีได้มั๊ย” ไม่ทันที่ไทด์จะพูดจบ แก้วในมือขาวก็ถูกกระแทกลงบนโต๊ะอย่างไม่กลัวแตก เสียงทุ้มต่ำแต่สั่นเครือดังแทรกเสียงเพลง เฟรมแอบสังเกตเห็นน้ำใสๆในตาคู่นั้น
“แล้วมันก็ขังตัวเองอยู่ในห้องเกือบเดือนจนได้เจอมันก็วันนี้แหล่ะ” แม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายดูอารมณ์ไม่ดีแต่ก็อดไม่ได้ที่จะสานต่อเรื่องราวให้จบ เฟรมพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจก่อนจะปล่อยให้ไทด์เดินไปหาเต๋า
“เฮ้ย อย่าซีเรียสๆ เดี๋ยวทำสูตรใหม่ให้ลอง” ตบบ่ากว้างสองสามที ก่อนจะก้มๆเงยๆทำเครื่องดื่มสูตรใหม่ที่ว่าเอาใจ หากยังไม่ทันได้เทลงในแก้วทรงสูง ไทด์ก็ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆจากคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม พอลองย่อตัวลงมองหน้าคนที่ก้มหัวเอามือเท้าหน้าผากอยู่ก็ถึงบางอ้อ พลันใจก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม รู้จักกันมาหลายปี เพิ่งเคยเห็นมันร้องไห้ออกอากาศ(?)ก็วันนี้แหล่ะ
“เชี่ยแล้วไง เฮ้ย เต๋า ใจเย็นเว่ย นี่ไง ทำสูตรใหม่ให้กินแล้ว อย่าร้องๆ” พยายามปลอบใจอีกฝ่ายหากแต่ร่างสูงก็ยังคงร้องไห้อยู่อย่างนั้น ดูไม่เข้ากับตัวและคำพูดเมื่อครู่เท่าไหร่แต่ไทด์ก็เข้าใจความรู้สึกอีกฝ่าย มันเลิกขังตัวเองและยอมออกมาข้างนอกแต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้เสียหน่อย เมื่อหมดปัญญาที่จะหาคำมาปลอบก็เลยได้ยืนตบบ่าปลอบใจอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น
ก็แค่ภาวนาให้สักวัน มันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เป็นผู้กองเต๋าเพื่อนของเขาที่เข้มแข็งคนเดิม...
บางทีคุณคงไม่คาดคิดว่าจะมีฝนเม็ดโตตกลงมาท่ามกลางลมหนาวเช่นนี้
เด็กหนุ่มร่างเล็กเดินออกมาจากคอนโดฯที่พักพร้อมด้วยร่มใสลายจุดสีดำ เข้ากับสเวทเตอร์สีขาวฟ้าบนร่างสมส่วนนั่นเป็นอย่างดี คชาเดินกางร่มอย่างอารมณ์ดี ใช่...ฝนตกหนัก แต่เขาก็ยังรู้สึกมีความสุข ยามที่ยื่นมือออกไปนอกคันร่ม สัมผัสความเปียกชื้นของน้ำหยดใสที่ตกกระทบฝ่ามือก็ทำให้ฉีกยิ้มกว้างได้
ปกติแล้วคชาจะมีเรียนทุกวัน แต่วันนี้วันเสาร์ ร้านพี่ไทด์ที่เขาทำงานพิเศษอยู่ก็เปิดเร็วกว่าวันธรรมดา คนตัวเล็กจึงตัดสินใจออกบ้านมาเร็วกว่าปกติ กะจะไปซ้อมเปียโนเพลงใหม่ๆไว้ให้เฟรมร้องซะหน่อย
เดินมาไม่ถึงอึดใจก็แอบแวบเข้าร้านสะดวกซื้อ แล้วได้จูปาจุ๊บมาสองอัน ก็แค่ซื้อไว้เผื่อเฟรมแย่งกินน่ะ จะได้มีอีกอันไว้กินเอง มือเล็กพยายามแกะห่อจูปาจุ๊บพร้อมหนีบคันร่มไว้ใต้แขน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างของใครบางคนนั่งอยู่บนฟุตบาทหน้าร้านแถมยังเอนตัวพิงเสาไฟฟ้าอีกต่างหาก สติดีรึเปล่าก็ไม่รู้
ไม่กลัวเปียกหรือไงนะ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก
ชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ คชาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้แล้ววางร่มไว้ข้างๆผู้ชายคนนั้น แอบชะโงกดูหน้าอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะหลับอยู่เสียด้วย รู้สึกคุ้นๆเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อนนะ
อ๋อ ลูกค้าคนที่เราเดินชนเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่นา เอ เขาไม่มีบ้านหรือไงกันนะ อ่ะ...เอาร่มคชาไปใช้ก่อนล่ะกัน
หลังจากหยิบยื่นน้ำใจให้คนที่คิดว่าหลับไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว คนตัวเล็กก็ดึงฮู้ดขึ้นมาคลุมหัวแล้วรีบวิ่งไปยังร้านพี่ไทด์ที่อยู่อีกไม่กี่ช่วงตึก แอบนึกขอบคุณตัวเองที่เลือกใส่เสื้อที่มีฮู้ด ไม่งั้นได้ตัวเปียกโชกขึ้นเวทีแน่ๆเลย
“อ้าว เฮ้ย คชา ทำไมวิ่งตากฝนมาอย่างนั้นน่ะ” คชาเปิดประตูเข้ามาในร้านที่ยังไม่มีลูกค้าเพราะเพิ่งบ่ายโมงกว่าๆเท่านั้น ยังไม่ทันจะดึงฮู้ดออกก็โดนเจ้าของร้านทักเสียแล้ว ไทด์เดินเข้ามาแล้วทำหน้าเหมือนพ่อกำลังดุลูกที่ไปเล่นจนเปียกปอน และเป็นมือของไทด์ที่ดึงฮู้ดออกแล้วขยี้หัวกลมๆนั่นแทน
“ดูดิ๊ ชื้นอย่างเงี้ย อากาศก็หนาว แล้วเดี๋ยวจะเป็นหวัด คอยดูสิ ทำไมไม่เอาร่มมา หา?!” คชาได้แต่ยิ้มแหยๆส่งกลับไป นึกขอโทษขอโพยอยู่ในใจก่อนจะถูกไทด์ลากไปนั่งหลังเคาท์เตอร์ ไม่พอคนมีศักดิ์เป็นพี่ยังสั่งให้เขาเปลี่ยนเสื้อใหม่อีกต่างหาก ถึงมันจะเปียกแค่เสื้อนอกแต่ไทด์ก็ค่อนข้างซีเรียส
คงกลัวว่าร้านจะขาดนักดนตรีล่ะมั้ง ฮรี่ๆ
“ขำอะไร” สำเนียงแปร่งจากคนที่ไม่ต้องมองก็รู้ว่าใครดังขึ้น พร้อมกับเจ้าตัวเดินหัวชี้ หน้าเหมือนคนเพิ่งตื่น ถือผ้าผืนเล็กมาพร้อมเสื้อตัวใหม่ให้เปลี่ยน
คชาส่ายหน้าแต่ก็ยังอมยิ้มอยู่ รับเสื้อมาจากเฟรมแล้วถอดเปลี่ยนมันตรงนั้น ยังดีที่ใส่เสื้อยืดไว้ข้างในอีกตัว อา...อุ่นจังเลย
“เสื้อตัวเก่งเลยนะเนี่ย ดูแลดีๆล่ะ” นักร้องของเขาแอบบ่นยุบยิบ แต่มือก็หยิบผ้ามาเช็ดผมให้คนที่นั่งแกว่งขาสบายใจเฉิบ ทั้งที่ตัวเองยังรู้สึกเหมือนนอนไม่เต็มอิ่มเลยด้วยซ้ำ
เฟรมนอนที่นี่ หรือเรียกได้ว่าถูกไทด์จ้างให้มานอนเฝ้าร้าน จากแรกๆก็แค่เฝ้าคืนสองคืน แต่กลายเป็นว่าเพราะมันไม่ต้องเสียค่าหอค่าที่พัก อยู่ที่นี่อยู่ฟรีกินฟรี มีน้ำให้อาบ มีไฟให้ใช้ มีทีวีให้ดู แจ่มสำหรับเด็กอีสานคนนี้แท้ๆ สุดท้ายเลยกลายเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรไปโดยปริยาย
กึก..
เสียงประตูปิดทำให้ต้องหันไปหาผู้มาใหม่
“ขอโทษนะครับ ร้านยังไม่เปิดน...อ้าว เต๋า ไง มาแต่ตะวันอยู่กลางหัวเชียว” ไทด์ทักทายอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นลูกค้าคนแรกของร้าน หลังจากวันนั้นที่เต๋ามาร้องไห้ในร้านของเขา อีกฝ่ายก็หายหน้าหายไปเกือบอาทิตย์จนไทด์คิดว่าเต๋าจะกลับไปขังตัวเองเหมือนเดิม หากแต่วันนี้ก็ได้คำตอบ
ร่างสูงเดินเข้ามาในร้าน ในมือขาวจัดถือร่มใสลายจุดไว้ก่อนจะวางมันพิงกับเคาท์เตอร์ ใบหน้าที่เห็นชัดกว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนเงยขึ้นมา สบตากับเจ้าของร่มที่นั่งมองเขาอยู่เช่นกัน ก่อนจะเป็นอีกฝ่ายที่ชิงหลบตาไปเสียก่อน
“อาการดีขึ้นแล้ว?” ไม่ต้องขยายความ ร่างสูงก็รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร เขาพยักหน้าตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ มันไม่มีทางดีขึ้นหรอก แต่ก็ไม่อยากจมอยู่กับความเจ็บปวดตรงนั้นตลอดไป
“ฝากร่มคืนเด็กคนนั้นด้วย” พยักเพยิดหน้าไปยังคชาที่กำลังถูกเฟรมแกล้งเอาผ้าปิดหน้าปิดตาอยู่ ไทด์มองตามก่อนจะพอเดาเหตุการณ์ถูก ที่คชาวิ่งตากฝนมาก็เพราะอย่างนี้สินะ
“คชา พี่เขาเอาร่มมาคืน”
เต๋าเหลือกตามองไทด์
ไม่ได้หมายความว่าให้คืนตอนนี้สิวะ
ยังไม่ทันจะห้ามอะไร เด็กผู้ชายชื่อคชาก็เดินมาเสียแล้ว เต๋ามองหน้านิ่งๆที่ผิดกับรอยยิ้มขี้เล่นเมื่อครู่ของอีกฝ่ายแล้วหงุดหงิด คชาหยิบร่มขึ้นมาแล้วหันมาก้มหัวให้เขาน้อยๆก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่เดิม และแน่นอนก็กลับไปนั่งเล่นเช็ดผมกับไอ้เด็กหนุ่มอีกคนเหมือนเดิม
สองมาตรฐานนี่หว่า
“ดู...สองครั้งแล้วนะเด็กคนนี้ ไม่คิดจะพูดขอบคงขอบคุณอะไรหน่อยหรือไง คราวที่แล้วก็เดินชนกูยังไม่ขอโทษเลย” ไทด์มองคนที่บ่นยุบยิบแล้วก็ค่อยใจชื้น เต๋ามันก็ดูดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยนี่นา ก่อนจะวกกลับมาประเด็นที่อีกฝ่ายพูดไว้
“อย่าไปว่ามันเลย คชามันพูดได้มันก็คงพูดไปแล้วล่ะ”
“หมายความว่าไงวะ” ฟังประโยคกำกวมจากไทด์แล้วก็อดสงสัยไม่ได้ ระหว่างนั้นก็มีเสียงของเด็กสองคนนั่นแทรกเข้ามา
“เฮ้ยจูปาจุ๊บนี่หว่า เอามากินๆ”
“ไอ้เด็กอีกคนนั่นใคร” ตาคมมองคชาที่ถูกเด็กหนุ่มอีกคนดึงอมยิ้มไปจากปาก แม้จะถูกอมไปจนจะหมดแล้วแต่เจ้าตัวแสบนั่นก็ยังเอาเข้าปากกินต่ออยู่ดี
“อืม นั่นไอ้เฟรม เด็กที่ร้าน”
“อืม เอาต่อดิๆ” เต๋าพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ตายังคงมองคชาที่ควักเอาอมยิ้มอีกอันขึ้นมา แล้วยิ้มเยาะใส่เฟรมซึ่งรายนั้นก็โวยวายยกใหญ่หาว่ามุบมิบขี้โกง
“คชามันพูดไม่ได้” ไทด์เริ่มเล่า พอดีกับที่เต๋าหันมาอย่างฉงน “เมื่อไม่กี่เดือนก่อน พอๆกับที่มึงหายหัวไปนั่นแหล่ะ คชามันได้รับอุบัติเหตุ เห็นว่าอาจจะเพราะช็อคกับเหตุการณ์ด้วย แถมหัวใจก็หยุดเต้นไปชั่วขณะมั้ง พอฟื้นขึ้นมามันก็ไม่พูด ไม่ว่าหมอเขาจะช่วยรักษายังไงก็ไม่ยอมพูด”
ชายหนุ่มมองคนที่ยิ้มตาหยีเล่นสนุกอยู่กับเฟรม ดูไม่เหมือนคนที่ประสบปัญหาแบบนั้นอยู่เลย ชายหนุ่มจึงแอบรู้สึกสงสารอยู่นิดๆ ถ้าพูดได้ก็คงเป็นคนที่ร่าเริงมากแน่ๆ
“น่าเสียดายนะ ทั้งๆที่จะได้ออกอัลบั้มอยู่แท้ๆเชียว คนที่มีพรสวรรค์ร้องเพลงเพราะแบบคชากลับต้องมาเจอเหตุการณ์อย่างนี้ จำได้ว่าเด็กมันก็เฮิร์ทอยู่นานเหมือนมึงแหล่ะ ดร๊อปเรียนไปเป็นเทอม แต่สุดท้าย...ก็นี่แหล่ะ มันสู้ใหม่แล้ว” เต๋าแอบสังเกตแววตาของไทด์ที่มองคชาอย่างชื่นชม นั่นสินะ เป็นใครๆก็ต้องชื่นชมอยู่แล้วคนใจสู้แบบนี้
“มึงเองก็เหมือนกัน เอาเด็กมันเป็นตัวอย่าง อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป”
เต๋าครางอือในลำคอ ยิ้มเบาๆ
จริงสินะ...
ได้เวลาร้านเปิดแล้ว แม้เพิ่งเย็นและยังไม่มืดดีแถมด้วยฝนเพิ่งหยุดตกไปหมาดๆ แต่ด้วยวันหยุดและความป๊อบปูล่าร์ของร้านนี้ก็ทำให้ลูกค้าเริ่มแน่นร้านอย่างรวดเร็ว ทำให้สองหนุ่มนักดนตรีต้องขึ้นโชว์เร็วขึ้น เฟรมขึ้นไปเซ็ตกีต้าร์อยู่บนเวที โดยมีคชานั่งพร้อมเปียโนเป็นแบ็คกราวด์อยู่ด้านหลังเหมือนทุกวัน
เพลงเริ่มบรรเลงขึ้นแล้ว เสียงกีต้าร์โปร่งฟังสบายพร้อมเสียงร้องเพราะๆของเฟรมดังขึ้น ตามมาด้วยเปียโนที่บรรเลงคลออยู่ด้านหลัง เต๋ายังคงนั่งอยู่ที่เดิม เหมือนช่วงบ่าย แต่สายตาเขาจับจ้องไปบนเวที ไม่ใช่นักร้องกับกีต้าร์คู่ใจหากแต่เป็นนักเปียโนด้านหลัง
หลังจากได้ยินเรื่องของคชาจากไทด์ ทำให้คราวนี้เขามองคชาแล้วรู้สึกแตกต่างไปจากเดิม อาจเป็นเพราะเราเหมือนกัน...ใช่ เราทั้งคู่ต้องเจอกับความสูญเสียเหมือนกัน เขาที่ต้องสูญเสียคนที่รักคนที่สำคัญในชีวิตไป กับเด็กคนนั้นที่ต้องสูญเสียความฝันของตัวเอง
แอบคิดอยู่ว่าขนาดเขาที่เป็นผู้ใหญ่กว่ายังแทบไม่อาจรับมือกับความสูญเสียนั้นได้ แล้วเด็กคนนั้นจะทนยอมรับมันได้อย่างไรกัน ถ้าไม่ชินชากับมันก็คงเป็นคนที่เข้มแข็งมากเลยทีเดียว
“เป็นไง เด็กมันเล่นดีมั๊ย คืนนั้นที่มาคงไม่ทันได้ฟังสินะ” ไทด์เดินเข้ามาทักหลังจากที่บริการลูกค้ากลุ่มใหญ่เสร็จ เต๋าพยักหน้าตอบนิดๆก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“กลับล่ะ รู้สึกจะอยู่นานแล้วที่นี่” กำลังจะควักกระเป๋าตังค์ออกมาจ่ายค่าเครื่องดื่มแต่ไทด์ก็ห้ามไว้ก่อน
“เฮ้ย ไม่ต้องๆ”
“เดี๋ยวก็ขาดทุนหรอก”
“ไม่เป็นไร แค่มาบ่อยๆก็ชื่นใจแล้ว” เต๋ายิ้มเป็นเชิงขอบคุณแล้วเดินออกจากร้านไป
เวลาล่วงเลยมาเกือบเที่ยงคืน จนลูกค้ากลุ่มสุดท้ายเดินออกจากร้าน วันนี้วงดนตรีอีกวงหนึ่งที่ไทด์จ้างไว้ไม่ว่าง ทำให้คชาและเฟรมต้องอยู่บรรเลงยาว อาจจะได้พักทานข้าวนิดหน่อยแต่แล้วก็ต้องกลับมาบนเวทีอีกครั้ง
“เฟรม หยุดเลย รู้หรอกว่าจะบ่นน่ะ เดี๋ยวให้งบพิเศษ” ไทด์รีบขัดก่อนที่เฟรมกำลังจะอ้าปาก คชามองแล้วก็ยิ้มขำ ก็เฟรมน่ะ บ่นมาตั้งแต่ยังไม่สองทุ่มแล้ว แอบเห็นอยู่ว่าตอนที่เล่นกีต้าร์แล้วไม่ได้ร้องน่ะ ปากก็บ่นพึมพำอยู่ตลอด แต่พอได้ยินงบพิเศษเท่านั้นแหล่ะ เหมือนจะลืมที่จะบ่นไปเสียสนิท
“คชา ขอโทษด้วยนะที่ทำให้วันนี้ต้องอยู่ดึกเลย”
คนตัวเล็กส่ายหน้าเป็นเชิงไม่เป็นไร ก่อนสายตาจะเหลือบเห็นอะไรบางอย่างตกอยู่บนพื้นหน้าเคาท์เตอร์
กระเป๋าตังค์นี่ ของใครกันนะ
“อะไรน่ะคชา หืม? กระเป๋าตังค์ ของใครน่ะ” มือเล็กยื่นกระเป๋าตังค์สีดำให้ไทด์ที่ช่วยนวดไหล่ให้เฟรมอยู่ ไทด์รับมันไปแล้วถือวิสาสะเปิดดูเพื่อจะได้รู้ว่าเจ้าของเป็นใคร แต่เมื่อเห็นหน้าในบัตรประจำตัวแล้วกลับรู้สึกแปลกใจมากกว่า
“ของใครพี่” เฟรมชะโงกหน้าเข้าไปใกล้แล้วผละออกมา คชามองหน้าเฟรมด้วยความสงสัยอยากรู้เหมือนกัน
“มันเป็นของ...” เสียงแหบพูดเบาๆก่อนจะตะโกนใส่คชาเสียงดังจนคนตัวเล็กสะดุ้งโหยง “แวมไพร์!!!!”
“ไอ้เฟรมก็ไปแกล้งคชามัน” ไทด์ได้ทีก็แตะป้าบเข้าที่ก้นเฟรมทีหนึ่ง
“ขำๆเนอะชาเนอะ ... ก็ไอ้เพื่อนพี่ไทด์คนขาวๆนั่นแหล่ะ แม่งขี้เมาแล้วยังขี้ลืมอีก”
คชาหัวเราะหึๆในลำคอเมื่อรู้ว่าเฟรมหมายถึงใคร
นั่นน่ะสิ...
“หืม บัตรสมาชิกคอนโดฯชื่อคุ้นๆว่ะ” ไม่รู้ว่าถือวิสาสะเป็นเพื่อนหรือยังไง ไทด์จึงจัดการงัดแงะทรัพย์สินคนอื่นอย่างนี้ เฟรมก็ชะโงกหน้าไปอีกรอบ ก่อนจะสรุปได้ว่าเป็นคอนโดฯเดียวกับคชานั่นเอง
คชามองกระเป๋าตังค์สีดำอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจหยิบกระดาษโน้ตแผ่นเล็กออกจากกระเป๋าแล้วเขียนอะไรบางอย่างส่งให้ไทด์
‘งั้นคชาจะเอาไปคืนให้’
“จะดีหรอคชา” ไทด์ถาม น้ำเสียงแอบกังวล เต๋ามันค่อนข้างเป็นส่วนตัว คงไม่ชอบให้ใครไปยุ่มย่ามวุ่นวายที่ห้องเท่าไหร่ แถมนี่ก็ดึกแล้วด้วย ถ้ามันนึกได้เมื่อไหร่ก็คงจะโทรศัพท์มาบอกแล้วมารับคืนวันหลังมากกว่า
คชาหยิบกระดาษอีกแผ่น เขียนยุกยิกลงไปอีกครั้ง
‘คอนโดฯเดียวกัน เดี๋ยวคชาคืนให้ แต่คงเป็นพรุ่งนี้นะ’
ไทด์อ่านแล้วก็ชั่งใจอยู่นาน แต่ก็ได้วะ เพราะก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเต๋ามันจะกลับมาที่ร้านอีกเมื่อไหร่ ให้คชาเอาไปให้ อย่างน้อยมันเห็นเด็กกว่าคงไม่ว่าอะไรหรอก
“งั้นพี่ฝากด้วยล่ะกัน ขอบใจนะ”
หลังจากรับกระเป๋าตังค์นั่นมาแล้ว คชาก็ลาทุกคนแล้วเดินออกจากร้านมาเพื่อกลับที่พัก โดยไม่ลืมหยิบร่มมาด้วย ระหว่างทาง มือบางถือวิสาสะเปิดดูกระเป๋าตังค์นั่นอีกหน
‘เจ้าหน้าที่เศรษฐพงศ์ เพียงพอ’
เห็นรูปอีกฝ่ายแล้วหลุดขำ ตอนอยู่ในเครื่องแบบก็ดูดีนี่นา แต่พอเมามาทีอย่างกับกุ๊ยแน่ะ
นึกไปนึกมาก็คิดไปถึงเรื่องที่เฟรมเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่เศรษฐพงศ์คนนี้เนี่ยแหล่ะ เรื่องราวของเขาก็ดูแย่ไม่ต่างอะไรจากตัวเขาเองเลย คนที่กำลังรุ่งเรืองในหน้าที่การงานกลับต้องมาเจอเรื่องร้ายๆแบบนั้น คงจะเสียใจและเจ็บปวดน่าดู เห็นเฟรมเล่าว่าเขาขังตัวเองและลงโทษตัวเองด้วยการลาออกแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดของเขา ฟังดูแล้วมันก็ไม่ใช่ความผิดเขาเสียหน่อย ใครจะไปรู้ว่าคนร้ายจะรู้ตัวทันนี่นา
คิดถึงเรื่องอีกฝ่ายแล้วก็นึกถึงเรื่องของตัวเอง วันนั้น เหมือนว่าเขาเห็นตำรวจด้วยนี่นา
อิอิ อาจจะเป็นคุณเจ้าหน้าที่คนนี้ก็ได้มั้ง
คิดขำๆกับตัวเองแล้วเก็บกระเป๋าตังค์ให้เข้าที่เข้าทาง เพื่อวันพรุ่งนี้จะได้คืนมันให้เจ้าของเสียที
---------------------------------------------------------
Talkin'
ตอนที่หนึ่ง เรียบร้อย ,, เป็นยังไงบ้างคะ พระนาง(o.O)ของเราได้เจอกันแล้ว กำลังคิดว่าจะมีใครจับไต๋แล้วได้บ้าง = = (ไปพูดงี้เขาก็รู้กันหมดสิ ><)
ยังไงก็ตามแต่ ช่วยเม้นเป็นกำลังใจด้วยนะเคิ๊บบบบบ ~~ -.,-
ความคิดเห็น