ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกทลายฟ้า สงครามมหาเวท

    ลำดับตอนที่ #6 : ศัตรูผู้เป็นมิตร

    • อัปเดตล่าสุด 8 มี.ค. 51


                    รุ่งอรุณแห่งการรอคอยเริ่มต้นขึ้น  อาทิตย์เคลื่อนขึ้นจากขอบนภา  ส่องประกายสีแดงไปทั่วท้องฟ้า  แสงแดดอ่อนๆยามเช้าสาดลอดพุ่มใบไม้บนต้นสูงใหญ่  เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามน่าชม  ถึงแม้จะเป็นเวลาเช้า  แต่ป่า เฟลวู้ด ก็ยังดูมืดครึ้มและวังเวงไม่เปลี่ยนแปลง

    ตุ้งเหน็ดเหนื่อยมาทั้งคืนจึงทำให้การเดินทางล่าช้าไปมาก  กระทั่งเที่ยงวันจึงกลับมาถึงค่าย  ทั้งสองหยุดลงที่ตรงหน้าประตูค่ายก็ต้องตกใจ  แต่ที่ตกใจกว่าน่าจะเป็นตุ้ง

    จากค่ายทหารที่ดูเข้มแข็งเมื่อคืน  บัดนี้กลับไม่เหลือเค้าโครงเดิมแม้แต่น้อย  กำแพงค่ายพังทลายลงไม่มีชิ้นดี  กระโจมที่ถูกกางกลับกองอยู่ที่พื้น  พื้นดินบริเวณกว้างเป็นหลุมเป็นบ่อราวกับถูกระเบิด  ศพทหารนอนตายระเนระนาดอยู่เต็มไปหมด  ไม่มีผู้รอดชีวิตแม้เพียงคนเดียว  กลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจายไปทั่ว  และที่สำคัญคือไม่พบตรอง  ออมและฟิลรอสแม้แต่เงา  ตุ้งนึกสังหรณ์ใจไม่ดีบางอย่าง

                    ฝีมือใครกัน  แค่ข้ามคืนเท่านั้น  ค่ายทหารอันเข้มแข็งกลับไม่เหลือซาก ตุ้งคิดอย่างงุนงง

                    ไปสำรวจหาคนที่รอดชีวิตสิ  เคนแนะนำ

                    ถ้างั้นแยกกันไป นายไปสำรวจนอกค่าย  เดี๋ยวฉันดูในค่ายเอง  ตกลงกันเสร็จก็แยกย้ายกันออกตามหาผู้รอดชีวิต

    ตุ้งเดินสำรวจกระโจมที่กองอยู่พื้น  ค้นหากระโจมที่เป็นที่พักของเพื่อนทั้งสาม  แต่ก็ไม่พบทั้งสามคน   จึงเดินลึกเข้าไปอีก

    ตลอดเวลาที่สำรวจหาผู้รอดชีวิตนั้น  ตุ้งรู้สึกกดดันจากบางสิ่งอย่างบอกไม่ถูก  แต่เนื่องจากมีเรื่องเพื่อนทั้งสามคาใจอยู่  จึงไม่ใส่ใจกับความรู้สึกนั้น

    ตุ้งเดินได้สักพักก็ต้องหยุดเพราะความเงียบที่ผิดปกติ  ไม่มีแม้กระทั่งเสียงของนก  ทั้งที่ค่ายนี้ตั้งอยู่ในใจกลางป่า  ตุ้งกวาดสายตาไปรอบๆ  มือขวาเตรียมคว้าลูกธนูพร้อมโจมตี  แล้วความเงียบก็ถูกทำลายไป  เมื่อปรากฏร่างศัตรูสามคนกระโดดลงมาจากต้นไม้ข้างๆค่าย  ตุ้งตกใจเกินที่จะบรรยายเพราะทั้งสามคนประกอบด้วยดรอว์ เรนเจอร์   เนโครไลท์และเนบิวเรี่ยน แอสซัสซินที่เป็นเพื่อนร่วมเป็นตายในศึกสงครามที่เกิดขึ้นนั่นเอง

                    อ้าว!!!  สงครามจบลงแล้วเหรอ  พวกเราชนะหรือเปล่า  ทุกคนเป็นยังไงบ้าง  ตุ้งถามไถ่เพื่อน  แต่ทั้งสามกลับยืนนิ่งเงียบ  ไม่ปริปากแม้แต่คนเดียว

    สายตาที่ทั้งสามมองตุ้งไม่ใช่สายตาที่เพื่อนใช้มองเพื่อน  มันเหมือนกับสายตาที่ตรองมองตุ้งเมื่อคืนที่ผ่านมา

                    มีอะไร  ทำไมเงียบไป  ตุ้งเริ่มเอะใจ  ทันใดนั้นศึกพันธมิตรครั้งที่สองก็บังเกิดขึ้น

    โอ๊ตเปิดฉากด้วยเวทมนต์สลายพลังเวทใส่ตุ้ง  ตุ้งไม่ทันหลบเพราะไม่คิดว่าเพื่อนของตนจะโจมตี  ทำให้โดนเข้าไปเต็มๆ

                    เฮ้ย!!!!  ทำอะไรวะตุ้งตวาดก้องพร้อมกับกระโดดหลบการโจมตีครั้งที่สองของโอ๊ตที่ตามมาติดๆ

    ทั้งสามทำราวกับว่า  ตุ้งเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมานาน  ไม่มีมิตรภาพหลงเหลืออยู่เลย

    มือธนูกระดูกถูกสลายพลังเวททำให้ขาแทบทรุด  แต่ก็ยังฝืนยืนอยู่ได้  ยังไม่ทันที่จะมีเสียงตอบคำถาม  ลูกธนูสีน้ำเงินเข้มก็พุ่งตรงด้วยความเร็วมุ่งสู่หน้าผากของตุ้ง

    เพฌฆาตธนูเพลิงพุ่งตัวหลบไปทางขวา  นนกวัดแกว่งไม้เท้ายิงพลังเวทออกมาโจมตีตุ้ง  ลูกไฟสีม่วงพุ่งตรงเป็นสายแล่นเข้าใส่กลางอกของตุ้ง

    ตุ้งที่พึ่งจะพุ่งตัวออกไปไม่สามารถหลบหลักได้  จำต้องเบี่ยงไหล่ซ้าย  ปล่อยให้ลูกไฟลอยเฉียดร่างไปในระยะที่อันตรายมากๆ

    มือธนูกระดูกโมโหสุดขีด  ไม่คิดว่าเพื่อนจะทำกันได้  เปลวไฟที่ด้านหลังลุกโชติช่วงแสดงให้เห็นถึงความโกรธอันมากล้น

                    ฉันไม่สนว่าพวกแกจะเป็นอะไร  แต่วันนี้ฉันขอซัดพวกนายซักคนละเปรี้ยงเถอะวะ 

    พูดจบเปลวไฟด้านหลังก็ลุกรุนแรงขึ้นอีก  ธนูในมือซ้ายของตุ้งเปลี่ยนเป็นเปลวไฟแล้วสลายไป  ที่มือสองข้างปรากฏเป็นเปลวเพลิงสีแดงสด  ต่างจากเพลิงทั่วไป  ดูคล้ายกับแฝงความร้อนที่น่ากลัว

    ตุ้งพุ่งตัวเข้าโจมตีทันที  เป้าหมายครั้งนี้คือเนบิวเรี่ยน แอสซัสซิน ที่ยืนอยู่ด้านหน้า  หมัดขวาของตุ้งพุ่งออกไปหมายที่ตาข้างขวาของด้วงสังหาร

    ด้วงสังหารก้มหัวหลบทำให้ตุ้งจู่โจมพลาด  ร่างของตุ้งลอยลิ่วไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว  ไม่ทันที่จะถอยกลับมาตั้งหลัก  ท้องของตุ้งก็ปะทะเข้ากับเข่าของเพชรเข้าอย่างจังจนถึงกับนอนลงกับพื้น

    มือธนูน้ำแข็งคว้าลูกธนูจากด้านหลังหวังจะปักเข้าปลิดชีพตุ้ง  ตุ้งยกมือขวาขึ้นทัดทานมือที่กำลูกธนูของเพชร  เหวี่ยงออกไปด้านหน้า  พร้อมกับลุกขึ้นยืนเพื่อโจมตีซ้ำ

    ยังไม่ทันจะลุกขึ้นดี  เท้าของเนโครไลท์ก็ซัดเข้าไปที่กลางหน้าอกของโบน เฟลทเชอร์  จนถึงกับปลิวไปไกล

    ตุ้งบาดเจ็บอย่างหนักกับลูกเตะเมื่อสักครู่  พยายามรวบรวมสติ  จากนั้นจึงยันตัวลุกขึ้นยืน

    ทั้งสองฝ่ายมองหน้ากันตาไม่กระพริบ  เพียงแค่ตุ้งจู่โจมหนึ่งครั้ง  แต่ได้กลับมาถึงสามครั้ง  อีกทั้งการโจมตีครั้งแรกก็พลาดเป้าอีกทำให้ตุ้งหวั่นใจเล็กน้อย

    เมื่อครู่ตุ้งโจมตีด้วยความวู่วามไม่ทันคิดว่าฝ่ายนั้นก็มีฝีมือใช่ย่อย  และมีจำนวนมากกว่าตุ้งถึงสองคน

    สหายทั้งสามเปลี่ยนตำแหน่งมายืนเรียงหน้ากระดานโดยมีโอ๊ต นน  เพชรยืนตามลำดับ  ตุ้งค่อยๆดับความโกรธลง  เปลวไฟในมือลดทอนความแรงลง  กลายเป็นปริศนาใหม่ที่ตุ้งไม่เข้าใจ  แต่ถึงจะแปลกใจสักเท่าไรก็มิอาจเอาเวลามาคิดถึงสาเหตุได้ เพราะศัตรูทั้งสามมีฝีมือมากเกินไป  จึงปล่อยให้คลาดจากสมาธิมิได้เด็ดขาด

    ด้วงสังหารย่อตัวลงและดีดตัวสูงขึ้นฟ้า  พ่อมดอสูรพุ่งตัวเข้าโจมตีใส่ตุ้ง  ส่วนมือธนูน้ำแข็งยืนอยู่กับที่  ตุ้งย่อตัวลงยิงเปลวไฟในมือออกไปใส่เนโครไลท์  แต่ผิดคาด  เปลวไฟในมือตุ้งหายไป  ไม่สามารถยิงออกไปได้

    ที่แท้ตุ้งโดนเวทมนต์ของดรอว์ เรนเจอร์เข้าโดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย  ที่เปลวไฟของตุ้งอ่อนลงก็เพราะโดนเวทมนต์ของมือธนูน้ำแข็งเช่นกัน

    ตุ้งตกใจหาวิธีแก้ไขในทันที  จึงหยิบธนูจากด้านหลังมาถือไว้มือละลูก  เป็นการเลียนแบบวิธีของเพชร  เมื่อเนโครไลท์เข้าถึงระยะโจมตีก็กวัดแกว่งไม้เท้ากะโหลกไปมา  ดวงไฟสีม่วงเข้มปรากฏขึ้นที่บริเวณหัวกะโหลก  เป็นการร่ายเวทเพื่อเสริมพลังให้แก่อาวุธ

    ตุ้งทิ้งลูกธนูในมือแล้วยกคันธนูขึ้นป้องกันการโจมตี  อาวุธทั้งสองเข้าปะทะกันก็บังเกิดลมรุนแรงขึ้นรอบๆ  ตุ้งเอนตัวไปด้านหลังเพื่อลดทอนแรงกระแทก  แต่มันก็ทำให้ตุ้งแทบจะล้มลงไป

    ตุ้งถอยเท้าขวาออกรับน้ำหนัก  ก้มต่ำลงแล้วกวาดเท้าออกเตะตัดขาของนน  แต่พลาดเป้า  พ่อมดอสูรกระโดดหลบลูกเตะ  ม้วนหน้ากลางอากาศ  ไม่ทันที่ตุ้งจะโจมตีซ้ำก็รู้สึกว่าศีรษะกระทบกับของแข็งเข้าอย่างจังจนเสียหลักล้มนอนลงกับพื้น  เป็นเนโครไลท์นั่นเองที่ใช้ไม้เท้าโจมตีเข้าใส่ตุ้งเมื่อครู่

    เพฌฆาตธนูเพลิงกลิ้งลงนอนหงายลงกับพื้น  รู้สึกมีดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้าไปหมด  แล้วก็เห็นสิ่งประหลาดบนท้องฟ้า  มีวัตถุสีดำขนาดใหญ่กำลังตกลงมาตรงที่ที่ตุ้งนอนอยู่

    ตุ้งได้สติรีบกลิ้งตัวหลบทันที  พริบตาต่อมาบริเวณที่ตุ้งพึ่งจะนอนอยู่เมื่อสักครู่ก็เกิดดังทึบๆขึ้น  ที่แท้วัตถุประหลาดสีดำนั้นก็คือเจ้าด้วงสังหารเนบิวเรี่ยน แอสซัสซินที่ดีดตัวขึ้นฟ้าไป

    ตุ้งใจหายวาบเมื่อรู้ถึงพลังการโจมตีเมื่อสักครู่  เพราะที่ผ่านมาแม้ตุ้งจะรู้ว่าเพื่อนๆก็สามารถแปลงร่างได้  แต่ก็ไม่เคยเห็นถึงพลังที่แท้จริงสักที  หากเมื่อสักครู่ตุ้งไม่กลิ้งตัวหลบ  ตอนนี้ตุ้งคงไม่ได้หายใจเป็นแน่แท้

    การโจมตีของศัตรูทั้งสามนั้นแสดงให้เห็นถึงความเป็นทีมได้อย่างดีเยี่ยม  ทุกๆการเคลื่อนไหวคือการคำนวณ  ทุกๆลมหายใจคือการวางแผน  ซึ่งมีนนเป็นกุนซือในการรุก  ผิดกับตุ้งที่ใช้เพียงพลังและฝีมือเท่านั้น

    โบน เฟลทเชอร์รีบยันตัวลุกขึ้น  เพียงเท่านี้ผลแพ้ชนะก็ปรากฏแล้ว   แต่ถึงจะรู้ว่าแพ้  ตุ้งก็จะไม่ยอมตายเด็ดขาด 

    เวทมนต์ปิดกั้นพลังเวทของเพชรคลายลงแล้ว  ตุ้งเสกดาบไฟออกมาสองเล่มถือเอาไว้ทั้งสองมือ 

    ดาบเพลิงทั้งสองนั้นงดงามประณีตไปด้วยลวดลายอันวิจิตร  เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความร้อน  เป็นอาวุธชั้นเยี่ยมที่ตุ้งเคยใช้ต่อกรกับอสุรกายยักษ์ควันดำมาแล้ว  แต่บัดนี้ตุ้งต้องนำมันมาใช้กับเพื่อนของตนเอง  ทั้งนี้เพราะไม่มีทางเลือกอื่นที่จะสามารถต้านทานเพื่อนทั้งสามของตนไว้ได้

    ตุ้งสะบัดดาบทั้งสองปรากฏเป็นลูกไฟสีส้มสองลูกพุ่งไปทางดรอว์ เรนเจอร์  จากนั้นพุ่งตัวเข้าโจมตีใส่เนโครไลท์  โดยที่ไม่ทันสังเกตว่า  ด้วงสังหารได้หายตัวไป

    พ่อมดอสูรเข้าปะทะกับเพฌฆาตธนูเพลิง  ศาสตราวุธเข้าปะทะกันอีกครั้งบังเกิดเสียงดังเปรี้ยงปร้าง  ตุ้งถอยเล็กน้อยแล้วกลับโจมตีด้วยความเร็วอีกครั้ง  ดาบเพลิงในมือตุ้งกวัดแกว่งอย่างคล่องแคล่ว  ว่องไวแต่ถึงอย่างไรก็ถูกนนป้องกันไว้ได้ทุกครั้ง

    ตุ้งพลิกแพลงโจมตีเดี๋ยวซ้าย  เดี๋ยวขวา  บ้างสูง  บ้างต่ำสลับกันไป  เป็นการโจมตีที่อิสระ  ไม่มีแบบแผนจึงยากแก่การตั้งรับ  แต่ก็ยังไม่เกินความสามารถของนน

    ดาบทั้งสองเล่มกวัดแกว่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ  ค่อยๆเพิ่มความเร็วขึ้นทีละน้อย  ตุ้งยังคงกระหน่ำโจมตีอย่างต่อเนื่องไม่ให้นนได้พักหายใจ  การโจมตีของตุ้งนั้นรวดเร็วมากจนฝุ่นละอองรอบๆปลิวฟุ้งกระจายเต็มไปหมด  แต่ตุ้งก็ยังคงจู่โจมอย่างบ้าคลั่งคล้ายไม่มีที่สิ้นสุด  โดยไม่ทันคิดเลยว่า เนบิวเรี่ยน แอสซัสซินหายไปไหน

    ในที่สุดนนก็ตั้งรับพลาด  ตุ้งวาดดาบเพลิงออกกว้าง  กระแทกไม้เท้ากะโหลกหลุดจากมือนนไป  ขณะที่กำลังจะจู่โจมซ้ำ  ด้วงสังหารก็โผล่พรวดขึ้นมาจากดินเข้าโจมตีตุ้งจนลอยกระเด็นขึ้นฟ้า  ดาบเพลิงของตุ้งจึงจู่โจมเพียงเฉียดหน้าอกไปเท่านั้น  แต่พ่อมดอสูรก็ถึงกับเจ็บหนักเพราะพลังของดาบจนถึงกับทรุดกายคุกเข่าลง

    ร่างของตุ้งลอยคว้างอยู่กลางอากาศ  และกำลังพลิกตัวให้ถูกท่า  กลับมีลูกธนูลูกหนึ่งพุ่งปักเข้าที่กลางหลัง  ตุ้งรู้สึกถึงความเย็นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว  ร่างกายคล้ายหมดเรี่ยวแรงกะทันหัน

    ตุ้งตกหลุมพรางของนนเข้าอย่างจัง  หนึ่งคือต้องป้องกันภัยที่มองเห็นได้จากนน  สองต้องป้องกันภัยที่มองไม่เห็นจากโอ๊ต  และสามคือไม่สามารถหลบหนีจากการต่อสู้ไปได้

    ตุ้งในตอนนั้นรู้สึกหมดหวังอย่างยิ่ง ร่างของโบน เฟลทเชอร์  โดนธนูฟรอสต์แอโรว์เข้าไปหลายสิบลูก  จนร่างกายชาไปทั้งร่างไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

    ตุ้งตกลงกระแทกพื้นดินเข้าเต็มๆ  จนแขนซ้ายหักแต่ก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว  เนื่องจากพิษเย็นจัดของธนูฟรอสต์แอโรว์  ตุ้งแทบสิ้นสติเพราะอาการบาดเจ็บที่รุมเร้า  อีกทั้งยังเหน็ดเหนื่อยที่ไม่ได้พักมาทั้งคืนทำให้ตุ้งไม่มีหวังที่จะเอาชนะเสียเลย

    ภาพที่ตุ้งกำลังเห็นคือ  พ่อมดอสูรเสกไม้เท้าขึ้นมาถือไว้  กำลังร่ายเวทบางอย่าง  แล้วเส้นสีแดงก็บังเกิดขึ้นรายล้อมร่างของตุ้งไว้  ตุ้งทราบดีว่านี่คือเวทมนต์ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดของเนโครไลท์  และตุ้งก็ทราบดีอีกเช่นกันว่าไม่มีโอกาสรอดชีวิต  ได้แต่มองและยอมรับชะตากรรมของตน  เกิดมาทั้งทีต้องกลับมาตายด้วยน้ำมือของเพื่อนสนิท  ยิ่งคิดตุ้งยิ่งเศร้าใจ  นึกถึงภาพเวลาที่มีความสุขกับครอบครัว อยากจะร้องไห้ออกมาแต่ก็คงเปล่าประโยชน์

    พ่อมดอสูรร่ายเวทจบก็กระทุ้งไม้เท้าลงที่พื้นเป็นสัญญาณความตายของตุ้ง  แต่ก่อนที่ไม้เท้าจะสัมผัสพื้นดิน  กลับมีแสงสว่างสีขาวปรากฏขึ้นที่รอบกายของตุ้ง  ตุ้งรู้สึกสดชื่น  ร่างกายหายจากอาการบาดเจ็บ  แต่แล้วก็รู้สึกเจ็บปวดรุนแรงจนแทบจะสิ้นใจตาย  แต่ตุ้งก็แข็งใจฝืนเอาไว้ได้

    ตุ้งก็ได้ยินเสียงร้องโอดครวญของสหายทั้งสาม  เมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นด้านหลังของอัศวินศักดิ์สิทธิ์  และภาพของเฮเลนชูสร้อยข้อมือขึ้นแล้วโบน เฟลทเชอร์ก็สิ้นสติหลับใหลไปในนิทรากาล...

                    ตุ้งคล้ายได้ยินเสียงอื้ออึงสนั่นเต็มโสตประสาทหู  มันดังขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย  อีกทั้งตุ้งยังรู้สึกว่ามันดังขึ้นเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด  เสียงนั้นวนเวียนไปมาในสมองของตุ้ง  เสียงนั้นดังขึ้นๆจนตุ้งทนไม่ไหวสะดุ้งตื่นขึ้นมา

    ภาพแรกที่ตุ้งเห็นคืออัศวินเคนและจอมเวทออม  กำลังต่อสู้พร้อมๆกับปกป้องตุ้งและเพื่อนทั้งสามที่ยังไม่ได้สติจากศัตรูสามคน  แต่อีกฝ่ายที่กำลังต่อสู้มีเพียงสองคนเท่านั้น  อีกคนยืนมองการต่อสู้อยู่ห่างๆ 

    ตุ้งขยี้ตาเพื่อเพิ่มความคมชัดของภาพก็ทราบว่า  ศัตรูทั้งสองนั้นเป็นสตรีเพศทั้งคู่  แต่ดูจากท่าทางการเคลื่อนไหวแล้ว  อิสตรีทั้งสองนางนั้นมีฝีมือสูสีกับอัศวินศักดิ์สิทธิ์และจอมเวทหมื่นบุปผาทีเดียว  เห็นทีศึกครั้งนี้ทั้งสองคงต้องเหนื่อยเอาการ

    ศัตรูทั้งสองนั้นมีโฉมหน้าที่งดงามไม่แพ้เฮเลนเลย  หนึ่งนั้นแต่งกายด้วยอาภรณ์โทนน้ำเงินเข้ม  เสื้อคลุมหมวกสีม่วงยาวพาดผ่านไหล่ไปจนสุดที่ต้นขา  อาภรณ์ด้านในเป็นเสื้อสีขาวทับด้วยหนังสัตว์เพื่อป้องกันความเหน็บหนาว  มองดูที่ใบหน้านั้นงดงามราวเทพธิดาผู้เลอโฉม  ผิวพรรณเนียนขาวดั่งหยก  ในมือถือไม้เท้า  ที่หัวไม้เท้าเป็นอัญมณีสีฟ้าใสประดุจน้ำในท้องทะเล

    สตรีนางนี้คือ คริสตัลไมเดน  นักเวทผู้เย็นชาแห่ง DotA

    ส่วนอีกคนนั้นสวมใส่อาภรณ์ในโทนสีไฟ  ผมยาวสลวยประบา  เสื้อคลุมลายเพลิงปลิวสะบัดพลิ้วไหวอยู่เบื้องหลัง  เผยให้เห็นอาภรณ์สีส้มที่อยู่ภายใน  ใบหน้าแม้ไม่ส่อชาติตระกูลสูงส่งเหมือนคนแรกแต่ก็สวยฟ้าประทานพอกัน  ที่มือปรากฏมีเปลวไฟลุกติดอยู่ตลอดเวลา  เท้าทั้งสองลอยอยู่เหนือพื้นดิน

    ปกติแล้วการลอยตัวเป็นการใช้พลังเวทที่สิ้นเปลืองมาก  แต่สำหรับสตรีนางนี้นั้นดูจะไม่มีความหมายเลย

    สตรีผู้นี้คือสเลเยอร์  นารีแดงเพลิงแห่ง DotA

    ทั้งที่เวทมนต์ของทั้งคู่ต่างกันสุดขั้ว  แต่กลับร่วมต่อสู้ด้วยกันอย่างคล่องแคล่ว  ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้มีเวทมนต์แบบทำลายล้างทั้งคู่  ส่วนอีกฝ่ายเป็นผู้มีเวทมนต์แบบสนับสนุนทั้งคู่  ทำให้การต่อสู้นั้นไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าที่ควร

    เนื่องจากฝ่ายของเคนและออมไม่มีเวทมนต์โจมตีเลย  จึงได้แต่ตั้งรับฝ่ายเดียว  ส่วนอีกฝ่ายก็โถมกระหน่ำโจมตีไม่ขาดสาย  ลูกไฟหลายสิบลูกถูกปล่อยออกมา  น้ำแข็งก็เช่นกัน  แต่ก็ทำอันตรายเฮเลนและโอมนิไนท์ไม่ได้

    ตุ้งจ้องมองดูการต่อสู้ตาไม่กระพริบ  ถึงแม้จะไม่ได้ร่วมต่อสู้แต่ทั้งสองต่างก็เป็นเพื่อนสนิทของตน  ตุ้งสามารถขยับตัวได้เพียงเล็กน้อย  เพราะเวทมนต์ท่าไม้ตายของนนนั้นรุนแรงเกินไป  แม้จะได้รับการฟื้นฟูร่างกาย  แต่อวัยวะภายในก็เสียหายไม่น้อย  ทำให้ตุ้งจำต้องนั่งดูเพื่อนของตนตั้งรับการโจมตีที่บ้าคลั่งฝ่ายเดียว

    แล้วเฮเลนก็เปลี่ยนตำแหน่งมายืนอยู่ด้านหลังอัศวิน  ปล่อยให้โอมนิไนท์ตั้งรับศัตรู  ค้อนยักษ์ในมืออัศวินเคนโบกไปมาอย่างคล่องแคล่วราวกับปุยนุ่น

                    ทนไม่ไหวแล้วเว้ย!!!!!!”  คือคำพูดของอัศวินหน้าหล่อ

    อัศวินศักดิ์สิทธิ์เหวี่ยงค้อนสุดแรงจนหญิงทั้งสองต้องล่าถอยกลับไป จากที่ตั้งรับอยู่ฝ่ายเดียวเนื่องจากอีกฝ่ายเป็นสตรีเพศ  บัดนี้ความเป็นสุภาพบุรุษของเคนได้หายไปชั่วคราว

    อัศวินศักดิ์สิทธิ์ไม่รอช้ารีบเข้าไปโถมกระหน่ำโจมตีอย่างบ้าคลั่ง  ค้อนศักดิ์สิทธิ์ในมือเหวี่ยงด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ

    เมื่อครู่สองจอมเวทคิดไปว่าฝีมือของฝ่ายตรงข้ามมีเพียงน้อยนิดแต่ก็ต้องผิดหวังอย่างแรงเพราะศัตรูเพียงคนเดียวกลับสามารถต่อกรกับตนได้  อีกทั้งฝ่ายของตนยังเสียเปรียบอีกด้วย

    จากที่เอาแต่จู่โจม  กลับต้องมาตั้งรับฝ่ายเดียว  อัศวินศักดิ์สิทธิ์เปิดหนังสือออกชูค้อนขึ้น  บังเกิดแสงสีฟ้าคุ้มกายเอาไว้  แล้วจู่โจมหนักกว่าเดิมจนลืมป้องกันการโจมตีของอีกฝ่าย

    สเลเยอร์เห็นว่าศัตรูเปิดช่องโหว่จึงวาดมือออกไปด้านข้างเพื่อร่ายเวทมนต์  บริเวณรอบกายปรากฏลมรุนแรงจนเศษดินปลิวว่อนไปทั่ว  แล้วทุกอย่างก็กลับสู่สภาพเดิม  ไม่มีเวทมนต์ใดๆเกิดขึ้น

    นารีแดงเพลิงงุนงงสุดคาด  แต่ไม่ทันได้คิดอัศวินศักดิ์สิทธิ์ก็เข้าถึงตัว

    ค้อนยักษ์ถูกบังคับด้วยกำลังที่แข็งแรง  ฟาดเข้าที่ชายโครงของสเลเยอร์เข้าอย่างจังจนแหลกละเอียดกระเด็นไปไกล

    เฮเลนที่ยืนอยู่เบื้องหลังรีบพุ่งทะยานเข้าไปโจมตีซ้ำ  แต่ก็รู้สึกถึงความเย็นที่น่าสะพรึงกลัวกำลังซึมซาบเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว  แทนที่จะพุ่งตัวออกไป  ก็กลับกลายเป็นล้มลงแทน

    เพราะเฮเลนรีบร้อนจนเกินไป  ทำให้ไม่ระวังคริสตัลไมเดนที่กำลังยืนอยู่

    นักเวทน้ำแข็งชี้ไม้เท้าไปที่เฮเลนซึ่งนอนอยู่  หัวไม้เท้าเปล่งแสงสีฟ้าออกมา  ลำแสงจู่โจมของคริสตัลไมเดนกำลังพุ่งออกจากหัวไม้เท้า  กลับมีมือของอัศวินศักดิ์สิทธิ์ปัดไม้เท้าออก  ทำให้การจู่โจมพลาดเป้าไปเล็กน้อยเพียงไม่ถึงฟุต  ความเย็นแผ่ซ่านเข้าสู่ร่างของเฮเลนเพิ่มขึ้นอีกจนร่างสั่นสะท้าน

    เคนวางค้อนในมือลงพื้น  แล้วซัดกำปั้นเข้าที่ท้องของสตรีน้ำแข็ง  แต่ผิดคาด  หมัดเมื่อสักครู่ถูกป้องกันไว้ได้

    คริสตัลไมเดนปัดหมัดนั้นด้วยมือซ้าย  แล้วตอบโต้ด้วยไม้เท้าในมือขวา  ไม้เท้านั้นฟาดเข้าเต็มอกของอัศวินศักดิ์สิทธิ์จนล้มหงายไป

    คริสตัลไมเดนชี้ปลายไม้เท้าไปทางโอมนิไนท์  แสงสีขาวแกมฟ้าถูกยิงออกจากไม้เท้าพุ่งตรงสู่อัศวินศักดิ์สิทธิ์  ทันทีที่แสงนั้นเข้าสัมผัสกับร่างอัศวินก็ร้องออกมาสุดเสียง แสดงถึงความเจ็บปวดที่มากล้น

    คริสตัลไมเดน  หยิบมีดสั้นจากเอวออกมา  เงื้อแขนขึ้นสูง  แล้วออกแรงแขนปลิดชีพศัตรูด้วยมีดพกสั้น

    ขณะที่แขนของจอมเวทน้ำแข็งกำลังลดระดับต่ำลงเพื่อให้มีดเสียบตรงกลางหัวใจของอัศวิน  ก็ปรากฏลูกธนูลูกหนึ่งพุ่งเข้าไปปักที่มีด  จนมีดสั้นเล่มนั้นหลุดกระเด็นออกไปจากมือ  เป็นตุ้งที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเคนได้ทันพอดี

    คริสตัลไมเดนงุนงงอย่างมากเพราะความเร็วของลูกธนูที่เหลือเชื่อ  และการโจมตีเมื่อสักครู่เป็นเพียงการซัดลูกธนูเท่านั้นทำให้จอมเวทน้ำแข็งต้องตะลึง

    ตุ้งกระโดดพร้อมกับยิงลูกไฟผ่านหน้าของจอมเวทน้ำแข็งเล็กน้อยเพื่อให้ล่าถอยออกไป  และทุกอย่างก็ตรงตามแผนของตุ้ง  คริสตัลไมเดนล่าถอยออกไปห้าก้าว  แล้วยืนอยู่ในท่าเตรียมพร้อม

    ตุ้งทิ้งตัวลงยืนอยู่ข้างๆร่างของเคนพอดี  จ้องหน้าจอมเวทสาวคนนั้นเขม็ง  แล้วยื่นมือทั้งสองไปด้านหลัง  แสงสีส้มอ่อนๆถูกปล่อยออกมาจากมือของ โบน เฟลทเชอร์  เข้าสู่ร่างของเฮเลนและโอมนิไนท์    แต่สายตาก็ยังคงจ้องมองศัตรูอยู่ไม่ไหวติงแม้แต่น้อย  แล้วตุ้งก็หยุดแผ่พลัง  และวางมือในท่าเตรียมพร้อม 

    คริสตัลไมเดน  เปิดฉากพุ่งตัวเข้าโจมตีตุ้งก่อน  แต่ทันใดนั้นก็เกิดมีฟ้าผ่าขึ้นสองครั้งติดๆกัน  ตุ้งรู้สึกเหมือนพลังเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว  มันรุนแรงกว่าตอนที่ด้วงสังหารจู่โจมใส่มากนัก

    ตุ้งกลับคืนร่างเป็นมนุษย์โดยไม่ทันตั้งตัว  เพื่อนทุกคนก็กลับร่างเช่นเดียวกัน  ไม่เว้นแม้แต่สตรีผู้เป็นศัตรูทั้งสองนาง  คริสตัลไมเดนที่พุ่งตัวเข้าโจมตีตุ้งคืนร่างกลายเป็นหญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับออม

                    ตุ้งร้องอุทานอย่างตกใจ  ด้วยความฉุกละหุกทำให้ไม่ทันหลบ  หญิงคนนั้นพุ่งเข้าชนกับตุ้งจนหงายล้มไป  แล้วฉากสวีทหวานท่ามกลางการต่อสู้ก็บังเกิดขึ้น  ตุ้งได้สติรีบปล่อยมือที่เผลอโอบเอวของหญิงสาวออกแล้วลุกขึ้นยืนทันที

    ภาพที่ตุ้งเห็นคือเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่ง สูงไล่เลี่ยกับออม สวมใส่แว่นสายตาเช่นเดียวกับออมแต่กรอบแว่นเป็นสีชมพู  มัดผมทั้งสองข้างทำให้เพิ่มความน่ารักขึ้นไปอีก ตุ้งเห็นก็จำได้ทันที

                    ฝ้าย ตุ้งพูดออกมาอย่างเลอะๆเลือนๆ

    เด็กสาวคนนั้นคือ ฝ้าย  หนึ่งในก๊วนของตุ้ง

    ฝ้ายยิ้มอย่างเขินอาย  แก้มสองข้างแดงระเรื่อจนเห็นได้ชัด

                    ฝ..ฝ้าย  ฉ...ฉันขอ...ขอโทษ  ตุ้งพูดอย่างตะกุกตะกักที่เสียมารยาทไปเมื่อสักครู่  ตัวฝ้ายได้แต่ยิ้มเพราะพูดไม่ออก

    ส่วนสเลเยอร์นั้นกลายเป็นหญิงสาวหน้าตายิ้มแย้ม  ไว้ผมสั้น  ไม่ใส่แว่นสายตาเหมือนฝ้ายและออม  เคนเห็นก็ต้องตะลึงยิ่งกว่าตุ้ง  รีบวิ่งเข้าไปหาทันที

    เด็กสาวคนนี้คือ  เฟิร์น  สมาชิกก๊วนอีกคน

    เมื่อเคนไปถึงก็รีบขอโทษทันที  เพราะการโจมตีอันหนักหน่วงเมื่อสักครู่มันไม่ใช่แบบที่เพื่อนเขาทำกัน

                    เฟิร์น  ฉันขอโทษ  เคนพูดเสียงแหลมตามสไตล์ตลกคาเฟ่ต์

                    ไอ้เคน  แกบังอาจมาก  เฟิร์นตอบกลับเสียงแหลมเช่นกัน  แล้วทั้งสองก็หัวเราะสนุกสนาน

    ทั้งหมดมัวแต่ตะลึงจนลืมไปว่า  ยังเหลือศัตรูอีกหนึ่งคน  จนกระทั่งบุรุษคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ๆ  ตุ้งจึงเริ่มหันไปสนใจ

                    ตุ้งตกใจสุดบรรยาย  เพราะบุรุษหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน  เขาก็คือ ฟิลรอส จอมเวทสายฟ้าแห่งกองทัพ เซนติเนล

                    ฟิลรอส  นั่นนายใช่มั๊ย  ตุ้งร้องเสียงดัง  ไม่มีเสียงตอบจากฟิลรอส  เขาเพียงแต่เดินมาช้าๆ  ดวงตาสีแดงสดจ้องที่หน้าของตุ้งอย่างเลื่อนลอย

                    นั่นนายใช่มั๊ย  ฟิลรอส  ตุ้งถามซ้ำอีกครั้ง  แต่ก็ไม่มีเสียงตอบเช่นเคย

    ตุ้งลุกขึ้นเดินเข้าไปหา  แต่ฟิลรอสกลับสะบัดมือจู่โจมด้วยสายฟ้าขนาดย่อมจนตุ้งปลิวไปไกล  และสะบัดมือปล่อยสายฟ้าโจมตีใส่ทุกๆคนจนกระเด็นไปใกล้ๆกับตุ้ง  เพชร โอ๊ต นนที่นอนสลบอยู่ก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

                    ท่าน  ทำไมท่านถึงได้โจมตีพวกเราออมตะโกนถาม  แต่ฟิลรอสกลับเงียบเฉย  ไม่ปริปากสักคำเดียว

                    ฟิลรอส  นายเป็นอะไรไป  ตุ้งตะโกนออกมา  ฟิลรอสเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนจริงๆ  แววตาที่เคยดูเป็นมิตร  กลับกลายเป็นดวงตาสีแดงที่น่ากลัว  และแล้วศึกพันธมิตรครั้งที่สามก็เปิดฉากเริ่มขึ้น

                    ฟิลรอสย่อกายลงเล็กน้อย  แล้วพุ่งเข้าด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าฟาด  เพียงชั่วพริบตาก็เข้าประชิดถึงตัวตุ้ง  ตุ้งที่โดดเด่นในด้านความเร็วเมื่อได้เห็นการเคลื่อนไหวของฟิลรอสก็ถึงกับอึ้งทำอะไรไม่ถูก

                    หมัดขวาของฟิลรอสพุ่งตรงเข้าอีดกลางท้องของตุ้งจนกระเด็นไปด้านหลัง  ตุ้งจุกเสียดอย่างรุนแรง  ล้มกลิ้งลงไป  ไม่มีแม้เรี่ยวแรงจะขยับเขยื้อนตัว

                    ฟิลรอสจู่โจมเพื่อนๆที่เหลืออย่างรวดเร็วจนดูเหมือนกับทุกคนนิ่งให้ฟิลรอสทำร้าย  ทั้งหมดถูกโจมตีกระเด็นไปคนละทิศละทาง

                    ในเวลาที่ทุกคนสามารถแปลงร่างได้  ยังยากที่จะต่อกรกับฟิลรอส  ประสาอะไรกับตอนที่เป็นมนุษย์  เวลานี้ทั้งเก้าเปรียบเสมือนหนูน้อยที่ถูกแมวไล่หยอกอย่างสนุกสนาน  ไม่มีหนทางจะเอาชนะได้เลย

                    ทั้งเก้าโดนทำร้ายโดยไม่ทันตั้งตัว  แต่ฟิลรอสยังคงไม่ปริปากแม้แต่คำเดียว  แม้ว่าทั้งเก้าจะไม่เข้าใจถึงการกระทำของฟิลรอส  แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้  ทั้งหมดลุกขึ้นและเดินเข้ามายืนรวมกันเป็นกลุ่มอย่างพร้อมเพรียง

                    ฟิลรอสหันมามองที่ตุ้งอีกครั้ง  ชูแขนทั้งซ้ายขวาขึ้นฟ้า  บังเกิดสายฟ้าขนาดย่อมมารวมกันที่มือ  ราวกับว่ามือของเขาเป็นต้นกำเนิดของสายฟ้าเหล่านั้น

    มือทั้งสองของฟิลรอสลดต่ำลง  แต่สายฟ้าที่มือยังคงส่องประกายไม่หยุดยั้ง  ทันใดนั้นฟิลรอสก็พุ่งเข้าหาตุ้งอีกครั้ง  หมัดขวาของฟิลรอสพุ่งนำไป  ตามด้วยหมัดซ้าย  เป้าหมายก็คือตุ้ง

    ตุ้งทราบดีว่าหากโดนสองหมัดของฟิลรอสนี้เข้าไป  ถึงไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัสแน่นอน  ระหว่างที่หมัดทั้งสองของฟิลรอสจะเข้าถึงตุ้ง  ก็มีดินที่พื้นยกตัวขึ้นมาป้องกันหมัดทั้งสองเอาไว้

    ดินเหล่านั้นแตกกระจายในทันทีที่โดนหมัดทั้งแรกของฟิลรอส  ส่วนอีกหมัดยังคงพุ่งตรงต่อไป  แต่คนที่ยืนอยู่ไม่ใช่ตุ้ง  กลับกลายเป็นกระทิงหนุ่มยืนอยู่แทน  หมัดซ้ายนั้นจึงพุ่งเข้าใส่กระทิงโหดอย่างจัง

                    กระทิงโหดร้องคำรามดังก้องป่า  เหวี่ยงท่อนซุงยักษ์ในมือฟาดเข้าใส่ฟิลรอสสุดแรง  จนฟิลรอส ลอยละลิ่วออกไปไกล  เสียงทึบๆดังขึ้นหลายครั้ง  ต้นไม้หลายต้นโค่นลงด้วยแรงกระแทก  แล้วเสียงก็เงียบไป

                    ฉันมาช้าไปรึป่าว  คือคำถามแรกที่ตรองถาม

                    ช้าอีกนิด  ชีวิตฉันคงดับสูญ ตุ้งตอบกลับไป

                    เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น  ทำไมนายถึงหายไป  ทำไมฟิลรอสถึงกลายเป็นแบบนั้นไปได้  นายช่วยเล่าให้พวกฉันฟังที  ตุ้งยิงคำถามเข้าตรงประเด็นทันที

                    ออม  เธอยังไม่ได้เล่าให้ตุ้งฟังอีกเหรอเนี่ย  งั้นฉันเล่าเองก็ได้

    เมื่อหลายวันก่อน  ตอนที่ฉันออกไปเดินตรวจความเรียบร้อยรอบๆค่าย  ฉันเหลือบเห็นผู้ชายท่าทางชอบกลคนหนึ่ง  ใส่เสื้อคลุมหนังที่มีลวดลายดูน่ากลัว  คลุมหัวด้วยหมวกเสื้อคลุมจนมองหน้าไม่ถนัดยืนอยู่ที่หน้าประตูค่าย  เขายืนมองมาที่ฉันสักพัก  แล้วก็หันหลังเดินออกไป

    ป่าแห่งนี้ใช่ว่าจะเข้าออกได้ง่ายๆ  เมื่อเข้ามาได้แสดงว่าต้องรู้เส้นทางเป็นอย่างดี  ฉันพยายามร้องเรียกชายคนนั้น  แต่เขาก็ไม่แม้แต่จะหันกลับมา  ฉันเลยบอกกับทหารว่าไม่ต้องตามไป  ฉันจะตามไปเอง

    ฉันวิ่งตามชายคนนั้นอยู่สักพักเขาก็หยุดเดิน  ชายคนนั้นหันหลังกลับมามองที่ฉันอีกครั้ง  ชายแปลกหน้ายกมือขึ้นปลดหมวกเสื้อคลุมลง  พอฉันเห็นหน้าของเขา  ก็ต้องตกใจสุดชีวิต  เพราะคนที่ยืนอยู่หน้าฉัน  คือ  ราชาปิศาจคนใหม่  อาร์ธาส 

    ตั้งแต่ที่ฉันเข้าร่วมในสงคราม  ก็ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้พบกับอาร์ธาสตัวต่อตัวในที่แบบนั้น  ฉันรีบแปลงร่างเตรียมสู้ทันที  แต่อาร์ธาสกลับยืนเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อน

    ฉันเปิดฉากวิ่งเข้าไปโจมตีมันก่อน  แต่ว่าฝีมือยังห่างไกลเกินไป  เพียงแค่อาร์ธาสหยิบฟรอสต์มอร์ขึ้นมาฟาดฟันไม่กี่ครั้ง  ฉันก็ตกเป็นฝ่ายแพ้

    มันเดินเข้ามากรอกยาในขวดรูปทรงประหลาดใส่ในปากของฉันจนหมดขวด  แล้วกระซิบข้างหูฉันว่า  ฆ่าฟิลรอสซะและเดินจากไป  จากนั้นฉันก็สลบไป  ตื่นมาอีกทีก็มีทหารรายงานว่า  พบร่างของฉันนอนสลบที่หน้าค่ายเมื่อหลายวันก่อน

    ฉันไม่รู้ว่าที่มันทำกับฉันมันหมายความว่ายังไง  จนวันที่นายกับออมเดินทางมาที่ค่าย  พอฉันเห็นฟิลรอส  ฉันก็เหมือนจะหมดสติไป  ฉันยังรับรู้ว่าตัวฉันเองทำอะไรอยู่  แต่ฉันกลับคุมตัวเองไม่ได้  พูดถึงตรงนี้ก็เงียบไปสักพัก  ก่อนจะพูดต่อว่า

    จนพวกนายรักษาฉันจนหาย  ฉันค่อยเบาใจลง  และเมื่อคืน  ตอนที่ฉันกำลังอยู่ในช่วงกึ่งกลับกึ่งตื่น  ฉันได้ยินเสียงของมันอีกครั้ง  มันดังอยู่ใกล้มากเสียจนฉันขนลุก  มันพูดว่า ฆ่าทุกคนซะและมันไม่น่าจะพูดกับใครนอกจาก...ฟิลรอส

    ฉันพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้กลัว  รอให้มันเดินออกไปสักพัก  ฉันก็รีบลุกขึ้นปลุกออมให้รีบหนี  แต่พอฉันกับออมกำลังจะหนีออกไป  ฟิลรอสก็เริ่มลงมือ  ค่ายทหารของฉันพังเละเพราะสายฟ้าของมัน  ทหารของฉันก็ตายหมดไม่เหลือ  ออมกับฉันพลัดหลงกันไปคนละทิศละทาง  จนฉันกลับมาเจอพวกนายนี่แหละ

    ทั้งหมดจึงเข้าใจทุกๆอย่าง  อย่างกระจ่างชัด  ตรองยื่นเชือกสีดำสนิทหนึ่งกำ  แจกจ่ายให้เพื่อนทุกคน  ทุกคนก็รับมาถือเอาไว้  ขณะที่กำลังพิศดูเชือกอย่างสงสัยก็รู้สึกว่าร่างกายมีพลังฟื้นคืนกลับมาเหมือน เดิม

                    เดี๋ยวมันก็จะกลับมา  รีบแปลงร่างไว้จะดีกว่า  ตรองแนะนำทุกๆคน

                    ฟังแผนนะ  หมอนี่มีพลังเวทรุนแรง  โจมตีได้ทั้งใกล้ไกล  แต่การโจมตีระยะไกลมีผลมากกว่า  เราจึงจำเป็นต้องเน้นการโจมตีระยะใกล้ให้มากไว้  แล้วให้กลุ่มระยะไกลเป็นตัวสนับสนุน

    คนที่โจมตีระยะใกล้มีประสิทธิภาพมากก็มีฉันกับโอ๊ต  ส่วนเคนและออมให้อยู่ในฝ่ายสนับสนุน  ส่วนที่เหลือให้คอยยิงเฉพาะเวลาที่จำเป็นเท่านั้น

    พวกเราวิ่งหนีสายฟ้าไม่ทัน  ฉะนั้นขอให้พวกเราระวังด้วย  เคนกับออมคอยรักษาเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บในเหตุสุดวิสัย

    เพชรคอยปิดกั้นพลังเวทของฟิลรอสเอาไว้ให้นานที่สุด  ส่วนตุ้งคอยยิงซ้ำจากฉันกับโอ๊ต  ถ้าได้โอกาสให้ฝ้ายแช่แข็งมันไว้แล้วให้เฟิร์นใช้สายฟ้าขั้นสุดยอด  และให้นนใช้ท่าไม้ตายเข้าโจมตี

    และสุดท้าย  ถ้าเกิดฟิลรอสทำลายเวทมนต์ปิดกั้นพลังเวทได้  ให้ระวังเวทมนต์อัสนีทลายภพเอาไว้  เจ้านี่ไม่ใช่ธรรมดา  ถ้าเราผิดแผนแม้แต่นิดเดียวพวกเราอาจจะไม่ได้พบหน้าพ่อแม่อีก  ระวังตัวด้วย  ทุกคนเข้าใจใช่มั๊ย  ตรองร่ายแผนออกมาให้ทุกคนฟัง

    แม้แผนนี้มันจะดูธรรมดา  แต่ก็คงเป็นตัวเลือกเดียวที่มีในตอนนี้

                    ขอธนูนั่นหน่อยสิ  ตรองพูดพร้อมกับชี้มือไปด้านหลังของเพชร  เพชรยื่นผ้าสีขาวบริสุทธิ์มาให้  พร้อมกับรวบลูกธนูสีฟ้าครามมาราวสิบลูกแล้ววางบนผ้าขาวนั้น

                    ถ้าไม่เอาผ้ารองไว้  นายจับมันไม่ได้หรอก  เพชรกล่าวแนะนำ

                    ขอบใจมาก ตรองพับผ้านั้นเข้าแล้วเสียบไว้ที่เอว

                    ทั้งหมดยืนจัดกลุ่มเตรียมรับมือ  โดยมีด้วงสังหารและกระทิงหนุ่มยืนเรียงหน้าอยู่แถวแรก  แถวที่สองเป็นเฮเลนและอัศวินศักดิ์สิทธิ์  ส่วนแถวสุดท้ายประกอบไปด้วยนน  เฟิร์น  เพชร  ตุ้งและฝ้ายตามลำดับ 

    ทั้งหมดยืนนิ่งสดับฟังเสียงของศัตรูผู้เป็นมิตร  แล้วเสียงของฟ้าผ่าหลายสิบครั้งก็ดังขึ้นติดๆกันจากระยะไกลแล้วค่อยๆเข้ามาใกล้เรื่อยๆ  เสียงนั้นเข้ามาได้สักพักก็เงียบหายไป  แล้วมีร่างบุรุษชุดอาภรณ์สีม่วงเข้มกระโดดทะยานออกมายืนจ้องหน้าทั้งเก้าคนด้วยนัยน์ตาสีแดงสดในระยะค่อนข้างไกล

    ตุ้งรู้สึกถึงแรงกดดันอันมหาศาลที่เกิดขึ้นในใจ  แต่ยังควบคุมสติเอาไว้  คันธนูในมือถูกกำแน่นเสียจนสั่นระริก  แล้วจึงค่อยแผ่วเบาลงจนกระทั่งหยุด  ...ตุ้งไม่กลัวอีกแล้ว...

    ด้วงสังหารย่อตัวลง  กระทิงหนุ่มหายใจเสียงดังฟืดฟัดขึ้นมา  แต่อีกฝ่ายกลับทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย  ไม่แม้แต่จะตั้งท่าเตรียมสู้เสียด้วยซ้ำ

                    การต่อสู้เปิดฉากขึ้นอีกครั้ง  แต่ผู้ที่พุ่งเข้าโจมตีกลับไม่ใช่ฟิลรอส  หากแต่เป็นด้วงสังหารและกระทิงโหด

    ทั้งสองพุ่งเข้าหาศัตรูที่มีฝีมือสูงกว่าตนหลายเท่าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย  ทั้งด้วงและกระทิงผลัดกันเข้าโจมตีบ้าง  เข้าโจมตีพร้อมกันบ้าง  แต่ก็โจมตีไม่ถูกฟิลรอสแม้แต่ครั้งเดียว

    ตุ้งคิดจะกระโดดเข้าไปช่วยแต่ก็ต้องข่มใจ  เพราะต้องทำตามแผนที่วางเอาไว้  ตุ้งสังเกตเห็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์กำค้อนในมือแน่นจนสั่นไปหมด  เจ้าปิศาจธนูหิมะจ้องมองการต่อสู้ตาไม่กระพริบ  พ่อมดอสูรก็เช่นกัน

    ทั้งด้วงและกระทิงช่วยกันกระหน่ำโจมตีใส่ฟิลรอส  แต่ฟิลรอสก็สามารถหลบได้ทุกครั้งไป  อีกทั้งยังไม่แสดงถึงอาการบาดเจ็บจากการโจมตีของกระทิงหนุ่มเมื่อสักครู่อีกต่างหาก  ทำให้ตุ้งนั้นใจไม่ดีเลย  แต่เมื่อได้เห็นเพื่อนๆจดจ่อกับการต่อสู้  ตุ้งก็ตั้งท่าเตรียมโจมตีขึ้น

    การเคลื่อนไหวของฟิลรอสนั้นทั้งรวดเร็วและว่องไว  ทำให้การโจมตีของด้วงและกระทิงดูช้าลงไปอย่างมาก  แล้วฝ่ามือทั้งสองของฟิลรอสก็ฟาดเข้าใส่เนบิวเรี่ยน แอสซัสซิน และ เอิร์ธเชกเกอร์  บังเกิดเสียงฟ้าลั่นโครมคราม  ราวกับเกิดฟ้าผ่าขึ้นตอนที่ฝ่ามือเข้าประทับที่ร่างของทั้งสอง

    แม้เจ้าด้วงสังหารจะมีเกราะแข็งหุ้มอยู่แต่ก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย  แต่สำหรับกระทิงจอมพลังแล้ว  ไม่มีแม้แต่เสื้อที่จะคลุมกันอากาศหนาว  การโจมตีเมื่อสักครู่จึงโดนเข้าไปเต็มรัก

    ทั้งสองถูกอัดปลิวกระเด็นกลับมา  ร้องโวยวายออกมาด้วยความเจ็บปวด  แต่ก็ยังฝืนใจลุกขึ้น  คราวนี้ทั้งคู่มองหน้ากันเล็กน้อย  แล้วบุกเข้าโจมตีพร้อมกันอีกครั้ง  ในครานี้ด้วงสังหารเปิดฉากด้วยท่าสลายพลังเวทแต่ฟิลรอสก็คล้ายไม่รู้สึก  พลังเวทของฟิลรอสมีมากเกินที่จะสะทกสะท้านกับเวทมนต์นี้  จากที่บุกเข้าไปโจมตี  ก็ถูกโจมตีกลับมาอีกครั้ง  จนแทบจะกระอักเลือดออกมา

    ทั้งสองไม่ทราบจะทำอย่างไรดี  แล้วอยู่ๆร่างของด้วงสังหารก็หายวับไปกับตา  เหลือแต่เพียงร่างของกระทิงโหด

    แม้ว่าฟิลรอสจะเป็นผู้ให้พลังแก่ทั้งสี่คน  แต่ฟิลรอสไม่เคยทราบว่าทั้งสี่มีความสามารถอะไรบ้าง  นับเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงของฟิลรอส  แต่ถึงอย่างไรฟิลรอสก็ยังเป็นต่อในด้านความสามารถอยู่มากทีเดียว

    ฟิลรอสพุ่งเข้าโจมตีกระทิงโหดในทันใด  แต่ก็เกิดเหตุผิดปกติบางอย่าง  เมื่อฟิลรอสถูกลอบโจมตีจากด้วงสังหาร  ที่หายไปเมื่อสักครู่จากด้านหลัง

    ฟิลรอสถูกลอบโจมตีเข้าเต็มๆจนถึงกับชะงัก  ทำให้เกิดช่องโหว่ขึ้น  กระทิงโหดไม่ปล่อยให้โอกาสที่หาได้ยากหลุดมือไป  รีบคว้าเอาฟรอสต์แอโรว์จากเอวขึ้นมาโดยไม่สนใจถึงอันตรายของมัน  แล้วปักเข้าที่กลางอกของฟิลรอส  ฟิลรอสถึงกับสะดุ้งเมื่อเจอความเย็นของธนูน้ำแข็ง

                    เฮ้ยตรอง!!!!  ระวังหน่อยสิวะ  เดี๋ยวก็ตายหรอกเพชรตะโกนบอก

    กระทิงหนุ่มไม่สนใจหยิบอีกลูกปักเข้าที่แขนขวา หยิบลูกที่สามปักเข้าที่แขนซ้าย  การเคลื่อนไหวของฟิลรอสค่อยๆช้าลงเรื่อยๆ  แต่การเคลื่อนไหวของกระทิงโหดก็ช้าลงเช่นกัน

    ธนูเย็นลูกที่สี่ถูกปักเข้าที่ขาด้านซ้าย  ขณะกำลังจะปักลูกที่ห้า  กระทิงหนุ่มนั้นก็ทนพิษเย็นจัดไม่ไหวล้มลงไปนอนหนาวสั่นระริกกับพื้น

    การสัมผัสกับธนูเย็นโดยตรงจะทำให้เกิดอันตรายขึ้น  นอกจากผู้ที่สัมผัสจะเป็นดรอว์ เรนเจอร์เท่านั้น

    เอิร์ธเชกเกอร์สัมผัสลูกธนูลูกแล้วลูกเล่าทำให้พิษเย็นแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายรวดเร็วกว่าปกติ  ตอนนี้หัวใจของกระทิงหนุ่มแทบหยุดเต้นไปด้วยความเย็นที่น่าสะพรึงกลัว

    ด้วงสังหารใช้เวทมนต์เสกหนามขึ้นมาโจมตีฟิลรอส  แต่ผิดคาด  ฟิลรอสยังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างปกติ  การโจมตีเมื่อครู่จึงพลาดเป้าไป

    ฟิลรอสไม่ทราบว่าทั้งสองมีแผนอะไร  จึงปล่อยให้กระทิงโหดปักฟรอสต์แอโรว์ลงบนร่างและแสร้งทำเป็นติดพิษเย็นเข้า  ตอนนี้เจ้ากระทิงบาดเจ็บสาหัสไม่สามารถขยับตัวได้  เพื่อนที่ยืนดูอยู่เป็นห่วงอย่างมาก

    ฟิลรอสผายมือออกลอยตัวขึ้นฟ้า  ที่มือปรากฏสายฟ้าออกมาคล้ายกับที่ใช้โจมตีใส่ตุ้งแต่ดูเหมือนจะรุนแรงกว่าอยู่มาก

    ด้วงสังหารย่อตัวลงเตรียมตั้งรับการโจมตีอย่างดี  ฟิลรอสทะยานฟ้าพุ่งตรงเข้าหาด้วงสังหารด้วยความเร็วที่สูงประดุจสายฟ้าก็มิปาน

                    แล้วฟิลรอสก็เข้ามาถึง  โอ๊ตไม่ทันได้ขยับ  มือของฟิลรอสก็ฟาดเข้าที่จุดเดิมอีกครั้ง  ร่างของเจ้าด้วงสังหารลอยคว้างไปตกที่ด้านหน้าของอัศวินศักดิ์สิทธิ์และจอมเวทหมื่นบุปผา  ได้รับบาดเจ็บภายในอย่างสาหัส  ...ปล่อยให้ร่างที่นอนหนาวสั่นของกระทิงโหดอยู่กับฟิลรอสเพียงลำพัง...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×