ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกทลายฟ้า สงครามมหาเวท

    ลำดับตอนที่ #4 : ดินแดนอาถรรพ์

    • อัปเดตล่าสุด 8 มี.ค. 51


                    เหตุการณ์เมื่อสักครู่ช่างน่าพิศวงและชวนให้อยากรู้  การตกลงมากระแทกพื้นของสัตว์เทพทั้งสองเมื่อสักครู่นั้น  ทำให้ทั้งสองกองทัพสูญเสียไพร่พลไปไม่น้อยเลยทีเดียว  ทุกคนต่างแปลกใจในการกระทำของนกไฟ  แม้แต่เคลธาสเองก็ตาม

    เมื่อฝุ่นละอองจางหลงก็พบเห็นสภาพมังกรเกล็ดสีขาวอมฟ้าอ่อนๆนอนทอดร่างยาวแน่นิ่งอยู่บนพื้น  ในสภาพกระดูกหักทั้งร่างตายคาที่

    ตุ้งวิ่งไปยังร่างอันไร้วิญญาณ  ก็แปลกใจที่ไม่เห็นร่างของนกฟินิกซ์  แต่เมื่อยกร่างของมังกรน้ำแข็งขึ้นกลับเห็นไข่ใบเท่าหม้อแกงสีแดงส้มอมเหลืองวางอยู่  เป็นอันว่าตุ้งไขปริศนาได้แล้ว

                    อย่างนี้นี่เองตุ้งอุทานเบาๆ

    นกไฟนั้น  เมื่อสิ้นชีพก็จะกลายเป็นไข่  รอการฟักตัวออกมาโผบินสู่เวหาอีกครั้ง

    ตุ้งหยิบไข่ขึ้น  กำลังจะเอาไปส่งให้ฟิวเรี่ยน  กลับรู้สึกว่าร่างกายคล้ายถูกผลักดันโดยแรงจนร่างปลิวไปกระแทกกับพื้นดินด้วยความเจ็บปวดจนต้องร้องโอย  ไข่นกไฟพานหลุดลอยออกจากมือตอนถูกลอบจู่โจม

    การโจมตีนี้เป็นเวทมนต์ที่ยังไม่ทราบว่าผู้ใดใช้  จนกระทั่งปรากฏปิศาจตนหนึ่งลอยออกมาหยิบเอาไข่แล้วร่ายเวททำลายไข่ทิ้ง

    อันที่จริงก่อนนกไฟจะตายได้คำนวณไว้ให้ร่างมังกรน้ำแข็งปิดทับไข่ของตนไว้เพื่อป้องกันอันตราย  แต่ตุ้งไม่ทราบจึงนำไข่ออกมา  จนกระทั่งถูกเห็นเข้า  เท่ากับตุ้งทำเสียแผนอย่างน่าเสียดาย

    รอบๆกายของปิศาจตนนั้นมีหมอกไอน้ำแข็งลอยออกมาตลอดเวลา  มือเป็นหนังหุ้มกระดูก  หัวเป็นกะโหลกรูปร่างแปลกประหลาด

                    ลิชนี่หว่าตุ้งคิดในใจ

    นี่คือ เคลธูซาร์ด  ที่ปรึกษาของอาร์ธาส  ใช้เวทมนต์น้ำแข็งได้อย่างชำนาญ  ตุ้งกำลังลุกขึ้นเตรียมตัวเข้าโจมตีแต่เพชรมาขวางไว้

                    นายไม่ต้อง  ตัวนี้ฉันเอง เพชรกล่าวเนิบๆ  หันหน้าไปทางเคลธูซาร์ด  และพุ่งเข้าโจมตี  หมัดนั้นชกเข้าที่แก้มซ้ายของเคลธูซาร์ด  แต่ก็หลบไปได้

                    เหตุใดจึงไม่ใช้ธนูเสียล่ะเคลธูซาร์ดถาม

                    อย่างแกน่ะไม่ต้องให้ถึงธนูของฉันหรอกเพชรตอบเสียงดัง  พลางดึงลูกธนูจากด้านหลังมาสองลูกเพื่อใช้แทนดาบ

                    สำหรับแกแค่นี้ก็พอ พูดเสร็จก็เข้าโจมตีทันที มือธนูน้ำแข็งสาวเท้าเข้าใกล้ในระยะโจมตีก็ใช้ดาบลูกธนูฟันเข้าที่ลำตัวของเคลธูซาร์ด

    หัวธนูเฉือนผ่านอาภรณ์เวทเข้าสู่เนื้อหนังอย่างง่ายดาย  เคลธูซาร์ดเห็นก็แปลกใจ  อย่างมาก

                    ที่แท้เจ้าก็เป็นน้ำแข็งเหมือนกันเคลธูซาร์ดกล่าวด้วยเสียงห้าวๆ

    อาภรณ์เวทนั้นสามารถต้านทานพลังของอาวุธได้ทุกชนิด เว้นเสียแต่จะเป็นธาตุเดียวกัน

                    เพชรเห็นศัตรูตกใจเพราะตนก็หัวเราะคิกคัก  ควงลูกธนูทั้งสองอย่างคล่องแคล่ว  โยกตัวไปมาเป็นฟุตเวิร์ค

    ทันใดนั้นมีลำแสงสีฟ้าอ่อนสายหนึ่งพุ่งตรงเข้าหาหน้าผากของเพชร

    เพชรเอนหลังหลบไป  พร้อมกับซัดลูกธนูจากมือขวาออกไป  และหยิบอีกลูกมาควงต่ออย่างคล่องแคล่ว

    ลูกธนูพุ่งแหวกอากาศธาตุเข้าตรงสู่หน้าผากของเคลธูซาร์ด  ขณะที่ลูกธนูจะพุ่งถึง  ก็บังเกิดน้ำแข็งขึ้นกำบัง  ลูกธนูเมื่อพุ่งชนก็หักทันที

                    เกราะน้ำแข็งที่ล่องหนเรอะ น่าสนุกแฮะ ขณะขบคิดยังคงเต้นไปมาไม่หยุด

    ส่วนตุ้ง  หลังจากที่ถูกลอบโจมตีจากเคลธูซาร์ดก็ไม่กล้าประมาทอีก  จึงเข้าโจมตีทหารอันเดดกระจอกๆอยู่คู่กับเฮเลน

                    นี่!! ท่านเติบโตในตระกูลเอลฟ์เป็นยังไงบ้างเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิตุ้งถามโดยที่มือยังคงยิงธนูออกไปอย่างสม่ำเสมอ

                    ขณะที่กำลังถามตุ้งก็ได้ยินเสียงเพชรส่งเสียงร้องดีใจ  เมื่อหันไปก็พบว่าเคลธูซาร์ดได้ตายไปแล้ว  ด้วยฝีมือของมือธนูน้ำแข็ง  เพชรภูมิใจอย่างมากที่ล้มศัตรูได้  จนกระโดดโลดเต้น เฮเลนเห็นก็หัวเราะคิกคิก  แล้วหันมาตอบตุ้งว่า

                    ข้าไม่ได้เติบโตมาในตระกูลเอลฟ์ ข้าถูกเรียกมาจากอีกโลกหนึ่ง ความจริงข้า...ยังไม่ทันจะกล่าวจบ  เสียงระเบิดก็ดังลั่นขึ้นต่อๆกันหลายครา

    ทุกคนหันไปทางต้นเสียงโดยพร้อมเพรียงกัน  ฝุ่นควันฟุ้งกระจายลอยล่องอยู่บนอากาศ

    ทันทีที่ฝุ่นบางตาลงก็ปรากฏภาพหลุมขนาดใหญ่  และมีโกเล็มขนาดมหึมาลุกขึ้น เหล่าทหารพากันหันไปสนใจมากมาย

    โกเล็มยักษ์เคลื่อนที่ช้าๆแต่เปี่ยมไปด้วยพลังหนักหน่วงมุ่งเข้าโจมตีฝ่ายเซนติเนล

    ตอนนี้ฝ่ายเซนติเนลเสียเปรียบในหลายด้าน  แม่ทัพเคลธาสติดพันกับอาร์ธาส  เหลือสองแม่ทัพที่ต้องต่อกรกับโกเล็มยักษ์เพียงสองคน

    ด้านการทหารก็เสียเปรียบด้านกำลังพล  เหลือแต่เพียงนน โอ๊ต  ตุ้งและเฮเลนที่ยังคงนำทหารต้านทานเอาไว้

    สถานการณ์ของเซนติเนลในตอนนี้คับขันจนแทบถึงขีดสุด  แล้วฟิวเรี่ยนก็ปลีกตัวจากการต่อสู้มาพบตุ้งและเฮเลน

                    ท่านโบน เฟลทเชอร์  เฮเลน โปรดมาทางนี้สักครู่ฟิวเรี่ยนเรียกด้วยเสียงที่เร่งเร้า ตุ้งรีบคืนร่างและวิ่งมากับเฮเลนในทันใด

                    ข้ามีเรื่องเกี่ยวกับฟิลรอสจะบอกต่อท่าน  ตุ้งได้ยินชื่อฟิลรอสก็ถึงกับเบิกตากว้าง

                    ฟิลรอสคือลูกชายของข้า ทันทีที่ได้ยินดังนี้ทั้งสองก็ถึงกับอุทานออกมา

                    อะไรจะปานนี้ ฟิลรอสเป็นถึงลูกชายของท่านฟิวเรี่ยนเชียวเหรอเนี่ย  แล้วจะมีอะไรพิสดารไปกว่านี้อีกมั๊ยหนอ ตุ้งคิดในใจ สังเกตสีหน้าของเฮเลนก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

                    ฟิลรอสเป็นลูกข้ากับไทแรนด์ ข้าในตอนนั้นถูกพลังมืดเข้าควบคุม  เป็นเหตุให้ข้า...ให้ข้าสังหารนางโดยที่ไม่รู้ตัว  ทั้งยังใช้เวทมนต์เปลี่ยนให้ร่างกายเขาเป็นมนุษย์ที่อ่อนด้อย  ไม่สามารถรับพลังเวทที่รุนแรงได้  ฟิลรอสที่เป็นลูกของเรากลายเป็นเด็กกำพร้าแม่  มีเวทมนต์สูงส่งแต่มีขีดจำกัด  เพราะเรื่องนี้ทำให้ข้าเสียใจตลอดมา  ฟิลรอสไม่เคยเรียกข้าว่าพ่อแม้แต่ครั้งเดียว  ข้าไม่รู้ว่าเขาจะนับถือข้าเป็นพ่อหรือไม่  แต่มันก็สมควรแล้ว  เพราะความผิดครั้งนั้นมันโหดร้ายเกินกว่าที่เขาจะรับได้ ฟิวเรี่ยนกล่าวออกมาทั้งน้ำตาที่คลอเบ้า

                    ตุ้งนึกถึงภาพเวลาที่ผ่านมาก็พบว่า  ฟิลรอสไม่เคยมองหน้าหรือสบตากับฟิวเรี่ยนเลยแม้แต่ครั้งเดียว

                    หลายปีมานี้ข้าพยายามหาวิธีไถ่โทษต่อเขาหลายวิธี  ในที่สุดข้าก็เลือกที่จะใช้เวทมนต์สร้างร่างใหม่ให้แก่เขา  และจะมอบให้แก่เขาในวันเกิดซึ่งก็คือวันนี้   แต่เขาก็จากไปเสียก่อน  ทว่าว่าฟิลรอสเพิ่งจะจากไปเพียงแค่วันเดียว  ดวงวิญญาณยังไม่เข้าสู่ประตูปรโลก  ข้าจึงอยากขอร้องท่านทั้งสองให้ไปตามวิญญาณฟิลรอสกลับมาเพื่อข้าและกองทัพเซนติเนลด้วยเถอะพูดจบก็คุกเข่าลงขอร้อง  ตุ้งและเฮเลนเห็นก็ตกใจรีบพยุงตัวฟิวเรี่ยนขึ้นทันที

                    ขอเพียงฟิลรอสมีโอกาสรอด  ถึงท่านจะไม่คุกเข่า  ฉันก็จะไป ตุ้งกล่าวอย่างหนักแน่น

                    ฉันต้องไปที่ไหน  ทำอะไรบ้างบอกมาได้เลย ตุ้งถามอย่างตื่นเต้น

                    ข้าจะส่งท่านไปยังอีกมิติที่เต็มไปด้วยภูติ วิญญาณและปิศาจ  ท่านจะต้องไปถึงประตูปรโลกก่อนฟิลรอส  และนำวิญญาณเขาใส่ขวดใบนี้ ฟิวเรี่ยนยื่นมือมา  ในมือมีวัตถุชิ้นหนึ่ง  เป็นขวดแก้วใสบริสุทธิ์เล็กๆขวดหนึ่ง  ส่งมอบให้แก่เฮเลน

                    อยู่ในนี้เขาจะปลอดภัย  และมีอีกอย่างที่ข้ายังไม่ได้บอกท่าน  ประตูปรโลกคือประตูแห่งความสิ้นหวังที่สุด  และขอให้ท่านระวังทูตมรณะที่เฝ้าประตูปรโลกด้วย  ข้าเคยทุ่มสุดกำลัง  ยังไม่สามารถเอาชนะได้  ขอให้ท่านโชคดี......พาฟิลรอสกลับมาให้ได้นะ

    แม่ทัพใหญ่ฟิวเรี่ยนอวยพรเสร็จก็ยกมือขึ้นประสานที่หน้าอก  บังเกิดแสงสีเขียวมรกตแผ่พุ่งขึ้นจากพื้นผิวพสุธา  ครอบคลุมร่างของตุ้งและเฮเลนไว้  แล้วทั้งสองก็หายไป  เหลือไว้เพียงแค่เสียงรบราฆ่าฟันแห่งสงครามที่ดุเดือด  และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง

                    ทั้งสองรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่ายืนอยู่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยเมฆดำและเสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัว

                    นี่น่ะเหรอ  ดินแดนแห่งวิญญาณ  น่ากลัวใช่เล่นนะเนี่ย  ตุ้งพูดพร้อมๆกับลุกขึ้นยืน  มองลงไปที่พื้นปรากฏเป็นหมอกบางๆลอยต่ำๆ  ปกคลุมผิวดินสีดำสนิทเอาไว้

                    คำพูดของท่านฟิวเรี่ยนนี่มันดูชอบกลๆนะ  ทำไมจะต้องบอกเราด้วยว่าประตูปรโลกคือประตูแห่งความสิ้นหวัง  เจอะปริศนาเข้าให้แล้วตุ้งบ่นพึมพำ  พลันสังเกตเห็นแสงสว่างส่องวาบขึ้นมา  ตุ้งหันไปตามแสงประหลาดทันที  แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงไม่ถึงเสี้ยววินาที  แต่ก็ไม่อาจพ้นสายตาตุ้งไปได้ 

                    มีอะไรเหรอเฮเลนถามด้วยความงุนงง

                    ไม่มีอะไรหรอก  ฉันคงคิดมากไปเองตุ้งตอบเลี่ยงความจริงออกไป  รอสักครู่เมื่อไม่พบศัตรูจึงคลายใจและคืนร่างเดิม

                    เห็นท่านเคยบอกว่าเป็นคนที่ฟิลรอสขอให้มาช่วย  ข้าขอดูร่างจริงในอีกโลกของท่านหน่อยสิตุ้งรีบเปลี่ยนเรื่อง

                    ได้สิ  แต่อย่าตกใจนะ  เฮเลนพูดไปยิ้มไป

                    แน่อยู่แล้ว!!!” 

    เฮเลนยืนนิ่ง  เหยียดแขนตรง  เงยหน้าขึ้นฟ้า  ก็ปรากฏแสงสีฟ้าบริสุทธิ์ประดุจผนึกน้ำแข็งที่ไร้สิ่งเจือปน  ค่อยๆพันธนาการร่างของเฮเลน  พรรณไม้หลากหลายชนิดปลิวว่อนบดบังร่างกายของเฮเลนไว้  แสงสว่างจ้าขึ้นจนตุ้งต้องยกมือขึ้นป้องตาไว้  แล้วแสงก็จางลง  เหลือแต่ดอกไม้ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ 

    ดอกไม้ค่อยๆร่วงหล่นไป  แสงสีฟ้าก็เช่นกัน  เผยให้เห็นรูปลักษณ์เด็กหญิงวัยสาวคนหนึ่ง  ผู้มีผิวพรรณขาวผ่องสะอาดตา  สวมใส่อาภรณ์สีชมพูอ่อน  ผมยาวด้านหลังถูกมัดไว้อย่างเรียบร้อย  ใส่แว่นสายตาสั้นกรอบสีน้ำเงิน  กำลังยืนยิ้มให้ตุ้ง

                    ออม!!!” ตุ้งร้องดังลั่น

                    ไหนบอกจะไม่ตกใจไงออมพูดพลางหัวเราะคิกคิก

                    เจอแบบนี้ไม่ตกใจก็บ้าแล้วออม  แล้วทำไมเธอถึงได้มาเป็นหนึ่งในสี่จอมเวทแห่งเซนติเนลล่ะตุ้งถามอย่างงุนงงสุดบรรยาย

                    ก็ไม่รู้เหมือนกัน  ฟิลรอสเป็นคนจัดการทั้งหมดเลย  แล้วก็ให้พลังเวทฉันด้วย  เดี๋ยวเจอฟิลรอสค่อยถามก็ได้ออมบอก

                    แหม  เห็นพวกฉันมาแล้วไม่ทักเลยนะ  แบบนี้เป็นเพื่อนกันอยู่ป่าวเนี่ยตุ้งสัพยอก

                    โอ๋ๆ ป๊ะป๋าอย่าโกรธน๊า นะ นะ นะ ออมพูดพร้อมกับยื่นมือเกาคางของตุ้ง  ตุ้งเริ่มรำคาญจึงปัดออก

                    ไม่ใช่เพื่อนเล่นนะ  จะได้ไม่โกรธตุ้งพูดคล้ายหยอกคล้ายโมโห  ออมหมดมุกจะง้อจึงทำปากพองกลมเป็นปลาปักเป้าแล้วเลิกกวนตุ้ง

                    แท้ที่จริงตุ้งและเพื่อนทั้งสามกับออมเป็นเพื่อนร่วมชั้นเดียวกัน  รู้จักกันมานาน  จึงไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีเพื่อนคนอื่นถูกเชิญให้มาช่วยอีก

                    เรารีบตามหาวิญญาณของฟิลรอสก่อนเถอะตุ้งพูดกระตุ้นตัวเองและออม  ทั้งสองออกเดินไปโดยที่ไม่รู้จักเส้นทางเลย  เดินมาพักหนึ่งก็หยุดพักบนเนินเขาเตี้ยๆ

                    ยังเดินไม่เท่าไหร่ทำไมเหนื่อยเร็วจังตุ้งฉุกคิด

    ขณะนั้นมีเสียงร้องโหยหวนมากมายดังขึ้น  ตุ้งตกใจกับเสียงเพราะมันเกิดขึ้นในระยะที่ใกล้มาก  ต่างจากเสียงครั้งก่อนๆ

    ยังไม่ทันได้คิดหาเหตุผล  เสียงกรีดร้องอย่างตกใจของออมก็ดังขึ้น  ตุ้งหันไปมองทันที  เห็นมือนับร้อยผุดขึ้นมาจากดินกำลังฉุดดึงร่างของออมลงสู่ใต้พื้นพสุธา  ด้วยความหวาดกลัวสุดขีดทำให้ออมรวบรวมสมาธิแปลงร่างไม่ได้

                    ตุ้ง ตุ้งช่วยฉันด้วย!!!” ออมร้องเรียกตุ้งและดิ้นรนให้หลุดจากมือไปด้วย  แต่ถึงจะดิ้นเท่าไรก็ไม่สัมฤทธิ์ผล

    ตุ้งรีบแปลงร่างเป็น โบน เฟลทเชอร์ ฉุดร่างของออมออกจากมือปิศาจเหล่านั้น  แล้วกระโดดถอยออกมา

    มือปิศาจยังคงผุดขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ  มาทางที่ตุ้งและออมยืนอยู่อย่างรวดเร็ว  ตุ้งพยุงให้ออมยืนขึ้น

                    ออม  รวบรวมสมาธิแล้วแปลงร่างเป็นเฮเลนซะ  เจ้าพวกนี้มันแพ้ทางเฮเลน  ออมพยักหน้าแบบสั่นๆ

    เมื่อพูดกับออมเสร็จตุ้งก็ผละจากออมแล้วมาสนใจทางมือปิศาจแทน  ตุ้งผายมือออกจะเรียกเปลวไฟออกมาจัดการเจ้าพวกนี้  แต่ทว่าไม่มีเปลวไฟติดขึ้นที่มือเลย  ตุ้งและเฮเลนไม่สามารถใช้เวทมนต์ที่เปลืองพลังได้เลยในดินแดนนี้

                    อะไรกันวะเนี่ยตุ้งพูดออกมาอย่างอารมณ์เสีย  พลันหยิบลูกธนูเพลิงจากด้านหลัง  ประทับไว้ที่คันธนูแล้วปล่อยออกไป  มือปิศาจที่โดนลูกธนูก็ไหม้มลายไป  แต่ก็ยังเหลืออีกมากมายที่ยังคงมาทางตุ้งและออม

                    เอาไปเลยพวกแก!!!!”

    ลูกธนูมากมายออกไปด้วยความเร็วที่สูงจนสายตาแทบมองไม่ทัน  มือปิศาจจำนวนมากสูญสลายไป  แต่ก็ยังมีมือผุดขึ้นมาเรื่อยๆ

                    ออม  เร็วหน่อย  ตุ้งเร่งเร้าโดยที่มือยังคงยิงธนูออกไปไม่หยุดยั้ง

                    ไอ้พวกมือบ้า  เกิดเร็วจริงๆ  ตุ้งบ่นโดยที่มือยังคงรักษาความเร็วไว้

    ลูกธนูหลายร้อยถูกปล่อยออกจากธนูของโบน เฟลทเชอร์  พุ่งตรงสู่มือปิศาจมือแล้วมือเล่า  แต่คล้ายไม่ช่วยให้จำนวนมือลดลงเลย  มือปิศาจหลายพันกำลังมุ่งตรงไปทางตุ้งจากทุกทิศ

    ลำพังแค่เรื่องจำนวนก็ทำให้ตุ้งเหนื่อยมากพอแล้ว  ยังมีมือมาจากทุกทิศทุกทางทำให้ต้องเสียแรงอย่างมาก

    มือปิศาจเข้าถึงตัวตุ้งในระยะไม่ถึงเมตร  มือของตุ้งเร่งความเร็วในการยิงขึ้นอีก  จนเกินที่เทพไหนๆจะทำได้  แต่ทว่าเหล่านั้นก็เข้าถึงตัวตุ้งจนได้

    ทันทีที่มือปิศาจสัมผัสเข้าที่ขาของตุ้ง  ก็รู้สึกว่าพลังของตุ้งถูกลดทอนลงอย่างรวดเร็ว  มือขนาดยาวผุดขึ้นมาจับแขนทั้งสองข้างของตุ้งไว้  ความคิด ความหวัง ความฝัน  ทั้งหมดก็เหมือนจะถูกกัดกินด้วยพลังอันชั่วร้าย

    ตุ้งพยายามที่จะผละตัวเองออกจากมือเหล่านี้  แต่ยิ่งออกแรงก็เหมือนยิ่งเพิ่มแรงที่ดึงร่างของตุ้งลงสู่ใต้พื้นดินยิ่งขึ้นอีก  มันทำให้ตุ้งหมดสิ้นทุกความหวัง  ตุ้งทำได้แค่เพียงรอความตายที่รออยู่ใต้พสุธา  ที่มันกำลังคลืบคลานเข้าหาตุ้ง  จึงหยุดต่อต้านมือเหล่านั้น  หลับตาทั้งสองลง  ปล่อยให้ร่างจมดิ่งสู่พื้นพิภพ 

                    ออม  ฉันฝากกราบลาพ่อแม่ฉันด้วยนะ เป็นคำพูดสุดท้ายที่ตุ้งอยากจะพูดกับออม  แต่ก็ไม่มีเสียงเล็ดลอดผ่านลำคอของตุ้งแม้แต่น้อย  ทำให้ตุ้งสะเทือนใจอย่างยิ่ง

                    ขณะที่ความหวังของตุ้งดับมอดลง  ตุ้งก็รู้สึกว่ามีแสงสว่างจ้าขึ้น  มือที่จับกุมร่างกายของตุ้งหายไป  ทำเอาตุ้งงุนงงสุดคาด

                    อะไรอีกวะเนี่ย  ตุ้งคิดในใจ

                    ลืมตาขึ้นสิ  เสียงของชายหนุ่มที่ตุ้งยังจำได้ดีดังขึ้น

                    ฟิลรอส!!!”  ตุ้งร้องลั่นและรู้สึกตัวขึ้นมา  พบว่ามือปิศาจยังคงเกาะเข้าที่ขาของตุ้งเท่านั้น

    ที่แท้เมื่อครู่เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่มือปิศาจสร้างขึ้นเพื่อสังหารตุ้ง  หากตุ้งยอมที่จะตาย  วิญญาณของตุ้งก็จะถูกดึงลงสู่ห้วงแห่งพิภพ  แต่เพราะเสียงของฟิลรอส  ทำให้ตุ้งตื่นขึ้นจากภวังค์

    ตุ้งต่อต้านสุดแรง  กู่ร้องออกมาสุดเสียง  กระชากขาทั้งสองออกจากมือปิศาจ  กระโดดสุดแรงพร้อมกับม้วนตัวกลางอากาศแล้วยิงธนูออกไป  มือปิศาจหลายร้อยถูกธนูของตุ้งก็สลายไป

    นี่เป็นการวัดดวงที่อันตรายที่สุด  เพราะถ้าหากตุ้งตกลงสู่พื้น  มือทั้งหมดก็จะห้อมล้อมตุ้งไว้  ไม่มีโอกาสดิ้นหลุดเป็นครั้งที่สอง  ระหว่างที่ร่างของตุ้งลอยอยู่บนอากาศ  ก็บังเกิดแสงสว่างเหมือนในภาพลวงตาขึ้นอีกครั้ง

                    เทพบุปผาสะคราญ  เสียงของออมในร่างเฮเลนร้องขึ้น  ทันใดนั้นท้องฟ้าที่มืดครึ้มก็สว่างจ้าขึ้น  ดั่งละเมอเพ้อพกว่ามีเทพธิดาหนึ่งองค์บินลงมาจากฟากฟ้ามาทำลายเหล่ามือปิศาจนั้น

    มือปิศาจทั้งหมดถูกแสงกลืนกินหายไป  แล้วแสงสว่างนั้นก็ค่อยๆหายไป  ตุ้งลงสู่พื้นก็พบว่าไม่มีมือปิศาจเหลืออยู่อีกแล้ว  เหลือเพียงเพฌฆาตธนูเพลิงและจอมเวทหมื่นบุปผายืนอยู่

                    ช้าจัง  มือธนูกระดูกบ่นให้เฮเลน

                    ขอโทษที  นี่ยังดีนะ  ที่ฟิลรอสมาช่วยไว้ทัน  เฮเลนขอโทษขอโพย

                    ฟิลรอสก็มาช่วยเธอเหมือนกันเหรอ

                    ก็มาบอกว่าให้รวบรวมสมาธิให้ดีๆแล้วแปลงร่าง

                    ที่แท้แสงนั่นก็คือฟิลรอสเอง

                    แสงอะไรเหรอ

                    ช่างเถอะ  ว่าแต่ฟิลรอสรู้ได้ไงว่าเรามาที่นี่  ตุ้งถามขึ้นมา

                    ไม่รู้เหมือนกัน  แต่รีบตามหาจะดีกว่า  เฮเลนเสนอความคิด

                    ทำไมตอนแปลงร่างเธอจะต้องพูดเหมือนเราไม่ใช่เพื่อนกันไปได้  ตุ้งพยายามคลายความเครียด

                    ร่างนี้เป็นร่างของผู้นำทัพเซนติเนลต้องให้เกียรติสิเฮเลนตอบ

                    ครับ  ท่านเฮเลน ตุ้งพูดล้อเลียน  พูดจบทั้งคู่ก็หัวเราะอย่างสนุกสนาน

    ทั้งสองลงจากเนินเขาและเดินต่อไปโดยไม่รู้จุดหมายอีกเช่นเคย  แต่คราวนี้ทั้งสองไม่กล้าคืนร่างอีก  เพราะรู้ถึงความน่ากลัวขอดินแดนอาถรรพ์นี้แล้ว

    ทั้งสองเดินมาจนถึงถ้ำที่วังเวงแห่งหนึ่ง  หยุดคิดลังเลเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปสู่ถ้ำที่มืดสนิท

                    ตุ้ง...ตุ้งข้าอยู่ที่นี่  ข้าอยู่ทางนี้ช่วยข้าด้วย  นี่เป็นเสียงอันคุ้นเคยที่ดังขึ้นรอบตัวตุ้ง  แต่น้ำเสียงคล้ายขาดอากาศหายใจ

                    ฟิลรอส  ฟิลรอสนายอยู่ที่ไหน  พวกเรามาช่วยนายแล้ว ตุ้งร้องหาฟิลรอสด้วยใจกระวนกระวาย

                    ออม  ขอแสงหน่อย ตุ้งขอความช่วยเหลือ  แล้วแสงสว่างก็มาตามคำขอ

    ทันทีที่แสงปรากฏออก  ตุ้งก็รีบมองหาฟิลรอสทันที  แต่มองหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ  ตุ้งจนปัญญาจึงต้องยกมือขึ้นกุมขมับ

    เมื่อลืมตาขึ้นมา  ก็พบว่าฟิลรอสอยู่ห่างจากตุ้งเพียงไม่กี่เมตร  ข้อมือ ลำคอ และข้อเท้าถูกล่ามโซ่ที่คล้ายควันดำเอาไว้  ปลายของโซ่อีกทางอยู่ในมือนักรบที่สวมใส่อาภรณ์หนังสัตว์คล้ายกับอาร์ธาส  นั่งอยู่บนม้าปิศาจที่ดูดุร้าย  ในมือถือดาบรูปทรงคล้ายฟรอสต์มอร์ แต่ไม่มีไอเย็นลอยขึ้นมา

    นักรบผู้นี้คือ อแบดดอน อัศวินอมตะแห่งDotA  ผู้มีเวทมนต์ก้นหีบที่แสนจะเจ็บแสบ  ตุ้งแปลกใจที่มองเห็นทั้งสอง

                    ปล่อยฟิลรอสซะ  ไอ้นักรบกระจอกตุ้งพูดเหมือนเป็นสัญญาณการต่อสู้

                    นายพูดกับใครเฮเลนถาม

                    เธอลองเพ่งพลังไปที่ดวงตาสิ   เฮเลนเพ่งพลังไปที่ดวงตา  แต่ก็มองไม่เห็นอะไร

                    ไม่เห็นมีอะไรเลย  นายล้อเล่นอะไรเนี่ย

                    ไม่เห็นช่างมัน  ขอแค่แสงสว่างก็พอ  ตุ้งพูดสั้นๆห้วนๆ

                    แค่ดวงวิญญาณดวงเดียว  ทำให้เศษสวะสองคนดั้นด้นมาที่นี่เลยเรอะเจ้าปิศาจสนทนาออกมา

                    นักรบกิ๊กก๊อกเอ้ย  ตุ้งพูดกวนประสาทออกไป

                    นักรบปิศาจถลึงตาใส่ตุ้ง  ร้องคำ รับมือออกมา

                    ฉันรอคำนี้มานานแล้ว!!!”

    ทั้งสองเปิดฉากพุ่งตัวเข้าใส่กัน  การต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่งครั้งแรกของตุ้งเริ่มขึ้น  เปลวไฟที่ด้านหลังลุกโชติช่วงขึ้นแสดงให้เห็นถึงพลังที่ทุ่มลงไป 

    หลังจากที่ออมลองวิธีของตุ้งอยู่หลายครั้งจึงเห็นรูปร่างของศัตรู  แต่ก็ยังไม่เห็นฟิลรอสอยู่ดี 

    เมื่อเข้าถึงระยะต่อสู้  มือธนูกระดูกก็ยกคันธนูเพลิงในมือซ้ายขึ้นป้องกันดาบของอแบดดอน  สองศาสตราเข้ากระทบกันทำให้เกิดพลังรุนแรง  ในถ้ำบังเกิดลมพัดเสียงดังหวือหวา  ฝุ่นละอองปลิวว่อนไปหมด

    กำปั้นขวาของตุ้งกำแน่น  ซัดเข้าที่ใบหน้าของอแบดดอนอย่างจัง  จนปลิวตกม้าปิศาจ  ตุ้งเคลื่อนมือขวาหยิบลูกธนูไฟที่ด้านหลังสองดอก  และปักเข้าที่ตาทั้งสองของม้าปิศาจ  โดยที่อแบดดอนยังไม่ทันตกถึงพื้น  ความร้อนแผ่ซ่านเข้าสู่สมองของม้าตายในทันที

    อแบดดอนลุกขึ้นยืนก็พบว่าสูญเสียม้าคู่ใจไปเสียแล้ว  การโจมตีเมื่อครู่เป็นเพียงการเรียกน้ำย่อยของตุ้งเท่านั้น  แต่มันกลับเป็นการแสดงความเก่งกาจสำหรับอแบดดอน

    นักรบปิศาจตวัดดาบร่ายเวทออกมาปรากฏเป็นแสงสีฟ้าคล้ายผนึกแก้วคลุมร่างของตนไว้  ตุ้งไม่รอช้าวิ่งเข้าโจมตีอีกครั้งโดยที่ไม่ทันคำนึงถึงเวทมนต์ของอแบดดอน 

    ตุ้งกระโดดขึ้นถีบเข้าที่ทรวงอกของนักรบปิศาจสุดแรง  เกิดเสียงดังเพียะครั้งหนึ่ง  ร่างของตุ้งปลิวไปชนกับผนังถ้ำดังโครม  นี่เป็นผลของเวทมนต์สะท้อนพลังโจมตีของอแบดดอนที่ตุ้งรู้ดีแต่กลับลืมคิดไปสนิทใจ 

    การเคลื่อนไหวที่ผิดพลาดเมื่อสักครู่  ทำให้แขนซ้ายหักทั่วทั้งแขน  สร้างความปวดร้าวจนต้องร้องออกมาอย่างเจ็บปวด 

    ขณะที่กำลังครางอย่างทรมานก็มีแสงสว่างเรืองๆเข้าพันธนาการแขนของตุ้ง  แล้วกระดูกก็เชื่อมต่อกันเหมือนเดิม  เป็นเวทมนต์มนตราเชื่อมกระดูกของเฮเลนนั่นเอง

                    ขอบใจมากตุ้งกล่าวขอบใจพลางยื่นหยิบลูกธนูจากด้านหลัง

                    เอาจริงแล้วนะ  คราวนี้ล่ะ  ฉันจะยิงให้พรุนเลย

    พูดจบตุ้งก็ยิงธนูไฟออกไปด้วยความเร็วที่สายตายังมองได้ลำบาก  นับประสาอะไรกับต้องขยับกายหนี

    ลูกธนูไฟราวสิบลูกถูกปล่อยออกไปภายในช่วงเวลาเพียงเศษเสี้ยว  ร่างกายของอแบดดอน  เต็มไปด้วยลูกธนูปักเต็มไปหมด  แล้วก็มีแสงสีเขียวมาครอบคลุมร่างของเจ้าอสูรไว้

                    ท่าไม้ตายมันออกมาแล้วตุ้งพูดพึมพำกับตัวเอง  พร้อมกับเร่งความเร็วในการยิงให้สูงขึ้นไปอีก  แต่ก็ไม่สามารถทำให้อแบดดอนระคายผิวแม้แต่น้อยสมกับฉายาเทพอสูรอมตะจริงๆ

    เจ้าอสูรอมตะพุ่งตรงเข้าฟาดฟันตุ้ง  ตุ้งหยุดยิงแล้วกระโดดถีบผนังถ้ำด้านหลัง  ลอยลิ่วข้ามหัวอแบดดอนไป  พร้อมๆกับยิงธนูออกไป จนกระทั่งตุ้งตกถึงพื้นจึงหยุดยิง  ซึ่งตรงกับช่วงที่แสงสีเขียวหายไปพอดี

                    ลาก่อน   จบคำสั่งลาลูกธนูลูกสุดท้ายถูกปล่อยตรงเข้าทะลุกลางหน้าผากของอแบดดอน  ลูกธนูพุ่งตัดทะลุสมองตายคาที  การต่อสู้ครั้งแรกของตุ้งจบลงด้วยชัยชนะที่งดงาม

                    ออม  ขอขวดนั่นหน่อย  ออมล้วงเข้าไปในกระเป๋านำขวดใสมาให้ตุ้ง

                    กลับบ้านกันนะฟิลรอสวิญญาณของฟิลรอสพยักหน้าช้าๆ  ตุ้งเปิดจุกขวดออกวิญญาณของ     ฟิลรอสก็ถูกดูดเข้าไป  ตุ้งจึงค่อยปิดจุก

                    แค่นี้เอง  ตุ้งพูดกับออมพร้อมกับยักไหล่ 

                    จ้าๆ พ่อคนเก่ง  ทั้งสองหยอกล้อกันอย่างไม่เกรงกลัวอันตราย

    จอมเวทออมและมือธนูตุ้งออกเดินทางกลับ  จนกระทั่งทิ้งระยะถ้ำนั้นไว้เบื้องหลังก็ได้ยินเสียงดังทึบๆ  พื้นดินสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด  ปรากฏคิงคองขนาดยักษ์ยืนอยู่หน้าปากถ้ำ  ดวงตาสีแดงเถือกกำลังจ้องหน้าของทั้งสองคนเขม็ง

                    ตองก้า อู กา กา ตองก้า อู กา กา   เสียงของกลุ่มคนชนเผ่าประหลาดแต่งตัวด้วยหนังสัตว์ประหลาดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน คนประหลาดเดินออกมาจากทางด้านหลังของคิงคองยักษ์

                    ท่านทูตมรณะพิโรธแล้ว  มีดวงวิญญาณหลบหนีการเข้าสู่ประตูปรโลก  หัวหน้าเผ่าพูดขึ้น

                    ที่แท้ถ้ำนั้นคือประตูปรโลกนั่นเอง  ถ้าหากดวงวิญญาณผ่านถ้ำนั้นออกสู่ปากถ้ำอีกทาง  จะไม่มีวันกลับไปได้อีก

                    คนแปลกหน้าเหล่านั้นพาดวงวิญญาณหลบหนีหัวหน้าเผ่าพูดพร้อมกับชี้มาทางตุ้งและออม

                    ตุ้งกับออมยืนมองหน้ากันด้วยอารมณ์สุดบรรยาย  ด้วยขนาดของคิงคองยักษ์  ช่างทำให้ตุ้งไม่มีความหวังจะต่อสู้เอาเสียเลย  ในที่สุดทั้งสองก็เกิดความคิดดีๆขึ้นมา

                    วิ่ง!!!”

    ทันทีที่พูดจบก็พากันโกยอย่างพร้อมเพรียง  ทั้งสองคิดจะใช้เวทมนต์วิ่งทะยานให้เร็วขึ้น  แต่ก็ทำไม่ได้  จึงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งสุดแรง  โดยไม่ทราบว่าจะไปถึงที่ใด  คิงคองยักษ์ทุบที่อกหลายครา  แล้วกระโดดติดตามทั้งสองไป

                    ทั้งสองวิ่งหนีอสุรกายใหญ่ยักษ์สุดกำลังขา  เจ้าอสุรกายก็ไล่ตามมาติดๆ  ขณะที่กำลังเร่งฝีเท้านั้น  ออมเกิดเตะเข้าที่หัวกะโหลกที่วางอยู่บนพื้นจนเสียหลักเซถลาล้มลง

                    ตุ้งช่วยด้วย!!!” ออมขอความช่วยเหลือ

                    ทำไมมันต้องมาล้มตอนนี้ด้วยเนี่ย  ตุ้งบ่นพร้อมกับพลิกกลับไปตัวใช้มือขวายกร่างของออมในคราบเฮเลนขึ้นแบกใส่บ่าไว้

                    สำหรับตุ้งเพียงแค่มองดูร่างของคิงคองมรณะก็ขาสั่นแทบล้มลงไปอยู่แล้ว  หากจะให้ต่อสู้ก็คงไม่ไหว  ยิ่งแม่ทัพใหญ่ฟิวเรี่ยนบอกยังเองว่าให้ระวังยิ่งไม่มีทางสู้ใหญ่  ตุ้งจึงทำได้แค่วิ่งเท่านั้น

                    อย่าดิ้นนะออม!!!!!” 

    ตุ้งวิ่งสุดแรงเกิดอีกครั้ง  แต่เจ้าคิงคองก็ยังคงไล่ตามมาในระยะที่มันจะโจมตีได้  เสียงคำรามลั่นฟ้าดังขึ้น  พร้อมกับมือยักษ์ที่ทุบลงพื้นดิน  จนเป็นรอยขนาดใหญ่ 

    กำปั้นของเจ้าอสุรกายทุบลงเฉียดหลังตุ้งเพียงไม่ถึงเมตร  ทำเอาตุ้งหวาดผวาสุดขีด  ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยกลัวอะไรมากขนาดนี้

    กำปั้นของคิงคองยักษ์ฟาดลงอีกครั้ง  กำลังจะมาถึงตัวตุ้ง  แต่มีแสงสว่างสีเขียวมรกตขึ้น  ร่างของตุ้งและเฮเลนหายไป  ปล่อยให้เจ้าคิงคองฟาดกำปั้นใส่พื้นสุดแรงจนปฐพีสะเทือนเลื่อนลั่น

                    ทางด้านตุ้งหลังจากที่ฟิวเรี่ยนดึงตัวกลับมาที่คฤหาสน์ก็ค่อยเบาใจ  และวางเฮเลนลงจากบ่า  และยื่นขวดแก้วให้แก่ฟิวเรี่ยน

                    ต้องขออภัยท่านโบน เฟลทเชอร์ ที่ทำให้ต้องรอ  ฟิวเรี่ยนขอโทษในความผิดพลาดของตน

                    ไม่เป็นไรหรอก  พวกฉันไม่ถือ  ตุ้งพูดพลางยิ้มออกมาแต่ฟิวเรี่ยนคล้ายไม่ได้ยินเพราะมัวแต่สนใจที่ขวดแก้วนั้น

                    ฟิลรอส  พ่อ...พ่อขอโทษลูก  พ่อผิดเอง  ทุกๆอย่างเป็นความผิดของพ่อเอง  ฟิวเรี่ยนกล่าวทั้งน้ำตา  เปิดจุกขวดและร่ายเวทเรียกร่างของฟิลรอสที่ถูกสร้างด้วยเวทมนต์ออกมานอนที่เตียง

    ฟิวเรี่ยนยกมือปาดน้ำตา  แล้วพูดว่า

                    เข้าร่างเสียเถอะลูก  ฟิวเรี่ยนพูดโดยข่มเสียงไว้ไม่ให้สะอื้น

    ดวงวิญญาณของฟิลรอสลอยล่องเข้าสู่ร่างที่นอนแน่นิ่ง  ทันทีที่เข้าประทับร่างก็บังเกิดฟ้าร้องฟ้าผ่าขึ้นข้างๆคฤหาสน์

    ร่างกายใหม่นี้ไม่เพียงเพิ่มการรองรับเวทมนต์  อีกทั้งยังเพิ่มความรุนแรงให้กับเวทมนต์ที่ใช้อีกด้วย

                    ฟิลรอสต้องการเวลาสักพักที่จะฟื้นฟูพลังเวท  จอมเวทเฮเลนรับคำสั่ง!!!”  ประโยคหลังของ      ฟิวเรี่ยนพูดด้วยเสียงหนักแน่น  เฮเลนก็เดินมาคุกเข่าลงหนึ่งข้างพร้อมกับก้มหน้าลง

                    ภารกิจสำคัญ  พาฟิลรอสและท่านโบน เฟลทเชอร์ไปที่ป่าเฟลวู้ด  ต้านทานเหล่าอันเดดเอาไว้จนถึงที่สุด  และแต่งตั้งให้ฟิลรอสมีอำนาจสูงที่สุดในป่าแห่งนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจขัดขืนคำสั่ง

                    รับบัญชา!!!” ออมพูดเสียงหนักแน่น

                    แล้วเพื่อนของฉันล่ะ ตุ้งแทรกขึ้นมา

                    พวกเรากำลังต้านทานทัพของอาร์ธาสอย่างสุดความสามารถ  ไม่ช้าเพื่อนๆของท่านจะตามไป  อย่าได้เป็นห่วง

                    ตุ้งได้ยินดังนั้นก็ยิ้มอย่างปิติ  ความรู้สึกอยากกลับบ้านรุกเร้าโจมตีจิตใจตุ้งอีกครั้ง

                    แล้วพวกฉันจะกลับบ้านกันยังไงตุ้งถามคำถามอีกครั้ง

                    ฟิลรอสเป็นผู้พาท่านมา  เขาก็จะเป็นผู้พาท่านกลับช่างเป็นคำตอบที่ไม่ค่อยทำให้ตุ้งดีใจเสียเลย

                    ลาก่อนท่านโบน เฟลทเชอร์  หากมีวาสนาเราคงได้พบกันอีกฟิวเรี่ยนพูดพร้อมกับโค้งคำนับ  ตุ้งเห็นก็คำนับตอบ

                    รักษาตัวด้วย  ตุ้งกล่าวคำอำลา  แล้วร่างของฟิวเรี่ยนก็หายวับไป

                    ไปกันเถอะ

    หลังจากที่ตุ้งและออมประคองร่างของฟิลรอสขึ้นบนม้าเสร็จ  ทั้งสองก็ขึ้นม้าคนละตัว  เดินทางไปสู่ป่าเฟลวู้ดอันเป็นปราการและความหวังสุดท้ายของกองทัพเซนติเนล

                    รีบตื่นขึ้นมานะ ฟิลรอส  ตุ้งพูดที่ข้างหูของฟิลรอสเบาๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×