คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ดินแดนอาถรรพ์
เหตุการณ์เมื่อสักครู่ช่างน่าพิศวงและชวนให้อยากรู้ การตกลงมากระแทกพื้นของสัตว์เทพทั้งสองเมื่อสักครู่นั้น ทำให้ทั้งสองกองทัพสูญเสียไพร่พลไปไม่น้อยเลยทีเดียว ทุกคนต่างแปลกใจในการกระทำของนกไฟ แม้แต่เคลธาสเองก็ตาม
เมื่อฝุ่นละอองจางหลงก็พบเห็นสภาพมังกรเกล็ดสีขาวอมฟ้าอ่อนๆนอนทอดร่างยาวแน่นิ่งอยู่บนพื้น ในสภาพกระดูกหักทั้งร่างตายคาที่
ตุ้งวิ่งไปยังร่างอันไร้วิญญาณ ก็แปลกใจที่ไม่เห็นร่างของนกฟินิกซ์ แต่เมื่อยกร่างของมังกรน้ำแข็งขึ้นกลับเห็นไข่ใบเท่าหม้อแกงสีแดงส้มอมเหลืองวางอยู่ เป็นอันว่าตุ้งไขปริศนาได้แล้ว
“อย่างนี้นี่เอง” ตุ้งอุทานเบาๆ
นกไฟนั้น เมื่อสิ้นชีพก็จะกลายเป็นไข่ รอการฟักตัวออกมาโผบินสู่เวหาอีกครั้ง
ตุ้งหยิบไข่ขึ้น กำลังจะเอาไปส่งให้ฟิวเรี่ยน กลับรู้สึกว่าร่างกายคล้ายถูกผลักดันโดยแรงจนร่างปลิวไปกระแทกกับพื้นดินด้วยความเจ็บปวดจนต้องร้องโอย ไข่นกไฟพานหลุดลอยออกจากมือตอนถูกลอบจู่โจม
การโจมตีนี้เป็นเวทมนต์ที่ยังไม่ทราบว่าผู้ใดใช้ จนกระทั่งปรากฏปิศาจตนหนึ่งลอยออกมาหยิบเอาไข่แล้วร่ายเวททำลายไข่ทิ้ง
อันที่จริงก่อนนกไฟจะตายได้คำนวณไว้ให้ร่างมังกรน้ำแข็งปิดทับไข่ของตนไว้เพื่อป้องกันอันตราย แต่ตุ้งไม่ทราบจึงนำไข่ออกมา จนกระทั่งถูกเห็นเข้า เท่ากับตุ้งทำเสียแผนอย่างน่าเสียดาย
รอบๆกายของปิศาจตนนั้นมีหมอกไอน้ำแข็งลอยออกมาตลอดเวลา มือเป็นหนังหุ้มกระดูก หัวเป็นกะโหลกรูปร่างแปลกประหลาด
‘ลิชนี่หว่า’ ตุ้งคิดในใจ
นี่คือ เคลธูซาร์ด ที่ปรึกษาของอาร์ธาส ใช้เวทมนต์น้ำแข็งได้อย่างชำนาญ ตุ้งกำลังลุกขึ้นเตรียมตัวเข้าโจมตีแต่เพชรมาขวางไว้
“นายไม่ต้อง ตัวนี้ฉันเอง” เพชรกล่าวเนิบๆ หันหน้าไปทางเคลธูซาร์ด และพุ่งเข้าโจมตี หมัดนั้นชกเข้าที่แก้มซ้ายของเคลธูซาร์ด แต่ก็หลบไปได้
“เหตุใดจึงไม่ใช้ธนูเสียล่ะ” เคลธูซาร์ดถาม
“อย่างแกน่ะไม่ต้องให้ถึงธนูของฉันหรอก” เพชรตอบเสียงดัง พลางดึงลูกธนูจากด้านหลังมาสองลูกเพื่อใช้แทนดาบ
“สำหรับแกแค่นี้ก็พอ” พูดเสร็จก็เข้าโจมตีทันที มือธนูน้ำแข็งสาวเท้าเข้าใกล้ในระยะโจมตีก็ใช้ดาบลูกธนูฟันเข้าที่ลำตัวของเคลธูซาร์ด
หัวธนูเฉือนผ่านอาภรณ์เวทเข้าสู่เนื้อหนังอย่างง่ายดาย เคลธูซาร์ดเห็นก็แปลกใจ อย่างมาก
“ที่แท้เจ้าก็เป็นน้ำแข็งเหมือนกัน” เคลธูซาร์ดกล่าวด้วยเสียงห้าวๆ
อาภรณ์เวทนั้นสามารถต้านทานพลังของอาวุธได้ทุกชนิด เว้นเสียแต่จะเป็นธาตุเดียวกัน
เพชรเห็นศัตรูตกใจเพราะตนก็หัวเราะคิกคัก ควงลูกธนูทั้งสองอย่างคล่องแคล่ว โยกตัวไปมาเป็นฟุตเวิร์ค
ทันใดนั้นมีลำแสงสีฟ้าอ่อนสายหนึ่งพุ่งตรงเข้าหาหน้าผากของเพชร
เพชรเอนหลังหลบไป พร้อมกับซัดลูกธนูจากมือขวาออกไป และหยิบอีกลูกมาควงต่ออย่างคล่องแคล่ว
ลูกธนูพุ่งแหวกอากาศธาตุเข้าตรงสู่หน้าผากของเคลธูซาร์ด ขณะที่ลูกธนูจะพุ่งถึง ก็บังเกิดน้ำแข็งขึ้นกำบัง ลูกธนูเมื่อพุ่งชนก็หักทันที
‘เกราะน้ำแข็งที่ล่องหนเรอะ น่าสนุกแฮะ’ ขณะขบคิดยังคงเต้นไปมาไม่หยุด
ส่วนตุ้ง หลังจากที่ถูกลอบโจมตีจากเคลธูซาร์ดก็ไม่กล้าประมาทอีก จึงเข้าโจมตีทหารอันเดดกระจอกๆอยู่คู่กับเฮเลน
“นี่!! ท่านเติบโตในตระกูลเอลฟ์เป็นยังไงบ้างเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ” ตุ้งถามโดยที่มือยังคงยิงธนูออกไปอย่างสม่ำเสมอ
ขณะที่กำลังถามตุ้งก็ได้ยินเสียงเพชรส่งเสียงร้องดีใจ เมื่อหันไปก็พบว่าเคลธูซาร์ดได้ตายไปแล้ว ด้วยฝีมือของมือธนูน้ำแข็ง เพชรภูมิใจอย่างมากที่ล้มศัตรูได้ จนกระโดดโลดเต้น เฮเลนเห็นก็หัวเราะคิกคิก แล้วหันมาตอบตุ้งว่า
“ข้าไม่ได้เติบโตมาในตระกูลเอลฟ์ ข้าถูกเรียกมาจากอีกโลกหนึ่ง ความจริงข้า...” ยังไม่ทันจะกล่าวจบ เสียงระเบิดก็ดังลั่นขึ้นต่อๆกันหลายครา
ทุกคนหันไปทางต้นเสียงโดยพร้อมเพรียงกัน ฝุ่นควันฟุ้งกระจายลอยล่องอยู่บนอากาศ
ทันทีที่ฝุ่นบางตาลงก็ปรากฏภาพหลุมขนาดใหญ่ และมีโกเล็มขนาดมหึมาลุกขึ้น เหล่าทหารพากันหันไปสนใจมากมาย
โกเล็มยักษ์เคลื่อนที่ช้าๆแต่เปี่ยมไปด้วยพลังหนักหน่วงมุ่งเข้าโจมตีฝ่ายเซนติเนล
ตอนนี้ฝ่ายเซนติเนลเสียเปรียบในหลายด้าน แม่ทัพเคลธาสติดพันกับอาร์ธาส เหลือสองแม่ทัพที่ต้องต่อกรกับโกเล็มยักษ์เพียงสองคน
ด้านการทหารก็เสียเปรียบด้านกำลังพล เหลือแต่เพียงนน โอ๊ต ตุ้งและเฮเลนที่ยังคงนำทหารต้านทานเอาไว้
สถานการณ์ของเซนติเนลในตอนนี้คับขันจนแทบถึงขีดสุด แล้วฟิวเรี่ยนก็ปลีกตัวจากการต่อสู้มาพบตุ้งและเฮเลน
“ท่านโบน เฟลทเชอร์ เฮเลน โปรดมาทางนี้สักครู่” ฟิวเรี่ยนเรียกด้วยเสียงที่เร่งเร้า ตุ้งรีบคืนร่างและวิ่งมากับเฮเลนในทันใด
“ข้ามีเรื่องเกี่ยวกับฟิลรอสจะบอกต่อท่าน” ตุ้งได้ยินชื่อฟิลรอสก็ถึงกับเบิกตากว้าง
“ฟิลรอสคือลูกชายของข้า” ทันทีที่ได้ยินดังนี้ทั้งสองก็ถึงกับอุทานออกมา
‘อะไรจะปานนี้ ฟิลรอสเป็นถึงลูกชายของท่านฟิวเรี่ยนเชียวเหรอเนี่ย แล้วจะมีอะไรพิสดารไปกว่านี้อีกมั๊ยหนอ’ ตุ้งคิดในใจ สังเกตสีหน้าของเฮเลนก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
“ฟิลรอสเป็นลูกข้ากับไทแรนด์ ข้าในตอนนั้นถูกพลังมืดเข้าควบคุม เป็นเหตุให้ข้า...ให้ข้าสังหารนางโดยที่ไม่รู้ตัว ทั้งยังใช้เวทมนต์เปลี่ยนให้ร่างกายเขาเป็นมนุษย์ที่อ่อนด้อย ไม่สามารถรับพลังเวทที่รุนแรงได้ ฟิลรอสที่เป็นลูกของเรากลายเป็นเด็กกำพร้าแม่ มีเวทมนต์สูงส่งแต่มีขีดจำกัด เพราะเรื่องนี้ทำให้ข้าเสียใจตลอดมา ฟิลรอสไม่เคยเรียกข้าว่าพ่อแม้แต่ครั้งเดียว ข้าไม่รู้ว่าเขาจะนับถือข้าเป็นพ่อหรือไม่ แต่มันก็สมควรแล้ว เพราะความผิดครั้งนั้นมันโหดร้ายเกินกว่าที่เขาจะรับได้” ฟิวเรี่ยนกล่าวออกมาทั้งน้ำตาที่คลอเบ้า
ตุ้งนึกถึงภาพเวลาที่ผ่านมาก็พบว่า ฟิลรอสไม่เคยมองหน้าหรือสบตากับฟิวเรี่ยนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“หลายปีมานี้ข้าพยายามหาวิธีไถ่โทษต่อเขาหลายวิธี ในที่สุดข้าก็เลือกที่จะใช้เวทมนต์สร้างร่างใหม่ให้แก่เขา และจะมอบให้แก่เขาในวันเกิดซึ่งก็คือวันนี้ แต่เขาก็จากไปเสียก่อน ทว่าว่าฟิลรอสเพิ่งจะจากไปเพียงแค่วันเดียว ดวงวิญญาณยังไม่เข้าสู่ประตูปรโลก ข้าจึงอยากขอร้องท่านทั้งสองให้ไปตามวิญญาณฟิลรอสกลับมาเพื่อข้าและกองทัพเซนติเนลด้วยเถอะ” พูดจบก็คุกเข่าลงขอร้อง ตุ้งและเฮเลนเห็นก็ตกใจรีบพยุงตัวฟิวเรี่ยนขึ้นทันที
“ขอเพียงฟิลรอสมีโอกาสรอด ถึงท่านจะไม่คุกเข่า ฉันก็จะไป” ตุ้งกล่าวอย่างหนักแน่น
“ฉันต้องไปที่ไหน ทำอะไรบ้างบอกมาได้เลย” ตุ้งถามอย่างตื่นเต้น
“ข้าจะส่งท่านไปยังอีกมิติที่เต็มไปด้วยภูติ วิญญาณและปิศาจ ท่านจะต้องไปถึงประตูปรโลกก่อนฟิลรอส และนำวิญญาณเขาใส่ขวดใบนี้” ฟิวเรี่ยนยื่นมือมา ในมือมีวัตถุชิ้นหนึ่ง เป็นขวดแก้วใสบริสุทธิ์เล็กๆขวดหนึ่ง ส่งมอบให้แก่เฮเลน
“อยู่ในนี้เขาจะปลอดภัย และมีอีกอย่างที่ข้ายังไม่ได้บอกท่าน ประตูปรโลกคือประตูแห่งความสิ้นหวังที่สุด และขอให้ท่านระวังทูตมรณะที่เฝ้าประตูปรโลกด้วย ข้าเคยทุ่มสุดกำลัง ยังไม่สามารถเอาชนะได้ ขอให้ท่านโชคดี......พาฟิลรอสกลับมาให้ได้นะ”
แม่ทัพใหญ่ฟิวเรี่ยนอวยพรเสร็จก็ยกมือขึ้นประสานที่หน้าอก บังเกิดแสงสีเขียวมรกตแผ่พุ่งขึ้นจากพื้นผิวพสุธา ครอบคลุมร่างของตุ้งและเฮเลนไว้ แล้วทั้งสองก็หายไป เหลือไว้เพียงแค่เสียงรบราฆ่าฟันแห่งสงครามที่ดุเดือด และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
ทั้งสองรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่ายืนอยู่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยเมฆดำและเสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัว
“นี่น่ะเหรอ ดินแดนแห่งวิญญาณ น่ากลัวใช่เล่นนะเนี่ย” ตุ้งพูดพร้อมๆกับลุกขึ้นยืน มองลงไปที่พื้นปรากฏเป็นหมอกบางๆลอยต่ำๆ ปกคลุมผิวดินสีดำสนิทเอาไว้
“คำพูดของท่านฟิวเรี่ยนนี่มันดูชอบกลๆนะ ทำไมจะต้องบอกเราด้วยว่าประตูปรโลกคือประตูแห่งความสิ้นหวัง เจอะปริศนาเข้าให้แล้ว” ตุ้งบ่นพึมพำ พลันสังเกตเห็นแสงสว่างส่องวาบขึ้นมา ตุ้งหันไปตามแสงประหลาดทันที แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงไม่ถึงเสี้ยววินาที แต่ก็ไม่อาจพ้นสายตาตุ้งไปได้
“มีอะไรเหรอ” เฮเลนถามด้วยความงุนงง
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันคงคิดมากไปเอง” ตุ้งตอบเลี่ยงความจริงออกไป รอสักครู่เมื่อไม่พบศัตรูจึงคลายใจและคืนร่างเดิม
“เห็นท่านเคยบอกว่าเป็นคนที่ฟิลรอสขอให้มาช่วย ข้าขอดูร่างจริงในอีกโลกของท่านหน่อยสิ” ตุ้งรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ได้สิ แต่อย่าตกใจนะ” เฮเลนพูดไปยิ้มไป
“แน่อยู่แล้ว!!!”
เฮเลนยืนนิ่ง เหยียดแขนตรง เงยหน้าขึ้นฟ้า ก็ปรากฏแสงสีฟ้าบริสุทธิ์ประดุจผนึกน้ำแข็งที่ไร้สิ่งเจือปน ค่อยๆพันธนาการร่างของเฮเลน พรรณไม้หลากหลายชนิดปลิวว่อนบดบังร่างกายของเฮเลนไว้ แสงสว่างจ้าขึ้นจนตุ้งต้องยกมือขึ้นป้องตาไว้ แล้วแสงก็จางลง เหลือแต่ดอกไม้ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ
ดอกไม้ค่อยๆร่วงหล่นไป แสงสีฟ้าก็เช่นกัน เผยให้เห็นรูปลักษณ์เด็กหญิงวัยสาวคนหนึ่ง ผู้มีผิวพรรณขาวผ่องสะอาดตา สวมใส่อาภรณ์สีชมพูอ่อน ผมยาวด้านหลังถูกมัดไว้อย่างเรียบร้อย ใส่แว่นสายตาสั้นกรอบสีน้ำเงิน กำลังยืนยิ้มให้ตุ้ง
“ออม!!!” ตุ้งร้องดังลั่น
“ไหนบอกจะไม่ตกใจไง” ออมพูดพลางหัวเราะคิกคิก
“เจอแบบนี้ไม่ตกใจก็บ้าแล้วออม แล้วทำไมเธอถึงได้มาเป็นหนึ่งในสี่จอมเวทแห่งเซนติเนลล่ะ” ตุ้งถามอย่างงุนงงสุดบรรยาย
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน ฟิลรอสเป็นคนจัดการทั้งหมดเลย แล้วก็ให้พลังเวทฉันด้วย เดี๋ยวเจอฟิลรอสค่อยถามก็ได้” ออมบอก
“แหม เห็นพวกฉันมาแล้วไม่ทักเลยนะ แบบนี้เป็นเพื่อนกันอยู่ป่าวเนี่ย” ตุ้งสัพยอก
“โอ๋ๆ ป๊ะป๋าอย่าโกรธน๊า นะ นะ นะ” ออมพูดพร้อมกับยื่นมือเกาคางของตุ้ง ตุ้งเริ่มรำคาญจึงปัดออก
“ไม่ใช่เพื่อนเล่นนะ จะได้ไม่โกรธ” ตุ้งพูดคล้ายหยอกคล้ายโมโห ออมหมดมุกจะง้อจึงทำปากพองกลมเป็นปลาปักเป้าแล้วเลิกกวนตุ้ง
แท้ที่จริงตุ้งและเพื่อนทั้งสามกับออมเป็นเพื่อนร่วมชั้นเดียวกัน รู้จักกันมานาน จึงไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีเพื่อนคนอื่นถูกเชิญให้มาช่วยอีก
“เรารีบตามหาวิญญาณของฟิลรอสก่อนเถอะ” ตุ้งพูดกระตุ้นตัวเองและออม ทั้งสองออกเดินไปโดยที่ไม่รู้จักเส้นทางเลย เดินมาพักหนึ่งก็หยุดพักบนเนินเขาเตี้ยๆ
‘ยังเดินไม่เท่าไหร่ทำไมเหนื่อยเร็วจัง’ ตุ้งฉุกคิด
ขณะนั้นมีเสียงร้องโหยหวนมากมายดังขึ้น ตุ้งตกใจกับเสียงเพราะมันเกิดขึ้นในระยะที่ใกล้มาก ต่างจากเสียงครั้งก่อนๆ
ยังไม่ทันได้คิดหาเหตุผล เสียงกรีดร้องอย่างตกใจของออมก็ดังขึ้น ตุ้งหันไปมองทันที เห็นมือนับร้อยผุดขึ้นมาจากดินกำลังฉุดดึงร่างของออมลงสู่ใต้พื้นพสุธา ด้วยความหวาดกลัวสุดขีดทำให้ออมรวบรวมสมาธิแปลงร่างไม่ได้
“ตุ้ง ตุ้งช่วยฉันด้วย!!!” ออมร้องเรียกตุ้งและดิ้นรนให้หลุดจากมือไปด้วย แต่ถึงจะดิ้นเท่าไรก็ไม่สัมฤทธิ์ผล
ตุ้งรีบแปลงร่างเป็น โบน เฟลทเชอร์ ฉุดร่างของออมออกจากมือปิศาจเหล่านั้น แล้วกระโดดถอยออกมา
มือปิศาจยังคงผุดขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ มาทางที่ตุ้งและออมยืนอยู่อย่างรวดเร็ว ตุ้งพยุงให้ออมยืนขึ้น
“ออม รวบรวมสมาธิแล้วแปลงร่างเป็นเฮเลนซะ เจ้าพวกนี้มันแพ้ทางเฮเลน” ออมพยักหน้าแบบสั่นๆ
เมื่อพูดกับออมเสร็จตุ้งก็ผละจากออมแล้วมาสนใจทางมือปิศาจแทน ตุ้งผายมือออกจะเรียกเปลวไฟออกมาจัดการเจ้าพวกนี้ แต่ทว่าไม่มีเปลวไฟติดขึ้นที่มือเลย ตุ้งและเฮเลนไม่สามารถใช้เวทมนต์ที่เปลืองพลังได้เลยในดินแดนนี้
“อะไรกันวะเนี่ย” ตุ้งพูดออกมาอย่างอารมณ์เสีย พลันหยิบลูกธนูเพลิงจากด้านหลัง ประทับไว้ที่คันธนูแล้วปล่อยออกไป มือปิศาจที่โดนลูกธนูก็ไหม้มลายไป แต่ก็ยังเหลืออีกมากมายที่ยังคงมาทางตุ้งและออม
“เอาไปเลยพวกแก!!!!”
ลูกธนูมากมายออกไปด้วยความเร็วที่สูงจนสายตาแทบมองไม่ทัน มือปิศาจจำนวนมากสูญสลายไป แต่ก็ยังมีมือผุดขึ้นมาเรื่อยๆ
“ออม เร็วหน่อย” ตุ้งเร่งเร้าโดยที่มือยังคงยิงธนูออกไปไม่หยุดยั้ง
“ไอ้พวกมือบ้า เกิดเร็วจริงๆ” ตุ้งบ่นโดยที่มือยังคงรักษาความเร็วไว้
ลูกธนูหลายร้อยถูกปล่อยออกจากธนูของโบน เฟลทเชอร์ พุ่งตรงสู่มือปิศาจมือแล้วมือเล่า แต่คล้ายไม่ช่วยให้จำนวนมือลดลงเลย มือปิศาจหลายพันกำลังมุ่งตรงไปทางตุ้งจากทุกทิศ
ลำพังแค่เรื่องจำนวนก็ทำให้ตุ้งเหนื่อยมากพอแล้ว ยังมีมือมาจากทุกทิศทุกทางทำให้ต้องเสียแรงอย่างมาก
มือปิศาจเข้าถึงตัวตุ้งในระยะไม่ถึงเมตร มือของตุ้งเร่งความเร็วในการยิงขึ้นอีก จนเกินที่เทพไหนๆจะทำได้ แต่ทว่าเหล่านั้นก็เข้าถึงตัวตุ้งจนได้
ทันทีที่มือปิศาจสัมผัสเข้าที่ขาของตุ้ง ก็รู้สึกว่าพลังของตุ้งถูกลดทอนลงอย่างรวดเร็ว มือขนาดยาวผุดขึ้นมาจับแขนทั้งสองข้างของตุ้งไว้ ความคิด ความหวัง ความฝัน ทั้งหมดก็เหมือนจะถูกกัดกินด้วยพลังอันชั่วร้าย
ตุ้งพยายามที่จะผละตัวเองออกจากมือเหล่านี้ แต่ยิ่งออกแรงก็เหมือนยิ่งเพิ่มแรงที่ดึงร่างของตุ้งลงสู่ใต้พื้นดินยิ่งขึ้นอีก มันทำให้ตุ้งหมดสิ้นทุกความหวัง ตุ้งทำได้แค่เพียงรอความตายที่รออยู่ใต้พสุธา ที่มันกำลังคลืบคลานเข้าหาตุ้ง จึงหยุดต่อต้านมือเหล่านั้น หลับตาทั้งสองลง ปล่อยให้ร่างจมดิ่งสู่พื้นพิภพ
“ออม ฉันฝากกราบลาพ่อแม่ฉันด้วยนะ” เป็นคำพูดสุดท้ายที่ตุ้งอยากจะพูดกับออม แต่ก็ไม่มีเสียงเล็ดลอดผ่านลำคอของตุ้งแม้แต่น้อย ทำให้ตุ้งสะเทือนใจอย่างยิ่ง
ขณะที่ความหวังของตุ้งดับมอดลง ตุ้งก็รู้สึกว่ามีแสงสว่างจ้าขึ้น มือที่จับกุมร่างกายของตุ้งหายไป ทำเอาตุ้งงุนงงสุดคาด
‘อะไรอีกวะเนี่ย’ ตุ้งคิดในใจ
“ลืมตาขึ้นสิ” เสียงของชายหนุ่มที่ตุ้งยังจำได้ดีดังขึ้น
“ฟิลรอส!!!” ตุ้งร้องลั่นและรู้สึกตัวขึ้นมา พบว่ามือปิศาจยังคงเกาะเข้าที่ขาของตุ้งเท่านั้น
ที่แท้เมื่อครู่เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่มือปิศาจสร้างขึ้นเพื่อสังหารตุ้ง หากตุ้งยอมที่จะตาย วิญญาณของตุ้งก็จะถูกดึงลงสู่ห้วงแห่งพิภพ แต่เพราะเสียงของฟิลรอส ทำให้ตุ้งตื่นขึ้นจากภวังค์
ตุ้งต่อต้านสุดแรง กู่ร้องออกมาสุดเสียง กระชากขาทั้งสองออกจากมือปิศาจ กระโดดสุดแรงพร้อมกับม้วนตัวกลางอากาศแล้วยิงธนูออกไป มือปิศาจหลายร้อยถูกธนูของตุ้งก็สลายไป
นี่เป็นการวัดดวงที่อันตรายที่สุด เพราะถ้าหากตุ้งตกลงสู่พื้น มือทั้งหมดก็จะห้อมล้อมตุ้งไว้ ไม่มีโอกาสดิ้นหลุดเป็นครั้งที่สอง ระหว่างที่ร่างของตุ้งลอยอยู่บนอากาศ ก็บังเกิดแสงสว่างเหมือนในภาพลวงตาขึ้นอีกครั้ง
“เทพบุปผาสะคราญ” เสียงของออมในร่างเฮเลนร้องขึ้น ทันใดนั้นท้องฟ้าที่มืดครึ้มก็สว่างจ้าขึ้น ดั่งละเมอเพ้อพกว่ามีเทพธิดาหนึ่งองค์บินลงมาจากฟากฟ้ามาทำลายเหล่ามือปิศาจนั้น
มือปิศาจทั้งหมดถูกแสงกลืนกินหายไป แล้วแสงสว่างนั้นก็ค่อยๆหายไป ตุ้งลงสู่พื้นก็พบว่าไม่มีมือปิศาจเหลืออยู่อีกแล้ว เหลือเพียงเพฌฆาตธนูเพลิงและจอมเวทหมื่นบุปผายืนอยู่
“ช้าจัง” มือธนูกระดูกบ่นให้เฮเลน
“ขอโทษที นี่ยังดีนะ ที่ฟิลรอสมาช่วยไว้ทัน” เฮเลนขอโทษขอโพย
“ฟิลรอสก็มาช่วยเธอเหมือนกันเหรอ”
“ก็มาบอกว่าให้รวบรวมสมาธิให้ดีๆแล้วแปลงร่าง”
“ที่แท้แสงนั่นก็คือฟิลรอสเอง”
“แสงอะไรเหรอ”
“ช่างเถอะ ว่าแต่ฟิลรอสรู้ได้ไงว่าเรามาที่นี่” ตุ้งถามขึ้นมา
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่รีบตามหาจะดีกว่า” เฮเลนเสนอความคิด
“ทำไมตอนแปลงร่างเธอจะต้องพูดเหมือนเราไม่ใช่เพื่อนกันไปได้” ตุ้งพยายามคลายความเครียด
“ร่างนี้เป็นร่างของผู้นำทัพเซนติเนลต้องให้เกียรติสิ” เฮเลนตอบ
“ครับ ท่านเฮเลน” ตุ้งพูดล้อเลียน พูดจบทั้งคู่ก็หัวเราะอย่างสนุกสนาน
ทั้งสองลงจากเนินเขาและเดินต่อไปโดยไม่รู้จุดหมายอีกเช่นเคย แต่คราวนี้ทั้งสองไม่กล้าคืนร่างอีก เพราะรู้ถึงความน่ากลัวขอดินแดนอาถรรพ์นี้แล้ว
ทั้งสองเดินมาจนถึงถ้ำที่วังเวงแห่งหนึ่ง หยุดคิดลังเลเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปสู่ถ้ำที่มืดสนิท
“ตุ้ง...ตุ้งข้าอยู่ที่นี่ ข้าอยู่ทางนี้ช่วยข้าด้วย” นี่เป็นเสียงอันคุ้นเคยที่ดังขึ้นรอบตัวตุ้ง แต่น้ำเสียงคล้ายขาดอากาศหายใจ
“ฟิลรอส ฟิลรอสนายอยู่ที่ไหน พวกเรามาช่วยนายแล้ว” ตุ้งร้องหาฟิลรอสด้วยใจกระวนกระวาย
“ออม ขอแสงหน่อย” ตุ้งขอความช่วยเหลือ แล้วแสงสว่างก็มาตามคำขอ
ทันทีที่แสงปรากฏออก ตุ้งก็รีบมองหาฟิลรอสทันที แต่มองหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ตุ้งจนปัญญาจึงต้องยกมือขึ้นกุมขมับ
เมื่อลืมตาขึ้นมา ก็พบว่าฟิลรอสอยู่ห่างจากตุ้งเพียงไม่กี่เมตร ข้อมือ ลำคอ และข้อเท้าถูกล่ามโซ่ที่คล้ายควันดำเอาไว้ ปลายของโซ่อีกทางอยู่ในมือนักรบที่สวมใส่อาภรณ์หนังสัตว์คล้ายกับอาร์ธาส นั่งอยู่บนม้าปิศาจที่ดูดุร้าย ในมือถือดาบรูปทรงคล้ายฟรอสต์มอร์ แต่ไม่มีไอเย็นลอยขึ้นมา
นักรบผู้นี้คือ อแบดดอน อัศวินอมตะแห่งDotA ผู้มีเวทมนต์ก้นหีบที่แสนจะเจ็บแสบ ตุ้งแปลกใจที่มองเห็นทั้งสอง
“ปล่อยฟิลรอสซะ ไอ้นักรบกระจอก” ตุ้งพูดเหมือนเป็นสัญญาณการต่อสู้
“นายพูดกับใคร” เฮเลนถาม
“เธอลองเพ่งพลังไปที่ดวงตาสิ” เฮเลนเพ่งพลังไปที่ดวงตา แต่ก็มองไม่เห็นอะไร
“ไม่เห็นมีอะไรเลย นายล้อเล่นอะไรเนี่ย”
“ไม่เห็นช่างมัน ขอแค่แสงสว่างก็พอ” ตุ้งพูดสั้นๆห้วนๆ
“แค่ดวงวิญญาณดวงเดียว ทำให้เศษสวะสองคนดั้นด้นมาที่นี่เลยเรอะ” เจ้าปิศาจสนทนาออกมา
“นักรบกิ๊กก๊อกเอ้ย” ตุ้งพูดกวนประสาทออกไป
นักรบปิศาจถลึงตาใส่ตุ้ง ร้องคำ “รับมือ” ออกมา
“ฉันรอคำนี้มานานแล้ว!!!”
ทั้งสองเปิดฉากพุ่งตัวเข้าใส่กัน การต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่งครั้งแรกของตุ้งเริ่มขึ้น เปลวไฟที่ด้านหลังลุกโชติช่วงขึ้นแสดงให้เห็นถึงพลังที่ทุ่มลงไป
หลังจากที่ออมลองวิธีของตุ้งอยู่หลายครั้งจึงเห็นรูปร่างของศัตรู แต่ก็ยังไม่เห็นฟิลรอสอยู่ดี
เมื่อเข้าถึงระยะต่อสู้ มือธนูกระดูกก็ยกคันธนูเพลิงในมือซ้ายขึ้นป้องกันดาบของอแบดดอน สองศาสตราเข้ากระทบกันทำให้เกิดพลังรุนแรง ในถ้ำบังเกิดลมพัดเสียงดังหวือหวา ฝุ่นละอองปลิวว่อนไปหมด
กำปั้นขวาของตุ้งกำแน่น ซัดเข้าที่ใบหน้าของอแบดดอนอย่างจัง จนปลิวตกม้าปิศาจ ตุ้งเคลื่อนมือขวาหยิบลูกธนูไฟที่ด้านหลังสองดอก และปักเข้าที่ตาทั้งสองของม้าปิศาจ โดยที่อแบดดอนยังไม่ทันตกถึงพื้น ความร้อนแผ่ซ่านเข้าสู่สมองของม้าตายในทันที
อแบดดอนลุกขึ้นยืนก็พบว่าสูญเสียม้าคู่ใจไปเสียแล้ว การโจมตีเมื่อครู่เป็นเพียงการเรียกน้ำย่อยของตุ้งเท่านั้น แต่มันกลับเป็นการแสดงความเก่งกาจสำหรับอแบดดอน
นักรบปิศาจตวัดดาบร่ายเวทออกมาปรากฏเป็นแสงสีฟ้าคล้ายผนึกแก้วคลุมร่างของตนไว้ ตุ้งไม่รอช้าวิ่งเข้าโจมตีอีกครั้งโดยที่ไม่ทันคำนึงถึงเวทมนต์ของอแบดดอน
ตุ้งกระโดดขึ้นถีบเข้าที่ทรวงอกของนักรบปิศาจสุดแรง เกิดเสียงดังเพียะครั้งหนึ่ง ร่างของตุ้งปลิวไปชนกับผนังถ้ำดังโครม นี่เป็นผลของเวทมนต์สะท้อนพลังโจมตีของอแบดดอนที่ตุ้งรู้ดีแต่กลับลืมคิดไปสนิทใจ
การเคลื่อนไหวที่ผิดพลาดเมื่อสักครู่ ทำให้แขนซ้ายหักทั่วทั้งแขน สร้างความปวดร้าวจนต้องร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
ขณะที่กำลังครางอย่างทรมานก็มีแสงสว่างเรืองๆเข้าพันธนาการแขนของตุ้ง แล้วกระดูกก็เชื่อมต่อกันเหมือนเดิม เป็นเวทมนต์ “มนตราเชื่อมกระดูก” ของเฮเลนนั่นเอง
“ขอบใจมาก” ตุ้งกล่าวขอบใจพลางยื่นหยิบลูกธนูจากด้านหลัง
“เอาจริงแล้วนะ คราวนี้ล่ะ ฉันจะยิงให้พรุนเลย”
พูดจบตุ้งก็ยิงธนูไฟออกไปด้วยความเร็วที่สายตายังมองได้ลำบาก นับประสาอะไรกับต้องขยับกายหนี
ลูกธนูไฟราวสิบลูกถูกปล่อยออกไปภายในช่วงเวลาเพียงเศษเสี้ยว ร่างกายของอแบดดอน เต็มไปด้วยลูกธนูปักเต็มไปหมด แล้วก็มีแสงสีเขียวมาครอบคลุมร่างของเจ้าอสูรไว้
“ท่าไม้ตายมันออกมาแล้ว” ตุ้งพูดพึมพำกับตัวเอง พร้อมกับเร่งความเร็วในการยิงให้สูงขึ้นไปอีก แต่ก็ไม่สามารถทำให้อแบดดอนระคายผิวแม้แต่น้อยสมกับฉายาเทพอสูรอมตะจริงๆ
เจ้าอสูรอมตะพุ่งตรงเข้าฟาดฟันตุ้ง ตุ้งหยุดยิงแล้วกระโดดถีบผนังถ้ำด้านหลัง ลอยลิ่วข้ามหัวอแบดดอนไป พร้อมๆกับยิงธนูออกไป จนกระทั่งตุ้งตกถึงพื้นจึงหยุดยิง ซึ่งตรงกับช่วงที่แสงสีเขียวหายไปพอดี
“ลาก่อน” จบคำสั่งลาลูกธนูลูกสุดท้ายถูกปล่อยตรงเข้าทะลุกลางหน้าผากของอแบดดอน ลูกธนูพุ่งตัดทะลุสมองตายคาที การต่อสู้ครั้งแรกของตุ้งจบลงด้วยชัยชนะที่งดงาม
“ออม ขอขวดนั่นหน่อย” ออมล้วงเข้าไปในกระเป๋านำขวดใสมาให้ตุ้ง
“กลับบ้านกันนะฟิลรอส” วิญญาณของฟิลรอสพยักหน้าช้าๆ ตุ้งเปิดจุกขวดออกวิญญาณของ ฟิลรอสก็ถูกดูดเข้าไป ตุ้งจึงค่อยปิดจุก
“แค่นี้เอง” ตุ้งพูดกับออมพร้อมกับยักไหล่
“จ้าๆ พ่อคนเก่ง” ทั้งสองหยอกล้อกันอย่างไม่เกรงกลัวอันตราย
จอมเวทออมและมือธนูตุ้งออกเดินทางกลับ จนกระทั่งทิ้งระยะถ้ำนั้นไว้เบื้องหลังก็ได้ยินเสียงดังทึบๆ พื้นดินสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด ปรากฏคิงคองขนาดยักษ์ยืนอยู่หน้าปากถ้ำ ดวงตาสีแดงเถือกกำลังจ้องหน้าของทั้งสองคนเขม็ง
“ตองก้า อู กา กา ตองก้า อู กา กา ” เสียงของกลุ่มคนชนเผ่าประหลาดแต่งตัวด้วยหนังสัตว์ประหลาดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน คนประหลาดเดินออกมาจากทางด้านหลังของคิงคองยักษ์
“ท่านทูตมรณะพิโรธแล้ว มีดวงวิญญาณหลบหนีการเข้าสู่ประตูปรโลก” หัวหน้าเผ่าพูดขึ้น
ที่แท้ถ้ำนั้นคือประตูปรโลกนั่นเอง ถ้าหากดวงวิญญาณผ่านถ้ำนั้นออกสู่ปากถ้ำอีกทาง จะไม่มีวันกลับไปได้อีก
“คนแปลกหน้าเหล่านั้นพาดวงวิญญาณหลบหนี” หัวหน้าเผ่าพูดพร้อมกับชี้มาทางตุ้งและออม
ตุ้งกับออมยืนมองหน้ากันด้วยอารมณ์สุดบรรยาย ด้วยขนาดของคิงคองยักษ์ ช่างทำให้ตุ้งไม่มีความหวังจะต่อสู้เอาเสียเลย ในที่สุดทั้งสองก็เกิดความคิดดีๆขึ้นมา
“วิ่ง!!!”
ทันทีที่พูดจบก็พากันโกยอย่างพร้อมเพรียง ทั้งสองคิดจะใช้เวทมนต์วิ่งทะยานให้เร็วขึ้น แต่ก็ทำไม่ได้ จึงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งสุดแรง โดยไม่ทราบว่าจะไปถึงที่ใด คิงคองยักษ์ทุบที่อกหลายครา แล้วกระโดดติดตามทั้งสองไป
ทั้งสองวิ่งหนีอสุรกายใหญ่ยักษ์สุดกำลังขา เจ้าอสุรกายก็ไล่ตามมาติดๆ ขณะที่กำลังเร่งฝีเท้านั้น ออมเกิดเตะเข้าที่หัวกะโหลกที่วางอยู่บนพื้นจนเสียหลักเซถลาล้มลง
“ตุ้งช่วยด้วย!!!” ออมขอความช่วยเหลือ
“ทำไมมันต้องมาล้มตอนนี้ด้วยเนี่ย” ตุ้งบ่นพร้อมกับพลิกกลับไปตัวใช้มือขวายกร่างของออมในคราบเฮเลนขึ้นแบกใส่บ่าไว้
สำหรับตุ้งเพียงแค่มองดูร่างของคิงคองมรณะก็ขาสั่นแทบล้มลงไปอยู่แล้ว หากจะให้ต่อสู้ก็คงไม่ไหว ยิ่งแม่ทัพใหญ่ฟิวเรี่ยนบอกยังเองว่าให้ระวังยิ่งไม่มีทางสู้ใหญ่ ตุ้งจึงทำได้แค่วิ่งเท่านั้น
“อย่าดิ้นนะออม!!!!!”
ตุ้งวิ่งสุดแรงเกิดอีกครั้ง แต่เจ้าคิงคองก็ยังคงไล่ตามมาในระยะที่มันจะโจมตีได้ เสียงคำรามลั่นฟ้าดังขึ้น พร้อมกับมือยักษ์ที่ทุบลงพื้นดิน จนเป็นรอยขนาดใหญ่
กำปั้นของเจ้าอสุรกายทุบลงเฉียดหลังตุ้งเพียงไม่ถึงเมตร ทำเอาตุ้งหวาดผวาสุดขีด ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยกลัวอะไรมากขนาดนี้
กำปั้นของคิงคองยักษ์ฟาดลงอีกครั้ง กำลังจะมาถึงตัวตุ้ง แต่มีแสงสว่างสีเขียวมรกตขึ้น ร่างของตุ้งและเฮเลนหายไป ปล่อยให้เจ้าคิงคองฟาดกำปั้นใส่พื้นสุดแรงจนปฐพีสะเทือนเลื่อนลั่น
ทางด้านตุ้งหลังจากที่ฟิวเรี่ยนดึงตัวกลับมาที่คฤหาสน์ก็ค่อยเบาใจ และวางเฮเลนลงจากบ่า และยื่นขวดแก้วให้แก่ฟิวเรี่ยน
“ต้องขออภัยท่านโบน เฟลทเชอร์ ที่ทำให้ต้องรอ” ฟิวเรี่ยนขอโทษในความผิดพลาดของตน
“ไม่เป็นไรหรอก พวกฉันไม่ถือ” ตุ้งพูดพลางยิ้มออกมาแต่ฟิวเรี่ยนคล้ายไม่ได้ยินเพราะมัวแต่สนใจที่ขวดแก้วนั้น
“ฟิลรอส พ่อ...พ่อขอโทษลูก พ่อผิดเอง ทุกๆอย่างเป็นความผิดของพ่อเอง” ฟิวเรี่ยนกล่าวทั้งน้ำตา เปิดจุกขวดและร่ายเวทเรียกร่างของฟิลรอสที่ถูกสร้างด้วยเวทมนต์ออกมานอนที่เตียง
ฟิวเรี่ยนยกมือปาดน้ำตา แล้วพูดว่า
“เข้าร่างเสียเถอะลูก” ฟิวเรี่ยนพูดโดยข่มเสียงไว้ไม่ให้สะอื้น
ดวงวิญญาณของฟิลรอสลอยล่องเข้าสู่ร่างที่นอนแน่นิ่ง ทันทีที่เข้าประทับร่างก็บังเกิดฟ้าร้องฟ้าผ่าขึ้นข้างๆคฤหาสน์
ร่างกายใหม่นี้ไม่เพียงเพิ่มการรองรับเวทมนต์ อีกทั้งยังเพิ่มความรุนแรงให้กับเวทมนต์ที่ใช้อีกด้วย
“ฟิลรอสต้องการเวลาสักพักที่จะฟื้นฟูพลังเวท จอมเวทเฮเลนรับคำสั่ง!!!” ประโยคหลังของ ฟิวเรี่ยนพูดด้วยเสียงหนักแน่น เฮเลนก็เดินมาคุกเข่าลงหนึ่งข้างพร้อมกับก้มหน้าลง
“ภารกิจสำคัญ พาฟิลรอสและท่านโบน เฟลทเชอร์ไปที่ป่าเฟลวู้ด ต้านทานเหล่าอันเดดเอาไว้จนถึงที่สุด และแต่งตั้งให้ฟิลรอสมีอำนาจสูงที่สุดในป่าแห่งนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจขัดขืนคำสั่ง”
“รับบัญชา!!!” ออมพูดเสียงหนักแน่น
“แล้วเพื่อนของฉันล่ะ” ตุ้งแทรกขึ้นมา
“พวกเรากำลังต้านทานทัพของอาร์ธาสอย่างสุดความสามารถ ไม่ช้าเพื่อนๆของท่านจะตามไป อย่าได้เป็นห่วง”
ตุ้งได้ยินดังนั้นก็ยิ้มอย่างปิติ ความรู้สึกอยากกลับบ้านรุกเร้าโจมตีจิตใจตุ้งอีกครั้ง
“แล้วพวกฉันจะกลับบ้านกันยังไง” ตุ้งถามคำถามอีกครั้ง
“ฟิลรอสเป็นผู้พาท่านมา เขาก็จะเป็นผู้พาท่านกลับ” ช่างเป็นคำตอบที่ไม่ค่อยทำให้ตุ้งดีใจเสียเลย
“ลาก่อนท่านโบน เฟลทเชอร์ หากมีวาสนาเราคงได้พบกันอีก” ฟิวเรี่ยนพูดพร้อมกับโค้งคำนับ ตุ้งเห็นก็คำนับตอบ
“รักษาตัวด้วย” ตุ้งกล่าวคำอำลา แล้วร่างของฟิวเรี่ยนก็หายวับไป
“ไปกันเถอะ”
หลังจากที่ตุ้งและออมประคองร่างของฟิลรอสขึ้นบนม้าเสร็จ ทั้งสองก็ขึ้นม้าคนละตัว เดินทางไปสู่ป่าเฟลวู้ดอันเป็นปราการและความหวังสุดท้ายของกองทัพเซนติเนล
“รีบตื่นขึ้นมานะ ฟิลรอส” ตุ้งพูดที่ข้างหูของฟิลรอสเบาๆ
ความคิดเห็น