คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เผยโฉมผู้กล้า
สิ้นเสียงสัญญาณเตือนภัย ก็บังเกิดเสียงของฝีเท้าดังพร้อมๆกันขึ้นมาทดแทน ภาพทหารนับหมื่นของเซนติเนล เกิดขึ้นตรงหน้าของทั้งสี่คน และมีบุคคลสามคนรูปร่างสูงใหญ่เดินมาถึงหน้ากองทหาร คนหนึ่งเป็นมนุษย์บุรุษเพศ แต่งกายด้วยอาภรณ์สีแดงเข้มตัดด้วยสีเหลือง มองดูราวกับว่าดวงสุริยันกำลังเปล่งแสงรัศมีออกจากร่างของเขา
‘สงสัยนี่จะเป็นท่านซาเลส จอมเวทเพลิงอัคคี หนึ่งในสี่จอมเวทแห่งเซนติเนล’ ตุ้งคิดอยู่ในใจ
ถัดมาเป็นบุรุษออร์ครูปร่างเตี้ยเล็กกว่าทุกๆคน แต่งกายด้วยอาภรณ์สีน้ำตาลเข้ม ถัดจากอาภรณ์ออกมาปกคลุมด้วยเสื้อคลุมหนังสัตว์ขนาดใหญ่
‘ส่วนนี่ก็คงจะเป็นท่านนาฮู จอมเวทอัญเชิญ’
และคนสุดท้ายเป็นสตรีชาวเอลฟ์ที่หน้าตางดงามสะคราญ สวมใส่อาภรณ์สีชมพูเข้ม ตัดด้วยสีเขียวอ่อนจางๆ
‘ส่วนนี่ก็คงเป็นเฮเลน จอมเวทหมื่นบุปผา’ ตุ้งเมื่อเห็นเฮเลนก็ถึงกับค้างไปชั่วครู่หนึ่ง เพชรจึงหันมาปลุกตุ้งให้หลุดจากภวังค์
“ตุ้งเอ๊ย อย่าพึ่งเหม่อไป” เพชรแซว
“เปล่าซะหน่อย ฉันกำลังคิดวิธีรับมือศัตรูต่างหาก” ตุ้งแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แต่ถึงอย่างไรก็ยังเขินอายเพราะเพชรยังคงยิ้มใส่ตุ้งไม่เลิก จึงหันกลับไปมองกองทัพ
ในกองทัพประกอบไปด้วยไนท์ เอลฟ์ มนุษย์ และ ออร์คยืนอยู่อย่างมีระเบียบ
“พี่น้องทั้งหลายจงฟังข้า” เสียงอันทรงอำนาจของซาเลส สะกดทุกคนให้ฟังที่เขาพูด
“เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเราได้สูญเสียกำลังทหารไปกว่าพันคน อีกทั้งยังสูญเสียจอมเวทฝีมือดีอย่างฟิลรอสไปอย่างไม่มีวันกลับ บัดนี้ ตัวต้นเหตุของความหายนะได้มารอเราที่หน้าประตูเมืองแล้ว ขอให้พี่น้องทั้งหลายจงสู้ เพื่อแสดงให้มันรู้ว่า พวกเราเหนือกว่า พวกข้าสามคนจะยืนหยัดสู้ร่วมกันกับพี่น้องจวบจนจะหมดลมหายใจ อย่าให้พวกมันมีชีวิตรอด แม้แต่ตัวเดียว!!!”
เมื่อกล่าวจบ เสียงเฮของเหล่าทหารก็ดังกระหึ่มขึ้น กองทัพเซนติเนลเดินไปหยุดที่หน้าประตูเมืองทิศเหนือโดยพร้อมเพรียง
“จนถึงตอนนี้หากมีผู้ใดจะถอนตัว ขอให้ก้าวออกมา”
เหล่าทหารยังคงยืนนิ่ง ไม่มีทหารนายใด ก้าวออกมาแม้แต่นายเดียว ซาเลสตะโกนขึ้นสุดเสียงว่า
“ในเมื่อไม่มีผู้ใดถอนตัว เราก็ออกไปฆ่าพวกมันด้วยกัน!!!”
จากนั้นก็เกิดเสียงโซ่กระทบกัน ประตูเมืองที่ใหญ่ยักษ์ก็เปิดออก ทันทีที่ประตูเมืองเปิดออกสุด เหล่าทหารก็เดินออกไปจัดทัพอยู่หน้าประตูโดยพร้อมเพรียง โดยมีพลหอก พลดาบมนุษย์ยืนอยู่หน้าสุด ถัดมาเป็น พลอาวุธหนัก เครื่องยิงหินของออร์คและพลธนูของไนท์ เอลฟ์ตามลำดับ ทหารทั้งหลายแหวกทางที่ตรงกลางออก เป็นทางให้จอมเวททั้งสามขี่ม้าออกมา
เมื่อมาถึงหน้ากองทัพเหล่าทหารก็กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม ห่างจากกองทัพไปเพียงไม่กี่กิโลเมตร มีกองทัพปิศาจนับหมื่นตนกำลังยืนอยู่ โดยหนึ่งในนั้นมีปิศาจตัวอ้วนตัวหนึ่ง ที่บริเวณลำตัวมีลำไส้ทะลักออกจากช่องท้อง มันคือ บัทเชอร์ จอมมารลากไส้ แห่งDotA
เสียงร้องอันโหยหวนของปิศาจดังขึ้นมาไม่ขาดสาย ภายในกองทัพคลุ้งไปด้วยหมอกควันสีดำ กลิ่นอายของปิศาจฟุ้งกระจายไปทั่ว ทัพทั้งสองยืนประจันหน้ากันราวกับรอคอยสัญญาณที่จะเข้าประหัตถ์ประหารกัน ซาเลสยกมือชูมือขึ้น ร้องขึ้นด้วยเสียงทรงพลัง
“เตรียม!!!”
หอกที่ตั้งชี้ฟ้าอยู่ก็ถูกแรงของกล้ามเนื้อบังคับให้ชี้ต่ำลงเป็นสี่สิบห้าองศาโดยพร้อมเพรียง เสียงของดาบที่ถูกชักออกมาจากฝักดังขึ้นพร้อมๆกัน ทหารทุกนายอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมสู้ศึก
“โจมตี!!!”
สิ้นเสียงของซาเลส เสียงเฮของทหารก็ดังขึ้น สามจอมเวทควบม้านำทัพไปสู่เป้าหมายนั่นคือข้าศึกที่น่ากลัว
เสียงชุดเกราะกระทบกันดังกระหึ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายกองทัพสเกิร์จเห็นฝ่ายเซนติเนลเข้าโจมตีก็บุกเข้าประหัตถ์ประหารกัน ทันทีที่ทั้งสองกองทัพเข้าประจัญบาน ก็พบว่าทั้งสองฝ่ายสามารถฆ่าฟันกันได้อย่างสูสี การศึกคราครั้งนี้ไม่มีผู้ใดสามารถคาดการณ์ถึงผลแพ้ชนะได้ ผิดกับการศึกที่ตุ้งพบเจอเมื่อวาน
ตุ้งและเพื่อนยืนอยู่ที่กำแพงของเมืองมองดูนายทหารพลดาบคนหนึ่งอย่างสนใจ ไม่มีสิ่งใดดึงดูดความสนใจของทุกๆคนไปมากกว่าความสามารถในการสู้รบของทหารนายนั้น
ทหารดาบคนนั้นฟาดฟันอันเดดล้มตายลงหลายสิบตนภายในเวลาสั้นๆ ดาบของเขากวัดแกว่งไปมา ตัดส่วนนั้น เฉือนส่วนนี้อย่างคล่องแคล่ว ไม่นานอันเดดอีกหลายสิบตนก็จบชีวิตด้วยปลายคมดาบของเขา
เขาฟาดฟันอันเดดตนแล้วตนเล่า จนกระทั่งไปยืนอยู่เบื้องหน้าของบัทเชอร์ จิตใจเริ่มเกิดความหวาดผวาขึ้นจนต้องถอยหลังไปอย่าลืมตัว แต่ก็ปลุกกำลังใจพุ่งตัวเข้าโจมตีอย่างรวดเร็ว
บัทเชอร์ปล่อยให้ทหารนายนั้นฟาดฟันดาบลงบนร่างกายของเขาโดยไม่รู้สึกสะทกสะท้าน ทหารดาบคนนั้นยังคงจู่โจมอย่างไม่หยุดยั้ง
เมื่อเขาเสียบดาบเข้าไปที่ช่องท้องของบัทเชอร์ ก็รู้สึกว่ามีพลังรุนแรงค่อยๆดึงดาบของเขาเข้าไป นายทหารคนนั้นพยายามจะดึงดาบออกมาเพื่อสู้ต่อ ทันใดนั้นมีดบังตอขนาดยักษ์ของบัทเชอร์ก็ตวัดฟันที่คอของนายทหารคนนั้น โลหิตฉีดพุ่งฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ นายทหารคนนั้นจึงเสียชีวิตลงอย่างน่าสยดสยองพองขน
ตุ้งคาดเดาไว้ก่อนแล้วว่าบัทเชอร์คงรอเวลาที่กองทัพเกิดความเสียเปรียบค่อยโจมตี แต่ก็เห็นว่าตนเองคาดผิดจึงต้องตกใจ รีบกระโดดลงจากกำแพงเมืองวิ่งไปที่บริเวณสงครามอย่างรวดเร็ว เปลวเพลิงขนาดใหญ่ลุกท่วมตัวของตุ้ง แล้วเปลวไฟนั้นก็หายไปพร้อมๆกับที่ตุ้งเปลี่ยนร่างกลายเป็น โบน เฟลทเชอร์
สามจอมเวทเซนติเนลเมื่อเห็นบัทเชอร์เริ่มจู่โจมก็ใช้เวทมนต์เข้าช่วยกองทัพทันที จอมเวทเพลิงอัคคีซาเลส กางแขนออกจนสุดจากนั้นสะบัดแขนออกด้วยความเร็วอย่างต่อเนื่อง
“ลูกไฟสังหาร” ซาเลสร้องขึ้น
ลูกไฟมากมายพุ่งออกจากมือเข้าโจมตีทหารอันเดดตายไปหลายตน ลูกไฟหนึ่งลูกของซาเลส สามารถปลิดชีพศัตรูได้ถึงสามตัว ทำให้ทหารบริเวณรอบข้างเกิดขวัญกำลังใจขึ้นอย่างมหาศาล
เวทมนต์ของซาเลสหากไม่รวมสามแม่ทัพใหญ่ก็นับเป็นรองเพียงแค่ฟิลรอสเท่านั้น แต่บัดนี้ฟิลรอสได้ตายไปแล้ว ซาเลสจึงกลายเป็นจอมเวทมือหนึ่งแทน
เหล่าอันเดดมากมายตายลงด้วยลูกไฟสังหารของซาเลส ขณะที่ซาเลสกำลังภูมิใจในพลังเวทอันรุนแรงของตน บัทเชอร์ก็พุ่งเข้ามาถึงตัวและจู่โจมด้วยการกระแทก ซาเลสเบี่ยงตัวหลบไปได้อย่างเฉียดฉิว
ทั้งสองยืนจ้องหน้ากัน มือและเท้าทั้งสองข้างของซาเลสปรากฏเปลวไฟลุกขึ้น พุ่งเข้าจู่โจมบัทเชอร์ด้วยความเร็วจนตาแทบมองไม่ทัน ซาเลสพุ่งหมัดออกไปหวังต่อยเข้าที่ใบหน้า แต่บัทเชอร์เอี้ยวตัวหลบพร้อมเหวี่ยงแขนเข้าโจมตี สันของมีดบังตอยักษ์กระแทกเข้าที่โหนกแก้มขวาของซาเลสเข้าอย่างจังจนคอแทบหัก ยังดีที่มีอาภรเวทมนต์ช่วยชีวิตไว้
เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากแผลลึกอย่างรวดเร็ว ซาเลสเกิดความกระวนกระวายขึ้นมาทันที ด้วยความเร็วของเขาเมื่อสักครู่ไม่เพียงไม่อาจทำร้ายคู่ต่อสู้ ซ้ำยังถูกคู่ต่อสู้สวนกลับมาได้อย่างเจ็บปวด
ด้วยความที่เป็นคนทะนงในฝีมือทำให้เกิดเพลิงพิโรธขึ้นในใจในทันที บัทเชอร์ก็ยิ้มยั่วเป็นการสุมเพลิงความโกรธให้แก่ซาเลส
ซาเลสบุกเข้าโจมตีอีกครั้ง พุ่งตัวกระโดดเตะเข้าที่ก้านคอของบัทเชอร์ แต่พลาดเป้าบัทเชอร์สามารถหลบได้ ตัวของซาเลสหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ แต่ก็ยังซัดลูกไฟออกจากมือไปโดนที่ท้องของบัทเชอร์เข้าเต็มๆได้อย่างแม่นยำ จนบัทเชอร์ ถึงกับเซถลาไปด้านหลัง
บาดแผลครั้งนี้สร้างความโกรธให้กับปิศาจลากไส้ขึ้น จึงวิ่งเข้าหาซาเลสอย่างบ้าดีเดือด ซาเลส กระโดดลอยตัวหลบการโจมตีขึ้นไปบนอากาศจึงรอดพ้นได้
บัทเชอร์ไม่ปล่อยให้เป้าหมายหยุดนิ่ง เหวี่ยงโซ่ไปพันธนาการร่างของซาเลสไว้แล้วเหวี่ยงร่างของเขาฟาดลงกับพื้นจนกระเด้งขึ้นสูงจากพื้นดินราวสองเมตร และกระชากโซ่ที่ติดอยู่กับร่างของซาเลสเข้าหาตัวเองสุดแรงพร้อมกันนั้นก็ปลดโซ่ออก ร่างของซาเลสปลิวมาอย่างรวดเร็วปานลูกธนูพุ่งออกจากคัน
บัทเชอร์พลันเหวี่ยงตัวสุดแรงใช้สันมีดบังตอยักษ์ฟาดเข้าที่ร่างของซาเลสที่ลอยเข้ามาจนลอยออกไปไกลหลายสิบเมตร บัทเชอร์คำรามออกมาด้วยโทสะ เฮเลนเห็นท่าไม่ดีจึงกระโดดเข้ามารับร่างของซาเลสจนตัวเองก็พลอยล้มไปด้วย
การโจมตีต่อเนื่องของบัทเชอร์เมื่อสักครู่ ทั้งรวดเร็ว รุนแรง และต่อเนื่องจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการเคลื่อนไหวปกติธรรมดาเลยทีเดียว
จอมเวทซาเลสได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งภายในภายนอก เจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจ เกิดความคิดที่จะเข้าไปหักล้างกันให้ตายกันไปข้างแต่ก็จนใจที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้แม้แต่น้อย
“บุปผาสวรรค์รักษา” เฮเลนพูดพลางยื่นมือไปที่เหนือแผลลึกของซาเลส เกิดแสงสีเขียวเปล่งออกมาจากมือของเฮเลนเข้าสู่แผลของซาเลส นี่เป็นเวทมนต์หากินของจอมเวทเฮเลน เป็นการรักษาอาการบาดเจ็บภายนอกได้ในทันที แต่หากจะรักษาอาการภายในนั้นยังกินเวลาอยู่มาก
บัทเชอร์เตรียมที่จะเข้าจู่โจมอีกครั้งพอดีจอมเวทนาฮูกระโดดเข้ามาขวางเอาไว้ได้ทัน จึงจำเป็นต้องจัดการนาฮูเสียก่อน
บัทเชอร์แสยะยิ้มเล็กน้อยจ้องมองใบหน้าของจอมเวทออร์คด้วยสายตาเย้ยหยันหยามเหยียด นาฮูปลดไม้เท้าขนาดเล็กออกจากเอว ไม้เท้านั้นก็ขยายยืดออกจนมีขนาดสองเมตรครึ่ง ที่หัวไม้เท้าเปล่งแสงสีแดงออกมา
“กองทัพพงไพร!!!”
นาฮูขานชื่อเวทมนต์ออกมา กระแทกไม้เท้าลงที่พื้นสามครั้ง พลันบังเกิดเป็นนักรบต้นไม้ห้าตนยืนอยู่เบื้องหน้า
นักรบต้นไม้สี่ตนวิ่งไปโจมตีเป้าหมาย บัทเชอร์เตรียมพุ่งเข้าโจมตีปะทะแต่รู้สึกว่าขาของตนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ จึงถูกสามกำปั้นของนักรบต้นไม้เข้าไปอย่างจัง แต่ก็ไม่สามารถจะล้มลงไปได้ เมื่อเหลือบมองดูที่ขาของตนพบว่ามีรากไม้พันธนาการเอาไว้ โดยผู้ใช้เวทนี้คือนักรบต้นไม้ตัวที่ห้า
บัทเชอร์เหวี่ยงโซ่ออกไปพันรอบนักรบต้นไม้ตนนั้นและกระชากเหวี่ยงหมุนไปหลายรอบ กระแทกนักรบต้นไม้ที่เหลือปลิวสลายไปกลางอากาศ รากไม้ที่พันธนาการขาอยู่ก็หายไป
นาฮูตกใจเล็กน้อยที่นักรบต้นไม้ ไม่สามารถต่อกรกับ บัทเชอร์ ได้ จากนั้นก็ควงไม้เท้าไปมาและกระแทกลงพื้นดินอย่างรุนแรง
“กองทัพศิลา!!!”
ครั้งนี้เป็นนักรบหินสามตนร่างกายขนาดเท่ากับบัทเชอร์โผล่ขึ้นมาจากพื้น
บัทเชอร์ใช้มีดบังตอคู่มือฟันไปที่คอของนักรบโกเล็มตนหนึ่ง แต่ร่างกายของโกเล็มเป็นหิน มีดไหนๆก็ฟันไม่เข้า อสูรกายบัทเชอร์นิ่งไปชั่วขณะราวกับกำลังหาวิธีรับมือกับนักรบหิน ทันใดนั้นนักรบหินตนหนึ่งก็เริ่มจู่โจมเป้าหมาย
การเคลื่อนไหวของโกเล็มเชื่องช้า แต่หนักหน่วง เจ้าอสูรกายบัทเชอร์สามารถหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย แต่โกเล็มเข้าพร้อมกันถึงสามตัว แม้ บัทเชอร์จะหลบได้แต่ก็โดนไปครั้งหนึ่ง
บัทเชอร์ถูกโจมตีครั้งนั้นถึงกับจุก กระอักเลือดออกหนึ่งคำใหญ่ แล้วลุกขึ้นใช้สันมีดฟันที่คอของโกเล็มที่พุ่งเข้ามาซ้ำจนแตกกระจายล้มลง อีกสองตัวก็พุ่งตามเข้ามาสมทบ
บัทเชอร์ใช้โซ่ล่ามขานักรบหินไว้ตัวหนึ่งแล้วกระชากจนล้มลงไป และใช้สันมีดฟันเข้าที่ลำตัวของนักรบหินอีกตัวจนแตกสลายไป พร้อมกระชากโซ่ให้นักรบหินอีกตัวเข้ามาใกล้ๆ และใช้เท้าเหยียบลงไปที่หัวของโกเล็มตัวนั้นอย่างแรงจนสลายไปสลายไป
นาฮูที่ชมดูเกิดความหวาดกลัว แต่ก็ยังคุมสติไว้ได้ เหงื่อเย็นเยียบมากมายไหลออกมาทั่วร่าง นักรบหินที่แข็งแกร่งของเขา กลับถูกเจ้าปิศาจตนนี้ฆ่าตายโดยง่าย
ขณะกำลังที่เขาจะใช้เวทมนต์ต่อไป บัทเชอร์ก็เข้ามาถึงตัวพร้อมกับกัดเข้าที่ลำคอของนาฮู นาฮูถูกดูดเลือดไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้ แขนขาเกร็งสุดแรงด้วยความเจ็บปวด เฮเลนเห็นก็ซัดอาวุธลับรูปร่างเป็นดอกไม้เข้าใส่หมายโจมตีดวงตาของ บัทเชอร์ ปิศาจลากไส้จำต้องผละจากร่างของนาฮูไป
ร่างของนาฮูถูกทิ้งลงกับพื้น ลำคอมีเลือดทะลักออกมาจนนองพื้นบริเวณนั้นไปทั่ว ในที่สุดนาฮูก็จบชีวิตลงอย่างอนาถ
ในระหว่างที่สามจอมเวทห้ำหั่นกับบัทเชอร์อยู่นั้น ทหารโดยรอบกำลังต่อสู้กับอันเดดอย่างเสียเปรียบ ด้วยกำลังใจที่ค่อยๆสลายหายไป เพราะปริมาณของข้าศึก ยิ่งต่อสู้ยิ่งเพิ่มพูน ไม่มีทีท่าว่าจะลดทอนลง ซ้ำแล้วนักเวทประจำกองทัพยังมาบาดเจ็บสาหัสเพียงเพราะปิศาจตนเดียว ส่งผลให้กองทัพเซนติเนลค่อยๆถอยร่นเข้าหาประตูเมืองทีละน้อย
เสียงอาวุธยุทโธปกรณ์กระทบกันกับกรงเล็บดังเช้งช้างดังอื้ออึงไปทั่ว ปะปนมาด้วยเสียงร้องปลุกปั่นกำลังใจและเสียงครางด้วยความเจ็บปวด ช่างเป็นบรรยากาศที่ไม่น่าดูเลยสักนิด
บัทเชอร์แสยะยิ้มออกมาอีกครั้ง พุ่งเข้าโจมตีเฮเลนที่นั่งรักษาซาเลสอยู่ เฮเลนแม้มองเห็นการจู่โจมแต่ไม่อาจปลีกตัวจากการรักษาได้ ได้แต่เกร็งสุดพลัง แบ่งเวทมนต์ไปเสริมอาภรเวทให้แกร่งมากขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจหนีพ้นอันตรายได้
บัทเชอร์เหวี่ยงแขนเข้าฟาดใบหน้าของจอมเวทเฮเลนเต็มแรงจนร่างของเฮเลนปลิวออกไปไกลหลายสิบเมตร
เฮเลนเจ็บปวดราวกับหัวจะหลุดออกจากบ่า ยังฝืนใจลุกขึ้นยืนได้ แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว
บัทเชอร์ง้างแขนยกมีดบังตอยักษ์ขึ้นและฟันลงไปที่ร่างของซาเลสอย่างอำมหิต จนร่างของซาเลสถูกฟันขาดเป็นสองท่อน ธารโลหิตไหลทะลักออกมาราวกับสายน้ำ
สองจอมเวทแห่งกองทัพเซนติเนลตายไป ยิ่งลดทอนกำลังใจทหาร เสียงร้องปลุกปั่นกำลังใจดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็คล้ายไม่ช่วยอะไร
สถานการณ์ ในตอนนี้พลิกกลับ กลายเป็นความได้เปรียบของกองทัพสเกิร์จ ทหารของเซนติเนลถูกสังหารไปมากมายเกือบครึ่ง สถานการณ์ในตอนนี้เข้าขั้นวิกฤต แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์ชั้นฟ้าประทานความช่วยเหลือ ลูกธนูถูกยิงสนับสนุนออกมาจากกำแพงเมืองราวกับห่าฝน ทำให้สามารถชะลอการถอยร่นกลับมาได้
บัทเชอร์พุ่งตัวเข้าไปหมายโจมตีเฮเลนที่กำลังลุกขึ้นยืน แต่กลับมีลูกธนูดอกหนึ่งแหวกอากาศพุ่งเข้าไปที่ช่องท้องของบัทเชอร์ด้วยความแรง ทำเอาบัทเชอร์ถึงกับเซถอยหลังไป
ลูกธนูลูกที่สองลอยมาปักเข้าที่เดิมจนลูกแรกผ่าครึ่งตกลงพื้น ลูกธนูอีกลูกพุ่งเข้ามาแต่ดอกนี้มากับเปลวไฟที่บริเวณหัวลูกธนูพุ่งเข้าผ่าลูกธนูที่เสียบอยู่ขาดครึ่งร่วงลงพื้นไปอีกครั้ง
บัทเชอร์โดนลูกธนูเข้าไปถึงสามครั้งติดกันถึงกับเซถลาลงจนได้ย่อเข่าช่วยไว้ ลูกธนูที่ปักอยู่ช่องท้องของบัทเชอร์ ถูกดูดกลืนเข้าไปในท้อง เกิดเสียงระเบิดขนาดย่อมๆดังขึ้นภายในร่างของบัทเชอร์
ร่างของปิศาจตนนี้ระเบิดแตกกระจายออกจากกันจนไม่เหลือชิ้นดี เลือดสีเขียวสาดกระเซ็นเป็นบริเวณกว้างแปดเปื้อนชุดของเฮเลนเต็มไปหมด
เฮเลนหันไปทางที่ลูกธนูลอยมาก็พบกับภาพโครงกระดูกเดินได้ตนหนึ่งยืนยิ้มเยาะเย้ยเจ้าปิศาจที่ถูกระเบิดสังหาร
‘ทำไมปิศาจถึงฆ่ากันเอง’ เฮเลนคิดในใจพลันพุ่งเข้าจู่โจมโครงกระดูกตนนั้นโดยไม่รู้ซักถามใดๆ
เฮเลนยกมือขึ้นกรีดนิ้วมือออกหมายจะใช้เล็บตัดคอ แต่โครงกระดูกโครงนั้นกลับเอี้ยวตัวหลบไปได้อย่างคล่องแคล่ว
“นี่ฉันเอง ตุ้งไง ท่านจำไม่ได้เหรอ” ตุ้งต้องพูดออกมาอย่างเร่งรีบ เฮเลนจึงหยุดการโจมตี
“ที่แท้คือท่านเอง ต้องขออภัยด้วย แล้วทำไมท่านจึงเป็นโครงกระดูกไปได้” เฮเลนถามด้วยความพิศวงงงงัน
“นี่เป็นพลังที่ฟิลรอสมอบให้แก่ฉันเองน่ะ อย่าคิดมากเลย เพื่อนฉันอีกสามคนก็ได้รับเหมือนกัน ถึงยังไงฉันก็อยู่ฝ่ายพวกท่าน อย่าได้ตกใจ” ตุ้งอธิบาย จากนั้นก็หันไปโจมตีเหล่าอันเดด
ลูกธนูของตุ้งทุกลูกทุกนัด พุ่งเข้าเป้าหมายอย่างแม่นยำและรวดเร็วราวกับฝึกฝนมาเป็นเวลาสิบๆปี ลูกธนูขึ้นประทับบนคันแล้วปล่อยออกอย่างรวดเร็วราวกับไม่ต้องเล็งก็ยิงถูก
‘นี่น่ะเหรอ พลังของโบน เฟลทเชอร์’ ตุ้งคิดและยิ้มออกมาอย่างชอบใจ
หลังจากที่ปิศาจบัทเชอร์ถูกสังหารลง กำลังใจทหารก็กลับเพิ่มพูนขึ้น สามารถยันกองทัพอันเดดไว้ได้โดยไม่ถอยร่นกลับไป
แม่ทัพใหญ่ฟิวเรี่ยนที่ยืนมองสถานการณ์อยู่บนกำแพงเมืองอยู่นานชูมือขวาเป็นสัญญาณให้ทหารในเมือง เหล่าพลธนูชาวเอลฟ์ต่างพากันวิ่งขึ้นกำแพงเมืองไปประจำที่ โดยในหนึ่งช่องกำแพงจะยืนต่อแถวกันอยู่สองคน จากนั้นชูมือซ้ายขึ้นมา เกิดเสียงลูกโซ่กระทบกันเกรียวกราว ประตูเมืองขนาดยักษ์ถูกเปิดออกอีกครั้ง
ตำแหน่งพลธนูของกองทัพเซนติเนลตกเป็นของเผ่าพันธุ์เอลฟ์โดยปริยาย เนื่องจากเผ่าพันธุ์เอลฟ์เกิดและเติบโตในป่าลึกลับที่เงียบสงบ ทำให้ประสาทหูและตารวดเร็วว่องไวยิ่ง ผนวกกับพรสวรรค์ด้านยิงธนูของเผ่าเอลฟ์ ทำให้สามารถกล่าวได้ว่า “เอลฟ์ เกิดมาเพื่อยิงธนู”
แม่ทัพใหญ่ฟิวเรี่ยนหลังจากมองดูความเคลื่อนไหวของกองทัพอยู่นานจนกระทั่งเห็นว่าเสียเปรียบมากจึงทิ้งมือขวาลงสั่งยิงธนูออกไปสนับสนุนกองทัพ เหลือบไปเห็นโบน เฟลทเชอร์สังหารปิศาจบัทเชอร์ลงได้ด้วยลูกธนูเพียงแค่สามดอกก็อดยินดีไม่ได้ แล้วทิ้งมือซ้ายลงเป็นสัญญาณอีกครั้ง
เสียงร้องปลุกระดมกำลังใจเป็นภาษามนุษย์ดังขึ้นสลับกับเสียงอาชากู่ร้องดังต่อเนื่องเบื้องหลังกำแพงใหญ่ จนกระทั่งเห็นมือซ้ายของแม่ทัพฟิวเรี่ยนทิ้งลงเป็นสัญญาณการทำศึกของตน
อัศวินม้าหุ้มเกราะเหล่านี้ถือเป็นตัวชูโรงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ด้วยเกราะแข็งที่สามารถต้านทานอาวุธนานาชนิด อาวุธยาวจำพวกหอกและทวนที่ฟาดฟันศัตรูได้รุนแรง อาชาพันธุ์ดีที่เพาะเลี้ยงมาเพื่อการศึก และฝีมือทหารชั้นแนวหน้าของกองทัพ แม้จะมีจำนวนเพียงสามพันนายที่คัดสรรมา แต่ก็ทำให้กองกำลังอัศวินหุ้มเกราะเป็นนักรบที่สำคัญกับกองทัพเซนติเนลอย่างมากทีเดียว
เสียงอาชาศึกควบตะบึงโลดแล่นเข้าสู่สมรภูมิรบ เหล่าอัศวินผู้บังคับม้ากู่ร้องยาวนาน ชูอาวุธของตนขึ้นเหนือหัวขณะที่ม้ายังควบอย่างไม่หยุดยั้ง
ทัพอัศวินฝ่าทะลวงถึงกองทัพอันเดดเข้าไปเป็นทางอย่างรวดเร็ว อาวุธคู่มือของเหล่าอัศวินชั้นยอดวัดแกว่งมิได้หยุดหย่อน ฟาดฟันทหารสเกิร์จล้มลงเป็นทางยาว เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจของทหารเท้าดังขึ้นไม่ขาดสาย บุกเข้าโจมตีอันเดดอย่างไม่กลัวเกรง
ทันทีที่เหล่าอัศวินม้าย่างก้าวลงสู่สนามรบ สถานการณ์ก็พลิกกลับเป็นได้เปรียบอีกครั้ง ทัพของสเกิร์จค่อยๆถอยร่นกลับไป ศพอันเดดมากมายเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น โลหิตทั้งสีเขียวสีแดงชโลมทั่วบริเวณจนกลิ่นคาวเลือดคลุ้งไปหมด
แม่ทัพฟิวเรี่ยนไม่รอช้ารีบส่งทหารเท้าอีกห้าพันนายเข้าหนุนโดยจัดทัพคล้ายกับกองทัพแรก การกระทำเช่นนี้เพื่อจัดการกองทัพสเกิร์จให้สิ้นซาก เหล่าทหารเท้าต่างวิ่งฮือเข้าไปสมทบอย่างเป็นระเบียบ
เห็นได้ชัดว่าเซนติเนลกุมชัยชนะไว้ในมือเป็นแน่แท้ แต่กลับมีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น
เสียงนั้นคือเสียงแตรทำศึกของสเกิร์จนั่นเอง ชั่วพริบตาทหารของสเกิร์จเพิ่มกำลังขึ้นอีกสองหมื่นด้วยการนำของอาร์ธาส สามแม่ทัพใหญ่จึงปรากฏกายออกมาช่วย
ที่ผ่านมาสามแม่ทัพใหญ่มองดูอยู่บนกำแพงเมืองคนละด้านกับพวกตุ้ง แต่ตอนนี้อาร์ธาสปรากฏกายออกมาแล้ว สถานการณ์จึงเปลี่ยนไปเป็นตึงเครียดลงอย่างมาก ฟรอสต์มอร์ ในมือของเขา คมกริบยิ่งกว่าอาวุธไหนๆ บวกกับหน้ากากของลิชคิงที่เขาสวมใส่อยู่ ทำให้อาร์ธาสในตอนนี้ แข็งแกร่งกว่าสามแม่ทัพใหญ่อยู่มากทีเดียว
สามแม่ทัพใหญ่ใช้เวทมนต์เคลื่อนย้ายร่าง พริบตาก็ไปปรากฏกายใกล้ๆบริเวณการต่อสู้ เพชร โอ๊ตและนนวิ่งตามมาติดๆ และโจมตีทหารอันเดดร่วมกับตุ้งและเฮเลน
แม่ทัพใหญ่เคลธาสเปิดฉากโจมตีใส่อาร์ธาสเป็นคนแรกด้วยอารมณ์ที่เปี่ยมไปด้วยโทสะ เคลธาส สะบัดมือออกไป ลูกไฟสีเขียวขนาดเล็กแต่อัดไปด้วยพลังถูกปล่อยออกจากมือพุ่งตรงไปสู่อาร์ธาส
อาร์ธาสยิ้มออกที่มุมปาก ใช้มือข้างซ้ายรับและขยี้ลูกไฟจนแหลกสลายไป พร้อมกับยิ้มอย่างเย้ยหยัน ดวงตาสีฟ้าจากใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากส่อแววเยาะเย้ยหยามเหยียด
เคลธาสเห็นอย่างนั้นยิ่งโมโหรุนแรงขึ้นกว่าเดิม ยิงลูกไฟหลายสิบลูกออกไป อาร์ธาสเอี้ยวตัวหลบอย่างรวดเร็ว
ลูกไฟที่พุ่งเข้ามาวิ่งผ่านไปยังเหล่าอันเดดที่อยู่เบื้องหลังของอาร์ธาสแต่ผิดคาด เคลธาสใช้วิธีพลิกแพลงซ่อนลูกไฟออกไปหนึ่งลูกโดยคำนวณมุมไว้อย่างแม่นยำว่าอาร์ธาสจะมองไม่เห็น และการคำนวณก็ประสบผลสำเร็จ
อาร์ธาสตกใจที่ยังเหลือลูกไฟอยู่อีกลูกพุ่งเข้ามาที่หน้ากาก เขามองเห็นมันในระยะที่เกินกว่าจะหลบหลีกทัน ทันใดนั้นจึงยกดาบฟรอสต์มอร์ ขึ้นป้องกัน
ทันทีที่ลูกไฟพุ่งเข้ากระทบกับฟรอสต์มอร์ ก็แข็งตัวเป็นก้อนน้ำแข็งตกลงสู่พื้นแตกกระจาย อาร์ธาสค่อยเบาใจลง
เดิมทีทั้งอาร์ธาสและเคลธาสเป็นเจ้าชายแห่งลอร์แดรอน ราชาแห่ง ลอร์แดรอนมีพระราชโองการให้อาร์ธาสไปนำทัพต่อต้านกองทัพออร์ค
แต่ต่อมามีปิศาจดรีดลอร์ดคนหนึ่ง นามว่า เกนิส วางแผนดึงตัวชาวบ้านทั้งหมดมาเป็นทหารของตน จึงปล่อยพิษลงในยุ้งฉางที่เก็บธัญพืชของชาวบ้าน ชาวบ้านทั้งหมดที่รับประทานเข้าไปก็กลายร่างเป็นผีซอมบี้ เข้าสู่กองทัพอันเดด
เจ้าชายอาร์ธาสจึงเข่นฆ่าชาวบ้านบริเวณนั้นทั้งหมดเพื่อไม่ให้กองทัพของอันเดดเพิ่มกำลังขึ้น การกระทำนี้ป่าเถื่อนอย่างมากจนเจ้าหญิงไจน่าและแม่ทัพอูเธอร์ตัดความเป็นมิตรกับอาร์ธาสโดยสิ้น
เจ้าชายอาร์ธาสติดตามเกนิสไปยังดินแดนนอร์ธเทรนด์จนได้พบกับมูราดิน ราชันย์แห่งบรรพตที่ประจำการต่อต้านอันเดดอยู่ที่นั่น
ทั้งสองจึงร่วมมือกันเพื่อกำจัดจอมมารเกนิส อาร์ธาสสังหารพรรคพวกของตนไปไม่น้อย เพื่อให้สามารถตามเกนิสได้ทัน มูราดินพยายามห้ามปรามแต่ก็จนใจ
เจ้าชายอาร์ธาสในตอนนั้นเรียกได้ว่าไม่ทราบแล้วว่าตนเองทำอะไรอยู่ ทุกๆลมหายใจนั้น จะมีก็แต่การนึกหาวิธีสังหารเกนิสเท่านั้น
เจ้าชายอาร์ธาสยอมขายวิญญาณให้กับจอมปิศาจลิชคิงเพื่อให้ได้ดาบฟรอสต์มอร์นำมาซึ่งพลังอันแข็งแกร่งที่จะสามารถปราบเกนิสได้ และเขาก็ได้รับเลือกจากลิชคิงให้ถือดาบมารเล่มนั้น
เจ้าชายอาร์ธาสต้องสูญเสียมูราดินไปอย่างไม่มีวันได้คืนเพื่อให้ได้ครองดาบเล่มนั้น และเมื่อได้ดาบแล้วก็นำไปสังหารเกนิสได้อย่างง่ายดาย
อาร์ธาสถูกวิญญาณแห่งปิศาจในดาบเข้าครอบงำ ถึงขั้นตัดหัวพระราชาผู้เป็นบิดาของตนและเข้าร่วมกับฝ่ายอันเดด
ต่อมาเจ้าชายเคลธาสก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ของมนุษย์ คุมกำลังทั้งหมดเข้าต่อสู้กับอันเดด จากนั้นก็นำกองกำลังเข้าร่วมกับกองกำลังเซนติเนลของไนท์ เอลฟ์ จวบจนกระทั่งปัจจุบัน
ตอนนี้กบฏของบ้านเมืองมาปรากฏตรงหน้าแล้ว เคลธาสจึงเข้าโจมตีอาร์ธาสเป็นคนแรก
“แม่ทัพใหญ่ของมนุษย์มีพลังเพียงเท่านี้เองรึ ดีแล้วที่ข้าเข้าร่วมกับอันเดด” อาร์ธาสพูด
“หุบปากซะ คนอย่างเจ้าไม่คู่ควรจะหายใจอยู่ด้วยซ้ำ” เคลธาสร้องตอบอย่างเกรี้ยวกราด
“ถึงอย่างนั้นเจ้าจะทำอะไรข้าได้” อาร์ธาสพูดเหยียดหยามอีกครั้ง
“ได้สิ รอรับความตายไว้ก็แล้วกัน” พูดจบก็กางมือทั้งสองข้างออก หงายมือขึ้นท้องฟ้า ปรากฏเป็นลูกไฟสีเขียวลุกโชติช่วงลอยอยู่บนฝ่ามือของเขา และสะบัดมือออกอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วที่สูงมาก ลูกไฟสีเขียวมากมายพุ่งออกมาจากมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว
อาร์ธาสเห็นอย่างนั้นก็ควบม้าปิศาจวิ่งตีวงกลมอ้อมร่างของเคลธาส ลูกไฟที่ปล่อยมาพุ่งผ่าน อาร์ธาสไปอย่างฉิวเฉียด โดยที่ลูกไฟทั้งหมดไม่สามารถเข้าโจมตีที่อาร์ธาสได้ทันแม้แต่ลูกเดียว ทันทีที่ลูกไฟพุ่งกระทบพื้นก็บังเกิดระเบิดขึ้นสนั่นหวั่นไหว เรียกความสนใจจากทหารทั้งสองฝ่ายจนต้องหันไปมองเป็นสายตาเดียวกัน
อาร์ธาสควบตะบึงตรงไปยังที่ที่เคลธาสยืนอยู่ทันที พลางใช้ตัวดาบฟรอสต์มอร์ปัดลูกไฟให้พุ่งออกไปด้านข้าง เสียงระเบิดดังขึ้นไม่ขาดหู ไม่นานก็ควบม้าในระยะห่างจากเคลธาสเพียงไม่ถึงสิบเมตร
อาร์ธาสยกดาบขึ้นฟันลงที่ลำตัว เคลธาสเอี้ยวตัวหลบกระโดดพุ่งไปด้านข้าง แต่ก็ยังสัมผัสโดนดาบฟรอสต์มอร์เล็กน้อย
เคลธาสรู้สึกว่าความเย็นอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ซ่านเข้าไปในร่างกายจนทั่ว แม้ว่าเกราะเวทมนต์ของเคลธาสระดับสูงกว่าของฟิลรอสและซาเลสหลายขั้น แต่ถึงอย่างไรฟรอสต์มอร์ก็เป็นยอดศาตราวุธจึงเฉือนเข้าสู่เนื้อของเคลธาสได้อย่างง่ายดาย
เคลธาสใช้เวทมนต์ขจัดความเย็นออกจากตัวและพุ่งตัวเข้าหาอาร์ธาสอย่างรวดเร็ว ในมือบังเกิดเปลวไฟยาวเกือบวาขึ้น และเปลี่ยนสภาพเป็นดาบลวดลายเพลิงไฟสวยงาม
อาร์ธาสเห็นก็ควบม้าเข้าหาเช่นกัน เมื่อทั้งสองเข้าใกล้กันในระยะโจมตี ต่างก็ฟาดฟันอาวุธของตนเข้าใส่
สองศาตราวุธกระทบกันก่อให้เกิดเสียงดึงขึ้นไม่ขาดสาย เกิดลมรุนแรงขึ้นทุกครั้งที่ดาบทั้งสองฟาดเข้ากระทบกัน
ความเร็วของเคลธาสเหนือกว่าอาร์ธาสอยู่บ้าง จึงชิงเป็นฝ่ายเหนือกว่า เคลธาสถีบเข้าที่ยอดอกของอาร์ธาส ปลิวลอยออกจากหลังม้าปิศาจไปไกล
ยังไม่ทันที่ร่างจะกระทบพื้นดินก็บังเกิดเสียงระฆังดังก้องขึ้น อาร์ธาสใช้มือค้ำและดีดตัวขึ้นยืน ต่อมาพื้นดินบริเวณนั้นก็ร้อนระอุดุจไฟนรก เกิดเปลวไฟลุกเป็นบริเวณกว้าง ดีที่อาร์ธาสไม่ปล่อยให้ร่างตกในบริเวณนั้น ไม่เช่นนั้นก็ไม่แน่ว่าจะรอดชีวิต ม้าปิศาจแสนรู้วิ่งกลับมารับนายของมันขึ้นหลังอีกครั้ง
เคลธาสเห็นว่าพลาดจึงร่ายเวทออกมาเพื่อจู่โจมต่อทันที ทันใดนั้นเปลวไฟขนาดใหญ่ก็บังเกิดขึ้น
แปลวไฟทำให้ความร้อนเพิ่มขึ้นสูงจนทหารทั้งสองฝ่ายในบริเวณรอบข้างล้มตายกันเป็นเบือ เปลวไฟนั้นยังคงขยายขนาดและความร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนแผงขนของม้าปิศาจลุกติดไฟ ม้าตัวนั้นตกใจพยศอย่างรุนแรงจนอาร์ธาสตกลงจากหลังม้า
โอ๊ต นนและเพชรเห็นเปลวไฟใหญ่ขนาดนั้นก็ต้องถอยออกไปไกลโข แม้กระทั่งตุ้งที่เป็นธาตุไฟก็มิอาจทนทานพลังอันมหาศาลสุดจะหยั่งนี้ได้ จึงวิ่งตามเพื่อนๆออกไปไกล ฟิวเรี่ยนและธรอลก็ต้องหนีตายออกมาเช่นกัน
นักรบทั้งหลายในบริเวณนั้นบ้างโชคดีหนีออกมาได้ทัน แต่ทหารไม่น้อยถูกเปลวไฟคลอกตายอย่างทรมาน
อาร์ธาสไม่อาจทราบได้ว่าเปลวไฟนี้หมายความว่าอย่างไร แต่ดูแล้วก็ทราบว่าผิดท่า เคลธาสก็ยังคงร่ายเวทต่อไปเรื่อยๆ ความร้อนก็สูงขึ้นตลอดเวลา
‘ความร้อนขนาดนั้น มันฆ่าตัวตายชัดๆ’ อาร์ธาสคิด
เกราะเวทมนต์ของอาร์ธาสบวกกับพลังของลิชคิงทำให้ชุดเกราะและเนื้อหนังของอาร์ธาสไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่ความร้อนก็สามารถแทรกซึมเข้าไปทำให้เกิดความทรมานอย่างยิ่ง
ถึงอย่างนั้นเคลธาสก็ยังคงร่ายเวทต่อไป จนกระทั่งเสื้อคลุมของเขาติดไฟลุกพรึบขึ้นก็ยังไม่ยุติการร่ายเวทมนต์นั้น
ผิวหนังของเคลธาสไหม้เกรียมอย่างช้าๆ จนในที่สุดความร้อนของเปลวไฟยักษ์นั้นก็คงที่ ประทุเป็นไฟสูงเสียดฟ้า บังเกิดเป็นนกอินทรีเพลิงขนาดใหญ่กระพือปีกบนท้องนภากว้างไกล นกไฟในตำนานปรากฏแล้ว
นกศักดิ์สิทธิ์ผู้นำมาซึ่งเปลวไฟอันโชติช่วงนามว่า ฟินิกซ์ กำลังบินโฉบเฉี่ยวและกู่ร้องดังสนั่นอยู่บนท้องฟ้า ทุกลีลาท่วงท่าอัดแน่นไปด้วยพลังและความสง่างาม แผงขนทั่วทั้งร่างเป็นเปลวไฟสีแดงสดประดับไปด้วยเปลวไฟสีเหลืองอมส้มสวยงาม ดวงตาสีเพลิงเป็นประกายเจิดจ้า กวาดมองทหารบนพื้นดิน
เคลธาสคลี่ยิ้มออกมาเมื่อการร่ายเวทเสร็จสมบูรณ์ พื้นดินในบริเวณใกล้ๆนั้น ถูกไฟความร้อนสูงแผดเผาจนไหม้เกรียมไปทั่ว ซากศพของทหารที่ล้มตายของทั้งสองฝ่ายมอดไหม้ไปกับเปลวไฟนั้น ช่างเป็นเวทมนต์ที่ป่าเถื่อนอะไรเช่นนั้น
ทหารทุกคน ทั้งโอ๊ต ตุ้ง นนและเพชร แม้กระทั่งแม่ทัพใหญ่ทั้งสองก็ถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นนกไฟปรากฏตัวออกมา
แล้วฟิวเรี่ยนก็ได้สติ สั่งการให้นักรบเข้าโจมตีต่อไป นักรบทั้งสองฝ่ายเคลื่อนทัพเข้าประหัตถ์ประหารกันอีกครั้ง
“หึ หึ แผลงฤทธิ์ออกมาสิ แสดงพลังและความแข็งแกร่งของท่านให้พวกมันได้เห็น” เคลธาสตะโกนขึ้นฟ้า
ทันใดนั้นนกเพลิงที่กระพือปีกอยู่บนท้องฟ้าก็พุ่งตัวโฉบลงมาที่พื้นพสุธาในเสี้ยววินาทีและกระพือปีกด้วยความเร็วสูงยกร่างของตนให้พุ่งขนานไปกับพื้นดิน
นกไฟบินข้ามนักรบสเกิร์จบังเกิดลมพายุรุนแรงพัดพาทหารอันเดดปลิวไปกับสายลมและหายไปเป็นผงธุลีด้วยความร้อนสูง
อาร์ธาสเห็นท่าไม่ดี จึงคิดกำจัดนกไฟตัวนี้ก่อน แล้วจึงค่อยคิดวิธีจัดการกับกองทัพเซนติเนลทีหลัง
เมื่อคิดได้ก็ออกวิ่งไปหานกไฟ แต่ก็มีลูกไฟสีเขียวพุ่งผ่านหน้าอาร์ธาสไป อาร์ธาสหันไปมองด้วยความโกรธ ต้นเหตุของไฟลูกนั้นก็คือ เคลธาส นั่นเอง
‘ถึงอย่างไรเจ้านี่ก็ไม่ปล่อยให้เราไปฆ่านกตัวนั้น แต่ขืนรอช้าไปกว่านี้ กองทัพเราได้แตกไม่เหลือแน่’ อาร์ธาสคิดอย่างกระวนกระวาย
สถานการณ์คับขันก่อให้เกิดความคิดขึ้นอย่างหนึ่ง อาร์ธาสยิ้มออกมาเป็นเลศนัย จากนั้นชูดาบฟรอสต์มอร์ขึ้นฟ้า เกิดพายุน้ำแข็งขนาดใหญ่โดยมีตำแหน่งที่อาร์ธาสยืนเป็นจุดศูนย์กลาง ความเย็นเข้าปกคลุมทำให้อุณหภูมิลดฮวบลงจนน่าตกใจ ทั่วๆอาณาบริเวณปรากฏน้ำแข็งจับอยู่เต็มไปหมด
อินทรีเพลิงตกใจกับความเย็นอันน่าสะพรึงกลัวนี้จนต้องบินหนีขึ้นสูงจนแทบมองไม่เห็น
พายุน้ำแข็งสูงขึ้นไปเสียดฟ้าและสลายไปกลายเป็นมังกรน้ำแข็งตัวยาวเหยียด เกล็ดสีขาวใสสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นมันวาวงดงามยิ่ง ดวงตาสีเขียวเปี่ยมไปด้วยความดุดันและพลัง
มังกรน้ำแข็งคำรามออกมาบังเกิดลมพายุพัดกระหน่ำ กรงเล็บขนาดยักษ์อันแหลมคมกรีดออกจากกัน แล้วร้องคำรามอีกครั้งเสมือนเป็นการท้าทาย
นกไฟลดระดับการบินลงมาให้เสมอกับมังกรน้ำแข็ง สองสัตว์เทพจ้องหน้ากันราวจะกินเลือดกินเนื้อ เทพในตำนานที่มีศักดิ์สูงสุดวันนี้เห็นทีต้องเข้าห้ำหั่นกัน
เปลวไฟบนร่างของนกไฟประทุแรงขึ้น ไอความเย็นของมังกรน้ำแข็งก็หนาตาขึ้นเช่นกัน
เคลธาสเห็นมังกรน้ำแข็งก็ถึงกับตกใจ พูดออกมาอย่างโมโหว่า
“ในโลกนี้นอกจากเราแล้ว ยังมีคนอัญเชิญสัตว์เทพขั้นสูงสุดออกมาได้อีกหรือเนี่ย”
อาร์ธาสยืนอยู่เบื้องหน้าอันเดดทั้งปวง ยิ้มก่อกวนสมาธิ จับดาบในท่าเตรียมพร้อมโจมตี เคลธาสก็เช่นกัน เพียงแต่เคลธาสมิได้ยิ้ม แต่ขมวดคิ้วด้วยโทสะแทน แล้วเสกเปลวไฟขึ้นมาเป็นดาบอีกเล่มถือไว้ในมือซ้ายกลายเป็นดาบเพลิงคู่
ทั้งสองนำทัพบุกเข้าประจัญบานกัน พร้อมๆกับที่สองสัตว์เทพพุ่งเข้าโจมตีกลางเวหุน
อาร์ธาสเหวี่ยงฟรอสต์มอร์ฟันไปที่ไหล่ เคลธาสยกดาบในมือซ้ายขึ้นต้านทาน ผลักดาบในมือขวาแทงไปที่ช่องท้อง อาร์ธาสเอี้ยวตัวหลบการโจมตี และใช้หัวไหล่เข้ากระแทกเคลธาสเซถลาออกไป
เคลธาสเห็นว่าพลาดจึงพุ่งตัวเข้าไปโจมตีซ้ำด้วยมือขวา อาร์ธาสเอี้ยวตัวหลบอีกครั้ง แต่การโจมตีของเคลธาสแฝงมือซ้ายฟันตามมาติดๆ อาร์ธาสแหงนหลบได้อย่างหวาดเสียว การโจมตีนับสิบของเคลธาส มุ่งเป้าไปที่อาร์ธาสแต่อาร์ธาสก็หลบได้ทุกครั้งไป ซ้ำเติมให้เคลธาสขาดสิ้นซึ่งสติยั้งคิด
บรรยากาศบนฟากฟ้าตึงเครียดไปด้วยจิตสังหารของสองสัตว์เทพ วิหคเพลิงและมังกรน้ำแข็งจ้องหน้ากันอย่างดุดัน มังกรเทพร้องคำรามการโจมตีแรกก็บังเกิดขึ้น
มังกรน้ำแข็งพุ่งตัวเข้าหานกไฟด้วยความเร็วที่น่ากลัว ชั่วพริบตาระยะห่างห้าร้อยเมตรระหว่างนกและมังกรออก็ถูกย่นระยะจนเหลือไม่ถึงสิบเมตร
หมอกที่ระเหยออกจากมังกรทอดยาวเป็นสาย กรงเล็บแข็งแกร่งจากเท้าหน้าด้านขวาตวัดมาที่ลำคอของนกไฟ
วิหคไฟก้มหัวหลบได้ทันอย่างหวุดหวิด การโจมตีครั้งแรกพลาดเป้าไปเพียงเล็กน้อย การโจมตีครั้งสี่สองตามมาอย่างกระชั้นชิด
หางใสบริสุทธิ์ประดุจอัญมณีล้ำค่าของมังกรน้ำแข็งสะบัดอย่างรวดเร็วและรุนแรง ฟาดเข้าไปทางลำตัวของนกไฟ วิหคเพลิงทะยานขึ้นสูงหลบการโจมตี
ทันทีที่นกไฟหยุดนิ่ง ก้อนน้ำแข็งแหลมคมขนาดเท่าหัวของวิหคไฟก็พุ่งเข้าโจมตีปีกทั้งซ้ายขวาของนกไฟ
นกไฟกระพือปีกแรงๆหนึ่งครั้ง ก็บังเกิดลูกไฟขนาดเท่าๆกับก้อนน้ำแข็งออกมาปะทะกันกับก้อนน้ำแข็งและสลายไปทั้งคู่
สัตว์เทพทั้งสองหยุดการโจมตีมาดูเชิงกันต่อไป การโจมตีทั้งสามครั้งของมังกรน้ำแข็งไม่เข้าถึงเป้าหมายสักครั้ง จึงขู่คำรามด้วยความหงุดหงิด
สองสัตว์เทพจ้องตากันอีกครั้ง คราวนี้เปลวไฟที่ร่างของวิหคเพลิงลุกพรึบขึ้นคล้ายเป็นสัญญาณว่า เตรียมตัวรับการโจมตี และทันใดเสียงกู่ร้องก็ดังขึ้น ร่างสีเพลิงของนกไฟก็เคลื่อนตัวเข้าถึงมังกรน้ำแข็งในพริบตา การโจมตีครั้งแรกของนกไฟเริ่มขึ้น
ปีกไฟทั้งสองข้างกางออกจนสุดและดึงกลับเข้ามาอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน แต่ก็ยังหลบไม่พ้นสายตาของมังกรน้ำแข็ง มังกรเทพรีบลอยตัวกลับหลังทันที การโจมตีครั้งแรกของนกไฟพลาดเป้าเช่นกัน แต่การที่พลาดเป้าทำให้เกิดพายุไฟขนาดเล็กขึ้นโดยที่มังกรน้ำแข็งไม่ทันสังเกตเห็น
วิหคเทพพ่นไฟเสริมความร้อนให้กับพายุ พายุทวีความรุนแรงขึ้นจนเห็นได้ถนัดตาและพุ่งเข้าไปที่มังกรน้ำแข็ง ร่างของมังกรยักษ์ถูกแรงมหาศาลจากพายุดึงเข้าสู่ใจกลางพายุเพลิงทันที ความร้อนของเพลิงเทพแห่งนกไฟแทรกซึมผ่านอาภรณ์น้ำแข็งเข้าสู่ร่างกายของมังกรน้ำแข็งจนแผดร้องคำรามออกมา
การคำรามครั้งนี้ไม่ใช่การขู่ขวัญอย่างที่ผ่านๆมา แต่เป็นการคำรามด้วยความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส
ต่อมาร่างของมังกรยักษ์ก็ถูกแรงลมพัดเหวี่ยงออกจากพายุไฟ มังกรเทพได้สัมผัสกับเปลวเพลิงแห่งเทพของวิหคเพลิงเข้าไปเต็มๆ แม้เพียงเวลาสั้นๆ แต่ก็ทำให้เลอะเลือนไปครู่หนึ่ง และช่วงเวลาอันน้อยนิดนั้นก็หมดลง
ทันทีที่สติกลับเข้าที่ นกไฟก็พุ่งตัวเข้าประชิดตัวศัตรูแล้ว ถึงมังกรเทพจะรู้ตัวตอนนี้ก็สายเสียแล้ว ร่างของมังกรยักษ์ถูกกระแทกลอยไปไกล
หากเป็นเพียงแรงกระแทกธรรมดาก็คงไม่ระคายผิวของมังกรเทพ แต่การกระแทกนี้ได้ใช้เปลวไฟเข้าช่วย ทำให้มังกรน้ำแข็งที่ไม่ถูกกับความร้อนอยู่แล้ว ได้รับบาดเจ็บไปไม่น้อยทีเดียว
มังกรน้ำแข็งคำรามก้องด้วยโทสะ หมอกน้ำแข็งที่ระเหยออกมาจากตัวทวีคูณเพิ่มขึ้นแล้วพุ่งทะยานฟ้าเข้าโจมตีนกไฟ
การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีหมอกปกคลุมอยู่มากทำให้มองเห็นได้ลำบาก มังกรน้ำแข็งทะยานฟ้าพุ่งเข้าหานกไฟอย่างเกรี้ยวกราด แต่ถึงอย่างไรมังกรน้ำแข็งก็ได้รับบาดเจ็บ
นกไฟเกิดความชะล่าใจ คิดต้านทานการโจมตีเอาไว้โดยไม่หลบหนี จึงพยุงตัวไว้กลางอากาศ รอให้ศัตรูเข้ามาโจมตี
มังกรยักษ์พุ่งเข้าหาอย่างไม่หยุดยั้งจนในที่สุดก็เข้าถึงตัวนกไฟ แต่ก็ไม่มีการโจมตีใดๆเกิดขึ้นทั้งสิ้น
ขณะที่กำลังงุนงงก็พบว่า ร่างของตนถูกห้อมล้อมด้วยไอน้ำแข็งของมังกรเทพเข้าแล้ว รู้สึกมีความเย็นเฉียบพลันแล่นปราดเข้าทั่วร่างจนสั่นสะท้าน
นกไฟตั้งท่าเตรียมสู้ กวาดตามองหาร่างศัตรู ยังไม่ทันได้เห็น ร่างของวิหคเพลิงก็ถูกกระแทกจากด้านบนปลิวลงสู่พื้นพสุธาเบื้องล่างด้วยความเร็วสูง
ที่แท้เมื่อสักครู่มังกรน้ำแข็งคิดกระแทกนกไฟด้วยกำลังทั้งหมดที่มี แต่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีตั้งรับ ด้วยศักดิ์ศรีของมังกรน้ำแข็งไหนเลยเข้าจู่โจม จึงเปลี่ยนแผนคิดอุบายให้นกไฟตั้งรับ แล้วจึงค่อยโจมตี เพื่อให้พ้นจากข้อครหาว่าทำร้ายผู้ไม่มีทางสู้
นกไฟรีบตีปีกอย่างไม่รอช้า ยกร่างของตนให้ทรงกลางอากาศตัวได้ด้วยระยะห่างจากพื้นดินเพียงไม่กี่เมตร หากช้าอีกเพียงนิดเดียวนกไฟคงต้องดับชีพลงไปแล้ว เป็นเหตุให้เหล่าทหารที่อยู่บริเวณนั้นประสบโชคร้าย ถูกลมพัดปลิวไปคนละทิศละทาง
วิหคเพลิงทะยานตัวขึ้นฟ้าหมายโจมตี เปลวไฟของวิหคเพลิงลุกโชติช่วงขึ้นเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความโกรธจัด
เปลวไฟลุกรอบตัวของนกไฟจนแทบมองไม่เห็น มังกรน้ำแข็งเตรียมตัวป้องกันทันที ทันทีที่นกไฟเข้าถึงระยะโจมตี มังกรน้ำแข็งก็เหวี่ยงหางเข้าฟาดแต่พลาดเป้า หางของมังกรยักษ์ถูกเพียงแค่เปลวไฟเท่านั้น ร่างของนกไฟที่แท้จริงปรากฏออกมาในระยะไม่ถึงเมตร
วิหคเทพลอกเลียนกลยุทธ์ของมังกรน้ำแข็ง เข้าจู่โจมด้วยวิธีเดียวกัน
กรงเล็บอันแข็งแกร่งทั้งสองข้างจับเข้าที่ลำตัวของมังกรน้ำแข็ง บินขึ้นสูงเกินที่สายตามนุษย์จะมองเห็นด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ จากนั้นวิหคเพลิงที่จับมังกรน้ำแข็งอยู่ก็ดิ่งพสุธาลงมาด้วยความเร็วไร้ขีดจำกัด
ความเร็วในการดิ่งเพิ่มสูงขึ้นๆเรื่อยจนสายแทบจะมองไม่ทัน มังกรน้ำแข็งดิ้นสุดแรงเกิดแต่ก็ไม่บังเกิดผล
ความเร็วในขณะนี้มีโอกาสตายทั้งคู่มากกว่าสังหารคู่ต่อสู้ได้ แต่ความเร็วก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเหลียวเห็นพื้นพสุธาในระยะสองร้อยเมตร ถึงกระนั้นความเร็วก็ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อยรังแต่จะทวีคูณเพิ่มมากขึ้น
จนกระทั่งพื้นดินอยู่ในระยะไม่ถึงร้อยเมตรนกไฟจึงเปลี่ยนท่าให้ร่างของมังกรน้ำแข็งมาอยู่ใต้ร่างของตน
นกไฟจะสังหารมังกรน้ำแข็งไปพร้อมๆกับตนไปเพื่ออะไร คำถามนี้ผุดขึ้นในใจตุ้งที่กำลังจ้องมองการเคลื่อนไหวครั้งนี้อยู่
จนกระทั่งร่างของสองสัตว์เทพเข้ากระทบพื้นดินกึ่งกลางการต่อสู้บังเกิดเสียงระเบิดเลื่อนลั่นขึ้น ปฐพีสะเทือนไปทั่ว ฝุ่นธุลีฟุ้งกระจายอยู่เต็มอากาศ ไม่มีใครคาดเดาได้ว่า ผลของศึกสองสัตว์เทพจะลงเอยอย่างไร
ความคิดเห็น