ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกทลายฟ้า สงครามมหาเวท

    ลำดับตอนที่ #2 : เปลวไฟสงคราม

    • อัปเดตล่าสุด 8 มี.ค. 51


                    หลังจากที่ตุ้งตามฟิลรอสเข้าไปในดินแดนอีกมิติ  ก็ตื่นขึ้นมาในห้องๆหนึ่ง  ที่ประดับประดาอย่างสวยงามราวกับวิมานของเหล่าเทพ  ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของหญิงรับใช้เรียกขึ้น

                    ท่านแม่ทัพเรียกไปพบที่ห้องโถงค่ะ 

    ตุ้งยันตัวขึ้นก็พบว่า  เครื่องแต่งกายใหม่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆเตียง  ตุ้งผลัดเสื้อผ้าเสร็จและเดินออกจากห้องก็ตกใจ  เมื่อพบว่าเพชร  นน  และโอ๊ต  ก็ถูกพามาด้วยเช่นกัน

                    อ้าว!!ตุ้ง  นายก็มาเหรอโอ๊ตกล่าวขึ้น

                    มากันได้ยังไงเนี่ยตุ้งถามทั้งสามคน

                    ก็เมื่อคืนนี้  นอนอยู่ดีๆก็มีผู้ชายมาปลุก  ขอให้มาช่วยก็เลยมา  นนตอบเมื่อพูดจบก็ปรากฏชายคนหนึ่งเดินออกมาในชุดสีขาว  ชายคนนั้นคือ ฟิลรอส  นั่นเอง

                    สวัสดีท่านทั้งสี่  พวกท่านคงจะรู้จักข้าแล้ว  หลับสบายดีหรือไม่ฟิลรอสกล่าว

                    นายนั่นเองตุ้งตอบออกมา

                    ท่านแม่ทัพให้มาเชิญพวกท่านไปที่ห้องโถงใหญ่เพื่อประชุมถึงแผนการรับมือกองทัพสเกิร์จ เชิญตามข้ามา

                    กล่าวจบก็เดินนำหน้าไป  ทั้งสี่ก็เดินตามอย่างว่าง่าย  ระหว่างทางผ่านห้องขนาดใหญ่มากมาย  สอบถามฟิลรอสก็พบว่า  นี่เป็นคฤหาสน์ของแม่ทัพใหญ่ ฟิวเรี่ยน  แม่ทัพซึ่งเป็นผู้นำแห่งกองกำลังเซนติเนล

                    ท่ามกลางห้องห้องโถงใหญ่  มีโต๊ะประชุมขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง  บุคคลสามคนที่นั่งล้อมรอบโต๊ะสีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด  เม็ดเหงื่อขนาดเล็กประดับประปรายอยู่เต็มใบหน้า

                    เห็นทีศึกครานี้เราคงต้องลำบากแน่ เมืองเอลฟิเรี่ยนของเราก็ไม่ทราบว่าจะต้านทานได้นานเท่าใด  โอกาสชนะของเราก็ริบหรี่เต็มทีแม่ทัพแห่งกองกำลังมนุษย์กล่าวขึ้น

                    แต่ข้ากลับคิดว่าเราต้องชนะแน่ ด้วยฝีมือทหารของเรา  บวกกับความได้เปรียบด้านสมรภูมิรบ  เราเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดอยู่แล้วเสียงอันทรงพลังของแม่ทัพ  ฟิวเรี่ยน  ดังขึ้น

                    แต่ทัพของมันมีมากมายเหลือเกิน แม้ทหารของเรามีฝีมือสูง แต่หากเทียบปริมาณแล้ว เรามีกองกำลังเพียงแค่หนึ่งในสิบของพวกมันเท่านั้น จะอย่างไรก็ยังยากแก่การเอาชนะการศึกอยู่ดี แม่ทัพแห่งกองกำลังออร์คอธิบาย

                    แม่ทัพ ฟิวเรี่ยน  กำลังจะค้านขึ้นก็พอดีเห็นกลุ่มของตุ้งเดินมาถึงก็ลุกขึ้นทักทาย

                    ขอต้อนรับท่านทั้งสี่พูดพลางผายมือออกไปที่เก้าอี้ว่างสี่ตัว

                    สวัสดีครับทุกๆท่านทั้งสี่กล่าวขึ้นโดยพร้อมเพรียง พร้อมกับเดินไปนั่งที่เก้าอี้

                    เอาล่ะ ประชุมต่อฟิวเรี่ยนกล่าว

                    จริงอยู่เรามีปริมาณทหารน้อยกว่าพวกมันมาก แต่ใช่ว่าต้องใช้กำลังเข้าประหัตถ์ประหารกัน  เราเพียงแค่ทำให้กองกำลังทหารของพวกมันค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆจนทำให้เหลือน้อยที่สุด  กว่าพวกมันจะทำลายเมืองเอลฟิเรี่ยนแห่งนี้และเข้าไปถึงปราการสุดท้ายของเรา  ก็คงเหลือกองกำลังเพียงเล็กน้อย  การต่อต้านก็จะง่ายขึ้นมาก  บวกกับฝีมือทหารที่ปกป้อง ทรีออฟเวิร์ลด์ ในป่าเฟลวู้ด ก็สูงกว่าฝีมือทหารพิเศษของเราหลายขั้นนัก  และยังมีนักรบที่ได้ฉายา เอิร์ธเชกเกอร์  อยู่ที่นั่น อีกอย่างเรายังมีสี่ผู้กล้าเหล่านี้ที่กุมชะตาความอยู่รอดของเราฟิวเรี่ยนพูดพลางชี้มือไปที่เก้าอี้ของเด็กหนุ่มสี่คน

                    เอิร์ธเชกเกอร์ เหรอ  เหมือนฉายาใน DotA เลยแฮะ  ตุ้งคิดในใจ

                    โอ้  พระผู้เป็นเจ้า  ชีวิตของเราฝากไว้ในมือเด็กอมมือสี่คนนี่น่ะเหรอแม่ทัพของออร์คกล่าวขึ้น

                    ธรอลเจ้ากล้าลบหลู่ผู้กล้าเหล่านี้เรอะฟิวเรี่ยนร้องขึ้นด้วยโทสะ

                    ข้าเห็นด้วยกับคำพูดของแม่ทัพธรอล  แม่ทัพมนุษย์กล่าว

                    โอ้ เคลธาส  เจ้าก็ไม่เชื่อใจในฝีมือของผู้กล้าเหล่านี้หรือฟิวเรี่ยนพูดออกมาอย่างหดหู่

                    ท่านแม่ทัพทั้งสามโปรดไว้วางใจเถิด ฝีมือของพวกขาพวกท่านก็ได้เห็นประจักษ์แก่ตามาแล้ว ฟิลรอสกล่าวแทรกขึ้นมา

                    เด็กกลุ่มนั้นถึงกับตกใจในคำพูดของฟิลรอส  พวกเขานอกจากไม่เคยหยิบจับอาวุธ  ยังไม่เคยเห็นหน้าบุคคลเหล่านี้  ไฉนจึงบอกว่าได้ประจักษ์ฝีมือแก่สายตามาแล้ว

                    หากเจ้าหมายถึงภาพของพวกเขาที่ผ่านทางกระจกมนตราของเจ้าน่ะ  เจ้าคิดผิดแล้วล่ะ  สิ่งที่เราเห็นน่ะมันเป็นเพียงแค่ของเล่นของเด็กพวกนี้  ไม่ใช่ชีวิตของพวกเขา  แล้วจะนำมาตัดสินฝีมือได้อย่างไรกันธรอลกล่าวอย่างฉุนเฉียว

                    นี่คงจะหมายถึงเกมDotAที่เราเล่นกันตุ้งคิดในใจตลอดเวลาที่นั่งเงียบอยู่

                    แต่นั่นจะทำให้พวกเขา  กลายเป็นขุนศึกของกองทัพเราฟิลรอสโต้ขึ้น

                    พวกเขาไม่รู้จักการต่อสู้  ไม่รู้จักสงคราม  ไม่รู้จักการเข่นฆ่า  เป็นเด็กตัวน้อยๆสี่คน  ที่วันๆเอาแต่เล่นกล่องฉายภาพนั่นที่พวกเขาเรียกว่า เกมเคลธาสกล่าวออกมาอย่างเกรี้ยวกราด

                    นั่งฟังถึงตอนนี้ทั้งสี่ก็รู้สึกอับอายอย่างมาก  เพราะถ้อยคำที่ด่าทอมาล้วนเป็นความจริง

                    แต่ว่า.... 

                    พอเถอะฟิลรอส  วันนี้เลิกประชุมแค่นี้ฟิวเรี่ยนกล่าวตัดบทฟิลรอสไป

                    คนทั้งแปดลุกขึ้นโค้งคำนับแก่กัน  แล้วเดินออกจากห้องไป  ฟิลรอสเดินนำทางเด็กหนุ่มทั้งสี่ไปที่ห้องใหม่  ฟิวเรี่ยนเห็นว่าทั้งสี่เป็นเพื่อนกัน  วันนี้เด็กทั้งสี่จึงถูกจัดที่พักให้นอนในห้องเดียวกัน

                    วันนี้นอนห้องเดียวกันเหรอเพชรถาม

                    ท่านแม่ทัพมีคำสั่งให้ย้ายมาที่ห้องนี้ พักผ่อนให้สบายเถอะฟิลรอสพูดจบก็เดินออกจากห้องไป  ทิ้งเด็กทั้งสี่ไว้ในห้อง

                    พวกนั้นรู้เรื่องของพวกเราได้ไง โอ๊ตถามออกมา

                    ฉันว่าพวกนั้นต้องมีเวทมนต์แน่ๆ ถึงสามารถรู้เรื่องราวของเราได้ละเอียดขนาดนั้น  ตุ้งพูดออกมา

                    ก็อาจเป็นไปได้นะ  ไม่ได้ยินที่ว่าเขามองเราผ่านกระจกมนตราหรือไง  พวกนั้นต้องมีเวทมนต์แน่นอน นนพูดออกมาบ้าง  ตุ้งเปรยออกมาบ้างว่า

    แค่พวกเราเล่นDotA  ทำไมถึงพูดว่าเรามีฝีมือสูงส่งขนาดนั้น  นั่นมันแค่เกม  ไม่ใช่ชีวิตจริงซะหน่อย  เฮ้อ  ตอนนี้ชักจะคิดถึงบ้านขึ้นมาบ้างแล้วแฮะ  แม่ฉันจะเป็นไงบ้างนะ  ไม่มีเสียงใครตอบ  ทุกคนล้วนเริ่มคิดถึงบ้าน

                    แล้วคืนที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเด็กหนุ่มทั้งสี่ก็ผ่านพ้นไป  ทั้งสี่คนนอนหลับสบายจนกระทั่งเช้า  ก็มีเสียงของฟิลรอสปลุกขึ้น 

                    ท่านแม่ทัพเรียกประชุมแล้วล่ะ  รีบเตรียมตัวไปกันเถอะ

                    ทั้งสี่อาบน้ำผลัดผ้าเสร็จก็พากันไปที่ห้องโถงใหญ่  แต่วันนี้การประชุมหารือการรับมือสเกิร์จสิ้นสุดลงแล้ว

                    ท่านผู้กล้าทั้งสี่  ที่ประชุมได้หารือกันแล้วว่าจะให้พวกท่าน  แยกกันไปทำภารกิจกันคนละภารกิจ  นน ไปตะวันตก  เข้าสู่ดินแดนของเมืองฮาห์น  ขอความช่วยเหลือจากกลุ่ม เซเฟียเรี่ยน  โอ๊ตกับเพชรอยู่ที่นี่  รับบททดสอบจากพวกเรา  และสุดท้าย  ตุ้งไปกับฟิลรอส  ประจำการที่ชายแดนของดินแดนนอร์ธเทรนด์ ด่านหน้าทางทิศเหนือของเรา  เตรียมตัวรับมือกับกองทัพอันเดดที่จะมาโจมตีฟิวเรี่ยนกล่าวรวดเดียวจบ

                    แต่เมืองนอร์ธเทรนด์หนาวเกินไป  ข้าคิดว่าตุ้งคง...

                    รับทราบภารกิจ!!!” ฟิวเรี่ยนตัดบท

                    รับทราบ!!” ทั้งห้าขานรับพร้อมกัน

                    การประชุมสิ้นสุดเท่านี้ฟิวเรี่ยนพูดขึ้น  หลังจากที่แม่ทัพทั้งหมดออกจากห้องไป  ฟิวเรี่ยนก็ต้องทรุดลงกับเก้าอี้  มือซ้ายกุมศีรษะ

                    ลำบากพวกท่านแล้วนะ  มันเป็นทางเดียวที่พวกท่านจะไม่ถูกต่อต้านจากแม่ทัพของเราฟิวเรี่ยนพูดกับตัวเองเบาๆ

    ยามวิกาลของคืนนั้น  ทุกคนล้วนไม่เป็นอันหลับนอน  ที่น่าเป็นห่วงเห็นจะเป็นนน  เพราะต้องเดินทางไปกับทหารเซนติเนล  เพื่อขอความช่วยเหลือจากบุคคลที่ไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อ  ทั้งสี่คนจึงตกลงกันเดินไปหาฟิลรอสถึงที่ห้อง

                    พวกท่านมาหาข้ามีเรื่องอันใดฟิลรอสถาม

                    เรามีเรื่องอยากให้ช่วยนนตอบเสียงเรียบ

                    เชิญว่ามาฟิลรอสพูดโดยยังไม่หันกลับไปมอง

                    ช่วยเล่าเรื่องของเซเฟียเรี่ยนให้ฟังหน่อยสินนพูด  ตอนนี้  ฟิลรอสถึงกับหยุดและหันมามองนน

                    พรุ่งนี้ฉันต้องไปที่เผ่านั่น  ขอถามรายละเอียดหน่อย

    ฟิลรอสทำหน้าหมองๆก่อนสีหน้าจะกลับมาดังเดิม

                    เซเฟียเรี่ยน คือเผ่าพันธุ์ลึกลับที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงความเป็นอยู่  มีร่างกายคล้ายมนุษย์  แต่มีรูปร่างเตี้ยเล็กกว่า  บางครั้งมันดี  บางทีมันร้าย  เป็นเผ่าพันธุ์ที่อันตรายทีเดียวสำหรับพวกเรา  ด้วยความเร็วประดุจสายลมของพวกมัน  ต่อให้เราขวางทั้งกองทัพ  ก็สามารถแหวกออกไปได้ราวกับสายน้ำ  จึงได้รับการตั้งชื่อเผ่าว่า เซเฟียร์ ที่แปลว่า สายลมอ่อนๆ  แต่ถึงอย่างนั้นที่ข้ามีชีวิตมามองดูท่านในวันนี้ก็เพราะพวกเซเฟียเรี่ยนนี่แหละ 

    ตอนนั้นข้าถูกส่งไปประจำการที่เมืองลอร์แดรอนเพื่อต่อต้านพวกสเกิร์จแต่ถูกมันตีแตกอย่างง่ายดาย  มีเพียงข้าที่หนีออกมาได้  แต่ก็มิวายถูกพวกมันตามล่าเจ็ดเดือนเต็มๆ  ข้าหนีมาผ่านเมืองฮาห์นและกำลังจะเข้าสู่เขตแดนของเอลฟิเรี่ยน  แต่ก็ถูกจู่โจมจากอสูรกายอันเดดพวกนั้นจนกระแทกต้นไม้ใหญ่หักโค่นลง  หากข้าไม่มีเวทมนต์ก็คงจะตายไปแล้ว  แต่ถึงจะรอดชีวิตจากการโจมตีครั้งนั้น  ก็ยังไม่ปลอดภัย  เพราะพวกปิศาจเหล่านั้นยืนห้อมล้อมอยู่

    ข้าในตอนนั้นปราศจากความหวัง  ได้แต่หลับตารับความตายที่ค่อยๆคลืบคลานเข้าใกล้  และแล้วพวกมันก็โจมตีเข้ามา  ข้าสัมผัสได้จากพลังอันชั่วร้ายที่เข้าใกล้  แต่ก็เกิดมีแสงสว่างจ้า  พวกอันเดดกรีดร้องออกมาด้วยความทรมาน  แล้วพวกมันก็หายไปพร้อมกับแสงนั้น  เหลือไว้แต่เพียงร่างอันไร้เรี่ยวแรงของข้า 

    เมื่อข้าลืมตาขึ้น  ก็พบกับชายเฒ่ารูปร่างเตี้ยคนหนึ่ง  ผมยาวประบ่าหนวดครารุงรัง  แต่ก็ดูองอาจไม่น้อย  ในมือมีคฑาไม้แกะสลักด้วยลวดลายแปลกตา  แล้วคฑานั้นก็หายไปกลายเป็นหมอกควัน  ชายคนนั้นแบกร่างของข้าขึ้น  แล้วข้าก็หมดสติไปด้วยความอ่อนแรง  ข้าตื่นขึ้นมาก็พบว่านอนสลบอยู่ที่เอลฟิเรี่ยน  เมื่อสอบถามทหารก็ทราบว่าพบข้าที่หน้าประตูเมือง  ไม่ทราบว่ามาได้อย่างไร  ข้าอยากจะขอบคุณเซเฟียเรี่ยนคนนั้นมาก  แต่จนกระทั่งตอนนี้  ข้าก็ยังไม่ทราบว่าชายคนนั้นมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร  มันเป็นเรื่องที่อัดอั้นตันตึงในใจข้ามาตลอด  และวันนี้ข้าก็ได้บอกเล่าแก่พวกท่านแล้วเมื่อพูดจบฟิลรอสก็ยิ้มออกมา

                    ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำนนพูดและเดินออกจากห้องไป

    รุ่งเช้า  ทั้งสี่ตื่นขึ้นมาด้วยจิตใจกระวนกระวายและตื่นเต้น  ทำไมต้องเป็นเราด้วยวะ  คือสิ่งที่ทุกคนคิดในใจ  หลังจากแต่งตัวเสร็จก็ออกไปที่หน้าคฤหาสน์โดยมีฟิลรอสเดินนำอย่างเคย  วันนี้มีทหารยืนรออยู่เต็มไปหมด

                    วันนี้เราคงต้องแยกกันแล้วนะฟิลรอสกล่าว

                    เราจะได้กลับมาเจอกันอีกใช่มั๊ยโอ๊ตถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดีนัก

                    เราจะได้กลับมาเจอกันอีกแน่นอน  ข้าสาบานฟิลรอสพูดหนักแน่น

                    เมื่อร่ำลากันเสร็จ  ตุ้งและนนก็เตรียมตัวเริ่มออกเดินทาง  ทิ้งให้เพชรและโอ๊ตอยู่รับชะตากรรมที่ไม่อาจคาดเดาอยู่กับแม่ทัพทั้งสาม

    ขบวนของนนมีทหารเผ่ามนุษย์ติดตามอยู่หนึ่งร้อยห้าสิบนาย  แต่ขบวนของฟิลรอสกับตุ้งนั้นเดินทางไปพร้อมกับกองหนุนของกองทัพเผ่ามนุษย์หนึ่งพันนาย  ตุ้งยืนมองดูนนเดินทางจากไปไกลจนลับตาอย่างเหม่อลอย

                    เราไปกันเถอะฟิลรอสเรียก

    ขบวนกองหนุนเดินทางขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ  ตุ้งนั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกับฟิลรอส   ระหว่างทางตุ้งก็ถามถึงเรื่องราวของดินแดนนอร์ธเทรนด์

                    เมืองนอร์ธเทรนด์เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก  ทุกฝีก้าวเต็มไปด้วยความเย็นจัด  มองไปรอบด้านก็มีแต่หิมะ  เป็นเมืองที่ไม่มีผู้ใดสัญจร  จนกระทั่งเจ้าชายอาร์ธาส  เจ้าชายแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์  ได้เดินทางตามสังหารปิศาจร้ายเกนิสที่นำทัพอันเดดอยู่ไปจนถึงใจกลางดินแดนนอร์ธเทรนด์    ด้วยพลังแห่งอาร์ธาสไม่สามารถเอาชนะเกนิสได้  จึงขอหยิบยืมพลังจากดาบฟรอสต์มอร์ สุดยอดศาสตราวุธที่ชั่วร้ายที่สุด  มันเป็นดาบของราชาปิศาจลิชคิงที่ถูกผนึกไว้ในน้ำแข็งแห่งดินแดนนอร์ธเทรนด์ ตอนที่อาร์ธาส  ทำลายน้ำแข็งที่ครอบดาบอยู่นั้น  วิญญาณของมูราดินผู้เป็นสหายของเขาก็แตกดับไปด้วย   อาร์ธาสในตอนนั้นไร้ซึ่งความรู้สึกนึกคิด  สิ่งเดียวที่รู้คือ  สังหารเกนิสให้ได้  อาร์ธาสใช้ดาบฟรอสต์มอร์ ปลิดชีพเกนิส  แต่สุดท้ายอาร์ธาสก็ถูกดาบครอบงำจนถึงกับฆ่าพระราชาแห่งลอร์แดรอนบิดาบังเกิดเกล้าของตน  จากนั้นก็เข้าร่วมในฝ่ายสเกิร์จ  และเป็นแม่ทัพใหญ่ของสเกิร์จ  และในตอนนี้เขายังหลอมรวมพลังกับลิชคิงกลายเป็นราชาปิศาจคนใหม่  ฟิลรอสตอบอย่างคล่องแคล่ว

                    นายเอาแต่เล่าเรื่องของคนอื่น  ไม่ยอมบอกเรื่องของตัวเองเลย

                    ได้  ข้าชื่อ ฟิลรอส  เป็นจอมเวทแห่งเซนติเนล  ถนัดการใช้สายฟ้าเป็นที่สุด 

    ฟิลรอสตอบกลับไป  พร้อมกับชี้มือออกไปที่ต้นไม้ที่ตั้งอยู่ขวามือของขบวน  พลันบังเกิดอัสนีหนึ่งสายพุ่งตรงลงมาดัง เปรี้ยง  ต้นไม้ต้นนั้นระเบิดออกจากกันจนไม่เหลือชิ้นดี  ตุ้งได้เห็นถึงกับตาค้าง  เพราะในชีวิตไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นว่าเวทมนต์มีอยู่จริง  ทหารที่เห็นสายฟ้าฟาดลงที่ต้นไม้ก็ร้องเฮกันยกใหญ่

                    ท่านฟิลรอส  ท่านฟิลรอสเหล่าทหารร้องออกมาอย่างคึกคัก  ฟิลรอสก็ยิ้มออกมา 

    เย็นของวันที่สาม  ขบวนของกองหนุนเดินทางมาไกลมากแล้ว  เหลืออีกเพียงสองถึงสามวันก็จะเข้าสู่ชายแดนนอร์ธเทรนด์

    หลังจากที่ทหารเข้าพักผ่อนกันหมด  เหลืออยู่เพียงเวรยามเฝ้าสองสามนาย  ฟิลรอสและตุ้งยังคงนั่งอยู่ข้างกองไฟ

                    ชีวิตของผู้ใช้เวทเป็นยังไงเหรอตุ้งถามออกมาท่ามกลางความเงียบสงัด

                    อีกไม่นานท่านก็จะรู้เองฟิลรอสกล่าวตอบ  ตุ้งกำลังจะค้านขึ้นมา  ก็บังเอิญมีเสียงหวีดร้องอันน่าขนลุกดังขึ้น  ฟิลรอสลุกขึ้นยืนทันที  เสียงนี้เป็นเสียงที่ฟิลรอสยังจดจำได้ไม่มีวันเลือน

                    เป็นไปไม่ได้  นี่มันเสียงของอันเดด ฟิลรอสกล่าวด้วยความตกใจ

    ตุ้งได้ยินก็ใจหาย  ยังไม่ทันจะไปถึงนอร์ธเทรนด์  ข้าศึกก็ทะลวงด่านเสียแล้ว

                    พวกเราเสียทีมันแล้วหรือเนี่ยฟิลรอสพูดเบาๆ

    ไม่นานก็ปรากฏกองทัพปิศาจที่มีทั้งอสูรกายเดินดิน  และที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้า  ในกองทัพเต็มไปด้วยเสียงหวีดร้องของปิศาจนับร้อยตัว

                    พวกมันมากันเพียงเล็กน้อย  แสดงว่าวางกำลังทั้งหมดไว้ที่นอร์ธเทรนด์ฟิลรอสคิดในใจพร้อมหันกายไปออกคำสั่งแก่ทหารนายหนึ่ง

                    ส่งม้าเร็วไปที่เมืองเอลฟิเรี่ยน รายงานท่านฟิวเรี่ยนโดยเร่งด่วนที่สุด  ทหารนายนั้นพยักหน้าแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

    ด้วยกำลังของทหารกองหนุนเพียงหนึ่งพันคน  ยังมีความลำบากมากในการรับมือกับอันเดดเพียงเท่าหนึ่งร้อย  ฟิลรอสสะบัดมือลงพื้น  ทหารทุกคนที่นอนอยู่ในเต็นท์ก็วิ่งออกมาพร้อมกับกับอาวุธครบมือทุกนาย  ความจริงแล้วเหล่าทหารรู้สึกตัวตั้งแต่ได้ยินเสียง  แต่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่  จนกระทั่งฟิลรอสใช้เวทมนต์เรียกรวมทัพจึงวิ่งออกมา  พร้อมกับจัดแถวอย่างเป็นระเบียบ  กองทัพอันเดดหยุดการเคลื่อนไหว  ทั้งสองทัพอยู่ห่างราวหนึ่งกิโลเมตร  สองกองทัพยืนประจันหน้ากัน  รอให้สัญญาณจากฟิลรอสดังขึ้น

                    ลุยมัน!!!” ฟิลรอสลากเสียงยาวตะโกนขึ้น

    เมื่อสัญญาณดังขึ้น เหล่าทหารก็วิ่งออกสู่สนามรบอันไม่มีใครหยั่งรู้ผลแพ้ชนะ  เหล่าอันเดดก็วิ่งเข้าใส่เช่นกัน

    ตุ้งทำอะไรไม่ถูก  ได้แต่ยืนอยู่ที่เต็นท์ของทหาร  ทหารกองหนุนเมื่อเข้าไปถึงก็ฟาดฟันกับปิศาจล้มตายไป  ทั้งด้านพละกำลัง  และความโหดร้ายนั้น  ฝ่ายมนุษย์ยังเป็นรองอยู่มาก  บ้างก็ถูกอันเดดใช้มือทะลวงช่วงท้องจนทะลุไปอีกข้าง  บ้างก็ถูกตัดคอ  กลิ่นคาวเลือดกระจายฟุ้งไปทั่ว  ตุ้งทนดูไม่ไหวจนถึงกับเบือนหน้าหนี  แต่ก็อดลุ้นแทนไม่ได้จึงต้องหันกลับมาดู  เมื่อคิดถึงความปลอดภัย ตุ้งก็คิดถึงจอมเวทฟิลรอสขึ้นมาทันที

                    ฟิลรอสหายไปไหน ตุ้งคิดพร้อมกับหันซ้ายหันขวามองหาอย่างกระวนกระวาย

    ทันใดนั้นก็บังเกิดเสียงฟ้าผ่าอย่างรุนแรงขึ้น  สายฟ้าวิ่งจากขอบนภาด้วยความเร็ว  ลงสู่ใจกลางกองทัพอันเดด  ปิศาจหลายตนถูกแรงระเบิดก็ปลิวไปหลายสิบวาได้รับบาดเจ็บสาหัส  กำลังทหารของ     อันเดด ลดลงกว่าครึ่ง

    จากนั้นก็บังเกิดเสียงฟ้าผ่าอีกหลายสิบครั้งต่อกัน  สายฟ้านับสิบสายวิ่งลงสู่พื้นพสุธาบังเกิดระเบิดตูมขึ้น  ครั้งนี้เหล่าอันเดดตายไปเกือบหมด  ส่วนที่เหลือก็ล้มลงด้วยแรงระเบิด  เหล่าทหารต่างวิ่งเข้าไปปลิดชีพอันเดดที่เหลือ  เลือดสีเขียวไหลนองพื้นไปทั่ว  ทั้งศพคนศพปิศาจกองระเนระนาดเต็มไปหมด  ขณะกำลังจะออกคำสั่งให้กลับเมืองก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด  เมื่ออันเดดอีกหลายพันตนกำลังมุ่งหน้ามาทางทหารกองหนุน

    ทหารทุกนายตั้งท่าเตรียมพร้อมแล้วเข้าฟาดฟันปิศาจเหล่านั้นอย่างคล่องแคล่ว  แสดงให้เห็นถึงฝีมือทหารของเซนติเนล 

    ปิศาจอันเดดจำนวนไม่น้อยล้มกลิ้งไปตามพื้นโดยปราศจากชีวิต  แต่ก็มีมนุษย์ไม่น้อยเช่นกันที่ชีวันดับลงภายใต้เงื้อมมือปิศาจ  ฟิลรอสก็ยังคงยืนร่ายเวทมนต์เรียกฟ้าผ่าลงมาช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา

    การต่อสู้ครั้งนี้ฝ่ายฟิลรอสเสียเปรียบอย่างมาก  เพราะทหารกองหนุนมีแต่ทหารเผ่าพันธุ์มนุษย์  ทำให้ไม่มีความหลากหลายในด้านฝีมือการรบ  ไม่นานทหารกองกำลังเสริมทั้งหมดก็ดับชีวิตลงด้วยความทุกข์ทนทรมานสาหัส  เมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มย่ำแย่ จึงเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา

                    ตุ้ง ขึ้นม้าเร็วฟิลรอสตวาดก้องพร้อมกับใช้เวทมนต์บังคับม้าให้วิ่งไปหาตุ้ง  จากนั้นลอยตัวสูงขึ้นจากพื้นดินราวๆห้าเมตร

                    ร่างจอมเวทชาวเอลฟ์ที่ลอยเหินหาวอยู่กลางอากาศช่างดูน่าเกรงขามราวกับเทพผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ดั่งพระโพธิสัตว์ลงมาโปรดเหล่ามนุษย์ผู้ทุกข์ทรมาน  ตุ้งขึ้นม้าโดยเร็วและร้องตะโกนขึ้น

                    ตามมาสิฟิลรอส  ตามมา!!!”

    แต่ร่างของฟิลรอสยังลอยอยู่ที่เดิม  จนกระทั่งเหล่าอันเดดมาถึง  ตุ้งและม้าวิ่งไปไกลแล้ว แต่ก็ยังสามารถมองเห็นฟิลรอสอยู่  จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องลั่นของฟิลรอสอัสนีทลายภพดังขึ้น

    ทันใดนั้นเกิดมีปรากฏการณ์ท้องฟ้ามืดครึ้มกะทันหัน  สายฟ้าสีเหลืองทองเรืองรองเปล่งประกายพร้อมๆกับเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่น  เส้นสายฟ้าจำนวนมากมายพุ่งจากขอบฟ้ามุ่งลงสู่ผืนพสุธาแดนดินบังเกิดระเบิดขนาดใหญ่ต่อกันจนหูแทบฉีก

    สายฟ้าครั้งนี้รุนแรงกว่าทุกๆครั้งที่ตุ้งเคยเห็น  ทันใดนั้นร่างของฟิลรอสก็แตกสลายกลายเป็นจุลไปพร้อมกับสายฟ้าที่พุ่งออกมา  อันเดดทั้งหมดถูกปลิดชีพด้วยเวทมนต์ก้นหีบของฟิลรอส

    เมื่อฝุ่นควันที่ฟุ้งกระจายจางหายไปก็ปรากฏภาพที่น่าสลดใจ  ศพทั้งหลายกองระเนระนาดอยู่เต็มพื้นดิน  ปฐพีที่กว้างใหญ่ถูกชโลมไปด้วยเลือดสีเขียวปนกับเลือดสีแดง 

                    ไม่...ไม่!!!!” ตุ้งร้องออกมาทั้งน้ำตาเมื่อเห็นฟิลรอสตายไปต่อหน้า  สิ่งเดียวที่ตุ้งคิดในยามนั้นคือ  ไม่มีฟิลรอสอีกต่อไปแล้ว  ภาพทั้งหลายตั้งแต่ตอนที่ตุ้งตื่นมาพบฟิลรอส  จนกระทั่งร่างของเขาแหลกสลายไปกับตาปรากฏขึ้นมาในมโนจิต  แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ  แต่มันก็ทำให้ตุ้งผูกพันกับฟิลรอสมากทีเดียว  แต่ในตอนนี้และอีกต่อไป  จะไม่มีฟิลรอสอีกแล้ว  ตุ้งนั่งอยู่บนม้าที่วิ่งไม่หยุด  ม้าตัวนั้นยังคงควบฝีเท้าไปเรื่อยๆโดยไม่รู้เลยว่า  เจ้าของของมันได้ตายไปแล้ว

                    ตุ้งนั่งอยู่บนหลังม้าที่วิ่งด้วยความเร็วสูงเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ  ช่วงเวลาที่ผ่านมาเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น  ในใจยังคงมีแต่ภาพที่ร่างของฟิลรอสแหลกสลายไป เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ตุ้งคิดถึงบ้านขึ้นมาจนแทบจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

    หลังจากเดินทางอยู่นานในที่สุดก็เข้าสู่เขตของเมืองเอลฟิเรี่ยน  ตุ้งพบว่าได้มีการวางกำลังรักษาประตูเมืองทางทิศเหนืออย่างหนาแน่น  เพื่อป้องกันกองทัพอันเดดที่ไม่ทราบว่าจะเข้าโจมตีเมื่อใด

    ตุ้งผ่านประตูเมืองและตรงเข้าไปยังคฤหาสน์ของฟิวเรี่ยนอย่างรวดเร็ว  ผ่านสนามหญ้าขนาดใหญ่  ไม่นานก็ถึงหน้าประตูคฤหาสน์ของฟิวเรี่ยน  ม้าตัวนั้นหยุดและหมอบต่ำให้ตุ้งลงโดยไม่มีใครสั่ง  ฟิวเรี่ยนผลักประตูบานใหญ่ออกมาและตรงไปยังตุ้งอย่างรวดเร็ว

                    ไม่ต้องบอกหรอก  ม้าเร็วได้มารายงานต่อข้าแล้ว  ว่าแต่ฟิลรอสเล่า  เขาหายไปไหน  ทำไมไม่มากับท่านฟิวเรี่ยนถามด้วยใจสงสัย

                    ฟิลรอส ฟิลรอสเขา... ตุ้งพูดอย่างตะกุกตะกัก  จากนั้นก้มหน้าลงแล้วพูดอย่างแผ่วเบาว่า

                    ฟิลรอสตายแล้ว

                    ประโยคนี้คล้ายสายฟ้าพุ่งผ่าลงมากลางศีรษะของฟิวเรี่ยนจนแทบจะหมดแรงล้มลง

                    ฟิลรอสยังหนุ่มยังแน่น  ทำไมถึงได้อายุสั้นนัก  พระผู้เป็นเจ้าช่างไม่เห็นใจกองทัพเซนติเนลของเราบ้างเลยฟิวเรี่ยนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหดหู่

                    เข้าไปด้านในเถอะ  เพื่อนของท่านกำลังรออยู่ ฟิวเรี่ยนพูดพร้อมกับดึงแขนของตุ้งเข้าไปในคฤหาสน์  พร้อมกับสั่งหญิงรับใช้ให้ไปส่งตุ้งที่ห้อง

                    เอ้าตุ้ง  นายกลับมาแล้วเหรอเพชรทักขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

                    แล้วฟิลรอสล่ะ  ไปไหนซะแล้วโอ๊ตถามขึ้นมา

                    ฟิลรอสตายแล้ว  โอ๊ตตุ้งตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด

    ตั้งแต่ตุ้งตอบประโยคนั้นมา  ทุกคนก็นั่งก้มหน้าเงียบ  ไม่มีรอยยิ้มสักคนเดียว

                    อาบน้ำแล้วรีบไปนอนซะไปนนพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ  พร้อมกับลุกขึ้นเดินไปที่เตียงของตน  แล้วเอนกายลงนอน  เพชรกับโอ๊ตก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน  ตุ้งนั่งนิ่งอยู่นานก็ลุกขึ้นยืน  เดินไปทำธุระส่วนตัวจากนั้นก็เข้านอน

                    อัสนีทลายภพ!!!”

                    ฟิลรอส!!!” ตุ้งตะโกนลั่น  สะดุ้งตื่นขึ้นมา  ในหัวของเขายังคงมีเสียงเหล่านั้นวนเวียนอยู่เรื่อยไป 

    ตุ้งลืมตาขึ้นพบว่าเพื่อนทั้งสามแต่งตัวในชุดใหม่เพื่อเตรียมการรับฟังแผนการรับมืออันเดดในที่ประชุม  ตุ้งอาบน้ำผลัดผ้าเสร็จก็ตามออกไปหน้าห้อง

                    เมื่อทั้งสี่มาครบจึงค่อยเริ่มเดินไปที่ห้องโถง  ทั้งสี่นั่งลงบนเก้าอี้ไม้แกะสลักที่ว่างอยู่  วันนี้มีคนมาเพิ่มในที่ประชุมหนึ่งคน

                    สวัสดีทุกๆท่าน  เมื่อมากันครบแล้วก็ขอเปิดการประชุม ณ บัดนี้  อ้อ!! เกือบลืมไป  นี่คือท่าน ซิลช์  ผู้นำชนเผ่าเซเฟียเรี่ยน แห่งเมืองฮาห์น   ฟิวเรี่ยนพูดพลางผายมือออกไปยังชายแก่ร่างเล็กที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงข้ามกับตุ้ง

                    นี่น่ะเหรอ  ชาวเซเฟียเรี่ยนที่ว่องไวดุจสายลม ตุ้งคิดในใจ

                    จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นวานนี้  ทำให้เราทราบว่ากองกำลังที่ชายแดน นอร์ธเทรนด์  ถูกอันเดดทำลายสูญสิ้นไปแล้ว  พวกมันจะต้องเข้าโจมตีเราทางทิศเหนืออย่างแน่นอนฟิวเรี่ยนกล่าวอย่างคล่องแคล่ว

                    นี่มีคนอยู่ด้านนอกบ้างหรือไม่ฟิวเรี่ยนร้องเรียกคนรับใช้

                    อยู่นี่ค่ะ ไม่ทราบมีอะไรให้รับใช้ หญิงรับใช้รีบวิ่งมานั่งลงรับคำสั่งใกล้ๆฟิวเรี่ยน  ฟิวเรี่ยน กระซิบข้างหูหญิงรับใช้แล้วกลับสู่ท่านั่งเดิม  หญิงรับใช้ลุกขึ้นกล่าว

                    ท่านทั้งสี่  เชิญตามข้ามาพูดพลางเดินนำทางไปยังห้องใต้ดินห้องหนึ่งของคฤหาสน์

                    นี่เป็นห้องที่สร้างสำหรับท่านฟิลรอสโดยเฉพาะ ห้องใต้ดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของท่านฟิลรอสแต่เพียงผู้เดียว  บัดนี้ท่านฟิลรอสจากไปแล้ว  ท่านฟิวเรี่ยนจึงให้ข้าพาพวกท่านมาหญิงรับใช้กล่าว

                    นี่  ท่านช่วยเล่าเรื่องราวของที่นี่ให้ฟังหน่อยสิตุ้งพูดขึ้นมาหลังจากที่เงียบอยู่เป็นเวลานาน

                    เมืองแห่งนี้เดิมทีมีชื่อว่า คาลิมดอร์ เป็นเมืองของไนท์ เอลฟ์โดยสมบูรณ์  มีอาณาเขตไปทั่วบริเวณรวมทั้งป่าเฟลวู้ดด้วย ประชาชนทั้งหมดอยู่อย่างสงบสุข  ไร้ซึ่งการต่อสู้และสงคราม  จนกระทั่งเกิดเผ่าพันธุ์ขึ้นมาใหม่ที่ชื่อว่า อันเดด  สงครามครั้งใหญ่ระหว่างมนุษย์และอันเดดก็เริ่มขึ้นโดยใช้ชื่อสงครามว่า เบิร์นนิ่ง ลีเจียน

    มนุษย์ทราบว่าไม่สามารถเอาชนะในสงครามได้  จึงขอกำลังจากออร์คมาช่วยในสงคราม  พวกเราเผ่าไนท์ เอลฟ์ก็เข้าร่วมกับฝ่ายมนุษย์ในสงครามครั้งนั้น  จนในที่สุดก็สามารถเอาชนะอันเดดได้  และต่อมาก็เปลี่ยนชื่อเมืองจากคาลิมดอร์ ไปเป็นเอลฟิเรี่ยน

    นับจากเวลานั้นมาอีกร้อยปีเหล่าอันเดดก็กลับมาอีกครั้ง  แต่คราวนี้มาเป็นกองทัพใหญ่กว่าคราครั้งนั้นหลายร้อยเท่า  ใช้ชื่อกองทัพว่า สเกิร์จ  สามเผ่าพันธุ์จึงร่วมมือกันต่อต้านอันเดดอีกครั้งภายใต้ชื่อ เซนติเนล  โดยมีสามแม่ทัพใหญ่ของเผ่าพันธุ์ต่างๆ ประกอบไปด้วย ท่านเคลธาส ที่ได้รับสมญานามว่า ผู้วิเศษเพลิงโลหิต แห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์  ท่านธรอล ที่ได้รับฉายาผู้พยากรณ์อนาคต แห่งเผ่าพันธุ์ออร์ค  และท่านฟิวเรี่ยน  ที่ได้รับสมยานาม ผู้คุมไพรวัณฑ์แห่งเผ่าพันธุ์ไนท์ เอลฟ์

    ในแม่ทัพสามท่านนี้  ท่านฟิวเรี่ยนอาวุโสที่สุด  จึงถูกยกให้เป็นแม่ทัพสูงสุดของ เซนติเนล  และในกองทัพเซนติเนลนี้  จะมีจอมเวทที่เป็นผู้นำทัพสี่คนคือ ท่านซาเลส  จอมเวทเพลิงไฟ  ท่านเฮเลน  จอมเวทหมื่นบุปผา  ท่านนาฮู  จอมเวทอัญเชิญ  และท่านฟิลรอส  จอมเวทอัสนีบาต โดยจอมเวททั้งสี่นี้มีอำนาจเป็นรองเพียงแค่สามแม่ทัพใหญ่เท่านั้น  เรื่องฝีมือคงไม่ต้องกล่าวถึงหญิงรับใช้พูดอย่างกระฉับกระเฉงราวกับท่องตำรา  ตุ้งได้ฟังถึงกับเงียบไม่พูดอะไร

                    ระดับฟิลรอส  ต้องมาตายเพราะปกป้องฉันเหรอเนี่ยตุ้งคิดอย่างฟุ้งซ่าน

                    เชิญตามสบาย

    ทั้งสี่แยกย้ายกันออกสำรวจห้องใต้ดินนี้  ห้องนี้กว้างขวางมาก  ภายในเต็มไปด้วยตำราวิชาเวทมนต์  ตุ้งเดินไปพบกับโต๊ะขนาดเล็ก  มีจดหมายวางอยู่

                    พวกเรา  มาทางนี้หน่อยตุ้งตะโกนเรียกเพื่อน  เมื่อเพื่อนๆเดินมาถึงก็ยื่นจดหมายให้  จดหมายเขียนไว้ด้านหน้าว่า ถึงท่านผู้กล้าทั้งสี่

                    เปิดอ่านดูสิ  นนพูด  ตุ้งก็เปิดอ่าน  เนื้อความในจดหมายความว่า

                    สวัสดีท่านผู้กล้าทั้งสี่  เมื่อพวกท่านได้อ่านจดหมายฉบับนี้  คงจะเป็นช่วงเวลาที่ข้า  ฟิลรอส  ได้จากไปจากโลกแล้ว  ต้องขออภัยอย่างมากที่ทำให้พวกท่านต้องลำบาก  เพราะนับแต่นี้  จอมเวทแห่งเซนติเนลจะเหลืออยู่เพียงสามคนเท่านั้น  ทำให้การต่อต้านอันเดดเป็นไปอย่างยากลำบากขึ้น  ความหวังของเซนติเนลจึงตกอยู่ในกำมือของพวกท่านแล้ว  เบื้องหลังกำแพงของห้องนี้  มีขวดน้ำทิพย์มนตราอยู่สี่ขวด และตำราที่จำเป็นสำหรับทุกท่าน  ขอให้ท่านทั้งสี่ดื่มมันคนละขวด และเปิดตำราอ่านักรอบ   แล้วพวกท่านจะทราบว่า  ทำไมข้าและพวกจึงต้องไปเชิญพวกท่านมาช่วยเหลือ  ฝากความหวังของกองทัพเซนติเนลไว้ที่พวกท่านด้วย

                                                                                                                                    ฟิลรอส

    เมื่ออ่านจบทั้งสี่ก็ช่วยกันสำรวจกำแพงจนพบว่า  กำแพงมีช่องว่าง  ใช้ไม้แงะออกมาก็เห็นขวดน้ำรูปร่างประหลาดอยู่สี่ขวดและตำราสี่เล่มตามที่เนื้อความของจดหมายได้กล่าวไว้

    ตุ้งยกขวดขึ้นมา  ลังเลใจเล็กน้อยก่อนที่จะดื่มรวดเดียวหมดขวด  ทันใดนั้นร่างกายตุ้งก็บังเกิดเปลวเพลิงลุกไหม้ทั้งร่างของตุ้ง

    ตุ้งรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปตามอวัยวะต่างๆอย่างรวดเร็วจนเจ็บปวดไปทั้งตัว  แต่ตุ้งไม่รู้สึกถึงความร้อนของไฟที่ห่อหุ้มตนอยู่เลย

    กล้ามเนื้อของตุ้ง  ค่อยๆถูกเปลวไฟเผาผลาญไปทีละน้อย  จนกระทั่งเหลือแต่โครงกระดูก  ตุ้งมองดูมือตัวเองอย่างด้วยความตกอกตกใจ  ตอนนี้เขาเป็นโครงกระดูกเดินได้ไปเสียแล้ว

    จากนั้นก็บังเกิดเปลวไฟยาววาเศษปรากฏขึ้นตรงหน้าของตุ้ง  แล้วเปลวไฟนั้นก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นคันธนูยาว  ที่ลุกไหม้ด้วยเปลวไฟตลอดเวลา  ที่กลางหลังก็เกิดเปลวไฟขนาดเล็ก  แปรสภาพกลายเป็นลูกดอกแหลมคม

    ตอนนี้ตุ้งไม่ใช่ตุ้งคนเดิม  แต่เป็น โบน เฟลทเชอร์ เพฌฆาตธนูเพลิงแห่งDotAไปแล้ว  ต่อมาตุ้งก็เรียนรู้วิธีกลับไปเป็นมนุษย์จากในตำราที่ฟิลรอส

    ตุ้งหัดใช้จนคล่องก็หันไปหาเพื่อน  พบว่าเพชรในตอนนี้  มีร่างกายเป็นสีม่วง  คลุมด้วยผ้าคลุมสีดำสนิท  ในมือถือธนูยาวพอๆกับของตุ้ง  ผิดกันตรงที่ธนูของตุ้งมีเปลวไฟลุกโชติช่วง  แต่ของเพชรนั้นมีควันสีดำลอยออกมา  ที่กลางหลังก็มีไอน้ำแข็งลอยออกมาจากลูกดอก   นี่ก็คือ  ดรอว์ เรนเจอร์ มือธนูน้ำแข็ง แห่ง DotA นั่นเอง  แต่มีร่างกายเป็นผู้ชาย  ผิดจากในเกมที่มีร่างกายเป็นหญิง

                    เฮ้  ดรอว์ ต้องเป็นผู้หญิงสิตุ้งแซวขึ้นมา

                    เออน่า  นายไปดูเจ้าโอ๊ตนู่นไปเพชรตอบอย่างเขินๆ  ก่อนจะหันไปสนใจตำราของตน

    เมื่อตุ้งหันมองไปดูโอ๊ตก็ต้องตกใจ  เพราะทันทีที่โอ๊ตดื่มน้ำทิพย์มนตราหมด  ก็ทิ้งขวดลงพื้นทันที  แผ่นหลังของโอ๊ตขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็ว

    โอ๊ตเจ็บปวดถึงกับร้องลั่นออกมา  กล้ามเนื้อขาและแขนของเขาก็ขยายออกเช่นกัน  เมื่อแผ่นหลังหยุดการขยายขนาด  โอ๊ตก็ต้องเปลี่ยนเป็นยืนสี่เท้า  เพราะหลังของเขางองุ้ม  จากนั้นผิวหนังของเขาก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นเปลือกแข็งสีนิล  ที่ขอบมีลวดลายสีขาวตัดกันสวยงาม  ที่หัวปรากฏเขางอกออกมา  ตอนนี้โอ๊ตคือ เนบิวเรี่ยน แอสซัสซิน  ด้วงสังหารแห่ง DotA เต็มตัวแล้ว

                    โอ๊ต  นายกลายเป็นด้วงเหรอเนี่ย  เพชรแซวบ้าง

                    เยาะเย้ยกันจัง ไอ้ตุ๊ดโอ๊ตตอบไปอย่างกวนๆ

                    แหม  ได้ทีล่ะแซวจัง

                    แล้วนนล่ะ ตุ้งถามขึ้น พลางหันหน้ามองหา  ก็ปรากฏพบพ่อมดร่างผอมสูงคนหนึ่ง  ร่างกายกึ่งโปร่งใสมีสภาพเหมือนวิญญาณ  สามารถมองทะลุไปได้  ในมือถือคฑาไม้ลวดลายโบราณขนาดยาวหนึ่งอัน  บนศีรษะมีเขาสั้นๆงอกขึ้นราวกับปิศาจ  ตุ้ง เพชร และโอ๊ตร้องขึ้นมาเป็นเสียงเดียวกัน 

                    เนโครไลท์!!!

    นน  หรือเนโครไลท์  พ่อมดอสูรแห่ง DotA หันมายิ้มให้เพื่อนๆอย่างเป็นมิตร

    ขณะที่กำลังตื่นเต้นกับพลังใหม่ของตนก็ได้ยินเสียงระฆังดังก้องด้านนอก   จึงพากันคืนร่างและวิ่งออกไปสุดฝีเท้า  จากนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนลั่นของทหารนายหนึ่ง  มันคือเสียงที่เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้  เสียงที่เป็นสัญญาณแห่งมรณะ  เสียงสั้นๆว่า

                    ข้าศึกโจมตีแล้ว!!!!”

                    หลังจากที่ตุ้งตามฟิลรอสเข้าไปในดินแดนอีกมิติ  ก็ตื่นขึ้นมาในห้องๆหนึ่ง  ที่ประดับประดาอย่างสวยงามราวกับวิมานของเหล่าเทพ  ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของหญิงรับใช้เรียกขึ้น

                    ท่านแม่ทัพเรียกไปพบที่ห้องโถงค่ะ 

    ตุ้งยันตัวขึ้นก็พบว่า  เครื่องแต่งกายใหม่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆเตียง  ตุ้งผลัดเสื้อผ้าเสร็จและเดินออกจากห้องก็ตกใจ  เมื่อพบว่าเพชร  นน  และโอ๊ต  ก็ถูกพามาด้วยเช่นกัน

                    อ้าว!!ตุ้ง  นายก็มาเหรอโอ๊ตกล่าวขึ้น

                    มากันได้ยังไงเนี่ยตุ้งถามทั้งสามคน

                    ก็เมื่อคืนนี้  นอนอยู่ดีๆก็มีผู้ชายมาปลุก  ขอให้มาช่วยก็เลยมา  นนตอบเมื่อพูดจบก็ปรากฏชายคนหนึ่งเดินออกมาในชุดสีขาว  ชายคนนั้นคือ ฟิลรอส  นั่นเอง

                    สวัสดีท่านทั้งสี่  พวกท่านคงจะรู้จักข้าแล้ว  หลับสบายดีหรือไม่ฟิลรอสกล่าว

                    นายนั่นเองตุ้งตอบออกมา

                    ท่านแม่ทัพให้มาเชิญพวกท่านไปที่ห้องโถงใหญ่เพื่อประชุมถึงแผนการรับมือกองทัพสเกิร์จ เชิญตามข้ามา

                    กล่าวจบก็เดินนำหน้าไป  ทั้งสี่ก็เดินตามอย่างว่าง่าย  ระหว่างทางผ่านห้องขนาดใหญ่มากมาย  สอบถามฟิลรอสก็พบว่า  นี่เป็นคฤหาสน์ของแม่ทัพใหญ่ ฟิวเรี่ยน  แม่ทัพซึ่งเป็นผู้นำแห่งกองกำลังเซนติเนล

                    ท่ามกลางห้องห้องโถงใหญ่  มีโต๊ะประชุมขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง  บุคคลสามคนที่นั่งล้อมรอบโต๊ะสีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด  เม็ดเหงื่อขนาดเล็กประดับประปรายอยู่เต็มใบหน้า

                    เห็นทีศึกครานี้เราคงต้องลำบากแน่ เมืองเอลฟิเรี่ยนของเราก็ไม่ทราบว่าจะต้านทานได้นานเท่าใด  โอกาสชนะของเราก็ริบหรี่เต็มทีแม่ทัพแห่งกองกำลังมนุษย์กล่าวขึ้น

                    แต่ข้ากลับคิดว่าเราต้องชนะแน่ ด้วยฝีมือทหารของเรา  บวกกับความได้เปรียบด้านสมรภูมิรบ  เราเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดอยู่แล้วเสียงอันทรงพลังของแม่ทัพ  ฟิวเรี่ยน  ดังขึ้น

                    แต่ทัพของมันมีมากมายเหลือเกิน แม้ทหารของเรามีฝีมือสูง แต่หากเทียบปริมาณแล้ว เรามีกองกำลังเพียงแค่หนึ่งในสิบของพวกมันเท่านั้น จะอย่างไรก็ยังยากแก่การเอาชนะการศึกอยู่ดี แม่ทัพแห่งกองกำลังออร์คอธิบาย

                    แม่ทัพ ฟิวเรี่ยน  กำลังจะค้านขึ้นก็พอดีเห็นกลุ่มของตุ้งเดินมาถึงก็ลุกขึ้นทักทาย

                    ขอต้อนรับท่านทั้งสี่พูดพลางผายมือออกไปที่เก้าอี้ว่างสี่ตัว

                    สวัสดีครับทุกๆท่านทั้งสี่กล่าวขึ้นโดยพร้อมเพรียง พร้อมกับเดินไปนั่งที่เก้าอี้

                    เอาล่ะ ประชุมต่อฟิวเรี่ยนกล่าว

                    จริงอยู่เรามีปริมาณทหารน้อยกว่าพวกมันมาก แต่ใช่ว่าต้องใช้กำลังเข้าประหัตถ์ประหารกัน  เราเพียงแค่ทำให้กองกำลังทหารของพวกมันค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆจนทำให้เหลือน้อยที่สุด  กว่าพวกมันจะทำลายเมืองเอลฟิเรี่ยนแห่งนี้และเข้าไปถึงปราการสุดท้ายของเรา  ก็คงเหลือกองกำลังเพียงเล็กน้อย  การต่อต้านก็จะง่ายขึ้นมาก  บวกกับฝีมือทหารที่ปกป้อง ทรีออฟเวิร์ลด์ ในป่าเฟลวู้ด ก็สูงกว่าฝีมือทหารพิเศษของเราหลายขั้นนัก  และยังมีนักรบที่ได้ฉายา เอิร์ธเชกเกอร์  อยู่ที่นั่น อีกอย่างเรายังมีสี่ผู้กล้าเหล่านี้ที่กุมชะตาความอยู่รอดของเราฟิวเรี่ยนพูดพลางชี้มือไปที่เก้าอี้ของเด็กหนุ่มสี่คน

                    เอิร์ธเชกเกอร์ เหรอ  เหมือนฉายาใน DotA เลยแฮะ  ตุ้งคิดในใจ

                    โอ้  พระผู้เป็นเจ้า  ชีวิตของเราฝากไว้ในมือเด็กอมมือสี่คนนี่น่ะเหรอแม่ทัพของออร์คกล่าวขึ้น

                    ธรอลเจ้ากล้าลบหลู่ผู้กล้าเหล่านี้เรอะฟิวเรี่ยนร้องขึ้นด้วยโทสะ

                    ข้าเห็นด้วยกับคำพูดของแม่ทัพธรอล  แม่ทัพมนุษย์กล่าว

                    โอ้ เคลธาส  เจ้าก็ไม่เชื่อใจในฝีมือของผู้กล้าเหล่านี้หรือฟิวเรี่ยนพูดออกมาอย่างหดหู่

                    ท่านแม่ทัพทั้งสามโปรดไว้วางใจเถิด ฝีมือของพวกขาพวกท่านก็ได้เห็นประจักษ์แก่ตามาแล้ว ฟิลรอสกล่าวแทรกขึ้นมา

                    เด็กกลุ่มนั้นถึงกับตกใจในคำพูดของฟิลรอส  พวกเขานอกจากไม่เคยหยิบจับอาวุธ  ยังไม่เคยเห็นหน้าบุคคลเหล่านี้  ไฉนจึงบอกว่าได้ประจักษ์ฝีมือแก่สายตามาแล้ว

                    หากเจ้าหมายถึงภาพของพวกเขาที่ผ่านทางกระจกมนตราของเจ้าน่ะ  เจ้าคิดผิดแล้วล่ะ  สิ่งที่เราเห็นน่ะมันเป็นเพียงแค่ของเล่นของเด็กพวกนี้  ไม่ใช่ชีวิตของพวกเขา  แล้วจะนำมาตัดสินฝีมือได้อย่างไรกันธรอลกล่าวอย่างฉุนเฉียว

                    นี่คงจะหมายถึงเกมDotAที่เราเล่นกันตุ้งคิดในใจตลอดเวลาที่นั่งเงียบอยู่

                    แต่นั่นจะทำให้พวกเขา  กลายเป็นขุนศึกของกองทัพเราฟิลรอสโต้ขึ้น

                    พวกเขาไม่รู้จักการต่อสู้  ไม่รู้จักสงคราม  ไม่รู้จักการเข่นฆ่า  เป็นเด็กตัวน้อยๆสี่คน  ที่วันๆเอาแต่เล่นกล่องฉายภาพนั่นที่พวกเขาเรียกว่า เกมเคลธาสกล่าวออกมาอย่างเกรี้ยวกราด

                    นั่งฟังถึงตอนนี้ทั้งสี่ก็รู้สึกอับอายอย่างมาก  เพราะถ้อยคำที่ด่าทอมาล้วนเป็นความจริง

                    แต่ว่า.... 

                    พอเถอะฟิลรอส  วันนี้เลิกประชุมแค่นี้ฟิวเรี่ยนกล่าวตัดบทฟิลรอสไป

                    คนทั้งแปดลุกขึ้นโค้งคำนับแก่กัน  แล้วเดินออกจากห้องไป  ฟิลรอสเดินนำทางเด็กหนุ่มทั้งสี่ไปที่ห้องใหม่  ฟิวเรี่ยนเห็นว่าทั้งสี่เป็นเพื่อนกัน  วันนี้เด็กทั้งสี่จึงถูกจัดที่พักให้นอนในห้องเดียวกัน

                    วันนี้นอนห้องเดียวกันเหรอเพชรถาม

                    ท่านแม่ทัพมีคำสั่งให้ย้ายมาที่ห้องนี้ พักผ่อนให้สบายเถอะฟิลรอสพูดจบก็เดินออกจากห้องไป  ทิ้งเด็กทั้งสี่ไว้ในห้อง

                    พวกนั้นรู้เรื่องของพวกเราได้ไง โอ๊ตถามออกมา

                    ฉันว่าพวกนั้นต้องมีเวทมนต์แน่ๆ ถึงสามารถรู้เรื่องราวของเราได้ละเอียดขนาดนั้น  ตุ้งพูดออกมา

                    ก็อาจเป็นไปได้นะ  ไม่ได้ยินที่ว่าเขามองเราผ่านกระจกมนตราหรือไง  พวกนั้นต้องมีเวทมนต์แน่นอน นนพูดออกมาบ้าง  ตุ้งเปรยออกมาบ้างว่า

    แค่พวกเราเล่นDotA  ทำไมถึงพูดว่าเรามีฝีมือสูงส่งขนาดนั้น  นั่นมันแค่เกม  ไม่ใช่ชีวิตจริงซะหน่อย  เฮ้อ  ตอนนี้ชักจะคิดถึงบ้านขึ้นมาบ้างแล้วแฮะ  แม่ฉันจะเป็นไงบ้างนะ  ไม่มีเสียงใครตอบ  ทุกคนล้วนเริ่มคิดถึงบ้าน

                    แล้วคืนที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเด็กหนุ่มทั้งสี่ก็ผ่านพ้นไป  ทั้งสี่คนนอนหลับสบายจนกระทั่งเช้า  ก็มีเสียงของฟิลรอสปลุกขึ้น 

                    ท่านแม่ทัพเรียกประชุมแล้วล่ะ  รีบเตรียมตัวไปกันเถอะ

                    ทั้งสี่อาบน้ำผลัดผ้าเสร็จก็พากันไปที่ห้องโถงใหญ่  แต่วันนี้การประชุมหารือการรับมือสเกิร์จสิ้นสุดลงแล้ว

                    ท่านผู้กล้าทั้งสี่  ที่ประชุมได้หารือกันแล้วว่าจะให้พวกท่าน  แยกกันไปทำภารกิจกันคนละภารกิจ  นน ไปตะวันตก  เข้าสู่ดินแดนของเมืองฮาห์น  ขอความช่วยเหลือจากกลุ่ม เซเฟียเรี่ยน  โอ๊ตกับเพชรอยู่ที่นี่  รับบททดสอบจากพวกเรา  และสุดท้าย  ตุ้งไปกับฟิลรอส  ประจำการที่ชายแดนของดินแดนนอร์ธเทรนด์ ด่านหน้าทางทิศเหนือของเรา  เตรียมตัวรับมือกับกองทัพอันเดดที่จะมาโจมตีฟิวเรี่ยนกล่าวรวดเดียวจบ

                    แต่เมืองนอร์ธเทรนด์หนาวเกินไป  ข้าคิดว่าตุ้งคง...

                    รับทราบภารกิจ!!!” ฟิวเรี่ยนตัดบท

                    รับทราบ!!” ทั้งห้าขานรับพร้อมกัน

                    การประชุมสิ้นสุดเท่านี้ฟิวเรี่ยนพูดขึ้น  หลังจากที่แม่ทัพทั้งหมดออกจากห้องไป  ฟิวเรี่ยนก็ต้องทรุดลงกับเก้าอี้  มือซ้ายกุมศีรษะ

                    ลำบากพวกท่านแล้วนะ  มันเป็นทางเดียวที่พวกท่านจะไม่ถูกต่อต้านจากแม่ทัพของเราฟิวเรี่ยนพูดกับตัวเองเบาๆ

    ยามวิกาลของคืนนั้น  ทุกคนล้วนไม่เป็นอันหลับนอน  ที่น่าเป็นห่วงเห็นจะเป็นนน  เพราะต้องเดินทางไปกับทหารเซนติเนล  เพื่อขอความช่วยเหลือจากบุคคลที่ไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อ  ทั้งสี่คนจึงตกลงกันเดินไปหาฟิลรอสถึงที่ห้อง

                    พวกท่านมาหาข้ามีเรื่องอันใดฟิลรอสถาม

                    เรามีเรื่องอยากให้ช่วยนนตอบเสียงเรียบ

                    เชิญว่ามาฟิลรอสพูดโดยยังไม่หันกลับไปมอง

                    ช่วยเล่าเรื่องของเซเฟียเรี่ยนให้ฟังหน่อยสินนพูด  ตอนนี้  ฟิลรอสถึงกับหยุดและหันมามองนน

                    พรุ่งนี้ฉันต้องไปที่เผ่านั่น  ขอถามรายละเอียดหน่อย

    ฟิลรอสทำหน้าหมองๆก่อนสีหน้าจะกลับมาดังเดิม

                    เซเฟียเรี่ยน คือเผ่าพันธุ์ลึกลับที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงความเป็นอยู่  มีร่างกายคล้ายมนุษย์  แต่มีรูปร่างเตี้ยเล็กกว่า  บางครั้งมันดี  บางทีมันร้าย  เป็นเผ่าพันธุ์ที่อันตรายทีเดียวสำหรับพวกเรา  ด้วยความเร็วประดุจสายลมของพวกมัน  ต่อให้เราขวางทั้งกองทัพ  ก็สามารถแหวกออกไปได้ราวกับสายน้ำ  จึงได้รับการตั้งชื่อเผ่าว่า เซเฟียร์ ที่แปลว่า สายลมอ่อนๆ  แต่ถึงอย่างนั้นที่ข้ามีชีวิตมามองดูท่านในวันนี้ก็เพราะพวกเซเฟียเรี่ยนนี่แหละ 

    ตอนนั้นข้าถูกส่งไปประจำการที่เมืองลอร์แดรอนเพื่อต่อต้านพวกสเกิร์จแต่ถูกมันตีแตกอย่างง่ายดาย  มีเพียงข้าที่หนีออกมาได้  แต่ก็มิวายถูกพวกมันตามล่าเจ็ดเดือนเต็มๆ  ข้าหนีมาผ่านเมืองฮาห์นและกำลังจะเข้าสู่เขตแดนของเอลฟิเรี่ยน  แต่ก็ถูกจู่โจมจากอสูรกายอันเดดพวกนั้นจนกระแทกต้นไม้ใหญ่หักโค่นลง  หากข้าไม่มีเวทมนต์ก็คงจะตายไปแล้ว  แต่ถึงจะรอดชีวิตจากการโจมตีครั้งนั้น  ก็ยังไม่ปลอดภัย  เพราะพวกปิศาจเหล่านั้นยืนห้อมล้อมอยู่

    ข้าในตอนนั้นปราศจากความหวัง  ได้แต่หลับตารับความตายที่ค่อยๆคลืบคลานเข้าใกล้  และแล้วพวกมันก็โจมตีเข้ามา  ข้าสัมผัสได้จากพลังอันชั่วร้ายที่เข้าใกล้  แต่ก็เกิดมีแสงสว่างจ้า  พวกอันเดดกรีดร้องออกมาด้วยความทรมาน  แล้วพวกมันก็หายไปพร้อมกับแสงนั้น  เหลือไว้แต่เพียงร่างอันไร้เรี่ยวแรงของข้า 

    เมื่อข้าลืมตาขึ้น  ก็พบกับชายเฒ่ารูปร่างเตี้ยคนหนึ่ง  ผมยาวประบ่าหนวดครารุงรัง  แต่ก็ดูองอาจไม่น้อย  ในมือมีคฑาไม้แกะสลักด้วยลวดลายแปลกตา  แล้วคฑานั้นก็หายไปกลายเป็นหมอกควัน  ชายคนนั้นแบกร่างของข้าขึ้น  แล้วข้าก็หมดสติไปด้วยความอ่อนแรง  ข้าตื่นขึ้นมาก็พบว่านอนสลบอยู่ที่เอลฟิเรี่ยน  เมื่อสอบถามทหารก็ทราบว่าพบข้าที่หน้าประตูเมือง  ไม่ทราบว่ามาได้อย่างไร  ข้าอยากจะขอบคุณเซเฟียเรี่ยนคนนั้นมาก  แต่จนกระทั่งตอนนี้  ข้าก็ยังไม่ทราบว่าชายคนนั้นมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร  มันเป็นเรื่องที่อัดอั้นตันตึงในใจข้ามาตลอด  และวันนี้ข้าก็ได้บอกเล่าแก่พวกท่านแล้วเมื่อพูดจบฟิลรอสก็ยิ้มออกมา

                    ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำนนพูดและเดินออกจากห้องไป

    รุ่งเช้า  ทั้งสี่ตื่นขึ้นมาด้วยจิตใจกระวนกระวายและตื่นเต้น  ทำไมต้องเป็นเราด้วยวะ  คือสิ่งที่ทุกคนคิดในใจ  หลังจากแต่งตัวเสร็จก็ออกไปที่หน้าคฤหาสน์โดยมีฟิลรอสเดินนำอย่างเคย  วันนี้มีทหารยืนรออยู่เต็มไปหมด

                    วันนี้เราคงต้องแยกกันแล้วนะฟิลรอสกล่าว

                    เราจะได้กลับมาเจอกันอีกใช่มั๊ยโอ๊ตถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดีนัก

                    เราจะได้กลับมาเจอกันอีกแน่นอน  ข้าสาบานฟิลรอสพูดหนักแน่น

                    เมื่อร่ำลากันเสร็จ  ตุ้งและนนก็เตรียมตัวเริ่มออกเดินทาง  ทิ้งให้เพชรและโอ๊ตอยู่รับชะตากรรมที่ไม่อาจคาดเดาอยู่กับแม่ทัพทั้งสาม

    ขบวนของนนมีทหารเผ่ามนุษย์ติดตามอยู่หนึ่งร้อยห้าสิบนาย  แต่ขบวนของฟิลรอสกับตุ้งนั้นเดินทางไปพร้อมกับกองหนุนของกองทัพเผ่ามนุษย์หนึ่งพันนาย  ตุ้งยืนมองดูนนเดินทางจากไปไกลจนลับตาอย่างเหม่อลอย

                    เราไปกันเถอะฟิลรอสเรียก

    ขบวนกองหนุนเดินทางขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ  ตุ้งนั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกับฟิลรอส   ระหว่างทางตุ้งก็ถามถึงเรื่องราวของดินแดนนอร์ธเทรนด์

                    เมืองนอร์ธเทรนด์เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก  ทุกฝีก้าวเต็มไปด้วยความเย็นจัด  มองไปรอบด้านก็มีแต่หิมะ  เป็นเมืองที่ไม่มีผู้ใดสัญจร  จนกระทั่งเจ้าชายอาร์ธาส  เจ้าชายแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์  ได้เดินทางตามสังหารปิศาจร้ายเกนิสที่นำทัพอันเดดอยู่ไปจนถึงใจกลางดินแดนนอร์ธเทรนด์    ด้วยพลังแห่งอาร์ธาสไม่สามารถเอาชนะเกนิสได้  จึงขอหยิบยืมพลังจากดาบฟรอสต์มอร์ สุดยอดศาสตราวุธที่ชั่วร้ายที่สุด  มันเป็นดาบของราชาปิศาจลิชคิงที่ถูกผนึกไว้ในน้ำแข็งแห่งดินแดนนอร์ธเทรนด์ ตอนที่อาร์ธาส  ทำลายน้ำแข็งที่ครอบดาบอยู่นั้น  วิญญาณของมูราดินผู้เป็นสหายของเขาก็แตกดับไปด้วย   อาร์ธาสในตอนนั้นไร้ซึ่งความรู้สึกนึกคิด  สิ่งเดียวที่รู้คือ  สังหารเกนิสให้ได้  อาร์ธาสใช้ดาบฟรอสต์มอร์ ปลิดชีพเกนิส  แต่สุดท้ายอาร์ธาสก็ถูกดาบครอบงำจนถึงกับฆ่าพระราชาแห่งลอร์แดรอนบิดาบังเกิดเกล้าของตน  จากนั้นก็เข้าร่วมในฝ่ายสเกิร์จ  และเป็นแม่ทัพใหญ่ของสเกิร์จ  และในตอนนี้เขายังหลอมรวมพลังกับลิชคิงกลายเป็นราชาปิศาจคนใหม่  ฟิลรอสตอบอย่างคล่องแคล่ว

                    นายเอาแต่เล่าเรื่องของคนอื่น  ไม่ยอมบอกเรื่องของตัวเองเลย

                    ได้  ข้าชื่อ ฟิลรอส  เป็นจอมเวทแห่งเซนติเนล  ถนัดการใช้สายฟ้าเป็นที่สุด 

    ฟิลรอสตอบกลับไป  พร้อมกับชี้มือออกไปที่ต้นไม้ที่ตั้งอยู่ขวามือของขบวน  พลันบังเกิดอัสนีหนึ่งสายพุ่งตรงลงมาดัง เปรี้ยง  ต้นไม้ต้นนั้นระเบิดออกจากกันจนไม่เหลือชิ้นดี  ตุ้งได้เห็นถึงกับตาค้าง  เพราะในชีวิตไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นว่าเวทมนต์มีอยู่จริง  ทหารที่เห็นสายฟ้าฟาดลงที่ต้นไม้ก็ร้องเฮกันยกใหญ่

                    ท่านฟิลรอส  ท่านฟิลรอสเหล่าทหารร้องออกมาอย่างคึกคัก  ฟิลรอสก็ยิ้มออกมา 

    เย็นของวันที่สาม  ขบวนของกองหนุนเดินทางมาไกลมากแล้ว  เหลืออีกเพียงสองถึงสามวันก็จะเข้าสู่ชายแดนนอร์ธเทรนด์

    หลังจากที่ทหารเข้าพักผ่อนกันหมด  เหลืออยู่เพียงเวรยามเฝ้าสองสามนาย  ฟิลรอสและตุ้งยังคงนั่งอยู่ข้างกองไฟ

                    ชีวิตของผู้ใช้เวทเป็นยังไงเหรอตุ้งถามออกมาท่ามกลางความเงียบสงัด

                    อีกไม่นานท่านก็จะรู้เองฟิลรอสกล่าวตอบ  ตุ้งกำลังจะค้านขึ้นมา  ก็บังเอิญมีเสียงหวีดร้องอันน่าขนลุกดังขึ้น  ฟิลรอสลุกขึ้นยืนทันที  เสียงนี้เป็นเสียงที่ฟิลรอสยังจดจำได้ไม่มีวันเลือน

                    เป็นไปไม่ได้  นี่มันเสียงของอันเดด ฟิลรอสกล่าวด้วยความตกใจ

    ตุ้งได้ยินก็ใจหาย  ยังไม่ทันจะไปถึงนอร์ธเทรนด์  ข้าศึกก็ทะลวงด่านเสียแล้ว

                    พวกเราเสียทีมันแล้วหรือเนี่ยฟิลรอสพูดเบาๆ

    ไม่นานก็ปรากฏกองทัพปิศาจที่มีทั้งอสูรกายเดินดิน  และที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้า  ในกองทัพเต็มไปด้วยเสียงหวีดร้องของปิศาจนับร้อยตัว

                    พวกมันมากันเพียงเล็กน้อย  แสดงว่าวางกำลังทั้งหมดไว้ที่นอร์ธเทรนด์ฟิลรอสคิดในใจพร้อมหันกายไปออกคำสั่งแก่ทหารนายหนึ่ง

                    ส่งม้าเร็วไปที่เมืองเอลฟิเรี่ยน รายงานท่านฟิวเรี่ยนโดยเร่งด่วนที่สุด  ทหารนายนั้นพยักหน้าแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

    ด้วยกำลังของทหารกองหนุนเพียงหนึ่งพันคน  ยังมีความลำบากมากในการรับมือกับอันเดดเพียงเท่าหนึ่งร้อย  ฟิลรอสสะบัดมือลงพื้น  ทหารทุกคนที่นอนอยู่ในเต็นท์ก็วิ่งออกมาพร้อมกับกับอาวุธครบมือทุกนาย  ความจริงแล้วเหล่าทหารรู้สึกตัวตั้งแต่ได้ยินเสียง  แต่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่  จนกระทั่งฟิลรอสใช้เวทมนต์เรียกรวมทัพจึงวิ่งออกมา  พร้อมกับจัดแถวอย่างเป็นระเบียบ  กองทัพอันเดดหยุดการเคลื่อนไหว  ทั้งสองทัพอยู่ห่างราวหนึ่งกิโลเมตร  สองกองทัพยืนประจันหน้ากัน  รอให้สัญญาณจากฟิลรอสดังขึ้น

                    ลุยมัน!!!” ฟิลรอสลากเสียงยาวตะโกนขึ้น

    เมื่อสัญญาณดังขึ้น เหล่าทหารก็วิ่งออกสู่สนามรบอันไม่มีใครหยั่งรู้ผลแพ้ชนะ  เหล่าอันเดดก็วิ่งเข้าใส่เช่นกัน

    ตุ้งทำอะไรไม่ถูก  ได้แต่ยืนอยู่ที่เต็นท์ของทหาร  ทหารกองหนุนเมื่อเข้าไปถึงก็ฟาดฟันกับปิศาจล้มตายไป  ทั้งด้านพละกำลัง  และความโหดร้ายนั้น  ฝ่ายมนุษย์ยังเป็นรองอยู่มาก  บ้างก็ถูกอันเดดใช้มือทะลวงช่วงท้องจนทะลุไปอีกข้าง  บ้างก็ถูกตัดคอ  กลิ่นคาวเลือดกระจายฟุ้งไปทั่ว  ตุ้งทนดูไม่ไหวจนถึงกับเบือนหน้าหนี  แต่ก็อดลุ้นแทนไม่ได้จึงต้องหันกลับมาดู  เมื่อคิดถึงความปลอดภัย ตุ้งก็คิดถึงจอมเวทฟิลรอสขึ้นมาทันที

                    ฟิลรอสหายไปไหน ตุ้งคิดพร้อมกับหันซ้ายหันขวามองหาอย่างกระวนกระวาย

    ทันใดนั้นก็บังเกิดเสียงฟ้าผ่าอย่างรุนแรงขึ้น  สายฟ้าวิ่งจากขอบนภาด้วยความเร็ว  ลงสู่ใจกลางกองทัพอันเดด  ปิศาจหลายตนถูกแรงระเบิดก็ปลิวไปหลายสิบวาได้รับบาดเจ็บสาหัส  กำลังทหารของ     อันเดด ลดลงกว่าครึ่ง

    จากนั้นก็บังเกิดเสียงฟ้าผ่าอีกหลายสิบครั้งต่อกัน  สายฟ้านับสิบสายวิ่งลงสู่พื้นพสุธาบังเกิดระเบิดตูมขึ้น  ครั้งนี้เหล่าอันเดดตายไปเกือบหมด  ส่วนที่เหลือก็ล้มลงด้วยแรงระเบิด  เหล่าทหารต่างวิ่งเข้าไปปลิดชีพอันเดดที่เหลือ  เลือดสีเขียวไหลนองพื้นไปทั่ว  ทั้งศพคนศพปิศาจกองระเนระนาดเต็มไปหมด  ขณะกำลังจะออกคำสั่งให้กลับเมืองก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด  เมื่ออันเดดอีกหลายพันตนกำลังมุ่งหน้ามาทางทหารกองหนุน

    ทหารทุกนายตั้งท่าเตรียมพร้อมแล้วเข้าฟาดฟันปิศาจเหล่านั้นอย่างคล่องแคล่ว  แสดงให้เห็นถึงฝีมือทหารของเซนติเนล 

    ปิศาจอันเดดจำนวนไม่น้อยล้มกลิ้งไปตามพื้นโดยปราศจากชีวิต  แต่ก็มีมนุษย์ไม่น้อยเช่นกันที่ชีวันดับลงภายใต้เงื้อมมือปิศาจ  ฟิลรอสก็ยังคงยืนร่ายเวทมนต์เรียกฟ้าผ่าลงมาช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา

    การต่อสู้ครั้งนี้ฝ่ายฟิลรอสเสียเปรียบอย่างมาก  เพราะทหารกองหนุนมีแต่ทหารเผ่าพันธุ์มนุษย์  ทำให้ไม่มีความหลากหลายในด้านฝีมือการรบ  ไม่นานทหารกองกำลังเสริมทั้งหมดก็ดับชีวิตลงด้วยความทุกข์ทนทรมานสาหัส  เมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มย่ำแย่ จึงเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา

                    ตุ้ง ขึ้นม้าเร็วฟิลรอสตวาดก้องพร้อมกับใช้เวทมนต์บังคับม้าให้วิ่งไปหาตุ้ง  จากนั้นลอยตัวสูงขึ้นจากพื้นดินราวๆห้าเมตร

                    ร่างจอมเวทชาวเอลฟ์ที่ลอยเหินหาวอยู่กลางอากาศช่างดูน่าเกรงขามราวกับเทพผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ดั่งพระโพธิสัตว์ลงมาโปรดเหล่ามนุษย์ผู้ทุกข์ทรมาน  ตุ้งขึ้นม้าโดยเร็วและร้องตะโกนขึ้น

                    ตามมาสิฟิลรอส  ตามมา!!!”

    แต่ร่างของฟิลรอสยังลอยอยู่ที่เดิม  จนกระทั่งเหล่าอันเดดมาถึง  ตุ้งและม้าวิ่งไปไกลแล้ว แต่ก็ยังสามารถมองเห็นฟิลรอสอยู่  จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องลั่นของฟิลรอสอัสนีทลายภพดังขึ้น

    ทันใดนั้นเกิดมีปรากฏการณ์ท้องฟ้ามืดครึ้มกะทันหัน  สายฟ้าสีเหลืองทองเรืองรองเปล่งประกายพร้อมๆกับเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่น  เส้นสายฟ้าจำนวนมากมายพุ่งจากขอบฟ้ามุ่งลงสู่ผืนพสุธาแดนดินบังเกิดระเบิดขนาดใหญ่ต่อกันจนหูแทบฉีก

    สายฟ้าครั้งนี้รุนแรงกว่าทุกๆครั้งที่ตุ้งเคยเห็น  ทันใดนั้นร่างของฟิลรอสก็แตกสลายกลายเป็นจุลไปพร้อมกับสายฟ้าที่พุ่งออกมา  อันเดดทั้งหมดถูกปลิดชีพด้วยเวทมนต์ก้นหีบของฟิลรอส

    เมื่อฝุ่นควันที่ฟุ้งกระจายจางหายไปก็ปรากฏภาพที่น่าสลดใจ  ศพทั้งหลายกองระเนระนาดอยู่เต็มพื้นดิน  ปฐพีที่กว้างใหญ่ถูกชโลมไปด้วยเลือดสีเขียวปนกับเลือดสีแดง 

                    ไม่...ไม่!!!!” ตุ้งร้องออกมาทั้งน้ำตาเมื่อเห็นฟิลรอสตายไปต่อหน้า  สิ่งเดียวที่ตุ้งคิดในยามนั้นคือ  ไม่มีฟิลรอสอีกต่อไปแล้ว  ภาพทั้งหลายตั้งแต่ตอนที่ตุ้งตื่นมาพบฟิลรอส  จนกระทั่งร่างของเขาแหลกสลายไปกับตาปรากฏขึ้นมาในมโนจิต  แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ  แต่มันก็ทำให้ตุ้งผูกพันกับฟิลรอสมากทีเดียว  แต่ในตอนนี้และอีกต่อไป  จะไม่มีฟิลรอสอีกแล้ว  ตุ้งนั่งอยู่บนม้าที่วิ่งไม่หยุด  ม้าตัวนั้นยังคงควบฝีเท้าไปเรื่อยๆโดยไม่รู้เลยว่า  เจ้าของของมันได้ตายไปแล้ว

                    ตุ้งนั่งอยู่บนหลังม้าที่วิ่งด้วยความเร็วสูงเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ  ช่วงเวลาที่ผ่านมาเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น  ในใจยังคงมีแต่ภาพที่ร่างของฟิลรอสแหลกสลายไป เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ตุ้งคิดถึงบ้านขึ้นมาจนแทบจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

    หลังจากเดินทางอยู่นานในที่สุดก็เข้าสู่เขตของเมืองเอลฟิเรี่ยน  ตุ้งพบว่าได้มีการวางกำลังรักษาประตูเมืองทางทิศเหนืออย่างหนาแน่น  เพื่อป้องกันกองทัพอันเดดที่ไม่ทราบว่าจะเข้าโจมตีเมื่อใด

    ตุ้งผ่านประตูเมืองและตรงเข้าไปยังคฤหาสน์ของฟิวเรี่ยนอย่างรวดเร็ว  ผ่านสนามหญ้าขนาดใหญ่  ไม่นานก็ถึงหน้าประตูคฤหาสน์ของฟิวเรี่ยน  ม้าตัวนั้นหยุดและหมอบต่ำให้ตุ้งลงโดยไม่มีใครสั่ง  ฟิวเรี่ยนผลักประตูบานใหญ่ออกมาและตรงไปยังตุ้งอย่างรวดเร็ว

                    ไม่ต้องบอกหรอก  ม้าเร็วได้มารายงานต่อข้าแล้ว  ว่าแต่ฟิลรอสเล่า  เขาหายไปไหน  ทำไมไม่มากับท่านฟิวเรี่ยนถามด้วยใจสงสัย

                    ฟิลรอส ฟิลรอสเขา... ตุ้งพูดอย่างตะกุกตะกัก  จากนั้นก้มหน้าลงแล้วพูดอย่างแผ่วเบาว่า

                    ฟิลรอสตายแล้ว

                    ประโยคนี้คล้ายสายฟ้าพุ่งผ่าลงมากลางศีรษะของฟิวเรี่ยนจนแทบจะหมดแรงล้มลง

                    ฟิลรอสยังหนุ่มยังแน่น  ทำไมถึงได้อายุสั้นนัก  พระผู้เป็นเจ้าช่างไม่เห็นใจกองทัพเซนติเนลของเราบ้างเลยฟิวเรี่ยนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหดหู่

                    เข้าไปด้านในเถอะ  เพื่อนของท่านกำลังรออยู่ ฟิวเรี่ยนพูดพร้อมกับดึงแขนของตุ้งเข้าไปในคฤหาสน์  พร้อมกับสั่งหญิงรับใช้ให้ไปส่งตุ้งที่ห้อง

                    เอ้าตุ้ง  นายกลับมาแล้วเหรอเพชรทักขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

                    แล้วฟิลรอสล่ะ  ไปไหนซะแล้วโอ๊ตถามขึ้นมา

                    ฟิลรอสตายแล้ว  โอ๊ตตุ้งตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด

    ตั้งแต่ตุ้งตอบประโยคนั้นมา  ทุกคนก็นั่งก้มหน้าเงียบ  ไม่มีรอยยิ้มสักคนเดียว

                    อาบน้ำแล้วรีบไปนอนซะไปนนพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ  พร้อมกับลุกขึ้นเดินไปที่เตียงของตน  แล้วเอนกายลงนอน  เพชรกับโอ๊ตก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน  ตุ้งนั่งนิ่งอยู่นานก็ลุกขึ้นยืน  เดินไปทำธุระส่วนตัวจากนั้นก็เข้านอน

                    อัสนีทลายภพ!!!”

                    ฟิลรอส!!!” ตุ้งตะโกนลั่น  สะดุ้งตื่นขึ้นมา  ในหัวของเขายังคงมีเสียงเหล่านั้นวนเวียนอยู่เรื่อยไป 

    ตุ้งลืมตาขึ้นพบว่าเพื่อนทั้งสามแต่งตัวในชุดใหม่เพื่อเตรียมการรับฟังแผนการรับมืออันเดดในที่ประชุม  ตุ้งอาบน้ำผลัดผ้าเสร็จก็ตามออกไปหน้าห้อง

                    เมื่อทั้งสี่มาครบจึงค่อยเริ่มเดินไปที่ห้องโถง  ทั้งสี่นั่งลงบนเก้าอี้ไม้แกะสลักที่ว่างอยู่  วันนี้มีคนมาเพิ่มในที่ประชุมหนึ่งคน

                    สวัสดีทุกๆท่าน  เมื่อมากันครบแล้วก็ขอเปิดการประชุม ณ บัดนี้  อ้อ!! เกือบลืมไป  นี่คือท่าน ซิลช์  ผู้นำชนเผ่าเซเฟียเรี่ยน แห่งเมืองฮาห์น   ฟิวเรี่ยนพูดพลางผายมือออกไปยังชายแก่ร่างเล็กที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงข้ามกับตุ้ง

                    นี่น่ะเหรอ  ชาวเซเฟียเรี่ยนที่ว่องไวดุจสายลม ตุ้งคิดในใจ

                    จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นวานนี้  ทำให้เราทราบว่ากองกำลังที่ชายแดน นอร์ธเทรนด์  ถูกอันเดดทำลายสูญสิ้นไปแล้ว  พวกมันจะต้องเข้าโจมตีเราทางทิศเหนืออย่างแน่นอนฟิวเรี่ยนกล่าวอย่างคล่องแคล่ว

                    นี่มีคนอยู่ด้านนอกบ้างหรือไม่ฟิวเรี่ยนร้องเรียกคนรับใช้

                    อยู่นี่ค่ะ ไม่ทราบมีอะไรให้รับใช้ หญิงรับใช้รีบวิ่งมานั่งลงรับคำสั่งใกล้ๆฟิวเรี่ยน  ฟิวเรี่ยน กระซิบข้างหูหญิงรับใช้แล้วกลับสู่ท่านั่งเดิม  หญิงรับใช้ลุกขึ้นกล่าว

                    ท่านทั้งสี่  เชิญตามข้ามาพูดพลางเดินนำทางไปยังห้องใต้ดินห้องหนึ่งของคฤหาสน์

                    นี่เป็นห้องที่สร้างสำหรับท่านฟิลรอสโดยเฉพาะ ห้องใต้ดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของท่านฟิลรอสแต่เพียงผู้เดียว  บัดนี้ท่านฟิลรอสจากไปแล้ว  ท่านฟิวเรี่ยนจึงให้ข้าพาพวกท่านมาหญิงรับใช้กล่าว

                    นี่  ท่านช่วยเล่าเรื่องราวของที่นี่ให้ฟังหน่อยสิตุ้งพูดขึ้นมาหลังจากที่เงียบอยู่เป็นเวลานาน

                    เมืองแห่งนี้เดิมทีมีชื่อว่า คาลิมดอร์ เป็นเมืองของไนท์ เอลฟ์โดยสมบูรณ์  มีอาณาเขตไปทั่วบริเวณรวมทั้งป่าเฟลวู้ดด้วย ประชาชนทั้งหมดอยู่อย่างสงบสุข  ไร้ซึ่งการต่อสู้และสงคราม  จนกระทั่งเกิดเผ่าพันธุ์ขึ้นมาใหม่ที่ชื่อว่า อันเดด  สงครามครั้งใหญ่ระหว่างมนุษย์และอันเดดก็เริ่มขึ้นโดยใช้ชื่อสงครามว่า เบิร์นนิ่ง ลีเจียน

    มนุษย์ทราบว่าไม่สามารถเอาชนะในสงครามได้  จึงขอกำลังจากออร์คมาช่วยในสงคราม  พวกเราเผ่าไนท์ เอลฟ์ก็เข้าร่วมกับฝ่ายมนุษย์ในสงครามครั้งนั้น  จนในที่สุดก็สามารถเอาชนะอันเดดได้  และต่อมาก็เปลี่ยนชื่อเมืองจากคาลิมดอร์ ไปเป็นเอลฟิเรี่ยน

    นับจากเวลานั้นมาอีกร้อยปีเหล่าอันเดดก็กลับมาอีกครั้ง  แต่คราวนี้มาเป็นกองทัพใหญ่กว่าคราครั้งนั้นหลายร้อยเท่า  ใช้ชื่อกองทัพว่า สเกิร์จ  สามเผ่าพันธุ์จึงร่วมมือกันต่อต้านอันเดดอีกครั้งภายใต้ชื่อ เซนติเนล  โดยมีสามแม่ทัพใหญ่ของเผ่าพันธุ์ต่างๆ ประกอบไปด้วย ท่านเคลธาส ที่ได้รับสมญานามว่า ผู้วิเศษเพลิงโลหิต แห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์  ท่านธรอล ที่ได้รับฉายาผู้พยากรณ์อนาคต แห่งเผ่าพันธุ์ออร์ค  และท่านฟิวเรี่ยน  ที่ได้รับสมยานาม ผู้คุมไพรวัณฑ์แห่งเผ่าพันธุ์ไนท์ เอลฟ์

    ในแม่ทัพสามท่านนี้  ท่านฟิวเรี่ยนอาวุโสที่สุด  จึงถูกยกให้เป็นแม่ทัพสูงสุดของ เซนติเนล  และในกองทัพเซนติเนลนี้  จะมีจอมเวทที่เป็นผู้นำทัพสี่คนคือ ท่านซาเลส  จอมเวทเพลิงไฟ  ท่านเฮเลน  จอมเวทหมื่นบุปผา  ท่านนาฮู  จอมเวทอัญเชิญ  และท่านฟิลรอส  จอมเวทอัสนีบาต โดยจอมเวททั้งสี่นี้มีอำนาจเป็นรองเพียงแค่สามแม่ทัพใหญ่เท่านั้น  เรื่องฝีมือคงไม่ต้องกล่าวถึงหญิงรับใช้พูดอย่างกระฉับกระเฉงราวกับท่องตำรา  ตุ้งได้ฟังถึงกับเงียบไม่พูดอะไร

                    ระดับฟิลรอส  ต้องมาตายเพราะปกป้องฉันเหรอเนี่ยตุ้งคิดอย่างฟุ้งซ่าน

                    เชิญตามสบาย

    ทั้งสี่แยกย้ายกันออกสำรวจห้องใต้ดินนี้  ห้องนี้กว้างขวางมาก  ภายในเต็มไปด้วยตำราวิชาเวทมนต์  ตุ้งเดินไปพบกับโต๊ะขนาดเล็ก  มีจดหมายวางอยู่

                    พวกเรา  มาทางนี้หน่อยตุ้งตะโกนเรียกเพื่อน  เมื่อเพื่อนๆเดินมาถึงก็ยื่นจดหมายให้  จดหมายเขียนไว้ด้านหน้าว่า ถึงท่านผู้กล้าทั้งสี่

                    เปิดอ่านดูสิ  นนพูด  ตุ้งก็เปิดอ่าน  เนื้อความในจดหมายความว่า

                    สวัสดีท่านผู้กล้าทั้งสี่  เมื่อพวกท่านได้อ่านจดหมายฉบับนี้  คงจะเป็นช่วงเวลาที่ข้า  ฟิลรอส  ได้จากไปจากโลกแล้ว  ต้องขออภัยอย่างมากที่ทำให้พวกท่านต้องลำบาก  เพราะนับแต่นี้  จอมเวทแห่งเซนติเนลจะเหลืออยู่เพียงสามคนเท่านั้น  ทำให้การต่อต้านอันเดดเป็นไปอย่างยากลำบากขึ้น  ความหวังของเซนติเนลจึงตกอยู่ในกำมือของพวกท่านแล้ว  เบื้องหลังกำแพงของห้องนี้  มีขวดน้ำทิพย์มนตราอยู่สี่ขวด และตำราที่จำเป็นสำหรับทุกท่าน  ขอให้ท่านทั้งสี่ดื่มมันคนละขวด และเปิดตำราอ่านักรอบ   แล้วพวกท่านจะทราบว่า  ทำไมข้าและพวกจึงต้องไปเชิญพวกท่านมาช่วยเหลือ  ฝากความหวังของกองทัพเซนติเนลไว้ที่พวกท่านด้วย

                                                                                                                                    ฟิลรอส

    เมื่ออ่านจบทั้งสี่ก็ช่วยกันสำรวจกำแพงจนพบว่า  กำแพงมีช่องว่าง  ใช้ไม้แงะออกมาก็เห็นขวดน้ำรูปร่างประหลาดอยู่สี่ขวดและตำราสี่เล่มตามที่เนื้อความของจดหมายได้กล่าวไว้

    ตุ้งยกขวดขึ้นมา  ลังเลใจเล็กน้อยก่อนที่จะดื่มรวดเดียวหมดขวด  ทันใดนั้นร่างกายตุ้งก็บังเกิดเปลวเพลิงลุกไหม้ทั้งร่างของตุ้ง

    ตุ้งรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปตามอวัยวะต่างๆอย่างรวดเร็วจนเจ็บปวดไปทั้งตัว  แต่ตุ้งไม่รู้สึกถึงความร้อนของไฟที่ห่อหุ้มตนอยู่เลย

    กล้ามเนื้อของตุ้ง  ค่อยๆถูกเปลวไฟเผาผลาญไปทีละน้อย  จนกระทั่งเหลือแต่โครงกระดูก  ตุ้งมองดูมือตัวเองอย่างด้วยความตกอกตกใจ  ตอนนี้เขาเป็นโครงกระดูกเดินได้ไปเสียแล้ว

    จากนั้นก็บังเกิดเปลวไฟยาววาเศษปรากฏขึ้นตรงหน้าของตุ้ง  แล้วเปลวไฟนั้นก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นคันธนูยาว  ที่ลุกไหม้ด้วยเปลวไฟตลอดเวลา  ที่กลางหลังก็เกิดเปลวไฟขนาดเล็ก  แปรสภาพกลายเป็นลูกดอกแหลมคม

    ตอนนี้ตุ้งไม่ใช่ตุ้งคนเดิม  แต่เป็น โบน เฟลทเชอร์ เพฌฆาตธนูเพลิงแห่งDotAไปแล้ว  ต่อมาตุ้งก็เรียนรู้วิธีกลับไปเป็นมนุษย์จากในตำราที่ฟิลรอส

    ตุ้งหัดใช้จนคล่องก็หันไปหาเพื่อน  พบว่าเพชรในตอนนี้  มีร่างกายเป็นสีม่วง  คลุมด้วยผ้าคลุมสีดำสนิท  ในมือถือธนูยาวพอๆกับของตุ้ง  ผิดกันตรงที่ธนูของตุ้งมีเปลวไฟลุกโชติช่วง  แต่ของเพชรนั้นมีควันสีดำลอยออกมา  ที่กลางหลังก็มีไอน้ำแข็งลอยออกมาจากลูกดอก   นี่ก็คือ  ดรอว์ เรนเจอร์ มือธนูน้ำแข็ง แห่ง DotA นั่นเอง  แต่มีร่างกายเป็นผู้ชาย  ผิดจากในเกมที่มีร่างกายเป็นหญิง

                    เฮ้  ดรอว์ ต้องเป็นผู้หญิงสิตุ้งแซวขึ้นมา

                    เออน่า  นายไปดูเจ้าโอ๊ตนู่นไปเพชรตอบอย่างเขินๆ  ก่อนจะหันไปสนใจตำราของตน

    เมื่อตุ้งหันมองไปดูโอ๊ตก็ต้องตกใจ  เพราะทันทีที่โอ๊ตดื่มน้ำทิพย์มนตราหมด  ก็ทิ้งขวดลงพื้นทันที  แผ่นหลังของโอ๊ตขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็ว

    โอ๊ตเจ็บปวดถึงกับร้องลั่นออกมา  กล้ามเนื้อขาและแขนของเขาก็ขยายออกเช่นกัน  เมื่อแผ่นหลังหยุดการขยายขนาด  โอ๊ตก็ต้องเปลี่ยนเป็นยืนสี่เท้า  เพราะหลังของเขางองุ้ม  จากนั้นผิวหนังของเขาก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นเปลือกแข็งสีนิล  ที่ขอบมีลวดลายสีขาวตัดกันสวยงาม  ที่หัวปรากฏเขางอกออกมา  ตอนนี้โอ๊ตคือ เนบิวเรี่ยน แอสซัสซิน  ด้วงสังหารแห่ง DotA เต็มตัวแล้ว

                    โอ๊ต  นายกลายเป็นด้วงเหรอเนี่ย  เพชรแซวบ้าง

                    เยาะเย้ยกันจัง ไอ้ตุ๊ดโอ๊ตตอบไปอย่างกวนๆ

                    แหม  ได้ทีล่ะแซวจัง

                    แล้วนนล่ะ ตุ้งถามขึ้น พลางหันหน้ามองหา  ก็ปรากฏพบพ่อมดร่างผอมสูงคนหนึ่ง  ร่างกายกึ่งโปร่งใสมีสภาพเหมือนวิญญาณ  สามารถมองทะลุไปได้  ในมือถือคฑาไม้ลวดลายโบราณขนาดยาวหนึ่งอัน  บนศีรษะมีเขาสั้นๆงอกขึ้นราวกับปิศาจ  ตุ้ง เพชร และโอ๊ตร้องขึ้นมาเป็นเสียงเดียวกัน 

                    เนโครไลท์!!!

    นน  หรือเนโครไลท์  พ่อมดอสูรแห่ง DotA หันมายิ้มให้เพื่อนๆอย่างเป็นมิตร

    ขณะที่กำลังตื่นเต้นกับพลังใหม่ของตนก็ได้ยินเสียงระฆังดังก้องด้านนอก   จึงพากันคืนร่างและวิ่งออกไปสุดฝีเท้า  จากนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนลั่นของทหารนายหนึ่ง  มันคือเสียงที่เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้  เสียงที่เป็นสัญญาณแห่งมรณะ  เสียงสั้นๆว่า

                    ข้าศึกโจมตีแล้ว!!!!”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×