ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชีวิตเด็กทุนก.พ. ในอเมริกา (ตั้ง 10 ปี แน่ะ โหย..)

    ลำดับตอนที่ #22 : ปีหนึ่งเทอมสอง: อัพเดทข่าวคราว ว่ายังมีชีวิตอยู่

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 419
      0
      27 มี.ค. 54


     สวัสดีค่ะ ทุกคน ขอโทษนะที่ไม่ได้เข้ามานานเลย ก็เนื่องจากงานสุมหัวนั่นแหละ ถ้าใครเรียนปีหนึ่ง
    อยู่ก็คงเข้าใจชีวิตอันน่าหดหู่แสนเศร้าของชาวปีหนึ่ง เฮ้อ อาจารย์แกจะสั่งงานเอาโล่หรือไงอะ
    แทนที่จะให้เราจะได้ออกไปดูโลกภายนอกกับเขา ไม่มีเลย มันเหนื่อยเหมือนกันนะที่ต้องมานั่งเรียน
    อะไรแบบนี้ ช่างยากจริง ๆ เลย  ยังต้องปรับตัวด้านภาษาอีกมากมายอะ เพราะบางทีก็ตามเขาไม่ค่อย
    ทันเหมือนกันถ้าเนื้อหาอันไหนมันใหม่ ๆ ไม่เคยผ่านหูผ่านตาเรามาก่อน ถึงแม้จะฟังอาจารย์พูดรู้เรื่อง
    แล้วก็เถอะ แต่เนื้อหามันเป็นระดับวิชาการ บางครั้งก็เลยงง ๆ นิดนึง หรือไม่ก็งงหมดเลย ฮ่าๆ ขึ้นอยู่
    กับว่าเรียนวิชาอะไรด้วยแหละนะ  หัวเรามันแบบออกแนววิทย์ ๆ ใช่มะ พอไปเรียนสังคม จบข่าว.. ตาย
    คาที่เลย แต่ก็พยายามมันไปเรื่อย ๆ 

    ปัญหาส่วนใหญ่ที่เราเจอก็คือเวลาเรียนวิชาเกี่ยวกับสัตว์  มันก็จะมีคำศัพท์เกี่ยวกับสัตว์ หรือโรคต่าง ๆ 
    เป็นภาษาอังกฤษ  ถึงกับงงเลยนะ เพราะเวลาเราเรียนในไทย ชื่อโรคหรือสัตว์มันก็เป็นภาษาไทยนี่นา
    แล้ว  จะให้ไปรู้ได้ไง ว่าโรคนั้น นี้ มันคือโรคอะไร  แบบว่าเรียนไปก็นั่งทรมานไป กับความที่มันไม่รู้
    บางทีเรารู้จักโรคนั้น ๆ แต่แค่ไม่รู้ชื่อภาษาอังกฤษ  หรือบางโรคก็พบเห็นแต่ที่ในอเมริกาไง  ก็ยิ่ง
    แล้วใหญ่เลย เหอๆ 

    คือทุกอย่างที่เรียนที่นี่น่ะ การสอนต่าง ๆ ก็อ้างอิงจากประสบการณ์ของชาวอเมริกัน ก็สอนอยู่ในประเทศ
    นั้น จะให้ยกตัวอย่างที่อื่นหรือก็ไกลตัว  ด้วยความที่ผู้สอนต้องการให้นักเรียนมองเห็นและเชื่อมโยง
    อะไรใกล้ ๆ ตัว กับข่าวหรือสิ่งแวดล้อมที่ได้ยินทุกวัน  มันก็โอเคไปสำหรับนักเรียนมะกัน แต่สำหรับเรานี่
    ตายหยังเขียดเลยนะ ก็เพิ่งมาอยู่อเมริกาได้สองปีเอง จะให้ไปรู้จักอะไรมากมายได้ไง ไม่ได้เกิดที่นี่
    ซะหน่อย  คือมันเหมือนกับว่านั่งอยู่เดียวดายในห้อง ฟังเค้าพูดกันเอง รู้เรื่องกันเอง เหมือนเราเป็นคน
    นอกมาจากไหนก็ไม่รู้  อะไรประมาณนั้นเลย  แต่จะไปว่าเขาก็ไม่ได้อะเนอะ เพราะถ้าพวกมะกันมาเรียน
    ที่ไทย ก็คงรู้สึกแบบเราน่ะแหละ

    แล้วเทอมนี้นะงานเยอะมากเลย ให้ตายสิ ต้องทำ research paper ตั้งสองตัวแน่ะ ตายเลย
    เขียนก็ยิ่งเน่า ๆ อยู่ ต้องมานั่งอ่านพวกวารสาร พวกบทความวิจัย หาข้อมูลอีก  บทความพวกนี้สำหรับเรา
    บางทีอ่านแล้วก็งง ๆ มาก เพราะระดับภาษาที่ใช้เขียนมันจะเป็นอีกแบบหนึ่ง ไม่ใช่แบบที่ใช้พูดกัน
    ทั่วไป  อ่านทีนี่ทรมานหัวจริง ๆ  แต่ก็นั่นแหละ พออ่านหรือฝึกไปเรื่อยมันก็จะเริ่มชินและเข้าใจกับลักษณะ
    การเขียนในแบบนั้น ๆ  

    สรุปเทอมนี้ก็อ่านกันตาลีตาเหลือกเลย  ออใช่เพิ่งสอบเคมีอินทรีย์ไป โอ้วววววววววว!  ยากบรรลัย ให้ตายสิ
    ยากกว่านี้มีอีกไหมฮะ  มาฆ่ากันเลยมา ออกข้อสอบแบบนั้นน่ะ ฮึ่ยยย  คือเริ่มรู้ชะตาตัวเองตั้งนานแล้ว
    ว่าเราไปไม่ไหวกับวิชานี้ คือตอนแรกนี่มันง่ายมากเลยนะ แต่พอเรียนไปยากหฤโหด แล้วอาจารย์ที่สอน
    ก็แบบอธิบายไม่เก่ง  พอเด็กถามอะไรที่มันเกี่ยวกับโครงสร้างซับซ้อนหน่อยก็จะเริ่มอธิบายไม่ตรงจุด
    ไม่ตรงประเด็นกับที่เด็กถาม  มันทำให้เราคิดว่าเขาไม่เข้าใจลึกซึ้งถึงวิชาที่สอน  แต่เราก็ว่าไม่ใช่เพราะ
    จากที่ดูมา ดูมีความรู้เยอะมากนะ เก่งด้วย  แต่ขาดอย่างเดียวอธิบายไม่ค่อยจะเป็น  ควรจะไปเรียนทักษะ
    การสื่อสารใหม่นะ  

    ฝากน้อง ๆ พี่ ๆ ไว้ด้วยนะ ใครจะมาเป็นครูสอนเด็ก มันไม่สำคัญว่าคุณเก่งระดับเลิศเลอเยี่ยงไอสไตน์
    หรือเปล่า  แต่มันอยู่ที่ว่าอธิบายให้คนเข้าใจเป็นหรือเปล่า ทำสิ่งยากให้ง่ายเป็นหรือเปล่า  คนจะมาเป็น
    ครูไม่ใช่รับเงินเดือนยืนพูดปาว ๆ ในห้อง หมดคาบก็เดินออก  มันไม่ใช่  เมื่อคิดที่จะเป็นครูแล้ว  ต้อง
    แคร์เด็กเป็นสำคัญ  ต้องดูว่าเด็กเข้าใจไหม ไม่ใช่ดูว่าฉันสอนทันไหม สอนครบเนื้อหาไหม อยากให้ครู
    ทุกคนมองตัวเองจากการมองตัวนักเรียน  

    เมื่อกี้เพิ่งหายตัวไปอบผ้ามาค่ะ  อยากจะบอกว่าเครื่องซักที่นี่คิดถูกมาก  ครั้งละหนึ่งเซ็นต์ค่ะ ก็ประมาณ
    สามสิบสตางค์บ้านเราน่ะค่ะ ถูกละสิ ฮ่าๆ นี่คือข้อดีอีกอย่างหนึ่งเพราะปกติถ้าซักข้างนอกก็ประมาณครั้ง
    ละ สามเหรียญค่ะ ก็เก้าสิบบาทไปแล้ว จะซักแต่ละทีต้องเอาให้คุ้ม หมกไว้เยอะ ๆ อะไรประมาณนั้น แต่
    มาอยู่นี่ก็ซักทุกอาทิตย์

    ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไรหิวกลางดึก  ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยนะ เรากินข้าวครบสามมื้อนะ แต่ทำไมถึงหิว
    ขึ้นมาได้เนี่ย แปลกประหลาดงงตัวเองมาก  สงสัยโลกร้อนเนอะ (= =)  ฮ่าๆ มีอะไรแปลก ๆโทษ
    โลกร้อนไว้ก่อนค่ะ  คือปกติถ้าหิวก็จะมุ่งไปโรงอาหารค่ะ  คือที่นี่ต้องซื้อเงินมาเติมในบัตรค่ะ อย่างที่
    ใช้อยู่คือ ซื้อแบบกินไม่อั้นค่ะ เข้ากี่ครั้งก็ได้ต่อวัน แต่มันจำกัดแค่โรงอาหารสามแห่งเท่านั้นค่ะ ดูมันสิ
    แล้วไม่ใช่ถูก ๆ นะ ตั้ง พันกว่าเหรียญน่ะ ต่อเทอม หรือคือต้องจ่ายสามหมื่นกว่าบาทเพื่อเป็นค่าอาหาร
    ต่อเทอม  โหดไหมล่ะ 

    เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่หิวแล้วรู้สึกว่าไม่อยากออกไปกินข้างนอก ก็จะหยิบซองมาม่าขึ้นมาดู  หันมองหน้าต่าง
    หิมะตก  ลมพัด หนาวมากแน่  แต่ก็ต้องตัดใจวางมาม่าลงค่ะ แล้วเดินหยิบเสื้อคลุมฝ่าลมหนาวไป เพื่อ
    ออกไปกินที่โรงอาหารค่ะ ฮ่าๆ แหมจ่ายตั้งแพงอะ ต้องกินให้คุ้ม สมกับที่รัฐจ่ายให้เรา  ถึงไม่ได้จ่ายเอง
    มันก็เสียดายค่ะ  ต้องเอาให้เกินคุ้มค่ะ ตอนนี้สี่โมงครึ่งแล้วค่ะ ได้เวลาอาหารละ ขอตัวไปก่อนนะคะ

    มีคำถามฝากไว้ได้ที่คอมเมนท์นะคะ  ไปก่อนละ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×