ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชีวิตเด็กทุนก.พ. ในอเมริกา (ตั้ง 10 ปี แน่ะ โหย..)

    ลำดับตอนที่ #2 : ชีวิตก่อนยื่นใบสมัคร ๒

    • อัปเดตล่าสุด 13 มี.ค. 53


    ขอโทษคนที่อาจกำลังตามอยู่นะคะ คือว่าพอดีช่วงนี้ต้องทำกิจกรรม ของร.ร. น่ะค่ะ เลยไม่ค่อยว่างอัพ ได้แต่พิมพ์ใส่เวิร์ดไว้หนอ  จะพยายามอัพให้บ่อยนะคะ

    อย่าเสียเวลา มาค่ะ มาเข้าเรื่องของเรากันต่อ เพราะได้ข่าวว่ายังไม่ถึงไหนเลย  วันนี้จะพูดถึงชีวิตของเราในวัยเรียนกันค่ะ

    ถาม..ชีวิตตอนประถมเป็นไงบ้างล่ะ ลองเล่าให้ฟังหน่อย

    ตอบ..โหหห นานมากค่ะพี่น้อง จะจำได้มั้ย พูดเหมือนตัวเองแก่เลยอะ ทั้งที่ความจริงยังเอ๊าะมากมาย คิคิ  ตอนประถมเหรอ เรียนอยู่ ร.ร. เทศบาลบ้านสามกองค่ะ  จ.ภูเก็ต โอยย เราล่ะเกลี๊ยดเกลียดชีวิตตอนประถม ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่อะ  อยากใช้ชีวิตผ่านไปให้มันจบเร็ว ๆ อะ ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะอิฉันโดนแกล้งบ่อยน่ะสิคะ แม้กระทั่งเพื่อนกัน หรือ ครูบาอาจารย์ ชอบแกล้งเราอ่ะ ไม่เข้าใจ๊เข้าใจเลยว่าทำไมนะ ถึงต้องแกล้งโสรยาคนนี้ด้วย (เจ็บแค้นเคืองโกรธ โทษฉันใย ฉันทำอะไรให้เธอเคืองขุ่น....)  เราสวยจนน่าแกล้งขนาดนั้นเลยเหรอ เอ๊ะก็ไม่นะ ฮ่าๆๆๆ (กล้าคิดเนอะ คนเรา สงสัยที่บ้านไม่มีกระจกส่อง) 

     

    แล้วแบบชอบมีไอแก๊งบ้ามาจับคู่เรากะคนโน้นคนนี้ นี่เห็นเราเป็นตุ๊กตาบาร์บี้เหรอไงคะ ตอนประถมนี่ร้องไห้บ่อยมากกก เจ้าน้ำตามาก นิวจิ๋วยังอายเหอะ เราเป็นพวกเด็กแบบขี้อายอะ มีอยู่ครั้งหนึ่ง อาจารย์ประจำชั้นเราใช้ให้ไปยืม น้ำยาลบคำผิดจากอาจารย์ฝึกสอน ไอ้เราก็หายไปตั้งชั่วโมงนึงของก็ยังไม่ได้  เอตึกอยู่ไกลขนาดนั้นเลยเหรอ ก็ไม่นะ แต่เพราะว่า เราไปยืนจด ๆ จ้อง ๆ อยู่หน้าห้องอาจารย์ฝึกสอนน่ะค่ะ จะเข้าไปดีไหมนะ  จะพูดว่าไรล่ะ เอหรือกลับไปดีนะ เอจะเข้าไปยืมจริงๆ เหรอ เอ บลา..บลา..บลา.. นั่นแหละค่ะ ก็มันเขินอ้ะ เลยยืนอยู่ตรงนั้นที่เดิม ชั่วโมงนึงอะคะ ไม่ได้ไปไหนไกลเลย (แม่เจ้า ฉันเป็นขนาดนี้เลยเรอะ ไม่ยักกะรู้แฮะ) 

     

    แต่จำได้ว่าเคยตบหน้าเด็กผู้ชายด้วยนะ ก็เราไปฟ้องอาจารย์น่ะค่ะว่าเค้าแกล้งเรา อาจารย์บอกว่าก็ตบหน้าเค้ากลับสิ (โอ้วว จอร์จ อึ้งเลย จะให้เอามืออันสวยงามไปตบหน้าเค้าเหรอ ทำไม่ได้หรอก ไม่เค้ยไม่เคยรุนแรงอย่างนั้นเลย เด็กเรียนนะคะนี่ ) ป้าบ! เสียงดังมาก ด้วยความเขินอะคะ เพราะไม่เคยทำอะไรแบบนั้น ตบเข้าไปเต็มเหนี่ยวหน้าหันร้อยแปดสิบองคศาเลยค่ะ ทั้งอาจารย์ ทั้งคนถูกตบ และคนตบยืนอึ้งกันไปตามๆกันพักนึงล่ะค่ะ  สรุปไอ้เด็กนั่นก็มีแบรนด์เนมยี่ห้อ ห้านิ้วสะท้านฟ้าประทับอยู่บนหน้าไปหลายวันเลยอะค่ะ

     

    แต่ตอนประถมก็ตั้งใจเรียนดีนะคะ ก็พอใจในเกรดตัวเองแหละค่ะ ไม่ได้น่าเกลียดนัก  ออ ๆ มีเรื่องเล่าอีกเรื่องค่ะ ฮ่าๆๆ ขำตัวเองอะ คือว่างี้ค่ะ ทุกครั้งที่มีการเลือกหัวหน้าห้อง เราจะได้รับการเลือกทุกครั้ง แล้วเราก็จะขอปฏิเสธทุกครั้ง เพราะไม่อยากทำหน้าที่นี้เลย ไม่ชอบอะ ไม่ชอบคุมหรือบังคับใคร อีกอย่างไอพวกเด็กมารมันเยอะค่ะ เห็นแล้วปวดหัว แล้วทุกครั้งก็จะโดนแรงกดดันจากเพื่อนหรือครู ให้เราเป็น  ดูสิคะ ไม่เคยคิดถึงหัวจิตหัวใจเราเลยอะ เคยถามสักคำไหมคะ อยากเป็นไหมอะไรเงี้ย ไม่มีอะ  นี่เราอยู่ในสังคมประชาธิปไตยหรือคะ คิดดูละกัน ละทิ้งเสียงส่วนน้อยไปได้ยังไง ไม่สนใจเสียงเล็กๆ ของเราเลย (โอ้ว..ไอ้เด็กนี่มัน..จริงจังมาก  = =! ) อืมอยากให้เป็นนักใช่ไหม เรามีวิธีแก้ค่ะ ฮ่าๆๆ ใช้วิธีนี้นะ เสร็จทุกรายค่ะ แล้วก็จะหลุดพ้นจากตำแหน่งทันที  นั่นก็คือ “ร้องไห้”ให้มันลั่นห้องไปเลยค่ะ คราวนี้ทุกคนก็จะสงสารเห็นใจเรา แล้วเค้าก็จะเริ่มรู้สึกผิดละ เอนี่ฉันทำเกินไปเหรอ งั้นเธอไม่ต้องเป็นก็ได้ แค่นี้ก็เรียบร้อยค่ะ ฮ่าๆๆๆ เอาไปใช้ได้นะ แต่ว่า ต้องอายุห้ามเกินสิบปีนะ  (เรารู้นะว่าคุณผู้อ่านเกินแล้ว ฮ่าๆ อดค่ะ อย่าแอ๊บๆ อิอิ)

     

    สรุปว่าประถมก็ใช้ชีวิตเที่ยวเล่น แบบเด็กทั่วไปอะ เรียนคือเรียน เล่นคือเล่น แบบว่าเราจะตั้งใจอะ แยกแยะว่าอันไหนคืออันไหน จนจบประถมออกมานี่แหละค่ะ

     

    ถาม..แหมขี้อายแต่ตบเค้าหน้าหันเลยนะจ๊ะ เหอๆ แล้วชีวิตหลังจากนั้นล่ะ ตอนม.ต้นเป็นไงบ้าง ตบใครอีกไหมล่ะ

    ตอบ..กรี๊ดดด ถามแบบนี้มาเจอกันตัวๆหลังเซเว่นปิดดีกว่าค่ะ  ก็เราออกจะเรียบร้อยนะคะ  โอเคเข้าเรื่องเถอะค่ะ ตอนม.ต้นก็เรียนสายวิทย์น่ะค่ะ หลายคนก็คงจะเดาได้เนอะ แล้วก็เรียน ๆ ไปก็รู้ตัวว่าชอบวิชาชีววิทยามากกกกกกถึงมากที่สุด โคตรหลงรักเลยค่ะ จริง ๆ นะเนี่ย ดงบังชินกิ ทูพีเอ็ม ชิดซ้ายเลยเหอะ อย่าได้แหยม แล้วก็ว่างไม่ทำไรก็อ่านแต่ชีวะนี่แหละค่ะ จนมันแบบเข้าหัวเองอ่ะ แบบไม่ต้องท่องเลย จำได้เฉย  แล้วก็เลยไปสอบพวกอะไรต่าง ๆ นานา ๆ เกี่ยวกับชีวะน่ะค่ะ ก็ได้เข้าค่ายนู่นนี่  สนุกมากค่ะ รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขกับทางสายนี้ เลือกไว้ไม่ผิดทีเดียว

     

    มันจะดีตรงนี้แหละค่ะ ถ้าเรารู้ตัวก่อนว่าอยากเรียนอะไร ชีวิตจะได้ไม่เครียดมาก แต่ความจริงแล้วก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรถ้าเราไม่รู้ ถูกไหมคะ ชีวิตมันไม่ใช่ง่ายๆ ที่มาถึงจะเจออะไรปิ๊งปั๊ง ดวงตาเห็นธรรมทันที ว่านี่แหละใช่เลยที่ฉันต้องการ มันก็ไม่ได้มาง่ายแบบนั้นเสมอไป  เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ แล้ว ทำไปเลยค่ะ อย่ากลัว อย่าปิดกั้นโอกาสตัวเอง แบบว่า “โอ๊ย ฉันทำไม่ได้หรอก” “ไม่เอาอะ ให้ไปทำอะไรแบบนั้นอะนะ”  “ไม่เห็นน่าทำเลย”  “ยากไป” คำพูดเหล่านี้เหมือนปิดประตูตัวเองนะ บางทีสิ่งที่เราชอบอาจจะอยู่ตรงนั้นก็ได้ แต่ดันถอยออกมาซะก่อนก็เลยไม่เจอ แล้วพอมารู้ทีหลังก็จะบ่นเสียดาย ว่าทำไมตอนนั้นไม่ทำนะ ไม่ลองดู  เวลาก็ย้อนกลับไม่ได้แล้วซะด้วย ชีวิตบางทีดูเหมือนช้า ๆ แต่บทจะเร็วก็เร็วมากจนแทบทำอะไรไม่ทันแน่ะ  ก็อย่าประมาทละกันค่ะ

     

    ถาม..แหมพูดมีสาระกะเค้าด้วยนะ พอ ๆ ขึ้นม.ปลายได้ละ ทำไรบ้างล่ะตอนนั้น

    ตอบ..โอ้ว พอม.ปลายนี่แบบว่า  รู้สึกว่าเวลาในแต่ละวันช่างน้อยนิดเหลือเกิน ผ่านไปเร็วมากกก อะไรเนี่ย ไม่ให้หายใจหายคอกันเลย เรียนๆๆๆๆ สอบๆๆๆๆๆๆ อ้าว ปิดเทอมแล้ว  อ้าวจะเอ็นท์แล้ว อ้าวหนังสือยังไม่ได้อ่าน อ้าวแล้วฉันจะมีมหาลัยเรียนไหมละคะเนี่ย อ้าวๆๆๆ ร้อยพันอ้าวสุดจะอ้าว ช่างเป็นชีวิตที่อบอ้าวเสียเหลือเกิน (เอิ่ม..ไม่เกี่ยว อย่าสนใจค่ะ)

     

    จริง ๆ แล้วนะชอบชีวิตช่วงนี้ที่สุดเลยอะค่ะ รู้สึกมีความสุขสนุกสนานเฮฮากับเพื่อนมากมาย เป็นช่วงที่มีสีสันสุดๆของชีวิตตั้งแต่อยู่มาจนถึงตอนนี้ ออลืมบอก ก็เรียนสายวิทย์เหมือนเดิมน่ะแหละค่ะ (วิทย์-คณิต) ยากส์บรมเลยค่ะ อะไรวะเนี่ย  อาจารย์แบบว่าออกข้อสอบกลัวเด็กทำด้ายยยยย  มั้งคะ  ใครทำข้อสอบได้แบบชิล ๆ นี่แปลก ทำไม่ได้ถือเป็นเรื่องปกติค่ะ ฮิฮิ ฮ่า ๆ เอาเข้าไปฉัน  ตอนม.สี่ ก็เรื่อยๆนะ ไปดูหนังไปเที่ยวกับเพื่อน ตามปกติ ส่วนเรื่องเรียนก็ยังเรียนรักษาเกรดไว้เหมือนเดิม ไม่ได้ทิ้งนะคะ ม.ห้านี่แบบเริ่มเข้มข้นขึ้นค่ะ เรียนพิเศษแหลกกันไปข้างนึงแบบย้ายบ้านไปอยู่ อ.อุ๊เลยค่ะ เดี๋ยวจะอธิบายตอนหลังละกันนะว่าทำไมถึงเรียนพิเศษ เพราะไม่ได้ตามกระแสเลย เค้ามีเหตุผลนา.. แล้วก็พอปิดเทอมใหญ่เพื่อเลื่อนชั้นเข้าสู่ม.หก  ช่วงนั้นแหละก็อ่านหนังสือเตรียมตัวเอ็นท์ตลอดเลยค่ะ ก็ดีเหมือนกันนะอ่านตอนช่วงนั้น ก็ไม่รู้ว่าบางคนอาจจะรู้สึกว่าช้าไปหรือเปล่า ก็แล้วแต่คนนะ สำหรับเราเราพอใจกะช่วงเวลาตรงนั้น ก็ต้องประเมินความสามารถของเราด้วยว่าจะต้องการเวลาแค่ไหน แล้วเลือกเอานะคะ อย่ามามัวนั่งรอเวลา “ค่อยทำ” “ค่อยทำ” เพราะเดี๋ยวมหาลัยมันก็จะพูดว่า “งั้นเธอก็ค่อยเข้าละกันนะ” เสร็จกันเลยค่ะถ้าเป็นแบบนั้น

     

     แต่ก็แบบพยายามทำชีวิตไม่ให้เครียดมากเพราะมันเป็นช่วงเวลาแห่งความเครียดเลยนะตอนม.หกเนี่ย แบบมันจะมีแรงกดดันจากเพื่อนน่ะค่ะ “เย้ ติดแล้วโว้ย” “ฉันได้แล้วโว้ยยย”  “มีที่เรียนแล้วโว้ย”  นี่อะคะ แบบนี้อะ มันแบบรบกวนเราสุดๆ  แต่นั่นแหละค่ะ ก็อย่างที่บอก เรารู้คณะที่จะเข้าแน่นอนแล้วไง ก็แค่เตรียมตัวให้พร้อมติดคณะนั้น ก็เลยไม่ต้องไปอ่านหนังสือหนักหนาสาหัสเหมือนคนอื่นเค้า อ่านเท่าที่จำเป็นน่ะค่ะ ก็สบายไปอีกเปราะนึงค่ะ

     

    อืมจะบอกว่าตอนม.หก หรือม.ห้านี่อะ เตรียมตัวประจบฝ่ายแนะแนวไว้เลยนะคะ เดินเข้าเดินออกให้มันทุกวันค่ะ จะได้รู้ข่าววสารเกี่ยวกับมหาลัย บางที่เนี่ย มีทุนส่งมาแบบสายฟ้าแลบ หรือเปิดรับสมัครแบบฟ้าแลบฟ้าผ่าจริงๆค่ะ ถ้ามัวเอ้อระเหยนี่อดสมัครเลยนะคะ แต่ถ้าอยู่ฝ่ายแนะแนวบ่อยๆ แบบวันนี้มาช่วยงานมาจัดเอกสารก็ว่าไป ชวนอาจารย์โม้อู้งานก็ว่าไป พอข่าวมาปุ๊บเราก็จะรู้ทันที จริงไหมล่ะคะ ฮิฮิ เทคนิคค่ะเทคนิค แล้วก็ถ้าทำแบบนี้ตั้งแต่ม.ห้านะ เราก็จะรู้ค่ะว่ามหาลัยแต่ละที่เค้าสมัครเดือนไหน มันมีทุนอะไรบ้างสมัครเดือนนี้  เสร็จทีนี้ม.หกก็สบายค่ะ เพราะเรารู้คร่าวๆแล้วว่า มันมีอะไรยังไงบ้าง จะได้เตรียมตัวถูกและทันค่ะ

     

    ถาม..เอเมื่อกี้บอกว่าจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรียนพิเศษเหรอ

    ตอบ..อ่อค่ะ คือว่างี้ เพราะว่าก็รู้ๆกันอยู่ว่ารัฐบาล หรือกระทรวงศึกษาธิการแบบต่อต้านพวกสถาบันกวดวิชาอะค่ะ ถูกไหมคะ หมายถึงสมัยที่ตัวเองยังเรียนอยู่น่ะค่ะ ตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันไม่ได้ติดตามข่าวที่ไทยนานแล้ว (แค่ได้ข่าวน่าปวดหัวของข้อสอบโอเน็ตอะไรเนี่แหละค่ะ ว่างๆ จะดูอีกที) เราก็เห็นด้วยนะ แต่ก็ไม่เห็นด้วยค่ะ เหอๆ งงมะ

     

    (โปรดใช้วิจารญาณ ต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วน ๆ ค่ะ)

    เห็นด้วย..เพราะว่า..เด็กส่วนหนึ่งเรียนพิเศษกันแบบผิด ๆ จนไม่รู้ว่ามาเรียนพิเศษทำไม ตั้งหน้าตั้งตาจดลูกเดียว ฟังลูกเดียว อะไรแบบเนี้ย ไม่ค่อยสนใจความรู้ในห้องสักเท่าไหร่ เราคิดว่าการทำแบบนั้นน่ะมันเป็นการฆ่าตัวเองทางอ้อมชัด ๆ ทำเหมือนว่าเราเป็นคนไร้ความสามารถยังไงยังงั้นอะ เรียนแบบนี้อะ มันจะทำให้เราคิดอะไรไม่เป็นเลย เอาแต่ลอกมาจากเค้าลูกเดียว มาถึงก็ได้สูตรลัดแบบโน้นแบบนี้ ต้องจับใจความตรงนั้นนะ ตรงนี้สำคัญนะ มีอะไรๆ ก็ให้เค้าคอยบอกหมด แล้วอย่างนี้สมองจะพัฒนาได้ไงล่ะคะ 

    แต่ก่อนบอกสูตรลัด เขาจะอธิบายให้ฟังทุกครั้งนะว่ามีที่มาอย่างไร ไม่ใช่ให้จำเลย” อืมม.. ก็ใช่ค่ะ บางที่ก็สอนอย่างนี้ซึ่งก็ยังถือว่าดีนะ ที่อธิบายว่ามันเป็นไงมาไง  แต่นั่นแหละ สรุปสุดท้ายใครเป็นคนคิดให้เราล่ะ ว่าที่มามาจากไหน เราคิดเองหรือเปล่าล่ะตรงนั้น ก็ไม่ใช่ไหมล่ะ เห็นไหม มันจะทำให้เราเสียทักษะการคิดวิเคราะห์ด้วยตนเองไปน่ะค่ะ  พอเข้ามหาวิทยาลัยจะลำบากนะคะคราวนี้  พอดีกว่า ไม่งั้นมันยาวค่ะ ไว้ค่อยพูดอีกทีวันหลังเนอะ

     

    ไม่เห็นด้วย..เพราะ..ก็เราไม่ได้เรียนพิเศษเพื่อสอบอะ เราเรียนแบบเอาความรู้ติดตัวนะ ไม่ใช่พวกตามกระแสอะไร เราเรียนพิเศษเพราะว่าเราอยากได้อะไรที่มันพิเศษจริง ๆ ยังไงล่ะ นอกเหนือจากห้องเรียน แบบหาไม่ได้ที่ไหน อยากได้อะไรที่ต้องผ่านการกรองด้วยประสบการณ์อันช่ำชองมาอย่างถ่องแท้ เพราะถามว่าตัวเองมีประสบการณ์ขนาดนั้นไหม ก็ไม่มีอะไร อายุเท่าไหร่เอง พอมาเรียนพิเศษจะทำให้หูตากว้างไกล รู้มากขึ้นแบบ “พิเศษ” ๆ เราจะได้เรียนรู้เทคนิคการเรียน เรียนรู้ทักษะจากอาจารย์ที่เค้าใช้ประจำไรเงี้ย รู้วิธีการคิดใหม่ ๆ ที่ให้เราเอามาประยุกต์ได้ ไม่ได้แบบว่ามาเรียนเพื่อจะเอ็นท์ลูกเดียว  ซึ่งขอบอกว่าที่เรียนพิเศษแบบนี้ยังมีบนโลก เหมือนที่เราเคยเรียนพิเศษคณิตศาสตร์กับอาจารย์ท่านหนึ่ง  ประทับใจมากก เรียนตั้งแต่ม. ๑ ถึง ม. ๖แน่ะ  ด้วยเหตุนี้แหละ ที่คิดว่าการเรียนพิเศษนั้นไม่ควรถูกต่อต้าน เพราะคนที่เค้าอยากได้อะไรแบบเรามันยังมีอีกเยอะไง

    จบตอนแล้วค่ะ เพราะนึกไม่ออกว่าจะเขียนอะไรต่อ  ก็ตอนหน้าจะพูดถึงตอนสมัครแล้วกันค่ะ  แต่ขอเวลารวบรวมข้อมูลนิดนึงนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×