ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชีวิตเด็กทุนก.พ. ในอเมริกา (ตั้ง 10 ปี แน่ะ โหย..)

    ลำดับตอนที่ #17 : อุทาหรณ์ สอนใจ ทุนก.พ.

    • อัปเดตล่าสุด 13 ธ.ค. 53


    โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
    เราเคยบอกเคยพูดไปหลายครั้งแล้ว ว่าถ้าไม่ชอบทุนนี้ ก็อย่ามาเอา ไม่ได้กันที่ ไม่ได้ไล่ใคร ไม่ได้ตัดโอกาส แต่เพื่อตัวคุณเอง แล้วเราก็ไม่อยากให้ประเทศมาได้คนไม่มีประสิทธิภาพ ทำด้วยใจไม่รัก งานมันก็ไม่ดีหรอก  แล้วที่บอกว่าชอบ ไม่ใช่แค่ว่าต้องชอบอย่างเดียว ในความชอบนั้นหมายถึง มีจิตใจมุ่งมั่นรักจริง อดทนต่อสิ่งยั่วยุ การเปลี่ยนแปลงยุแยง ตลบแตลงได้ อดทนได้ขนาดนั้นไหม...คนรักจริงมันทนได้จริง

    อุทาหรณ์เรื่องแรกที่จะเสนอคือไปเจอมา  เอามาจากเว็บของคุณ tom22487

    นักเรียนทุน ก.พ.   ชงกาแฟ    ยกกระเป๋า

    ข้าเจ้าเข้ามาในห้องนี้หลายหน ตั้งแต่สมัยข้าเจ้าเรียนด็อกอยู่ที่แดนไกล ในตอนนั้นมีหลายกระทู้ที่พูดถึงนักเรียนทุนกับการกลับมาทำงานที่เมืองไทย โดยที่หลายคนบ่นว่าเป็นสัญญาทาส แต่ก็มีหลายท่านเข้ามาพูดถึงสำนึกรักบ้านเกิด การเอาภาษีตาสีตาสายายมาลุงเพิ่มไปเรียน ทำไมไม่รักบ้านเกิด ชั้นเสียภาษีให้เธอไปเรียนนะ ซึ่งข้าเจ้าเห็นด้วยทุกประการ

    ในการ เรียนด๊อกนั้นทุกท่านคงทราบว่าเราเรียนมาเพื่อการเป็นนักวิจัยและนำเสนอผล การวิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและศาสตร์ในสาขาของเราซึ่งข้าเจ้าก็ทำได้อย่างดี สนุก และ มีความสุขมาก โดยไม่รอช้าที่จะรีบเรียนให้จบก่อนเวลา ด้วยความหวังที่จะเข้ามาทำงานให้รัฐบาลไทยในฐานะนักวิจัยและข้าราชการน้อง ใหม่ ไฟฝันช่างเต็มเปี่ยม พลังสุดฮึดแรงยิ่งกว่ากำลังใด ชั้นต้องทำได้ ....โดยข้าเจ้าไม่รู้เลยว่าอะไรกำลังรอข้าเจ้าอยู่เบื้องหน้าในอนาคต

    .....

    เมื่อข้าเจ้ากลับมาทำงาน ที่กระทรวงใหญ่แห่งหนึ่ง

    วันแรก.....
    "ว้าว ดอกเตอร์ หนุ่ม เท่ห์ เก่ง นักเรียนทุน"
    "เก่งจังน้อง ล่ำดีด้วย"

    ข้า เจ้าได้แต่ชื่นชมกับเสียงสรรเสริญเยินยอโดยลืมไปว่านี่คือธรรมดาโลก คำว่าเก่งมาพร้อมกับภาระที่ยิ่งใหญ่ ข้าเจ้าจึงเข้าไปคุยกับหัวหน้ากอง ผ.อ. ว่างานในฝ่ายมีอะไรส่งมาเถิดข้าเจ้าทำได้หมด ผ.อ. ยิ้มและตอบว่า

    "เธอเรียนวิจัยมาใช่ไหม ดี งั้นมาดูงานวิจัยพี่หน่อยซี กำลังขอซี 9 อยู่"

    กรี๊ด ว้าย ตาย สลบ ข้าเจ้าจะทำอย่างไร หนุ่มหล่อล่ำนักเรียนทุนอย่างข้าเจ้าปฏิเสธบ่ได้ดอก เพราะในระบบข้ารัชการนั้น หัวหน้าคือหัวหน้า ข้าพเจ้าต้องทำตาปริบๆมาดูผลงานซี 9 ให้ท่านผู้อำนวยการกอง เขียนให้ เก็บข้อมูลให้ แทบจะต้องพิมพ์ให้ โดยที่ท่านก็มีนำใจไมตรีกับข้าเจ้าว่าไม่ต้องทำงานอะไรมากนอกจากงานนี้ อ้อ ก๊กของท่านเรียนโทอยู่ด้วย ท่านก็เมตตาให้ข้าเจ้าทำ SPSS ให้กิ๊กท่านด้วย เริ่ด

    .....
     

     5 เดือนผ่านไป งานท่านเสร็จแล้วท่านก็ส่งไปยัง ก.พ.
    "น้องเก่งมาก งานพี่ผ่านการประเมินแล้ว"

    ข่าว คราวความล่ำ เอ่ย ความเก่งของข้าเจ้าโด่งดังไปทั้งกระทรวง อิอิอิอิ จนความล่วงไปถึงพระเนตรพระกรรณของอธิบดีที่เพิ่งมารับตำแหน่งเข้า บัดดล ท่านจึงมีบัญชามายัง ผ.อ.ซี 9

    "เอานักเรียนทุน คนนั้นมาพบผมหน่อย ผมอยากได้หน้าห้องใหม่"

    ผ.อ. ยิ้มแก้มปริ มาบอกข้าเจ้าว่า
    "น้องท่านอธิบดีอยากพบ ท่านอยากได้น้องไปเป็นหน้าห้อง ดีนะน้อง ได้เจอผู้หลักผู้ใหญ่มากมาย งานกระทรวงเราต้องรู้จักผู้ใหญ่เยอะๆ"

    จริงเหรอพี่ เอาวะ ไปก็ไป ข้าเจ้าจึงไปพบท่านอธิบดี ที่ห้อง เมื่อไปถึง ท่านยิ้มอย่างมีเมตตา

    "ได้ข่าวนักเรียนทุน ก.พ. มานานแล้ว ผมนี่แหละเป้นคนอนุมัติทุนให้คุณได้เรียนต่อ ดังนั้นคุณก็เหมือนลูกผมนะ"

    ไม่ต้องใช้พีเอ็ชดีมาคิดให้ปวดแก่น ข้าเจ้าก็รู้ว่านี่คือกลยุทธ์การพูดเพื่อให้ผู้ฟังสำนึกบุญคุณและยอมให้ท่าน

    "คุณมาเป็นหน้าห้องผมดีกว่า ดอกเตอร์ มากรองงานเอกสารให้ผมแล้วก็เป้นเพื่อนผมเวลาเดินทาง"

    หา อะไรนะท่าน กรองงาน เดินทาง สนุกดีแน่ จริงๆข้าเจ้าคิดอยากทำงานวิจัยและสอน แต่ทุนของข้าเจ้าระบุให้กลับกระทรวง ต้องเข้าไปทำงานในกระทรวงเท่านั้น เมื่อท่านอธิบดีเสนอมา เหมือนเดิม ปฏิเสธไม่ได้นะ น้องงงงง

    .....

     ในวันแรกของการทำงานในฐานะหน้าห้อง

    "Doctor ผมขอกาแฟร้อน ข้าวต้มตอนเช้า เอาไม่มันนะผมกลัวอ้วน อ้อ กระเป๋า ผมอยู่ในรถนะ ไปไขกุญแจและถือมาให้ผมทุกเช้าด้วยนะ"

    ฟังเหมือนข้าเจ้ากำลังเล่นนางมารสวมปราดาอยูเลย แต่นางมาของข้าเจ้าเป็นผู้ชายและสวมไหมปักธงชัยแทนที่จะเป็นป้าดา

    "เอ้า ครับผมท่าน ผมจะไปเตรียมอาหารเช้า แล้วก็ไปยกกระเป๋าที่รถได้ครับท่าน"

    "ดี มาก ดอกเตอร์ เอ้อ วันเสาร์นี้ผมจะไปชัยภูมินะดอกเตอร์ คืออีก 5 ปีผมเกษียณว่าจะไปลง สอวอ นะไปด้วยกันที ช่วยเตรียมเอกสารเรื่อง......... ให้ผมนะ เอาพาวเวอร์พ้อยท์เก๋ๆนะ เวลาพูด ผมจะได้มีลูกเล่นเยอะ ดอกเตอร์จะได้ไปเห็นพื้นที่กับผมด้วย ผมจะแนะนำให้รู้จักกับท่าน...."

    เอ เอ ไม่เลวนะ ผมแอบคิดเพราะคนในกระทรวงผมซึ่งเต็มไปด้วยด๊อกนั้นล้วนแต่ถูกปรามาสว่าเป็น พวกไม่รู้จักโลกแห่งความจริง เรียนสูงแล้วก็ดีแต่เริ่ดเริ่ด เชิดเชิด อยู่ในกระทรวง ในกรมหรือทำตัวเป็นผู้รู้ พูดจาเว้ากับผู้ใดก็ไม่อยากเอิ้นตอบ เพราะพูดไม่รู้เรื่อง

    ผมคิดได้ เอาละกรูรูรู จะทำให้สุดฝีมือเลย นี่งานระดับอธิบดีนะเนี่ย ผมจึงทำงาน ทำงาน ทำงาน อันนั้นในเวลาหนึ่งวัน

    "เยีย มมาก เวรี่กู๊ด ดอกเตอร์ ผมมองคนไม่ผิดจริงๆ" ท่านอธิบดีกล่าวและทำหน้าคุณพ่อปลื้ม หลังจากเห็นงานชิ้นแรกที่ผมเสนอ และท่านก็ฝึกปรือฝีมือในการพรีเซ้นต์ได้อย่างดี เพราะระดับอธิบดีนั้นทักษะ การนำเสนอต้องเป็นเลิศอยู่แล้ว

    จริงอย่างที่ท่านว่า ทุกครั้งที่ผมได้ไปออกพื้นที่ไมว่าจะเหนือ ใต้ ออก ตก อีสาน ประจิม หรดี กับท่านผมได้พบผู้คนมากมายจริงๆ ทุกคนในระบบราชการล้วนแล้วแต่มองท่านด้วยสายตาที่พร้อมจะเสิร์ฟกาแฟและยก กระเป๋าให้กับท่านในทุกที่ที่ท่านไป ผมเองก็รู้สึกว่า

    "เอ เรานี่ก็โก้ไม่หยอกนะเนี่ยเป็นถึงเลขาท่านอธิบดี"

    เพราะ ทุกคนก็มาขอเบอร์โทรผมเพราะทุกคนรู้ว่าการจะเข้าถึงท่านอธิบดีให้ได้นั้น ต้องผ่านหน้าห้องให้ได้เสียก่อน ซึ่งผมไม่รู้มาก่อนจริงๆ ด้วยความโง่ส่วนตัวของผมผมก็ปฏิเสธที่จะให้เบอร์ เวลาพี่น้องเอาของที่หอบหิ้วมาฝากด้วยน้ำใจ เช่น ปลาสลิด ผ้าไหม ขนมจาก หม้อแกงเป็นต้น ผมปฏิเสธที่จะรับของเพราะผมเคยคุยกับท่านอธิบดีเรื่องการตีความคำว่า คอร์รัปชั่นกับน้ำใจ ท่านบอกว่า
    "คนไทยนะมีน้ำใจ เขามาหาเราก็ต้องมีอะไรติดไม้ติดมือมาด้วย อย่าคิดเถรตรง นี่ไม่ใช่ออสเตรเลียบ้านคุณนะ"

    "แต่ ท่านครับ ผมว่าเขามาฝากเพราะเราเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเขานะครับท่าน การที่เขาเอามาให้แล้วเรารับแม้ว่าจะเป็นทองม้วนปี๊ปเดียว ผมตีความว่าเจตนาของเขาคือการติดสินบนแล้วนะท่าน" ผมแย้งและทำหน้าผู้รู้สุดฤทธิ์ ในใจคิดถึงคำว่า ข้าราชการไทยใสสะอาดที ก.พ. พร่ำเพ้อให้พวกเรา เหล่านักเรียนทุนฟังเสมอๆ

    "คุณยังเด็ก เดี๋ยวคุณก็จะเข้าใจไปเองแหละดอกเตอร์" ท่านกล่าวและยิ้มที่ริมฝีปากเหมือนนางมารสวมปราดาอีกแล้วครับ

    .....

    ใน กระทรวงผมนั้น เวลาเราออกต่างจังหวัดผมก็จะได้พบพี่น้องข้าราชการที่น่ารักมากมายจริงๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นเหมือนที่ผมกล่าวในตอนต้นคือ ทุกคนพร้อมที่จะยกยอผู้ใหญ่ ให้ความสำคัญกับตำแหน่งและบุคคลที่สามารถให้คุณให้โทษได้ และ ไม่กล้าเสนออะไรที่เด่นดังเพราะเกรงใจ กลัว อาย หรืออะไรไม่รู้ ผมเลยอดคิดถึงตำราเล่มหนาๆของ Hofstede ที่นักสังคมศาสตร์อย่างพวกผมเคยเรียนกันแล้วก็พูดถึงการแบ่งสังคมในโลกให้ เป็นหลายมิติ โดยบ้านเรานั้นเป็นกลุ่มที่มีลักษณะติดพวกพ้อง ชายเป็นใหญ่ หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า และ ไม่อยากโดเด่น แหม++ จริงดังที่เขาว่าไว้เลยนะ

    "ขนาด เทคโนแครทอย่างข้าราชการยังเป็นกันทั้งนั้นเลยนะเนี่ย ทำไมไม่มีใครกล้าเถียงท่านในที่ประชุมทั้งที้รู้ว่าท่านไม่ถูก" ผมได้แต่รำพึงในใจและทำสีหน้าดอกเตอร์ของผม

    "คุณด๊อก เป็นธรรมดานะหนุ่มไฟแรงหลายคนที่พึ่งกลับมาอย่างน้องจะเป้นแบบนี้แหละ ท่านเองเมื่อก่อนก็เป็นแบบน้องนี่แหละ รู้ไหมพี่จะบอกให้นะ หากเราทำตัวเด่นไป และทำรู้มากกว่าผู้ใหญ่ ภัยจะมานะในระบบราชการเราเราต้องการคนเก่ง แต่ความเก่งเป็นองค์ประกอบย่อยเท่านั้น เพราะเรามีคนเก่งเยอะมาก แต่พี่ว่าสักวันหนึ่งดอกเตอร์จะรู้เองว่าต้องทำอย่างไร" พี่หน่อง พี่สาวร่วมงานของผมกล่าวให้กำลังใจในตอนเย็นวันหนึ่งที่ผมกำลังท้อใจจากการ ปฏิบัติหน้าที่หน้าห้อง


    "เราจำเป็นต้องทำให้กรมเราก้าวไปข้าง หน้า วิสัยทัศน์ของเราคือ..... เราต้องทำให้ได้ตามตัวชี้วัดที่ ก.พ. กำหนด ไม่งั้นเขาจะหาว่าเราไดโนเสาร์" ท่านอธิบดีกล่าวในทีประชุมผู้บริหารกรมซึ่งผู้น้อยคือคนที่ไม่ใช่ระดับผ.อ. อย่าสะเออะไปนั่งฟัง เพราะไม่ใช่ผู้บริหาร

    "ผมอยากให้ ผ.อ.จำปี ไปเตรียมเรื่องวิจัยเพื่อการตอบสนองตัวชี้วัดของ ก.พ." ท่านกล่าวด้วยท่วงท่าของผู้นำ เอ๊ะ ไอ้วิจัยเนี่ยมันต้องมีไว้หาความรู้และแก้ปัญหาไม่ใช่เหรอ ผมก็ได้แต่คิดและครับ ทันใดนั้น ผมก้ได้ยินอีกเสียงดังขึ้น
    "ท่านครับ ผมขอให้ดอกเตอร์หน้าห้องท่านมาช่วยผมทำวิจัยได้ไหมครับ แต่ผมจะเป็นหัวหน้าโครงการณ์เอง" ผ.อ. จำปีกล่าว แล้วยิ้มมาที่ผม ท่านอธิบดีของผมก็มีหรือครับที่จะปฏิเสธ
    "ดี ดี นักเรียนทุนเราต้องใช้เขาเยอะๆ เอาภาษีประชาชนไปเรียนกันนี่ เออแต่เห็นกลับมาก็รวยกันทุกคนเลยใชไหมดอกเตอร์ ก.พ.คงให้เยอะเซ่" ทำมั้ย ทำมทุกคนต้องพูดแบบนี้กับผมและพี่น้องนักเรียนทุนก.พ. เสมอ
    "ก็มันจริงนี่ครับ" ผ.อ. จำปีตอบเหมือนรู้ความคิดผม

    ....

    หลังจากประชุมแล้ว ผ.อ.จำปีปรี่เข้ามาหาผมแล้วบอกว่า
    "ไอ้ น้อง ทำให้พวกพี่ทีนะวิจง วิจัยอะไรเนี่ยพี่เรียนปริญญาโทมาก้รู้งูงูปลาปลานะ นึกว่าช่วยกัน พี่จะได้เอาไว้ขอซี 9 อีกหน่อยเพราะท่านผู้เชี่ยวชาญจะเกษียณ เดี๋ยวพี่ต้องส่งผลงานทางวิชาการแล้วก็ไปคุยกับท่านนะแหละถึงได้โครงการณ์ นี้ออกมา ลงมือทำเต็มที่นะเห็นปีที่แล้วยังช่วยพี่ผ.อ. อีกกองเลยนี้ดอกเตอร์นะ"

    อ้าว สรุปว่าวิจัยอะไรเนี่ยข้าราชการเขามีไว้ขอซีกับส่งก.พ.ใช่ไหมเนี่ย
    "ไม่เป็นไร ช้านนนนนนต้องเปลี่ยนแปลงระบบให้ได้เพราะช้านนนนเก่ง เป็นถึงดอกเตอร์หน้าห้องอธิบดี" ผมแอบลำพองเหมือนกบในกะลา
    "สีทนได้ เอ้ย ผมทำได้ครับท่าน" ผมกล่าวกับท่านผ.อ.จำปี


    ++ขอนอก เรื่องนิดนึงนะครับ ตอนเขียนครั้งแรกกะว่าจะใช้คำว่า ข้าเจ้า คือข้าพเจ้า แต่อ่านแล้วมันดูขัดๆหูครับ ผมขอใช้ผมแทนนะครับเพราะมันเหมาะกับหนุ่มหล่ออย่างผมมากกว่า :) ++

    ใน ช่วงปีที่ แรกของการกลับมาใช้ทุนนั้น ชีวิตผมก็จะวนเวียนอยู่กับการรับใช้ท่านอธิบดี การติดต่อประสานงาน การพิมพ์หนังสือ การรับแขก เบิกเงินค่าเดินทาง จองโรงแรม ประสานงานกรม/ทบวง การทำpaperให้ท่าน ส่วนงานวิจัยซึ่งเป็นพีเอชดีของผมนั้น ได้ทำอยู่สองครั้ง เช่นเมื่อตอนที่ ผ.อ. จำปีมอบหมายให้ทำนั้น ผ.อ.เป็นหัวหน้าโครงการณ์ครับ แล้วก็เกณฑ์ผมและพี่ๆซีแปด ซีเจ็ด มาเป็นคณะทำงาน พอเสร็จแล้วเราเสนอกรมเป็นข้อเสนอแนะในการทำงาน แต่ทางท่านๆบอกว่า

    "เออ ผลวิจัยออกมาแบบนี้กรมเราเสียหายนะ เพราะมันเหมือนว่ากรมเราไม่ได้ทำอะไรมากนัก ดอกเตอร์ช่วยปรับผลวิจัยหน่อยนะเวลาเราเสนอท่านรอมอตอ จะได้ไม่เสียชื่อกรม แหมเรามีดอกเตอร์ตั้งเยอะแยะผลมันต้องดีกว่านี้ซิไอ้น้อง ไปปรับใหม่"

    .....

    "อ้อ เรื่องผมจะไปเชียงใหม่นะ ดอกเตอร์จองตั๋วให้ผมยัง เอาเฟิร์สคลาสนะ ขอใกล้หน้าต่างด้วยผมชอบดูวิว แล้วถ้าไม่มีเฟิร์สคลาสไม่ได้นะ เวลาทำเรื่องเบิก ดอกเตอร์อย่าลืมเขียนเวลาว่าผมไปเป็นวิทยากรตั้งแต่ 8.30 ถึง 17.00 นะ เดี๋ยว สอตองอ มาตรวจปวดหัว"

    เพราะจริงๆแล้วเวลาท่าน อธิบดีไปราชการก็มักจะไปเพื่อตีกอล์ฟ พักโรงแรมสวย และบรรยายเพื่อรับเงินพิเศษจากข.ร.ก. ต่างจังหวัดที่จัดให้ แล้วพี่น้องก็จะมาถ่ายรูปกับท่านอธิบดีหรือปลัดกระทรวงเพื่อเอาไปใส่ในผลงาน เวลาทำซีแปดซีเก้า เศร้าไหมละครับท่าน!

    ในใจผมคำว่าข้าราชการไทยใส สะอาดมันกลับมาอีกแล้วครับ แต่มาในรูปของคนแก่ที่ยืนแบบหมดเรียวหมดแรง หากผมทำ ผมจะเป็นส่วนหนึ่งของคำว่าคอรร์รัปชั่นไหมเนี่ย

    "เออ ช่วงนี้ท่านรอมอตอ กำลังโปรกรมเราอยู่นะ ผมคงต้องไปกับท่านบ่อยๆเพราะตอนนี้มีคลื่นใต้นำกำลังจะล้มผมให้ได้ แต่ผมไม่กลัวหรอกเพราะผมมันคนทำงาน" ท่านอธิบดีหันมาคุยกับผม

    "อะไรกันท่าน เก่งๆอย่างท่านไม่เห็นต้องกลัวเลยครับ"

    "ดอกเตอร์ ก็เห็นนะ ใครก็อยากเป็นอธิบดี เขาวิ่งกันให้ฝุ่นตลบ คนของใครก็ขึ้นกันเป็นวาระนะ เห็นไหมคุณกระทรวงเราเป้นกระทรวงที่มีดอกเตอร์มากที่สุดกระทรวงหนึ่งในเมือง ไทย แต่หลายคนก็หยุดที่ซีเจ็ด เพราะเขาเล่นการเมืองไม่เป็น ดูท่านปลัดซิท่านกว่าจะมาถึงวันนี้ได้เนี่ย ท่านต้องทำอะไรที่ฝืนกับความรู้สึกตัวเองเยอะ ผมรู้จักท่านตั้งแต่กลับมาจากการเป็นนักเรียนทุน ก.พ. เหมือนคุณนี่แหละ ผมยังชื่นชมท่านเลยเรื่องความตรง ไอเดียใหม่ แต่ทุกวันนี้เหมือนท่านเป็นอีกคนไปแล้วละดอกเตอร์"

    นี่แหละครับผมเริ่มจะเข้าใจในคำว่า "ระบบเปลี่ยนคน" จากท่านปลัดกระทรวงที่เป็นตัวอย่าง

    .....

    เลา ผ่านไป ๒ ปีช่างเชื่องช้าจับใจ คนภายนอกยังคงชื่นชมผมว่าเป็นด๊อกหนุ่ม เก่ง คล่องแคล่ว เหมาะกับการเป็นเลขาหน้าห้องผู้หลักผู้ใหญ่มาก แต่ผมไม่ได้อยากเป็นเลขานะครับ พูดถึงประเด็นนี้ก็เลยขอชี้แจงว่า งานวิชาการ งานเอกสารถึงแม้มันจะน่าเบื่อแต่ สีทนได้ แต่ผมไม่อยากเป็นเลขา ผมไม่ชอบใช้เวลามานั่งทำพาวเวอร์พ้อยท์ ชงกาแฟ สั่งข้าวเที่ยง เดินไปการบินไทยไปรับตั๋ว ไปโอนเงินให้ลูกชายเจ้านายที่แบงค์ กระทรวงให้ทุนผมไปเรียนสาขา การวิจัย ครับ หากท่าน GTI 16V read between the line น่าจะเข้าใจความตั้งใจว่าผมไม่ได้รังเกียจงานในกรมเลย แต่ผมรังเกียจงานที่ผมต้องเป็นเลขา ขี้ข้ารับใช้เรื่องส่วนตัวครับ วันร้ายคืนร้ายท่านก็จะเอาผมไปต่างจังหวัด ให้ไปนั่งกดพาวเวอร์พ้อยท์ให้แล้วท่านก็จะพูดติดตลกว่า

    "คนที่กดพาวเวอร์พ้อยท์นั่น เป็นลูกน้องผมเอง นักเรียนทุน กอพอ ด๊อกเตอร์ครับ " ท่านช่างมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่มาก เป็นถึงอธิบดี

    ผม ยังจำได้ว่า เคยมีหน่วยงานส่วนท้องถิ่นเชิญท่านไปตัดริบบิ้นในงานอะไรซักอย่าง ท่านให้ผมไปเพื่อคอยเป็นคนรับดอกไม้หลังจากที่เขามอบให้ท่าน ท่านบอกว่า รับราชการต้องมีนาย ค้าขายต้องมีเถ้าแก่ จำผมไว้นะดอกเตอร์

    เมื่อไปถึงงานก็จะมีเด็กประถมกลุ่มใหญ่ที่โดนเกณฑ์มาต้อนรับและมีคำพูดที่ฮาได้ใจ แต่ผมฮาไม่ออก คือ
    "ขอ ต้อนรับท่าน ท่านมาเสมือนช้างเหยียบนา พญาเหยียบเมือง" What the? ขออีกครั้งซิน้อง อะไรกัน ความคิดแบบนี้มันหมดไปเป้นร้อยปีแล้วไม่ใช่เหรอ กรูรูรุ รับไม่ด้ายยยยยย แต่จะให้ทำงัยครับ ผมก็ต้องยิ้มๆ

    ผมเคยเลียบเคียงท่านว่า ผมอยากกลับไปอยู่หน่วยงานทางวิชาการเพราะจะมีโอกาสไปทำงานวิจัย
    "ไป ทำไมดอกเตอร์ เป็นถึงดอกเตอร์ทำไมไม่มองโอกาสให้เห็น มีแต่คนเขาอยากมาอยู่กับผู้ใหญ่อย่างผม ได้เจอคนโน้นคนนี้ ได้ไปเที่ยว ได้เรียนรู้วิทยายุทธ์อย่างผม คุณนะมีโอกาสไปไกลนะ ยังเด็กอยู่ อย่าไปทำเลยวิจัยนะ อยู่กับผมเนี่ยดีจะตายไป"

    "เออ แต่ผมไม่สนุกกับงานหน้าห้องครับท่าน เกรงว่าจะทำให้ท่านได้ไม่ดี" ผมต้องเลี่ยงๆพูดทั้งที่ในใจอยากจะกรี๊ดดดดด ท่านไม่ตอบแต่สรุปผมต้องทำหน้าห้องต่อไป

    "เออ ดอกเตอร์ปีหน้าผมจะไปเรียน วปอ. นะเตรียมหัวข้อวิทยานิพนธ์ไว้ด้วย เพราะผมต้องรีบส่ง จะได้ไมเสียชื่อ"

    ผมต้องพูดคำพูดที่ผมพูดมาตลอดสองปีกว่า และเป็นคำพูดที่ผมเกลียดตัวเองทุกครั้งที่พูด

    "ได้ครับท่าน"

    .....

    ใน ช่วงที่ท่านอธิบดีเรียน วอปอออ นั้น ท่านจะไม่สามารถเข้ามาในกรมได้ทุกวัน ซึ่งผมมองเห็นโอกาสที่เกิดขึ้น ใครๆก็บอกว่าข้าราชการเงินมันน้อยต้องหางานพิเศษทำ แต่ผมค่อนข้างโชคดีที่เป็นคนใช้เงินน้อย เลยไม่ปวดหัว แต่แล้ววันหนึ่งโชคชะตาก็เล่นเกมส์ชีวิตกับผมอีกครั้ง

    "ดอกเตอร์ไป สอนพิเศษที่มหาวิทยาลัยพี่หน่อยสิ ตอนนี้เราขยายหลักสูตรนะ คนมาเรียนกันเยอะไปหมด ใครๆก็อยากได้ปริญญาโททั้งนั้นแหละ" เพื่อนสมัยเรียนคนนึงโทรมาหาผมในตอนบ่ายวันนึง แน่นอนครับผมสนใจทันทีเพราะผมได้ร้างลาการสอนมาตั้ง 2 ปีผมก็คิดถึงงานรักของผมไม่ได้ ดังนั้นผมจึงตอบตกลงเพื่อนคนดี

    ผม ต้องไปขออนุญาตท่านก่อน ตามธรรมเนียมซึ่งท่านก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร จากการร่วมงานกันมาร่วมสามปี ผมว่าท่านคงเข้าใจมากขึ้นว่าผมทำงานให้ท่านได้ แต่อาจจะไม่มีความสุขเหมือนตอนแรก งานวิจัยทั้งหลายแหล่ก็โดนตัดงบเพราะการเปลี่ยนรอมอตอแต่ละครั้งก็หมายถึง การเริ่มต้นใหม่แทบทุกครั้ง โปรเจคต์อะไรที่เราเคยทำก็หายไปกับสายลม สรุปท่านให้ผมไปสอนได้

    การกลับไปสอนหนังสือในวันเสาร์-อาทิตย์เป็น การเรียกพลังชีวิตกลับมาได้อย่างอัศจรรย์ครับ ผมเชื่อว่าพวกที่เรียนและทำวิจัยมาจะเหมือนปลาวิ่งเข้าสู่มหาสมุทรในตอนที่ ได้ทำงานในห้องสมุดหรือทำเปเปอร์เพื่อตีพมพ์และนำเสนองานใหม่ นี่คือหัวใจของการเรียนมาในระดับสูงสุด ลูกศิษย์ผมน่ารัก ขวนขวายทุกคน แต่ผมขออนุญาตข้ามตอนการสอนไปนะครับ มันเป็นสุขนาฏกรรมไปนิดนึง ผมอยากเน้นวิบากกรมของโสนน้อยเรือนงามมากกว่า

    .....

    หลังจาก ไปสอนในมหาวิทยาลัยในฐานะอาจารย์พิเศษสุดโก้ได้สักพัก เสียงของพวกตัวอิจฉาช่องเจ็ดในกระทรวงก็ลอยลมมาสู่โสตนาสิกของผม คอมเม้นท์ที่แอบได้ยินบ่อยที่สุดก็เช่น

    "เออ ข้าราชการเดี๋ยวนี้เขาขยันทำงานพิเศษกันดีนะ หลวงเขาส่งไปเรียนให้มาทำงานให้กรมไม่ใช่ทำงานพิเศษเนะ"

    "จริง พวกเราเสียภาษีส่งพวกนี้ไปเรียนนะ พวกนักเรียนทุน ก.พ.เป็นหนี้พวกเราทั้งประเทศนะแหละ แต่ทำงานให้กรมเราไม่เต็มที่"

    "เป็นหนี้บุญคุณพวกคนเสียภาษีนะจำไว้ เวลาทำงานให้คิดถึงตรงนี้อย่าคิดหนีไปเป็นอาจารย์นะ"

    แต่ อย่างที่เรียนไว้ครับ ผมมั่นใจในจุดยืนว่าผมทำงานให้กรมเต็มที่และเจ้านายก็ไม่เคยด่าผมเรื่องงาน ผมจึงต้องการดับเบิลเช็คว่าสิ่งที่ผมทำเนี่ยมันผิดจรรยาบรรณนักเรียนทุนจริง หรือไม่ผมจึงไปถามผองเพื่อน ซึ่งพวกมันหลายคนก็ทำเหมือนผม พวกมันแนะนำว่า

    "เฮ้ ถ้าเอ็งอยากรู้คำตอบแนวมวลชนนะ ลองเข้าไปดูในพันธ์ทิพย์แล้วเซิร์ชคำว่านักเรียนทุน ก.พ. ดูสิ บ้าเอ้ย เป็นถึงด๊อกทำไมโง่เหมือนบัฟวะ"

    .....

    เมื่อเข้ามาในห้องไกล บ้าน ผมได้ข้อคิดมากมายที่มีแนวโน้มทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการเป็นนัก เรียนทุนและต้องไปทำงานพิเศษ แต่ที่น่าสนใจคือพวกที่เป็นนักเรียนทุนส่วนใหญ่บอกผมว่าไม่เห็นด้วย พวกพี่ๆที่เป็นข้าราชการหลายคนบอกผมว่าทำไปเถิด เป็นการเสริมทักษะและเพิ่มคอนเนคชั่น

    แต่กลุ่มที่ยืนยันอุดมการณ์ "แกเอาภาษีชั้นไปเรียน แกจะมานอกลู่นอกทางไม่ได้ ชั้นและตาสีตาสาเสียภาษีทุกปีนะ" ส่วนใหญ่ ล้วนแล้วแต่คัดค้านการไปทำงานพิเศษกัน จริงๆคนกลุ่มนี้เขาก็หนักแน่นกันดีนะครับ ผมว่าพวกเรานักเรียนทุน ก.พ.สำเหนียกในบุญคุณของท่านมาก ขอบคุณนะท่านที่อุตส่าห์เจียดภาษีมาส่งพวกเราไปเรียน ขอบคุณจริงๆ เราไม่ลืมคุณท่านหรอก

    ตรงนี้เป็นข้อมูลให้ทราบเฉยๆครับว่าผมผูกพันธ์กับห้องนี้และพวกท่านมากน้อยแค่ไหน

    .....

    ใน กรมผมนั้นข้าราชการหลายคนล้วนแล้วแต่พยายามหางานพิเศษ เช่น ไปรับโทรศัพท์ ขายขนม ขายประกันเพราะอะไรผมคงไม่ฉายหนังซ้ำแล้วกัน แต่พวกเราก็รู้ว่างานข้าราชการนั้นมีความมั่นคง (จริงเหรอ) คุณพ่อคุณแม่ผมซึ่งแกดูจะภาคภูมิใจในความเป็นข้าราชการมากบอกผมว่า

    "อาชีพนี้ น้ำซึมบ่อทรายลูก เป็นอาชีพข้าแผ่นดิน มีเกียรติที่สุด"

    "ถูก ต้องที่สุดครับคุณพ่อ ผมไม่แย้งเลย วันที่เราไปสอบทุน ก.พ. กรรมการก็ย้ำกับผมมากว่าคุณไม่ออกนะหากรับทุนหลวงเพราะคุณทำงานให้แผ่นดิน ผมภูมิใจในงานราชการ แต่ผมอยากทำงานทีเป็นงานครับ ผมไม่อยากเป็น PA อีกแล้ว"

    "ผมจะขอย้ายไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยครับ เพราะมันก็เป็นการรับใช้แผ่นดินเหมือนกัน ผมจะไปสอนหนังสือที่ม.ต่างจังหวัดแห่งหนึ่งครับ เพราะผมไม่เชื่อว่าการทำงานในกรมอย่างเดียวเป็นการรับใช้แผ่นดิน" ในที่สุดผมก็ได้คำตอบให้กับตัวเอง

    จริงๆแล้วคำว่า "รับใช้แผ่นดิน" เป็นคำใหญ่แต่ทุกคนทำกันอยู่แล้วทางใดทางหนึ่ง ทุกคนในที่นี้ต่างก็รับใช้แผ่นดินในวิถีของตน แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าหลวง หรือ ตาสีตาสายายมายายเมี้ยนที่จ่ายภาษีให้รัฐไปนั้น หวังมากกว่าที่ผมทำอยู่ นักเรียนทุน ก.พ. อย่างพวกผมนั้น ส่วนมากมีประสงค์ที่จะทำงานให้หลวง เราอ่านสัญญากันอย่างละเอียดก่อนเซ็นต์ เรารู้ว่าอะไรอาจจะเกิดกับชีวิตเราเมื่อเรากลับมายังปิตุภูมิของเรา เราพร้อมที่จะทำงานให้ประชาชน เราอยากเปลี่ยนแปลง เรารู้ว่าคำว่าระบบราชการแปลว่าอะไร เรารู้ว่าราชการไทยกำลังเปลี่ยนเพราะเจ้านายเราก็เคยเป็นเหมือนเรา พี่ๆในกระทรวงผมที่เป็นนักเรียนทุน ก.พ. เราจัดมีตติ้งทุกเดือนเพื่อคุยปัญหาในการทำงานและเสนอให้เจ้านายในกระทรวง รับรู้ ผมพูดอย่างหน้าด้านเลยครับว่าพวกนักเรียนทุน ก.พ. หลายคนคิดว่าเราพิเศษกว่าข้าราชการอื่นๆในกรม แต่ความพิเศษนั้นเกิดจากการที่เราได้เป็นเห็นชีวิต การทำงาน แนวคิด อีกด้านหนึ่งซึ่งหลวงสร้างความพิเศษตรงนี้ให้เรา พิเศษ ไม่ได้แปลว่าดีกว่านะครับ ย้ำ โปรดฟังอีกครั้ง พิเศษ แปลว่า อปรกติ แปลกออกไปนะท่านนะ

    .....

    เมื่อตัดสินใจแล้ว ผมจึงรวบรวมความกล้าไปคุยกับท่านอธิบดี เรื่องการขอโอนไปเป็ยอาจารย์

    "ไม่ ใช่สกัดดาวรุ่งนะดอกเตอร์ แต่ผมว่าคุณอย่าไปเลยมหาลัยนะคุณไม่อยากเป็นผู้บริหารอย่างผมเรอะ คุณนะอยู่ไปตำแหน่งอธิบดีไม่น่าจะไปไหนหรอก อย่าไปเลย"

    "ท่านครับ แต่ผมคิดว่าผมไม่อาจเอื้อมมองตัวเองในอนาคตในฐานะอธิบดีครับ ผมเห็นตัวเองเป็นครูและตีพิมพ์ในวารสารวิชาการในนามมหาวิทยาลัยเมืองไทย ผมต้องการแค่นั้นจริงๆ ผมอยากเป็นนักวิชาการ"

    "คุณลองไปคุยกับกองการ เจ้าหน้าที่ก็แล้วกัน อ้อ พรุ่งนี้ผมต้องส่งรายงานวอปอออแล้วนะ เสร็จให้ทันเพราะผมต้องไปตีกอล์ฟกันพรุ่งนี้ เอแล้วก็ติดต่อคุณไพบริษัททัวร์ เรื่องเมียผมจะไปเที่ยวเวียตนามเดือนหน้า แล้วตอนบ่ายๆเดินไปโอนเงินให้บริษัทลูกชายผมที่กรุงไทยที่นะดอกเตอร์ เออเดี๋ยวเอาชาเข้ามาให้ผมแก้วนึงด้วย"

    วินาทีนั้นเอง การตรัสรู้ก็เกิดขึ้นในใจผม ..... ในวินาทีที่ผมเดินก้าวออกไปจากประตูห้องท่าน พี่หน่อง เลขาอีกคนของท่านก็เปิดวิทยุเสียงดัง เสียงเพลงดังลอยมากระทบโสตผม "เลิกแล้วคะ หนูเลิกกับเขาแล้วคะ" ผมรักพี่ฮายจังเลย

    .....

    ผม พยายามหาคำตอบให้กับชีวิตโดยการไปคุยกับกองการเจ้าหน้าที่เรื่องการโอนไป มหาวิทยาลัย หัวหน้ากองการเจ้าหน้าที่บอกให้ผมไปคุยกับเลขานุการกรม เลขากรมบอกให้ผมไปคุยกับรองอธิบดี รองอธิบดีบอกให้ผมไปคุยกับอธิบดี อธิบดีบอกให้ผมไปคุยต่อกับกองการเจ้าหน้าที่ โอ้ย กรูรู จะบ้าตาย วันสต๊อบเซอร์วิส จริงจริง

    ในที่สุด ผมก็ได้คำตอบจากกองการเจ้าหน้าที่ว่าไม่สามารถตัดโอนตำแหน่งได้ เพราะผมไปได้แต่ตัวแต่อัตราเงินเดือนและตำแหน่งต้อง "คาย" ทิ้งไว้ที่กรม

    ความสดใสในชีวิตจางลงไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆ

    .....

    จาก วันนั้นผมเริ่มกลายเป็นหนุ่มหล่อล่ำที่ถือชามมาทำงาน 2 ใบทุกวัน ใบหนึ่งไว้ใช้ตอนเช้า ใบหนึ่งไว้ใช้ตอนเย็น ท่านให้ผมทำอะไรผมก็ทำ แต่ผมมาทำงานเหมือนหุ่นยนต์ บางวันก็แอบเอางานฝิ่น งานสอนเข้ามาทำ ในเวลาราชการ ความคิดที่ว่า "ผมจะต้องเปลี่ยนองค์กรให้ได้" กลายเป็น "เอ เย็นนี้ไปกินอะไรดี" ใช้วิธีการเดียวกับพี่ๆซีสูงคือ มาเซ็นต์ชื่อตอนเช้าแล้วแอบแวบฝากงานไว้กับคนอื่น กละบเข้ามาตอนบ่ายๆ ท่านอธิบดีก็เริ่มระอาใจกับผมมากแต่คงไม่รู้จะทำอย่างไรดี

    ผมรู้สึก ถึงความไร้ค่าในที่ทำงานของตัวเองทุกวัน ทุกวัน แต่ผมจะทำอย่างไรดีละครับ ในเมื่อผมบอกตัวเองว่าผมหมดกำลังใจ ผมเลิก ผมไม่เอาแล้ว สิ่งที่ผมเคยคุยกับ Supervisor สมัยทำวิจัยว่า

    "Believe me I will make research a possibility at my ministry" เป็นเสมือนความเพ้อทุกครั้งของผมที่นึกถึงมัน

    .....

    หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าว
    "โผโยกย้ายข้าราชการคลอด เด้งฟ้าผ่า 10 อธิบดี"

    หลัง จากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ท่านของผมได้รับผลกระทบโดยการสั่งย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการ ที่ภาษาข้าราชการเรียกว่า "ย้ายเข้ากรุ" คนที่เคยเข้ามาหาท่าน น้อยลงทุกวัน ขนมหม้อแกง ผ้าไหม สินค้าโอทอบ หายไป ถ้อยคำประเภท ช้างเหยียบนา พระยาเหยียบเมือง ที่ผมเคยแอบขำเวลาได้ยิน หายไป หายไป ท่านซึมเศร้า เก็บตัว และเริ่มตีกอล์ฟทุกวัน จนวันนึงท่านเรียกผมไปพบ

    "ดอกเตอร์ สัปดาห์หน้าเราไปด้วยกันนะ ผมจะให้คุณไปเป็นผู้ช่วยผม ทำไมมันเป็นแบบนี้ ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะให้ผมไปเป็นผู้ตรวจในเมื่อโผมันบอกว่าผมต้องไป เป็นรองปลัด"

    "เขาหาว่าผมเป็นเด็กพรรคเดิม ดอกเตอร์เห็นไหมข้าราชการอย่างเราถ้าไม่อิงการเมืองก็ไม่รอด แต่ถ้าอิงการเมืองเกินไปก็ตายดูผมเป็นตัวอย่างซิ นักบริหารระดับ 10 ไม่มีงานทำ จำไว้นะดอกเตอร์ ข้าราชการอย่างเรานักการเมืองสั่งอะไรต้องทำ"

    .....

    จาก หน้าห้องอธิบดี ผมมาเป็นหน้าห้องผู้ตรวจราชการ ไม่มีใบสั่งจากนักการเมืองมากวนใจเหมือนเมื่อก่อนเพราะตำแหน่งผู้ตรวจราชการ กระทรวงให้คุณให้โทษใครไม่ได้ ไม่มีคนเข้ามาขอนัดพบท่านเหมือนเมื่อครั้งท่านรุ่งเรือง ท่านของผมเองดูหมือนจะเซ็งเป็ดกับชีวิตมาก ท่านจึงเลือกที่จะไม่เข้ามาทำงานทุกวัน มาเฉพาะเวลามีประชุมหรือเวลาท่านปลัดกระทรวงคนใหม่เรียกพบ

    "ดอกเตอร์ อยากทำอะไรก็ทำนะ ตอนนี้ผมว่างแล้วไม่ต้องไปกับรัฐมนตรีบ่อยๆเหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้ผมมีความสุขมากเลยไม่มีใครมายุ่งกับผมแล้ว ตอนเป็นอธิบดีปวดหัวหน้าดู" ท่านพูดแบบประชดกับผม เพราะคนเคยมีอำนาจนะครับ ใครละอยากที่จะสูญเสียมันไป

    ดอกเตอร์อยากจะไปสอนก็หาทางดูนะ ให้ผมช่วยอะไรก็บอก" ท่าทางของท่านเปลี่ยนไปจริงๆ

    อำนาจ หาใช่สิ่งที่ยั่งยืนจริง มาแล้วก็ไป ผมเห็นอดีตปลัดกระทรวงมาเดินในกระทรวงหลังเกษียณ คนก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่รองปลัดเก่าๆบางท่านที่เป็นคนดีมีน้ำใจมากี่ครั้งก็มีแตคนไปรับไปห้อม ล้อม รัฐมนตรีก็เหมือนกันครับบางท่านมาตามใบสั่ง ใช้อำนาจมากคนก็เกลียดเมื่อจากไปก็ไม่มีใครสนใจใคร่จะจำ

    .....

    ผม นั่งหาคำตอบให้กับชีวิตวันแล้ววันเล่า เวลาผ่านไปจะ 4 ปีแล้ว ผมได้ทำอะไรไปบ้าง ผมอยากตีพิมพ์งานวิจัยก็เพิ่งทำไปได้นิดหน่อยเอง เพราะต้องตามท่านไปตลอด ไม่มีเวลามาเขียน อยากออกหนังสือก็ยังไม่ได้ทำเลย ผมคิดว่าหากผมยังไม่ได้ทำในสิ่งที่ผมต้องการแล้วพรุ่งนี้ผมโดนรถชนตาย ชีวิตผมก็จบ อะไรละคือ .....

    ปัจจัยหลักในชีวิตของผม?

    ผมจะ มาทำตัวเช้าชามเย็นชามในกระทรวงทำไมในเมื่อผมก็เกลียดตัวเองที่ไร้ค่า ตาสีตาสายายมายายเมี้ยนก็ต้องตำหนิในสิ่งที่ผมเป็น ผมเลือกชีวิตผมได้เองนะ แต่ต้องเป็นชีวิตที่ไม่สร้างปัญหาให้ใคร ผมเลือกที่จะทำสิ่งที่เหมาะกับผม เพราผมไม่อยาก "หมดอายุ"" ไปซะก่อน สิ่งที่ผมทำอาจไม่ถูกในสายตาของคนที่บอกว่า

    "ฉันเสียภาษีให้แกไปเรียน แกต้องกลับมาทำงานและไปไหนไม่ได้นะ"

    "ทำไมจบตั้ง Ph.D. แต่ไม่มองวิกฤตให้เป็นโอกาส เสียดายจัง คุณมองอะไรแคบไป โอกาสมาแล้ว"

    แต่ ตอนนี้สำหรับผม "What the..? คนกลุ่มนี้จะพูดอะไรก็ช่างเขาเขาคิดแบบเขาได้ ผมก็คิดแบบผมได้ เราตีความชีวิตต่างกันครับ

    ใน ที่สุดการตัดสินใจครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้น ผมเลือกที่จะใช้เงินคืนให้หลวงในส่วนที่เหลืออยู่ ในเมื่อผมไม่สามารถโอนตำแหน่งไปได้ ผมจะไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยรัฐที่ต่างจังหวัดแห่งหนึ่งครับซึ่งได้มีการ คุยกับทางมหาวิทยาลัยแล้ว ทางมหาวิทยาลัยเองก็ยินดีครับเพราะละแวกนั้นคนไม่ค่อยอยากไปกันเท่าไร ที่สำคัญผมย้ำในจุดยืนเรื่องการตีพิมพ์งานวิจัยว่าเป็นเป้าประสงค์ที่เรา ต้องทำร่วมกัน ซึ่งทางภาควิชาก็ดูจะสนับสนุนผมสุดแรงเกิด

    ผมเชื่อว่า ปัจจัยหลักในชีวิตของผมคือ การได้ทำงานวิจัยที่ผมรักและได้สอนหนังสือครับผม การที่ผมจะจ่ายเงินคืนให้ทางราชการผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมคิดถูกหรือผิด ผมรู้แต่ว่าการที่ผม นักเรียนทุน ก.พ. กลายเป็นขยะในกระทรวงนั้นผิด การที่ผมหมดอาลัยตายอยากกับการทำงานนั้นผิด การที่ผมโทษโน่นโทษนี่แล้วไม่ยอมทำอะไรเลยนั้นผิด และผมจะไม่ยอมผิดอีก ลากันทีกระทรวงขอบคุณสำหรับประสบการณ์อันแสนดีในชีวิต ลาก่อนครับท่าน ผมจะพาท่านไปสตาร์บัคส์ก่อนผมออกท่านจะได้รู้ว่า
    "การกินกาแฟให้อร่อยนั้นคนชงต้องชงอย่างมีความสุข"

    .....

    ประกาศ สำนักงาน ก.พ. เรื่อง การรับข้าราชการพันธุ์ใหม่ และการรายงานตัวนักเรียนทุนรัฐบาลตามความต้องการของกระทรวง..... ผมเห็นน้องคนนึงถือหนังสือราชการหัวครุฑเดินเข้ามาในกระทรวง

    "พี่ ครับ ผมมาจากสำนักงาน ก.พ. ครับ เป้นนักเรียนทุนจบปริญญาเอกเพิ่งกลับมาจากอเมริกาครับ เห็นคนในกระทรวงบอกให้ผมมาคุยกับพี่ เพราะพี่กำลังจะไปแล้ว มีอะไรเล่าให้ผมฟังบ้างครับเกี่ยวกับระบบราชการ ผมว่านักเรียนทุนก.พ. อย่างเราต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ใช่ไหมพี่"

    ผมยิ้มครับแล้วบอกน้องนักเรียนทุน ก.พ. ว่า

    "แล้วน้องจะรู้เองครับ"

    ---------------------นักเรียนทุน ก.พ.ปลื้ม จบ------------

    จากคุณ : ปัจจยหลักในชีวิต - [ 14 พ.ย. 49 12:31:11 A:203.146.57.28 X: TicketID:001651 ] 

    http://topicstock.pantip.com/klaibann/topicstock/2006/11/H4872509/H4872509.html

    แหล่งที่มา  http://tom22487.multiply.com/journal/item/40/40

    จบไปเรื่องที่หนึ่ง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×