คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ❥ Trick 05 | Who are you?
❥ Trick 05 | Who are you?
นัยน์ตาสีม่วงเข้มวาววับเป็นอวัยวะลำดับต้นๆ ที่จินอูไม่ชอบใจนัก เขาชอบนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของตัวเองเสียมากกว่า นัยน์ตาที่เหมือนกับต้องคำสาป คำสาปที่เขาเองไม่มีทางหนีพ้น
ไม่ว่าจะพยายามมากเท่าไหร่
แวมไพร์ก็แค่เบี้ยล่างของพวกปีศาจอยู่ดี
ไม่ต่างอะไรกับการโดนกลืนกินจิตวิญญาณ
เผ่าพันธุ์แวมไพร์มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อรับใช้พวกปีศาจเท่านั้น จินอูไม่ได้จงรักภักดีกับปีศาจพวกนั้น
หากแต่เขาเองก็ไม่สามารถหลีกหนีได้เช่นกัน เลยต้องจำยอมเพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอด
ไม่ใช่แค่มนุษย์ที่ต้องการมีชีวิต
พวกเขาก็เช่นกัน
“คนโปรดมาหาน่ะ” เสียงของซึงยูนเรียกให้จินอูหันไปมอง
คนตัวเล็กพยักหน้าเบาๆ รอยยิ้มถูกวาดขึ้นบนริมฝีปากสวย
ไม่ใช่รอยยิ้มเยาะ
ไม่ใช่รอยยิ้มที่ใช้เวลาหลอกล่อเหยื่อ ไม่ใช่รอยยิ้มแค่นยิ้ม
หากแต่เป็นรอยยิ้มที่มาจากใจจริง รอยยิ้มที่มีให้กับ ‘เด็กคนนี้’ เสมอ
“สวัสดีครับพี่จินอู”
เสียงใสเอ่ย จินอูเดินไปดึงมืออีกคนให้มานั่งด้วยกัน
หยิบแก้วไวน์ที่บรรจุของเหลวสีแดงสดให้ อีกคนหลับตาลงเล็กน้อย
จินอูรู้ดีว่าอีกคนไม่กล้าที่จะรับ หรือเอาเข้าจริงๆ แล้วไม่อยากรับนั่นแหละ
แต่จินอูก็รู้ดี
หากไม่ได้เลือดแก้วนี้ พลังงานของอีกคนก็คงจะหมดและไม่สามารถกลับไปทำภารกิจได้
เพราะแบบนั้นไม่ว่าจะยังไงเขาก็ต้องดื่มเลือดแก้วนี้
คนตัวเล็กยัดแก้วใส่มือของอีกคน มองด้วยสายตาดุๆ
แบบที่ทำให้อีกคนจำต้องยอมรับแก้วไปดื่ม
เลือดสีแดงสดที่ไหลผ่านลำคอทำให้นัยน์ตาสีน้ำตาลกลายเป็นสีม่วงเข้มเฉกเช่นเดียวกับของเขา
เขี้ยวผุดขึ้นที่ริมฝีปาก และลำคอก็ปูดโปนด้วยเส้นเลือด
เลือดในแก้วไม่ได้รสชาติดีเท่ากับดื่มจากคอสดๆ
แต่ในฐานะนั้น
เขาก็ทำได้เพียงแค่ต้องคอยเติมพลังตนเองด้วยเลือดที่ได้รับจากจินอูเพียงเท่านั้น
“เป็นยังไงบ้าง”
จินอูเอ่ยถามพลางมองดูอีกคนที่ยกหลังมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก นัยน์ตาที่ดูเหม่อลอยนั่นเป็นสิ่งที่เขาเห็นจนชินตา
จินอูเลื่อนนิ้วไปลูบเบาๆ ที่เปลือกตาของอีกคน
พลางมองสบตากับนัยน์ตาสีม่วงเข้มสีเดียวกันกับสีตาของเขา
แน่นอนมันเป็นอวัยวะที่อีกคนไม่ชอบเช่นกัน
ไม่สิ
เกลียดเลยล่ะ
แวมไพร์ที่มีนัยน์ตาสีม่วงเข้มมีแค่สองคนเท่านั้น
มันเป็นนัยน์ตาที่คังซึงยูนรู้สึกอิจฉา เพราะมันช่างดูเต็มไปด้วยพลังและงดงาม
หากแต่ผู้ที่ได้ครอบครองมันทั้งสองคนกลับไม่รู้สึกชอบใจนัก ยิ่งกับคนคนนี้ ทุกๆ
ครั้งที่เขามาหาจินอู ซึงยูนจะรู้สึกว่าจินอูยิ้มได้กว้างกว่าปกติ ใจเย็นลง และไม่หลงเหลือความน่าเกรงขามอะไรเลยสักนิด
ทั้งที่จริงแล้วเขาเป็นถึงต้นตระกูล
ซึงยูนรู้ดีว่าจินอูรักคนคนนี้มากแค่ไหน
ถึงเขาจะเห็นสองคนนี้อยู่ด้วยกันบ่อยแค่ไหน
ถึงจะเห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ออกมาจากใจมากแค่ไหน
แต่เขากลับไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านั้นจากอีกคนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
มีแค่นัยน์ตาสีม่วงเข้มที่ดูเศร้าสร้อย
กับริมฝีปากที่ปิดสนิทเพียงเท่านั้น..
ร่างกายที่ดูผอมลงเล็กน้อยของอีกคนไม่ได้ทำให้จินอูแปลกใจนัก
เขายกมือขึ้นลูบเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนอย่างเบามือ
“ลำบากมากเลยสินะ”
“..ครับ”
เสียงใสที่ตอบกลับมาเรียกรอยยิ้มน้อยๆ จากจินอูได้อีกครั้ง เขาคว้าร่างของอีกคนมากอดไว้ ลูบแผ่นหลังไปมาอย่างเบามือ
“ช่วยอดทนอีกหน่อยละกันนะ”
“ผม…”
ไม่ให้อีกคนได้พูดอะไร
จินอูเลื่อนนิ้วไปแตะริมฝีปากอย่างเบามือก่อนจะยกมืออีกข้างขึ้นลูบเปลือกตาเบาๆ
เขี้ยวที่ริมฝีปากหายไป เช่นเดียวกับที่นัยน์ตาสีม่วงเข้มก็กลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนดังเดิม
ดาดฟ้าที่ตอนนี้กลายเป็นของส่วนตัวของยมทูตหนุ่มไปเสียแล้ว
เจ้าตัวเอนตัวลงนอนหนุนแขนตัวเอง
มองท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้าอ่อนและแสงอาทิตย์ที่เจิดจ้า
ห้วงหนึ่งในความคิดกลับมีใบหน้าของอีกคนแทรกขึ้นมา ใบหน้าน่ารักกับน้ำเสียงใสๆ ที่ชอบโวยวายนั่น
ริมฝีปากขยับยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
บีไอหยิบฟิกเกอร์รูปวัวขึ้นมามองก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้ให้เจ้าฟิกเกอร์ตัวนี้กับเจ้าของของมันเลย
หรือบางที
จินฮวานอาจจะซื้อใหม่ไปแล้วก็ได้
“บีไอ”
เสียงทุ้มห้าวที่ดังขึ้นไม่ใช่เสียงที่คุ้นเคย แต่ก็ไม่เชิงเป็นเสียงที่เขารู้จัก
ชื่อที่ถูกเรียกไม่ใช่ชื่อที่คนทั่วไปเรียก บีไอผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
แล้วก็อย่างที่คาด คนตรงหน้าเป็นคนที่เขารู้จัก เพียงแค่ไม่คุ้นเคยก็เท่านั้น
สิบสุดยอดยมทูตลำดับที่ห้า
ซงมินโฮ
เร็วกว่าความคิด บีไอพุ่งเข้าไปคว้าคอเสื้อของอีกคนเอาไว้
แต่อีกคนกลับทำเพียงแค่ยืนนิ่งเพียงเท่านั้น
ไม่ใช่เหมือนที่เคยเจอกันก่อนหน้านี้
บีไอรู้ดีว่าพลังของมินโฮนั้นมากมายมหาศาลแค่ไหน เจ้าของพลังรูนแค่อาชาที่เคยเจอ
เพียงแค่ยืนอยู่นิ่งๆ ก็สามารถป้องกันเขาที่พุ่งเข้าโจมตีได้ง่ายๆ
แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป มินโฮไม่ได้ระเบิดพลังเพื่อป้องกันอยู่ทุกที
ร่างกายกำยำที่เซเล็กน้อยเพราะโดนบีไอพุ่งเข้าใส่นั่นบ่งบอกได้อย่างดี
มือลดกำลังลงพลางมองสบตากับอีกคนนิ่ง
คนตัวใหญ่กว่าพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเอ่ย
“ฉันแค่อยากมาคุยด้วย”
“ฉันไม่มีอะไรต้องคุยกับแก”
“เรื่องของคิมฮันบิน”
ชื่อของน้องชายฝาแฝดทำให้บีไอคลายมือออกจากคอของอีกคน
นัยน์ตาแข็งกร้าวขึ้น เขาไม่รู้ว่ามินโฮมีอะไรกับน้องชายของเขา แต่ที่แน่ๆ
ยมทูตตนนี้ก็คงไม่ได้คิดอยากทำร้ายน้องชายของเขาเหมือนไอ้ยมทูตลำดับที่เจ็ดนั่นหรอก!
ถึงยังไงก็ยังวางใจไม่ได้อยู่ดี บีไอไม่เชื่อใจใครทั้งนั้นโดยเฉพาะพวกสิบสุดยอดยมฑูต!
“ว่าธุระของแกมา”
บีไอเอ่ยเสียงต่ำ ถอยห่างออกจากตัวของอีกคน
มินโฮทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นดาดฟ้าก่อนจะเอ่ยคำพูดด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย
“ฉันอยากดูแลฮันบิน”
“ว่าไงนะ?!”
คำพูดที่หลุดออกจากปากไม่ใช่เพียงเพื่ออยากได้ยินประโยคซ้ำอีกครั้ง
แต่มันเป็นเพราะว่าเขาไม่เข้าใจว่าอีกคนกล้าพูดมันต่อหน้าเขาได้ยังไง
“ใจเย็นก่อน”
มินโฮยกมือห้ามเมื่อเห็นอีกคนเริ่มแสดงท่าทางไม่พอใจ
ใบหน้าที่เหมือนกันกับฮันบินไม่มีผิดทำให้เขาไม่อยากสู้กับคนคนนี้สักเท่าไหร่
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงแปลกใจที่ฮันบินต่างกับคนคนนี้มากมายมากถึงขนาดนี้
ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า
ดวงตา ริมฝีปาก สีตา สีผม
หรือแม้แต่ส่วนสูงและร่างกายก็ถอดแบบออกมาเหมือนกันไม่มีผิด
สิ่งที่แฝดพี่น้องคู่นี้ไม่เหมือนกันเลยก็คือนิสัย ความคิด
แล้วก็ความกล้าเท่านั้นเอง
บีไอแข็งแกร่ง
มองแค่ครั้งเดียวมินโฮก็รู้ เขาสัมผัสได้ว่ายมฑูตตนนี้ไม่ธรรมดา
สัมผัสที่คอเสื้อทั้งเมื่อตอนนั้นและครั้งนี้ไม่ใช่พลังที่อ่อนแอเลยสักนิด
ไหนจะสายตาที่แข็งกร้าว น้ำเสียงที่ห้าวหาญนั่นก็ด้วย
ทุกอย่างที่รวมกันเป็นบีไอช่างดูมีพลังอย่างน่าประหลาด
แต่กับเด็กคนนั้น
คิมฮันบิน ยิ่งได้เข้าใกล้มากเท่าไหร่ยิ่งค้นพบว่าช่างเปราะบางและน่าทะนุถนอมเสียเหลือเกิน
ไม่มีความแข็งกร้าวเหมือนกับพี่ชายของตนเองเลยสักนิด
“ไม่ต้องมายุ่งกับน้องชายของฉัน!”
ประโยคถูกเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ มินโฮแค่นหัวเราะ
เขาได้ยินคำพูดนี้จากไอ้ยมทูตตนนั้นไม่พอ ยังมาได้ยินจากปากของยมทูตอวดดีตนนี้อีก
ให้ตายสิ
คิมฮันบินจะฮอตไปไหนนะ
“ก็อยากยุ่ง แต่ทำไม่ได้”
“หมายความว่าไง?”
“มีคนพูดประโยคเดียวกับนายเลยล่ะ”
มินโฮแค่นหัวเราะเมื่อมองหน้าอีกคนที่ขมวดคิ้วเป็นปม
พนันได้เลยว่าบีไอรู้ว่าอีกคนที่เขาหมายถึงคือใคร คนที่อยู่รอบๆ
ตัวของคิมฮันบินน่ะ ไม่มีใครหรอกที่บีไอไม่รู้
“น้องฉัน ฉันดูแลเองได้”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็ต้องไปคุยกับยมทูตลำดับห้าเองแล้วล่ะ”
คิ้วเรียวเข้มขมวดเข้าหากันหนักกว่าเดิมเสียอีก
ทำไมมินโฮถึงพูดว่าจีวอนเป็นยมทูตลำดับที่ห้าทั้งๆ ที่ยมทูตลำดับที่ห้าก็คือตัวของเขาเองนั่นแหละ
ราวกับอีกคนจะรู้ความคิดของเขา
เสียงเข้มเอ่ยอีกครั้งด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
“ยมทูตลำดับที่ห้าคนใหม่ ‘คิมจีวอน’”
คนใหม่?!
การที่ยมฑูตลำดับที่เจ็ดเลื่อนขึ้นมาเป็นลำดับที่ห้านั่นหมายความว่าเขาต้องชนะการต่อสู้กับเจ้าของตำแหน่งนั้นเสียก่อน
ในเมื่อยมทูตลำดับที่ห้าคือซงมินโฮ
นั่นสรุปได้อย่างเดียวว่าจีวอนต้องชนะการต่อสู้กับมินโฮแน่นอน!
“และเดิมพันคือ ‘คิมฮันบิน’”
นัยน์ตาคมเข้มสีดำสนิทแข็งกร้าวขึ้นทันทีที่จบประโยค
แสงสีฟ้าที่แปล่งขึ้นบนหลังมือทำให้มินโฮมองด้วยความสงสัย ตาเพ่งมองสัญลักษณ์บนหลังมือนั่น
สัญลักษณ์ที่ซานดาร่าบอกว่ามันคือรูนแห่งความว่างเปล่า
สัญลักษณ์รูนที่ไม่เคยปรากฏในรอบร้อยปี
มินโฮไม่อยากเชื่อ
แต่เขาก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าสัญลักษณ์รูนบนหลังฝ่ามือนั้นเขาไม่เคยเห็นมันเลยจริงๆ
ไหนจะความกดดันจากพลังมากมายจากคนคนนี้อีก ไอเย็นๆ ที่แผ่ออกมาจากตัวดูคล้ายกับจีวอนมาก
เพียงแต่ของฮันบินกลับดูร้อนรนเสียมากกว่า
บีไอ คิมฮันบิน
พวกนายไม่ใช่เพียงแค่ยมทูตธรรมดาจริงๆ..
‘มาเจอกันหน่อย’
ประโยคสั้นๆ ที่ถูกส่งมาทำให้จินฮวานขมวดคิ้วมุ่น
เขาเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า กวาดหนังสือทั้งหมดลงและสะพายเตรียมออกจากห้อง
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมฮันบินถึงได้พูดแบบนั้นเมื่อตอนนั้น
แต่เขาเองก็กลัวเกินกว่าที่จะถาม
สัมผัสร้ายกาจและการกระทำที่ป่าเถื่อนยังคงติดค้างอยู่ในความรู้สึก
จินฮวานถึงไม่อยากจะต่อกรอะไรกับฮันบินอีก
กลัวจนเกินกว่าคิดจะดื้อดึง…
“พี่จินฮวาน!”
เสียงร้องเรียกทำให้จินฮวานหันไปมอง ชานอูก้มลงหอบก่อนจะส่งไม้อันเล็กๆ
ให้ มันเป็นแท่งไม้ที่มีขนาดพอๆ กับไม้ไอติม แต่เป็นสีดำขลับ ตรงปลายด้ามมีรูเล็กๆ
และถูกร้อยด้วยเชือกสีขาว จินฮวานรับมาถือไว้ก่อนจะมองหน้าอีกคนด้วยความสงสัย
“วันนี้พี่แทฮยอนต้องเข้าประชุม เลยฝากผมเอาไอ้นี่มาให้”
“แล้วมันคืออะไรหรอ?”
“มันก็คล้ายๆ กับเครื่องรางนั่นแหละ
เพียงแต่เจ้านี่มันสามารถเรียกเทพออกมาคุ้มครองพี่ได้เลยยังไงล่ะ”
คำอธิบายของชานอูไม่ได้ช่วยให้คนตัวเล็กคลายความสงสัยลงเลย
ชานอูถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะคว้าสร้อยที่ยังอยู่ในมือของอีกคน จัดการหมุนคนตัวเล็กให้หันหลังก่อนจะสวมเชือกสีขาวลงบนคอ
แท่งไม้สีดำเปล่งประกายสีเหลืองเพียงชั่วครู่ก่อนจะวูบลง
“ใส่มันไว้แบบนั้นแหละครับ
พอมีอันตรายมันจะช่วยพี่ได้”
พ่อมดหนุ่มถอนหายใจเบาๆ
อีกครั้ง ยกมือขึ้นกุมหัวตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ
คลี่ยิ้มเมื่อภายในหัวคิดคำอธิบายออก
“งั้นเดี๋ยวผมทำให้ดู”
ว่าจบก็วนมือในอากาศ แสงสีแดงปรากฏขึ้น
ชานอูยิ้มก่อนจะออกแรงผลักพลังนั้นใส่จินฮวาน คนตัวเล็กเบิกตากว้างอย่างตกใจ
เขายกมือขึ้นป้องใบหน้าตัวเองเอาไว้ กลั้นหายใจพลางหลับตาปี๋อย่างทำอะไรไม่ถูก
“เล่นบ้าอะไรวะจองชานอู!”
เสียงที่แสนคุ้นเคยดังขึ้น จินฮวานค่อยๆ ลืมตา
ก่อนจะเห็นว่าแทฮยอนถือพลังสีแดงของชานอูเอาไว้
เจ้าตัวกำพลังนั้นแน่นจนสลายหายไปและหันมาเผชิญหน้ากับเพื่อนตัวเล็กที่ยืนตัวสั่นอยู่ข้างหลัง
“ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
จินฮวานพยักหน้ารัวๆ เพิ่งสังเกตเห็นว่าแสงสีเหลืองที่คอเปล่งแสงจ้า
ก่อนจะค่อยๆ จางลงเมื่อแทฮยอนเอื้อมมือมาลูบหัวเขาอย่างเบามือ
“ผมก็แค่อยากให้พี่จินฮวานรู้ว่าไอ้เจ้านั่นมันปกป้องเขาแบบนี้”
“ด้วยการทำร้ายเนี่ยนะ นายนี่มัน!”
“พอเถอะ ฉันไม่เป็นไรนี่นา”
จินฮวานรีบห้ามทัพก่อนที่ชานอูจะโดนแทฮยอนต่อว่าไปมากกว่านี้
คนตัวเล็กหลุดหัวเราะเบาๆ ยื่นมือไปดึงมือเพื่อนสนิทมากุมไว้ก่อนจะเอ่ย
“ขอบคุณนะที่มาช่วย”
“เจ้านี่น่ะ จะเรียกฉันมาเวลาที่นายมีอันตราย
เวลาคับขันฉันจะถูกดึงมาอยู่จุดที่นายอยู่ได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ใช่ว่าจะต้องคับขันซะทีเดียว”
แทฮยอนเอื้อมมือไปลูบแท่งไม้เบาๆ แสงสีเหลืองค่อยๆ เปล่งประกายขึ้น
“เวลาที่นายอยากเรียกฉันเพราะรู้สึกไม่ปลอดภัยล่ะก็
นายก็ทำเพียงแค่ลูบแท่งไม้นี้จนแสงสีเหลืองนี่มันสว่างจ้า แล้วฉันก็จะมาหานาย”
“แต่ว่า ...มันรบกวนนายหรือเปล่า?”
คนตัวเล็กก้มหน้าลงนิ่ง เลื่อนมือไปสัมผัสเบาๆ ที่แท่งไม้บนคอตนเอง
เขารู้ว่าแทฮยอนเป็นห่วงเขาถึงได้ให้สิ่งนี้ไว้กับเขา
แต่จินฮวานเองก็เกรงใจมากเกินกว่าที่จะรับมันไว้ เขาไม่ได้อยากรบกวนแทฮยอนเลย
ลำพังแค่ตอนนี้แทฮยอนก็ยุ่งจนแทบจะไม่มีเวลาอยู่แล้ว ยังต้องมาคอยเป็นห่วง คอยดูแลมนุษย์อ่อนแอแบบเขาอีก
“เลิกคิดแบบนั้นซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะโกรธแล้วนะ”
น้ำเสียงดุๆ ของแทฮยอนเรียกให้จินฮวานเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิท
นัยน์ตาสีน้ำตาลสั่นไหวเล็กน้อย
เห็นแบบนั้นแล้วแทฮยอนก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบศีรษะอีกครั้งอย่างปลอบโยน
จินฮวานเป็นคนขี้เกรงใจและมักจะห่วงเขาเสมอ
เพราะแบบนั้นเขาเลยอยากปกป้องให้มากกว่านี้
ยิ่งในตอนนี้ที่ภายในโรงเรียนมีแต่เรื่องวุ่นวายเต็มไปหมดยิ่งต้องระวัง
จินฮวานเป็นเพียงแค่มนุษย์ หนำซ้ำยังเป็นคนที่พัวพันกับทั้งแวมไพร์ ทั้งพ่อมด
ทั้งยมทูต ทั้งมนุษย์หมาป่า และไม่แน่ว่าอาจจะลามไปถึงเจ้าพวกปีศาจนั่นด้วย
แทฮยอนเองก็วุ่นวายกับการต้องดูและจัดการเรื่องของสภานักเรียน
เรื่องของพวกพ่อมดและมนุษย์คนอื่นๆ ในโรงเรียนเช่นเดียวกัน
พักนี้เขาเลยยุ่งมากจนไม่มีเวลาตามไปดูแลจินฮวานได้เหมือนกัน
สิ่งที่เขาทำได้ก็เลยมีเพียงแค่การสั่งให้ชานอูคอยตามดูแลห่างๆ
และให้เครื่องรางนี้กับจินฮวานด้วย
“แล้วนี่นายไปประชุมไม่ใช่หรอ?”
เสียงใสๆ ของจินฮวานเรียกสติของเขาให้กลับมา แทฮยอนเบิกตากว้างอย่างตกใจ
ใช่สิ! เมื่อกี้เขากำลังประชุมอยู่ แล้วจู่ๆ
ก็โดนดึงตัวมาเพราะไอ้รุ่นน้องตัวดีที่อยากจะทดสอบอะไรบ้าบอ
“เออใช่ งั้นฉันไปก่อนนะ”
ว่าพลางเตรียมหมุนตัว
แต่ก็ไม่วายหันมาขยี้หัวเพื่อนสนิทพลางเอ่ยคำสั่งอีกด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง
“แล้วก็รีบกลับห้องล่ะ
มีเรื่องอะไรก็เรียกฉันได้ตลอดนะ”
อา… รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมากเลยแฮะ
สองขาเล็กก้าวอย่างรวดเร็ว
มือเล็กออกแรงผลักประตูดาดฟ้าก่อนจะวิ่งไปหาคนที่กำลังนั่งพิงกำแพงอยู่
ควันสีเทาหม่นที่เขาเห็นจนชินตาถูกพ่นออกจากริมฝีปากของอีกคน
คนรออยู่ก่อนแล้วหันมามองหน้าเขาด้วยแววตาเรียบเฉย
จินฮวานกระแอมไอเล็กน้อยเพราะทำตัวไม่ถูกก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ อีกคน
“สูบบุหรี่มันไม่ดีจริงๆ นะ”
ไม่รู้ว่าควรเริ่มบทสนทนายังไง แต่ความเงียบมันทำให้เขาอึดอัด
เพราะแบบนั้นจินฮวานเลยพูดออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
เขาไม่ได้อยากยุ่งสักเท่าไหร่
อาจจะเป็นเพราะว่าครั้งที่แล้วที่เขาพูดทำให้ฮันบินไม่พอใจก็ได้
แต่พอได้เห็นสมองมันก็สั่งให้ริมฝีปากขยับพูดออกไปเสียแล้ว
ปากไม่ดีจริงๆ
เลยคิมจินฮวาน!
“โอเค”
เหนือความคาดหมาย! ฮันบินทิ้งบุหรี่ลงกับพื้นก่อนจะใช้เท้าขยี้มันจนแหลกละเอียด จินฮวานได้แต่เบิกตากว้างอย่างตกใจ ฮันบินไม่ดุเขาเหมือนทุกที แถมยังยอมทำตามคำพูดของเขาอีกต่างหาก มันเกิดอะไรขึ้นกับยมฑูตอวดดีคนนี้กัน
“ผมไม่ได้ชอบมันเท่าไหร่หรอก”
“แล้วทำไมถึงสูบล่ะ?”
อยากจะตีปากตัวเองอีกหลายๆ ทีเหลือเกิน! ไม่ใช่เรื่องที่ควรถามออกไปเลยสักนิด
คิมฮันบินจะโกรธหรือเปล่าที่เขาก้าวก่ายกับเรื่องส่วนตัว
จินฮวานได้แต่นั่งกังวลกับสิ่งที่พูดไปจนกระทั่งเสียงทุ้มๆ ของอีกคนเอ่ยขึ้น
“แค่ปากว่าง”
จินฮวานเงยหน้าขึ้นมองสบตากับอีกคนที่มองมานิ่งๆ
นัยน์ตาคู่นั้นดูแตกต่างไปจากทุกที
ปกติแล้วฮันบินเป็นคนที่ไม่แสดงความรู้สึกอะไรผ่านสีหน้าหรือแววตา
แต่ตอนนี้จินฮวานกลับสัมผัสได้เลยว่าคนตรงหน้ากำลังมีเรื่องไม่สบายใจอยู่
นัยน์ตาที่เคยเย็นชาตอนนี้กลับมีแววของความกังวลอยู่
แม้แต่คนเย่อหยิ่งแบบเขาก็ยังกังวลเป็น
อาจเป็นเพราะสายตาที่ดูกังวลคู่นั้น
จินฮวานคลายความกลัวลง เขาไม่ได้รู้สึกกลัวฮันบินเท่าที่ควรจะเป็น
มือเล็กเลื่อนไปสัมผัสมืออีกคนอย่างเบามือ ไอเย็นจากฝ่ามือของอีกคนในตอนนี้ไม่ได้ดูเย็นจัดเป็นน้ำแข็งเหมือนกับครั้งก่อนๆ
จินฮวานลูบไปมาเบาๆ มือที่เคยเย็นเฉียบก็กลับอุ่นมากขึ้น
บีไอมองหน้าอีกคนนิ่ง
เขาไม่ปฎิเสธสัมผัสของจินฮวาน แต่ก็พูดได้ไม่เต็มคำนักว่ารู้สึกดี
สัมผัสของจินฮวานช่วยให้ความร้อนรนภายในใจของเขาเย็นลงได้อย่างน่าประหลาดใจ
แต่ความรู้สึกวาบหวิวที่เกิดขึ้นก็เป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถอธิบายได้
ไม่ได้รังเกียจ
แต่ก็ไม่ชอบใจนัก
“อย่าบอกว่าฉันก้าวก่ายเลย นายในตอนนี้น่ะ
กำลังมีเรื่องไม่สบายใจ”
เสียงใสเอ่ยขึ้น บีไอนิ่งไป
เขาไม่ชอบเวลาที่มีคนพยายามอ่านสิ่งที่เขากำลังคิด หรือสิ่งที่เขากำลังเป็น เขาเกลียดการให้คนอื่นล่วงรู้ความรู้สึก
เพราะการกระทำแบบนั้นเป็นการกระทำของคนอ่อนแอ แต่น่าแปลก
เขาไม่ได้รู้สึกเกลียดอะไรที่จินฮวานรู้ว่าเขามีเรื่องกังวลใจ
“คุณ …เป็นใครกันแน่”
…ทำไมมีอิทธิพลต่อผม
ไม่รอให้อีกคนได้ตอบอะไร ร่างทั้งร่างถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดอย่างรวดเร็ว
จินฮวานได้แต่นั่งตัวแข็งที่อและปล่อยให้อีกคนพันธนาการด้วยอ้อมแขนแกร่ง
บีไอกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ไออุ่นจากร่างกายของอีกคนทำให้สงบลงได้อย่างน่าประหลาด
แต่ก็ทำให้ภายในใจสั่นไหวได้อย่างน่าประหลาดเช่นกัน
นัยน์ตาสีแดงวาวโรจน์ขณะมองภาพคนตรงหน้าที่กำลังกอดกัน
ริมฝีปากเหยียดยิ้มก่อนจะสะบัดผ้าคลุมสีแดงสดและหายวับไปพร้อมกับความคิดที่ดังก้องในหัว
คิมจินฮวาน
..นายทำผิดกฎ!
❥ To be continued.
Grim Reaper {Click!}
มาสกรีมด้วยกันได้ที่ #ฟิคยมทูตฮันบิน
{Twitter Indydoll.}
ความคิดเห็น