คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ❥ Trick 04 | Smoke and Smile.
❥ Trick 04 | Smoke and Smile.
ไม่ว่าจะคิดรูปแบบไหนก็ไม่ชอบใจเลยสักนิด ทำไมคิมจินอูถึงต้องปลอมตัวเข้ามาในโรงเรียนด้วย และทั้งๆ ที่อุตส่าห์ปลอมตัวมาได้ขนาดนั้นทำไมกลับมาเฉลยง่ายๆ ต่อหน้าเขากัน พวกมันต้องการอะไรจากโรงเรียนนี้กันแน่!
นัยน์ตาสีเหลืองวาววับขึ้นในความมืด
ความรู้สึกกดดันบางอย่างกำลังทำให้เขารู้สึกเหมือนกับสิ่งที่เขากลัวกำลังจะมาถึง
คิมจินฮวานกำลังไม่ปลอดภัย!
ภาพสมุดรายชื่อที่ถูกวาดขึ้นในอากาศ ตัวอักษรที่หายไปของชื่อคิมจินอูยิ่งเป็นสิ่งกระตุ้นความกดดันในใจของเขามากขึ้น
นิ้วเรียวเลื่อนไปรูปตัวอักษรสีทองของรายชื่อมนุษย์คนสุดท้ายก่อนจะพึมพำเสียงแผ่ว
“ฉันจะปกป้องนาย”
“พี่ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”
เสียงขี้เล่นของชานอูดังขึ้น พ่อมดหนุ่มปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพีชายคนสนิทก่อนจะสะบัดมือสลายภาพของรายชื่อนักเรียนให้หายไป
“พูดอะ…”
“พี่ก็รู้ดีว่าพี่ทำแบบนั้นไม่ได้” ชานอูพ่นลมหายใจพรืด
“พวกเราเป็นพ่อมด แต่พี่จินฮวานเป็นมนุษย์นะครับ”
“ฉันรู้”
“งั้นพี่ก็ควรรู้ด้วยว่าเรื่องส่วนตัวของมนุษย์
พ่อมดแบบพวกเราไม่มีสิทธ์เข้าไปก้าวก่าย”
แทฮยอนหลับตาลงแน่นทันทีที่ชานอูเอ่ยอธิบาย เขาไม่อยากจะยอมรับ
แต่เรื่องพวกนั้นก็เป็นเรื่องจริงที่เขาปฎิเสธไม่ได้
ชนเผ่าพ่อมดของพวกเขาเป็นเพียงชนเผ่าที่มีอยู่น้อยนิดในโรงเรียน
เผลอๆ แล้วอาจจะเกือบเท่ากับพวกมนุษย์ที่มีอยู่ในโรงเรียนเลยก็ได้ พวกพ่อมดมีหน้าที่ในการดูแลมนุษย์ที่มีอยู่ในโรงเรียนก็จริง
แต่จะพูดให้ถูกแล้ว พวกเขามีหน้าที่แค่ ‘ควบคุม’ เหล่ามนุษย์พวกนั้นต่างหาก
พวกเขามีหน้าที่แค่ช่วยยมทูตในการจัดการกับความทรงจำของมนุษย์เท่านั้น
จะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องที่จะต้องปกป้องมนุษย์พวกนั้นเลยสักนิด
แต่แทฮยอนเลือกที่ปกป้องจินฮวาน
ในตอนนี้เขาเองก็ทำได้แค่ดูแลจินฮวานเท่าที่จะดูแลได้
แต่เขาเองก็รู้ดี
ว่าเมื่อไหร่ที่จินฮวานมามีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามระหว่างยมฑูตเมื่อไหร่
คนตัวเล็กคนนั้นก็คงไม่พ้นที่จะต้องโดนกำจัดไปด้วย
เพราะการให้มนุษย์มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของยมทูตเป็นเรื่องต้องห้าม!
มือยกบุหรี่ขึ้นจุดสูบอย่างเคยชิน
พ่นควันสีเทาหม่นของมันออกมาพลางมองดูมันด้วยแววตาอ่านยาก
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเป็นปม หน้ายุ่งเสียจนคนข้างๆ ต้องเอ่ยทักอย่างเสียไม่ได้
“หน้ายุ่งขนาดนี้คิดอะไรอยู่?”
“แวมไพร์”
“เมื่อคืนน่ะหรอ?” ซึงฮุนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ
พลางถือวิสาสะหยิบบุหรี่จากกระเป๋าเสื้อของอีกคนมาจุดสูบ
หากแต่ฮันบินกลับไม่ได้โวยวายอะไร เจ้าตัวพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะพ่นลมหายใจ
และขยี้มวนบุหรี่ลงกับพื้น
“ผมมีธุระ”
หยัดยืนเต็มความสูงก่อนจะเปิดประตูดาดฟ้าเดินออกไปโดยไม่เอ่ยแม้แต่คำลา
ซึงฮุนส่ายหน้าเบาๆ พลางพ่นควันบุหรี่ออกจากปาก
คุณมนุษย์หมาป่าจ้องมองกลุ่มควันสีเทาหม่น ไม่รู้ว่าสีของพวกมัน รูปร่าง
หรืออะไรที่ทำให้ฮันบินชอบมอง แต่เขากลับรู้สึกว่ากลุ่มควันสีเทาหม่นพวกนี้ดูคล้ายกับเด็กยมฑูตคนนั้นมากทีเดียว
ทั้งลึกลับ
หมองหม่น
ว่างเปล่า
แต่กลับน่าค้นหา…
“คุณซึงฮุน”
เสียงใสที่เอ่ยเรียกทำให้คุณมนุษย์หมาป่าหันควับไปมองทันที ซึงฮุนเผลอปล่อยมวนบุหรี่ที่คาบอยู่อย่างตกใจ
บ้าชะมัด! มีคนเข้ามาแต่มนุษย์หมาป่าอย่างเขากลับไม่รู้ตัวเลยสักนิด
มัวแต่ครุ่นคิด นี่ถ้าเป็นอันตรายป่านนี้เขาได้กลายเป็นหมาตากแห้งไปแล้วแน่ๆ
“ตกใจหรอครับ ผมขอโทษ”
คนตัวเล็กเอ่ยกล้าๆ กลัวๆ ซึงฮุนส่ายหน้าเบาๆ
พลางส่งยิ้มให้ก่อนจะลุกขึ้นเตรียมจะเดินไปจับมืออีกคนให้มานั่งด้วยกัน
แต่คนตัวเล็กกกลับถอยหนีเสียก่อน
“ฉันไม่ทำอะไรหรอก คุณมนุษย์ผู้แสนน่ารัก”
“แต่ว่า…..”
จินฮวานเผลอก้าวเท้าถอยหนีอีกครั้งเมื่อซึงฮุนยื่นมือมาหา นัยน์ตาคู่สวยสั่นไหวเบาๆ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อว่าซึงฮุนจะไม่ทำอะไร แต่ร่างกายกลับไม่ยอมเชื่อฟังเลยสักนิด
ความรู้สึกหวาดกลัวยังคงเกาะกุมอยู่ภายในใจจนสลัดทิ้งไม่ได้
“กลัวฉันมากเลยหรอ?”
“ผม….”
“ฉันขอโทษนะ” ซึงฮุนเอ่ยเสียงแผ่วก่อนจะเป็นฝ่ายก้าวถอยหลังเสียเอง
จินฮวานตื่นตระหนกกับการกระทำของคนตรงหน้าก่อนเป็นฝ่ายก้าวเท้าเข้าไปหาอีกคนทีละนิด
“ผมแค่ยังไม่ชินกับคุณ”
“อย่าเข้าใกล้ฉันเลย นายกลัวฉันนี่นา”
ซึงฮุนพูดพลางถอยหลังล่นลงไปอีก
จินฮวานเผลอเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าอีกคนถอยจนแทบจะร่วงลงจากดาดฟ้าได้อยู่แล้ว
คนตัวเล็กสาวเท้าเข้าไปหามากขึ้น แต่ซึงฮุนก็ถอยเท้ากลับมากขึ้นเท่าตัว
“หยุดถอยหนีผม!” คนตัวเล็กตวาดเสียงดัง
แต่นั่นทำให้ซึงฮุนตกใจจนเผลอก้าวถอยหลังอีกครั้ง
สัมผัสปลายเท้ากับอากาศที่ว่างเปล่าทำให้คุณมนุษย์หมาป่าถึงกับร้องลั่น
คนตัวเล็กวิ่งไปดึงมืออีกคนไว้ แต่ทว่ากลับไม่ทัน
ร่างทั้งร่างปะทะกับสายลมก่อนจะดิ่งลงพื้นอย่างรวดเร็ว
ตุบ!
“ฮือ….”
เสียงครางเบาๆ จากเจ้าของร่างที่ทับร่างของเขาอยู่ดังขึ้น
ซึงฮุนหลุดหัวเราะออกมาอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะเลื่อนมือหนาไปลูบหัวคนตัวเล็กกว่าเบาๆ
“กลัวขนาดนั้นเลยหรอ”
“คุณมันบ้า!” ว่าพลางทุบอกของคนที่ตนทับอยู่ “ผมบอกว่าอย่าถอยหนีไง ตกลงมาทั้งคู่แล้ว ฮือ ผมยังไม่อยากตาย
ผมยังซื้อฟิกเกอร์ไม่ครบเลย ผมยังไม่ได้บอกแทฮยอนเลย ฮือๆๆ”
จินฮวานตีโพยตีพายยกใหญ่ มือเล็กๆ
นั่นระดมฟาดรัวที่แผ่นอกของอีกคนพลางพึมพำคำเดิมซ้ำไปซ้ำมาว่าไม่อยากตายแบบนู้นแบบนี้
ปฏิกิริยาแบบนั้นทำเอาคุณมนุษย์หมาป่าหัวเราะลั่นทันที
อะไรมันจะน่าเอ็นดูขนาดนี้กันนะ…
“คุณมนุษย์ผู้แสนน่ารัก”
“ฮือๆๆๆๆๆๆ”
“ตั้งสติหน่อยครับ เรายังไม่ตายนะ”
“ฮึก….”
จินฮวานหยุดมือที่ระดมทุบอกอีกคน
คนตัวเล็กชะงักไปชั่วครู่ นัยน์ตาที่มีหยดน้ำคลอบางๆ
ทำให้ซึงฮุนอดไม่ได้ที่จะไล้นิ้วเรียวเพื่อไหล่หยดน้ำนั้นออกไป
ริมฝีปากบางจิ้มลิ้มค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา ก่อนจะกลายเป็นยิ้มกว้างที่แสนสดใส
“เย้! ผมยังไม่ตาย”
“…….”
“ขอบคุณครับ”
รอยยิ้มนั่น…
ซึงฮุนชะงักไป รอยยิ้มของคนตรงหน้าเริ่มกว้างและสดใสขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่พูดขอบคุณเขาวนไปวนมา มือเล็กๆ นั่นก็เขย่ามือของเขาเบาๆ
นัยน์ตาที่เคยมีหยดน้ำคลอบางๆ บัดนี้กลับแวววาวและสุกใสกว่าที่เขาเคยเห็น
ราวกับแสงอาทิตย์ยามเช้า…
**
อีซึงฮุนเป็นมนุษย์หมาป่า
มนุษย์หมาป่าเกลียดแสงอาทิตย์พอๆ
กับพวกแวมไพร์ที่เป็นศัตรูกับแสงอาทิตย์นั่นแหละ
มนุษย์หมาป่าเป็นผ่าพันธุ์ที่รักความสงบ ชอบพื้นที่มืดมิดไร้แสง เพราะเมื่อเหตุใดที่มีแสงในความมืดมิดนั้น
พวกเขาจะต้องกลายร่างอย่างเจ็บปวด ผู้ที่กลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าเป็นเพราะถูกสาปหรือเกิดจากอุบัติเหตุที่น่าสยดสยอง
บุคคลนั้นต้องกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าทุกค่ำคืน
หรือในทุกวันพระจันทร์เต็มดวงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
วิธีเดียวที่จะหยุดการกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าได้ คือ ความตายเท่านั้น
แสงแค่น้อยนิดจากพระจันทร์เต็มดวงมีอิทธิพลมากมายเหลือเกินกับพวกเขา
นั่นทำให้มนุษย์หมาป่าเกลียดแสงที่ส่องสว่างมากเป็นที่สุด
อีซึงฮุนก็เหมือนมนุษย์หมาป่าทั่วๆ ไป
เขาไม่อยากมีเผ่าพันธุ์แบบนี้นักหรอก
แต่ช่วยไม่ได้ที่เขาเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกสาปให้ต้องได้รับชะตากรรมที่แสนเจ็บปวดเช่นนี้
ซึงฮุนเป็นมนุษย์หมาป่าเพียงตนเดียวในเผ่าพันธุ์ที่ไม่ได้มีนิสัยดุร้ายและหวาดกลัวกลับสิ่งรอบข้าง
หนำซ้ำเขายังดูเป็นมิตรมากกว่าเผ่าพันธุ์เดียวกันเสียอีก
ซึงฮุนไม่ได้รู้สึกเกลียดแสงอาทิตย์เท่าที่ควร
แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าเขาไม่ได้ชอบมันเลยสักนิด แสงเจิดจ้าแบบนั้นไม่เหมาะกับเขา
ไม่เหมาะกับมนุษย์หมาป่าที่อยู่ในที่มืดมิดแบบเขาเลยสักนิด แต่ทว่า
รอยยิ้มที่เจิดจ้าและสว่างสดใสของมนุษย์ตัวเล็กที่แสนน่ารักคนนี้กลับทำให้ภายในใจของเขารู้สึกอบอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด
เหมือนได้รับการฮีลจากพระเจ้า
เหมือนความเจ็บปวดที่เคยได้รับและเป็นบาดแผลภายในจิตใจกำลังได้รับการรักษา
หากจะเปรียบคิมฮันบินเป็นดั่งกลุ่มควันสีเทาหม่น
คิมจินฮวานก็เหมือนกับแสงอันเจิดจ้าที่กลบกลุ่มควันนั้นจนเทบมองไม่เห็น
น่าค้นหาพอกันเลยนะ….
ฮันบินหลับตาเพียงชั่วครู่พลางค่อยๆ
ลดฝีเท้าของจังหวะการเดินลง ริมฝีปากขยับคำพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม
“นายอยู่ไหน?”
“ห้องของจีวอน”
“อะไรนะ?”
คิ้วเข้มขมวดทันทีที่ได้ยินเสียงใสที่ตอบกลับมาดังก้องอยู่ในหัวของตัวเอง
น้ำเสียงที่ดูอ่อนแอแบบนั้นน่าหงุดหงิดพอๆ กับคำตอบที่เขาได้รับนั่นแหละ
ให้ตายเถอะ ไปอยู่ที่ห้องของไอ้ยมทูตนั่นได้ยังไงกันวะ เป็นบ้าไปแล้วหรือไง
“นายได้ยินไม่ผิดหรอก เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ”
เสียงใสเอ่ยตอบกลับมาอีกครั้ง
น้ำเสียงแบบนั้นยิ่งทำให้หงุดหงิดขึ้นอีกเท่าตัว ฮันบินค่อยๆ เร่งฝีเท้ามากขึ้น
พอๆ กับอารมณ์ที่เริ่มปะทุขึ้นทีละนิดอย่างไม่สามารถห้ามได้
เชื่อเถอะว่าอีกฝ่ายรู้ว่าตอนนี้เขากำลังรู้สึกยังไง
ไอ้น้ำเสียงหงุดหงิดตอนนี้มันเริ่มจะดังขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนตะโกนคุยกับดินฟ้าอากาศแล้วล่ะ
“ก็คุยมาเลยสิ หรือว่าจีวอนมันทำอะไรนาย”
“ก็ไม่เชิง เขาไม่ได้ทำอะไรฉัน”
ฮันบินพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ
ทันทีที่ได้ยินคำนั้น
“มาเจอกันก่อนเถอะ คุยแบบนี้ไม่ได้” เสียงใสดังก้องขึ้นในหัวอีกครั้งต่อประโยคข้างต้น
และต่อให้เสียงถอนหายใจยาวนั่นจะเบามากแค่ไหน
แต่มันก็ยังชัดเจนมากในหัวของเขาอยู่ดี อีกคนคงมีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจ ถึงได้อยากจะเจอเขา
เหอะ น่ารำคาญชะมัด
“นายอยู่ที่ไหนตอนนี้”
“เขตโรงเรียนนี่แหละ”
“นายมาทำอะไรที่โรงเรียน วันนี้วันหยุดนะ”
“เรื่องของฉันน่ะ”
ฮันบินตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยติดจะไม่สบอารมณ์ ไอ้น้ำเสียงอ่อนแอที่เอาแต่ซักไซ้เขาแบบนั้นมันน่าหงุดหงิดเป็นบ้า
ทั้งๆ
ที่เรื่องที่สำคัญมากกว่าคือเรื่องที่ว่าหมอนั่นไปทำอะไรที่ห้องของไอ้ยมฑูตคิมจีวอนศัตรูคู่อาฆาตของเขาต่างหาก
“แล้วตกลง จะเจอกันที่ไหน?”
ยิ่งคิดในหัวก็ยิ่งปั่นป่วนจนต้องกลายเป็นฝ่ายถามเร้าหรือแทนซะเอง ถึงจะรำคาญมากแค่ไหน
แต่ภายในใจก็ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าเขารู้สึกเป็นห่วง
ใช่ ไม่ผิดหรอก
คนแบบคิมฮันบินก็รู้สึกเป็นห่วงเป็น
“อืม ทางเดินตึกขวาชั้นสองก็แล้วกัน
แถวนั้นน่าจะไม่มีคน”
“โอเคอีกสิบนาที”
พูดตอบกลับไปพลางเร่งฝีเท้ามากยิ่งขึ้นเพื่อให้ไปถึงจุดหมายที่อยู่ตรงหน้า
สายตาของผู้คนที่มองมาไม่ได้ทำให้ยมฑูตหนุ่มรู้สึกอะไรเลยสักนิด
มันเป็นสายตาแบบที่เขาได้รับมาเกือบตลอดทั้งชีวิต
แน่นอนว่ามันไม่มีอิทธิพลอะไรต่อเขาเลย
ปลายเท้าเลี้ยวเข้าทางตึกขวาชั้นสอง
บรรยากาศเงียบกริบแบบที่อีกคนบอก ไม่มีผู้คนรบกวน ไม่แปลกใจที่เขาจะรู้
ก็คนคนนั้นน่ะรักสงบจะตายไป
ผิดกับเขาลิบลับ
ฮันบินหยุดปลายเท้าลงก่อนจะมองอีกคนที่ยืนเท้าแขนบนขอบหน้าต่างพลางเหม่อมองไปข้างนอก
เสี้ยวหน้าด้านข้างช่างดูน่ารักและไร้เดียงสาผิดกับเขา รอยยิ้มสวยๆ นั่นก็เช่นกัน
ฮันบินนึกสงสัยเสมอว่าทำไมคนคนนั้นถึงได้ยิ้มได้สวยและดูสดใสมากมายขนาดนั้น
ทั้งที่ชีวิตของพวกเขามีแต่ความยากลำบาก แต่ไม่ว่าจะยังไง
รอยยิ้มที่ทั้งสวยงามและสดใสขนาดนั้น เขาก็ยังอยากจะปกป้อง
“ฮันบิน”
ริมฝีปากเอ่ยเรียกอีกคน ชื่อที่แสนคุ้นเคย ชื่อที่เขามักถูกเรียกเสมอ
ตอนนี้เขากลับใช้เรียกใครอีกคน มือหนายกขึ้นเกาท้ายทอยตัวเองเบาๆ
พลางกลั้วแคนดี้ไปมาในปากและจับแท่งไม้ออกมา
ความรู้สึกขัดเขินยามที่เจ้าของชื่อหันมาทำให้เขาประหม่าเล็กน้อย
คนตัวเล็กที่หันมาสบตากับเขาคลี่ยิ้มสวย
โครงหน้าที่แสนน่ารัก เส้นผมที่ปรกหน้าเล็กน้อย
ดวงตาสีเดียวกันกับของเขาแต่ทว่ากลับดูอ่อนโยนมากกว่ามาก
เสื้อผ้าที่เป็นระเบียบเรียบร้อยแม้จะมีรอยเลอะเปรอะเปื้อนด้วยดิน
และท่าทางที่ดูอ่อนหวานแบบนั้น
มากกว่าความรัก
แต่เป็นทุกอย่างของกันและกัน
น้องชาย
ฝาแฝดของเขา ‘คิมฮันบิน’
“ฉันมีเรื่องต้องคุยกับนาย บีไอ”
ใช่ ชื่อของผมคือ ‘B.I.’
“เมื่อคืนเขาช่วยฮันเอาไว้จาก ….ปีศาจ”
บทสนทนาเมื่อครู่ของเขากับฮันบินทำให้คนที่มักจะเฉยเมยต่อสิ่งตอบตัวแบบเขาหงุดหงิด
มือหนายกขึ้นขยี้เส้นผมสีเข้มของตัวเองอีกครั้งจนยุ่งไม่เป็นทรง
ลำพังแค่เรื่องแวมไพร์ที่เข้ามาป่วนในโรงเรียนบีไอก็หงุดหงิดจนควบคุมตัวเองแทบไม่ได้อยู่แล้ว
ยังจะมามีเรื่องของไอ้พวกปีศาจที่ทำร้ายน้องชายของเขาอีก
เรื่องบ้าอะไรวะ!
“คิมฮันบิน”
ชื่อของน้องชายฝาแฝดของเขาถูกเอ่ยโดยใครบางคน
แต่เชื่อเถอะว่าคนที่กำลังเรียกชื่อนั้นอยู่ไม่ได้อยากจะเจอฮันบินอ่อนแอคนนั้นหรอกน่ะ
“มีอะไร?” น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ถูกเอ่ย เอาเข้าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้ชอบที่ถูกเรียกแบบนี้นักหรอก แต่เรื่องฝาแฝดจะให้คนอื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาด เขาไม่อยากให้น้องชายต้องรู้สึกวุ่นวายไปมากกว่านี้แล้ว แค่ไอ้เรื่องที่ไปพัวพันกับไอ้ยมฑูตจีวอนกับมินโฮนั่นก็เต็มกลืนแล้วล่ะ
“เรียกแค่นี้ทำไมต้องหงุดหงิดใส่” คนตัวเล็กเอ่ยตัดพ้อพลางขมวดคิ้วเข้าหากัน ไอ้เสียงใสๆ นั่นยิ่งทวีความหงุดหงิดให้อีกเท่าตัว
ท่าทางนุ่มนิ่มแบบนี้ช่างเหมือนกับน้องชายของเขาไม่มีผิด
น่ารำคาญว่ะ
“ปกติก็น่ากลัวจะแย่ ทำไมทำหน้าตาเหมือนอยากจะฆ่าใครขนาดนั้น”
เสียงน่ารำคาญที่บ่นพึมพำทำเอาบีไอหันควับไปมองทันที แววตาดุๆ
ของเขาเหมือนจะทำให้อีกคนผงะไป
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเป็นปมก่อนจะคว้ามวนบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อมาจุดสูบอีกครั้ง
“ไม่สูบดิ”
แต่ทว่ามือเล็กของใครอีกคนกลับคว้ามือของเขาเอาไว้ บีไอชะงักไปชั่วครู่
ความรู้สึกอุ่นร้อนจากฝ่ามือของอีกคนที่แผ่กระจายอยู่บนสัมผัสบนฝ่ามือของเขาเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดมาก
คนตัวเล็กส่งยิ้มกว้างให้ก่อนจะขว้างบุหรี่ลงจากดาดฟ้า
“สูบมากๆ มันไม่ดีนะรู้มั้ย”
“คิมจินฮวาน”
“หืม?”
“ไม่เห็นรู้ ว่าผมกับคุณสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” น้ำเสียงทุ้มเข้มของฮันบินทำเอาจินฮวานชะงักไป
คนตัวเล็กกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนจะค่อยๆ พึมพำตอบกลับไป
“ขอโทษที ฉันไม่กวนแล้วล่ะ”
วินาทีที่หยัดยืนเต็มความสูงเตรียมจะหมุนตัวเดินลงจากดาดฟ้าก็โดนอีกคนกระชากแขนเอาไว้จนร่างทั้งร่างร่วงลงนั่งบนตัก
บีไอเอื้อมท่อนแขนแกร่งตวัดรอบเอวอีกคนไว้แน่นอย่างถือวิสาสะ
คนตัวเล็กเบิกตากว้างอย่างตกใจ สัมผัสเย็นที่เคยแค่ได้รับจากฝ่ามือบัดนี้กลับกลายเป็นร่างกายเย็นจัดของใครอีกคนแทน
อุณหภูมิขนาดนี้ทำเอาเขาตัวสั่นอย่างเสียไม่ได้
“นาย จะทำอะไร!”
“ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก”
เสียงทุ้มที่กระซิบข้างหูนั่นทำเอาขนลุกซู่ จินฮวานตัวแข็งทื่ออย่างทำอะไรไม่ถูก
ไม่รู้ว่าเพราะกลัว หรือเพราะไอเย็นจากอีกฝ่ายกันแน่ แต่ร่างกายของเขาขยับไม่ได้เลยสักนิด
“ให้ตายสิ” เสียงทุ้มสบถเบาๆ
“คนแบบคุณนี่มันน่าหงุดหงิดชะมัด”
“……..”
“ทำไมถึงได้ทำตัวน่าหงุดหงิดขนาดนี้กัน”
“ฉันทำอะ…”
ไม่ให้อีกคนได้เอ่ยคำน่าหงุดหงิดใดๆ อีก ยมทูตหนุ่มหมุนตัวให้อีกคนหันมาเผชิญหน้าก่อนจะกระชากใบหน้าอีกคนให้เผชิญหน้าแล้วบีบแรงๆ
จนปากเล็กเผยอขึ้น
จากนั้นก็กดริมฝีปากเย็นจัดลงมาอย่างรวดเร็วจนพื้นที่บนริมฝีปากสัมผัสกันแนบแน่น
วินาทีนั้นจินฮวานเบิกตากว้างด้วยความตกใจและทำอะไรไม่ถูก
หัวใจเต้นแรงไม่เป็นส่ำ และมันเต้นระทึกไปด้วยความหวาดกลัว
คนตัวเล็กกว่าพยายามที่จะสะบัดหน้าหนีจากการคุกคามของยมทูตร้ายกาจตนนี้ ทว่าอีกคนกลับไม่ยอมง่ายๆ
บีไอล็อกใบหน้าเล็กๆ นั้นไว้ด้วยใบหน้าของเขา
ขณะเลื่อนมือลงมากอดร่างทั้งร่างของจินฮวานเอาไว้ให้หยุดการดิ้นรนที่มันไร้ผล
ส่วนมืออีกข้างที่เคยพันธนาการมือของคนตัวเล็กอยู่ก็เลื่อนมาสัมผัสกับท้ายทอยเล็กไว้
ร่างทั้งร่างราวกับถูกแช่แข็ง
สัมผัสที่เย็นจัดไม่ว่าจะเป็นจากริมฝีปากหนักๆ ที่กำลังบดเบียดอยู่บนริมฝีปาก
หรือแม้แต่ร่างกายเย็นจัดที่ทำให้ร่างทั้งร่างถึงกับสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้แม้แต่นิด
“อื้อออออ”
ยิ่งต่อต้านก็ยิ่งเหมือนจะปลุกให้อีกคนฝังริมฝีปากลงไปมากยิ่งขึ้น
แสงสีฟ้าทีเปล่งขึ้นมาจากหลังฝ่ามือกับสัญลักษณ์รูนรูปอินฟินิตี้นั่นปรากฎขึ้นต่อสายตาของเขาอีกครั้ง
จินฮวานเบิกตากว้างอีกครั้ง สัญลักษณ์นั่น สัญลักษณ์ที่เขาได้ยินมาจากชานอูว่าเป็นสัญลักษณ์รูนแปลกประหลาดที่มีในรอบร้อยปี!
“คนแบบคุณมันน่าหงุดหงิด”
บีไอละริมฝีปากออกพลางสบถคำเดิมซ้ำอีกครั้ง จินฮวานถอยหนีจากยมทูตที่ร้ายกาจตรงหน้าก่อนจะกัดริมฝีปากที่บวมเจ่อของตัวเองเอาไว้
แสงสีฟ้าที่หลังฝ่ามือของบีไอค่อยๆ จากลงจนหายวับไปในในที่สุด
“กลัวผมหรือไง?”
“นายมัน….”
ริมฝีปากที่สั่นระริกทำเอาอีกคนพูดไม่ออก จินฮวานทำได้แต่กอดตัวเองเอาไว้
ร่างกายที่สั่นเทานี่น่ารำคาญจริงๆ เพราะมันทำให้คนตรงหน้ารู้ว่าเขากำลังหวาดกลัว
กลัวการกระทำที่แสนป่าเถื่อนนั่น!
“ผมไม่อนุญาตให้คุณกลัวผม”
น้ำเสียงทุ้มเข้มที่ดังขึ้นทำให้คนตัวเล็กเบิกตากว้าอย่างตกใจ
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฮันบินมานั่งข้างหลังพร้อมกับกอดเอวเขาไว้และกระซิบคำพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มข้างหูแบบนี้!
“ไม่ต้องกลัว”
อีกครั้งที่เสียงทุ้มๆ นั่นดังขึ้นข้างหู
แต่ตอนนี้มันกลับฟังดูอบอุ่นอย่างน่าประหลาด จินฮวานค่อยๆ คลายมือที่กอดตัวเองออก
เป็นจังหวะเดียวกันกับที่อีกคนกระชับอ้อมกอดที่เอวเล็กให้แน่นขึ้น
ราวกับจะเป็นการปลอบใจ
“ทำไม….”
คำพูดที่แผ่วเบาถูกเอ่ยขึ้นอย่างยากเย็น
บีไอหมุนตัวให้อีกคนหันมาเผชิญหน้าก่อนจะเลื่อนมือเย็นๆ นั่นไปลูบแก้มใสอย่างแผ่วเบา
สัมผัสที่เย็นจัดนั่นทำให้จินฮวานตัวแข็งทื่ออีกครั้ง แต่ไม่ใช่เพราะว่ากลัว
ตอนนี้เขากลับรู้สึกอบอุ่นใจมากยิ่งกว่า
“คนแบบคุณมันน่าหงุดหงิด” คำพูดเดิมๆ ถูกเอ่ยขึ้นอีกครั้ง บีไอรั้งร่างเล็กเข้าไปกอดไว้
กดศีรษะของอีกคนให้แนบชิดไปกับอกแกร่ง และพึมพำคำพูดที่แสนแผ่วเบา
“เพราะแบบนั้นผมเลยปล่อยไว้ไม่ได้”
❥ To be continued.
Grim Reaper {Click!}
มาสกรีมด้วยกันได้ที่ #ฟิคยมทูตฮันบิน
{Twitter Indydoll.}
ความคิดเห็น