“เฮ้ย อย่าเครียดน๊า สาลีคนสวย” “แกจะบ้าหรอ ที่ฉันยอมช่วย เพราะคิดว่าแกเป็นพระเอก” “แล้วแกมีปัญหาอะไรล่ะ ที่เป็นพี่เรียวน่ะ รู้สึกว่าเป็นเพื่อนกับรุ่นพี่หน้าจืดอะไรนั่นของแกไม่ใช่หรอ” นั่นไงอีตานี่ไม่เคยคิดจะเรียกพี่เจ้าดีๆเลยรึไง ทั้งที่พี่แกก็ทั้งหล่อ ทั้งใจดี อยู่ด้วยแล้รู้สึกอบอุ่นขนาดนั้น เฮ้อ! พี่เจ้าของสาลีน่าสงสารจริงอะไรจริง (Faii : พี่เขาไปเป็นของแกตั้งแต่เมื่อไหร่ยะ สาลี) “แกเลิกเรียกพี่เจ้าอย่างนั้นสักทีได้ป่ะ ไม่งั้นฉันไม่ช่วยแกจริงๆด้วย” “โอ๋ๆๆโอเคๆ” “แล้วเปลี่ยนพระเอกให้ฉันด้วย แกเล่นเลยก็ได้ เพราะแกถนัดไม่ใช่หรอ” คราวนี้ฉันไม่ยอมแกแน่ “เปลี่ยนไม่ได้เด็ดขาดเลย เพราะทีมงานฉันบอกมาว่า คนที่ตอนนี้ทุกคนต้องการเห็น คือ พี่เรียว หนุ่มฮอตของโรงเรียนเราตอนนี้” เหอะๆ ฉันก็ยังมีวิธีต่อ
“งั้นก็เปลี่ยนนางเอกก็แล้วกันนะ” “สาลีแกสัญญากับฉันแล้วนะ T^T” ฉันเริ่มคิดหนัก ใช่เพราะฉันดันตกหลุมพรางสัญญากับแกไปง่ายๆแล้วนี่ TT แงๆๆๆ
“แกเงียบแปลว่าตกลงแล้วนะ ฉันสัญญาว่าจะมีฉากเลิฟซีนให้น้อยที่สุด” บาเร่ย์พูดขึ้นพร้อมกับยกมือขึ้นมานิ้วเป็นการปฏิญาณตน อย่างนี้ค่อยเบาใจหน่อย มีฉากเลิฟซีนน้อยๆ เฮ้ย ดะ
เดี๋ยว ฉากเลิฟซีน ม่ายยย
น๊า~ “บาเร่ย์ จำเป็นด้วยหรอที่ต้องมีฉากเลิฟซง เลิฟซีนเนี่ย” “เฮ้ย สาลีแกเมาแดดรึไง ถ้าละครไม่มีฉากเลิฟซีน แล้วมันจะสนุกได้ไง อีกอย่างฉันทำหนังรักโรแมนติกด้วยนะเว้ย ไม่ใช่หนังตลกกิ๊กก๊อก” หา
หนังรักโรแมนติก แล้วมันจะมีฉากเลิฟซีนน้อยได้ไง “แล้วฉากจู
จูบล่ะ” ถามไปเหงื่อตกไป “ฮะ แกยังไม่เคยเสียวันคิสหรอ~”ด้วยความตกใจของบาเร่ย์ ทำให้เจ้าตัวพูดดังไปถึงสามชายแดนภาคใต้โน่น คนทั้งโรงอาหารหันมามองที่ฉัน แล้วทำท่าเหมือนไม่เชื่อกับคำที่ได้ยิน “ทำไมเล่า แล้วแกก็พูดให้เบาๆหน่อยคนทั้งโรงอาหารหันมามองทางเราหมดแล้ว” พูดไป ฉันก็รู้สึกว่าใบหน้าของฉันร้อนผ่าวไปหมด แล้วรู้สึกว่าหน้าฉันเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ “เปล่านี่ ฉันแค่ตกใจเฉยๆ ที่แกยังรอดมาได้” มันหมายความว่าไง ??? งงจริงอะไรจริงตอนนี้เนี่ย “แล้วตกลงว่าไงเรื่อง
” ฉันยังอ้าปากพูดไม่จบ บาเร่ย์ก็แทรกขึ้นว่า “ไม่ต้องห่วงฉันจะจัดการเองทุกอย่าง” ได้ยินดังนั้นใจฉันก็เริ่มสงบลง เดินไปที่ชมรมดีกว่า พี่เจ้าอยู่มั้ยน๊า~ อ๊ะ นั่นไง กำลังคุยกับใครอยู่น่ะหน้าดูเครียดเชียว พอชายคนนั้นเดินถอยห่างไปจากพี่เจ้า ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นอีตาบ้าเรียว เฮ้อ! เพิ่งหายเครียด อุตส่าห์ไม่คิดถึงเร่องนี้แล้วเชียวนะ “พี่เจ้า สวัสดีค่ะ” “อ่อ สวัสดีครับ” พี่เจ้าหันมายิ้มหันฉันอย่างอบอุ่น โอ๊ย พี่เจ้าอย่ายิ้มอย่างน้นได้มั้ยคะ ใจหนูจะละลายอยู่แล้ว “พี่คุยอะไรกับอีตาบ้า
อ่อ พี่เรียวหรอคะ” ดันเผลอตัวไป พี่แกจะคิดว่าฉันเป็นคนยังไงกันเนี่ย T^T ถามปุ๊บ หน้าพี่เจ้าก็เริ่มเปลี่ยนสีหน้าทันที แล้วพี่แกก็พูดขึ้นว่า “น้องสาลีจะแสดงละครร่วมกับเรียวหรอครับ” จี๊ด
.คำถามแทงใจดำ “อ่อ
ค่ะ พอดีเพื่อนที่ชมรมนั้นน่ะค่ะ เขาบอกว่าต้องการให้ฉันช่วย” อิอิ ^^ บาเร่ย์ฉันขอเอาความดีความชอบหน่อยล่ะกันนะ “แปลว่า ที่น้องสาลีจะไปแสดงเพราะเพื่อนไม่ใช่เพราะเรียวใช่มั้ย” พี่เจ้าถามงี้ได้ไง คนอย่างฉันเนี่ยนะจะทำเพื่อตานั่นไม่มีทาง เอ๊ะ หรือว่าพี่เจ้าแกจะหึงฉัน อ๊า
.(สำคัญตัวสุดขีด) “ค่ะ สาลีก็เพิ่งรู้เมื่อเช้านี่เองแหละค่ะ ว่าพระเอกก็คือพี่เรียว” แหวะ!!! ถ้าใช่ว่า พี่เจ้ากับอีตาบ้าเรียวเป็นเพื่อนกันนะ ฉันไม่มีวันยอมเรียกว่าพี่แน่ๆ อย่าให้หมอนั่นได้ยินเชียว ต้องเข้าใจผิด หลงตัวเองอีกชัวร์ๆ เพราะครั้งก่อนที่เคยได้ยิน หมอนี่ก็บอกว่า “หึๆ ที่เธอเลือกให้ฉัน เพราะฉันหล่อบาดใจเลยใช่มั้ยล่ะ” ไม่รู้จักคำว่า ถ่อมตัวบ้างเล๊ย
แล้วไหนจะต้องร่วมงานกับหมอนี่อีก ได้ข่าวมาว่าตานี่เป็นเพลย์บอยตัวพ่อของโรงเรียนเลยทีเดียว ฉันจะรอดมั้ยนะคราวนี้ “งั้นพี่ค่อยสบายใจหน่อย พี่ไม่ค่อยสบายใจเลย ที่เราจะไปแสดงละครร่วมกับเรียว บอกตรงๆ พี่ไม่ค่อยไว้ใจมัน” โห พี่เจ้าหล่อแล้วยังใจดีอีก สาลีคนนี้ซาบซึ้งในน้ำใจของพี่มากเลยค่ะ T^T “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ สาลีโตแล้วนะคะ อย่าทำเหมือนว่า สาลีเป็นเด็กสิคะ ^^” ถึงจะพูดไปอย่างนั้นก็เถอะ แต่ดูจากสีหน้าของพี่เจ้าแกก็ยังดูไม่ค่อยสบายใจอยู่ดี ฉันเลยถือวิสาสะกระโดดไปกอดแขนลากพี่แกไปในชมรม “ไปดูงานข้างในดีกว่าค่ะ เผื่อสาลีจะช่วยอะไรได้บ้าง ^^” “ไม่เป็นไรหรอก เราน่ะยังต้องไปช่วยเพื่อนแสดงละครอีกไม่ใช่หรือไง แค่สาลีมาพี่ก็มีกำลังใจทำงานขึ้นเป็นกอง” อ๊ายยยย
.พี่เจ้าล่ะก็ >///< “’งั้นสู้ๆนะคะ” พูดจบฉันก็กำลังเก็บของเตรียมตัวไปหาบาเร่ย์ แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าไป เมื่อเงยหน้าขึ้น พบกับคนที่ทำให้ฉันต้องเจอเรื่องแย่ๆอย่างนี้ “เรียว นายมาที่นี่ทำไมมิทราบ” ตาบ้านี่เลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า “ก็มาตามเธอน่ะสิ ยายเบี๊ยก! คนอื่นเค้ารอเธออยู่เนี่ย แต่เธอมานั่งกระหนุงกระหนิงอยู่กับไอ้เจ้าเนี่ย ไม่มืออาชีพเลย” หึย เพราะปากงี้ไง ฉันถึงไม่อยากพูดด้วย =.,= “ใครยัยเบื๊อกกัน นายช่วยเรียกชื่อคนอื่นเค้าดีๆหน่อยได้มั้ย ฉันชื่อสาลี” “เออๆ ชื่ออะไรก็เรื่องของเธอ แล้วจะไปได้รึยังหา” พูดไปพอ หมอนี่ถือวิสาสะเข้ามากระชากแขนฉันโดยไม่ทันตั้งตัวอีกแล้ว ==’’ “ปล่อย!” ฉันหันไปถลึงตาใส่หมอนั่นทันที แต่คำพูดของฉันก็ไม่ได้เข้าหูหมอนั่นสักนิด หมอนี่ทำเป็นหูทวนลม ฉันจึง
“โอ๊ย! เธอทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย” “อุ๊ย! I’m so sorry.” พูดจบฉันก็ไม่รอฟังคำด่าของเขาหรอก สมน้ำหน้าเล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับคนอย่างสาลี 30 นาทีผ่านไป
“กว่าจะเสด็จมาได้นะครับ คุณสาลี รู้ไหมว่าคุณปล่อยให้ผมนั่งรอคุณตั้งนานสองนาน” ยังไม่ทันไร มาถึงปุ๊บมรสุมลูกใหม่ก็ซัดเข้ามา “เออน่า ขอโทษได้ป่ะล่ะ ขอโทษนะคะทุกคน” ฉันพูดขึ้นพร้อมกับหันไปโค้งคำนับขอโทษพี่ๆ และเพื่อนในชมรมของไอ้บาเร่ย์ “แล้วพี่เรียวไม่ได้มาด้วยกันหรอ” “แกก็รู้ว่าฉันกับอีตาหมอนั่นไม่ถูกกันทำไมถึงส่งอีตาบ้านั่นไปตามฉัน” บาเร่ย์ทำหน้ากวนแล้วว่า “ขอโทษได้ป่ะล่ะ” อ๊ายยยย
อย่ามาใช้มุกคนอื่นเขานะ =,.= เป็นเอามากนะเรา “เออๆ แล้วบทที่จะให้ฉันแสดงล่ะ” ฉันยื่นมือไปหาบาเร่ย์ แต่บาเร่ย์ส่ายหัว แล้วบอกว่า “แกต้องไปตามพี่เรียวมาให้ฉันก่อน” อะไรของมันเนี่ย โคตรรักเพื่อนเลยยยย
ฉันเดินตามแนวอาคารชมรมไปเรื่อยๆ แล้วก็พบเงาตะครุ่มๆอยู่แถวหลังสวน เอ๊ะ! อะไรน่ะ “เฮ้ย! ทำอะไรกันน่ะ” ทั้งคู่สะดุ้งแล้วหันมาพูดอย่างอารมณ์เสีย “นาย!” ฉันรีบเอามือปิดปากแล้วเดินหนีมา ก็จะไม่หนีได้ไง เมื่อภาพที่เห็นนั้นคือ อีตาบ้าเรียว กับรุ่นน้อง กำลังจูบกันอย่างดูดดื่ม เหมือนกับว่าโลดทั้งใบมีแค่เขาสองคนอย่างนั้นแหละ ฉันสะบัดหัวไล่ภาพที่เห็นให้ออกไปจากสมอง ก็ใครจะไปลืมลง ภาพติดตาซะขนาดนั้น “เป็นอะไรของเธอฮะยัยเบื๊อก นอกจากจะก่อคามวุ่นวาย ยังชอบสอดเรื่องชาวบ้านด้วยงั้นหรอ” อีตาบ้านี่พูดอย่างเดียวไม่พอต้องเดินเข้ามาใกล้ฉันด้วย ฉันจึงถอยหลัง แต่เมื่อหมอนั่นเห็นแนถอยหลัง หมอนั่นก็ไม่หยุด ยังเดินจนตัวฉันติดกับอาคารชมรม
แย่แล้ว~ อ๊าาาา
“ทำอะไรของนายน่ะ ถอยไปเดี๋ยวนี้นะ” โอ๊ย! เป็นบ้าอะไรเนี่ย ทำไมแค่นี้เสียต้องสั่นด้วย “เสียงเธอสั่นนี่ รึว่ากลัวฉันจะทำอะไรเธอ” ฉันพยายามเบียดตัวออก แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะอีตาบ้านี่เอามือทั้งสองยันไว้กับผนัง ทำให้ฉันรู้สึกว่า ถูกขังอยู่ในกรงดีๆนี่เอง “เปล่าซะหน่อย พอดีบาเร่ย์ให้ฉันมาตามนายน่ะ” ฉันพูดไปหลบตาไป เพราะกลัวว่าเขาจะรู้ว่า คนอย่างฉันเก่งแค่ปากเท่านั้น “อ่อ งั้นหรอ” “รู้แล้วก็ไปสักทีสิ ฉันจะกลับบ้านแล้ว” ยิ่งฉันพูดมากขึ้นเท่าไหร่ก็รู้สึกว่า หมอนี่เริ่มจะเบียดมาใกล้ฉันขึ้นเรื่อยๆ “บอกว่าให้ปล่อยไง ไม่ได้ยินรึไงหา
” “ปากยังเก่งอยู่นี่งั้นลองหน่อยเป็นไง” “ลองบ้าลอง
อุ๊บ” ฉันยังไม่ทันพูดจบอีตาบ้านี่ก็ใช้ริมฝีปากตนเข้าประกบริมฝีปากฉัน ฉันพยายามดิ้นให้หลุดจากหมอนี่ แต่เพราะตัวฉันเล็กกว่าหมอนี่มากจึงเหมือนกับว่า ออกแรงไปเท่าไหร่มันก็ไม่พอสำหรับหมอนี่ แนจึงปล่อยหมอนี่ให้จูบเยิ่นเย้อไปเกือบห้านาที เมื่อตาบ้านี่ปล่อยริมฝีปากฉันให้เป็นอิสระ ร่างฉันก็ร่วงลงกับพื้น พร้อมกับน้ำตาที่พร้อมจะรินไหล แต่ฉันจะไม่ยอมปล่อยมันต่อหน้าคนอย่างหมอนี่แน่ๆ “วันนี้พอแค่นี้ก่อนล่ะกัน เดี๋ยวเรายังต้องเจอกันอีกนานนะ ^^” เมื่อร่างของเขาเริ่มเล็กลงๆไปเรื่อยๆ น้ำตาที่ฉันพยายามสกัดกั้น ก็เหมือนถูกเปิดออก น้ำใสๆจำนวนมากพรั่งพรูไหลมา เหมือนจะไม่หยุดไหล
ความคิดเห็น