นำเที่ยวงานศพ
เราท่านทั้งหลายนั้นต่างก็ผ่านงานที่เรียกว่า งานศพ กันมาบ้างตามแต่หน้าที่ ตามแต่อายุ หรือ ตามแต่เหตุปัจจัยต่างๆนานาของแต่ละคน มากน้อยนั้นไม่เท่ากัน 
งานศพนั้นมีมาแต่สมัยใดนั้นก็ไม่สามารถที่จะอธิบายได้ แล้วก็มีการกำหนดก่อตั้งเป็นประเพณีที่แตกต่างกันไป แล้วแต่ภูมิภาคและการกำหนดขึ้นของบรรพบุรุษ  แต่มีสิ่งเดียวที่เหมือนกันคือ คนตาย ที่เราเรียกกันว่า ศพ
ตามความเข้าใจนั้นคิดว่างานศพในสมัยก่อนๆนั้นไม่ได้จัดกันอย่างในสมัยนี้ แม้ในสมัยพุทธกาลนั้นก็นำไปทิ้งกันในป่า แล้วพระนั้นก็ได้พิจารณาศพ เพื่อเจริญอสุภ นี้ก็เป็นงานศพที่ง่ายๆ ไม่ต้องเปลืองเงินเปลืองทองกันเลย แล้วก็ได้รับประโยชน์ที่คุ้มค่ากันทุกๆฝ่าย
พอมาถึงสมัยนี้นั้นก็เปลี่ยนแปลงกันไป บ้างก็ไม่มีเงินที่จะจักงานก็ทำไปตามกำลังเงิน บ้างก็จัดกลางๆ บ้างก็จัดใหญ่โต  จุดประสงค์นั้นก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  คนที่ไม่มีเงินมากก็จัดเพื่อหาที่เผาศพให้ได้ก็พอแล้ว ดีใจแล้ว คนมีเงินปานกลางก็จัดงานกลางๆก็เพื่อที่จะให้ญาติที่อยู่ไกลๆนั้นได้ร่วมงานรับรู้ด้วย ได้ทำบุญด้วย  บางทีบางคนก็จัดเผื่อว่าจะได้กำไรนิดหน่อย ส่วนการจัดงานที่ใหญ่โตนั้นคงจะต้องแสดงถึงฐานะทางการเงินเพื่อที่จะได้มีคนรับรู้กันมากๆ  พวกนี้มักไม่ค่อยจะสนว่าจะได้กำไรเท่าไรนักมักจะให้ผู้อื่นนั้นได้เห็นว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงก็ดีใจแล้ว  นี้ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของทั้งหมดของจุดประสงค์ในการจัดงานศพ
เราท่านนั้นเคยคิดถึงประโยชน์ต่างๆที่มากมายในงานศพกันหรือไม่ถ้าไม่นั้น  หนังสือเล่มนี้จะนำเที่ยวและก็จะพยายามแสดงประโยชน์ของการไปงานศพให้ได้มากเท่าที่จะเป็นไปได้
การ์ดงานศพ
เป็นสิ่งแรกที่ทุกท่านจะได้รับกันก่อนที่จะได้ไปงานศพ  ถ้าได้รับการ์ดนั้นก็คงจะไม่ค่อยจะเสียใจมากเท่าไรนัก ถ้าคนๆนั้นเป็นคนที่ท่านนั้นไม่ได้รักไม่ได้มีความผูกพันกันมาก  แต่ถ้าเป็นบุคคลที่ท่านรักหรือมีความผูกพันกันอย่างมาก ก็ย่อมที่จะได้รับความโศก ความเสียใจมากน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยอื่นที่ประกอบตามแต่ละบุคคล แล้วก็เป็นทุกข์
ทีนี้ลองมาดูวิธีรับการ์ดที่ถูกต้องกัน 
เมื่อท่านนั้นได้รับการ์ดแล้วนั้นก็ต้องพิจารณาก่อนที่จะเปิดออกดู ทำเหมือนกับว่ามันเป็นระเบิดเลยก็ได้  การพิจารณานั้นก็ให้ได้เห็นความเป็นจริงว่า  ความตายนั้นช่างเป็นสิ่งที่ธรรมดาเหลือเกินไม่มีใครที่จะรอดพ้นไปได้เลย ไม่ว่าจะรำรวย สวยหล่อ ขี้เหล่ ไปจนถึงยาจกตัวดำเหม็นก็ไม่ได้รอดพ้นกันสักรายเดียว ตั้งแต่เรานั้นเกิดมาก็ไม่เคยเห็นใครไม่ตายกันสักคนเลย มันเกิดมาได้มันก็ต้องตายได้เหมือนกัน มันเป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง มันเป็นเหมือนของที่ขอยืมมาใช้เท่านั้น ถึงเวลาก็ต้องนำกลับคืน สิ่งที่ตายไปนั้นก็เป็นแต่เพียงธาตุเท่านั้นเองไม่ได้มีตัวตนอะไรเลย เพราะถ้าว่าเป็นของคนๆนั้นจริงๆแล้วเขาก็สามารถที่จะสั่งไม่ให้ตายไปได้นะสิ แต่นี่เขาไม่สามารถที่จะสั่งได้ก็แสดงว่าไม่ได้มีตัวตนในนั้น  แล้วสิ่งที่ตายไปนั้นก็ใช้ประโยชน์นำมาใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เสียเลย
เมื่อท่านนั้นพิจารณาอย่างนี้หรือได้ละเอียดมากกว่านี้แล้วก็จะไม่หวั่นไหว หรือ จะหวั่นไหวน้อยลง ไม่ว่าในการ์ดนั้นจะเป็นชื่อใคร
ตามธรรมดานั้นการ์ดงานศพนั้นจะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครได้กำหนดไว้ล่วงหน้าเหมือนอย่างเช่นงานอื่นๆ เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเราท่านนั้นต่างก็มีโอกาสที่จะตายกันได้ทุกเมื่อ
เพราะฉะนั้นก็ต้องเตรียมตัวตายให้ดีที่สุด โดยการหมั่นรักษาศีล ๕ อยู่เป็นนิจ หมั่นฝึกจิตและหมั่นเจริญปัญญาอยู่เป็นนิจ หมั่นกระทำอย่างนี้จนเกิดความชำนาญก็จะเป็นการเตรียมตัวตายที่ดีที่สุด หรือ จะเป็นเพื่อนตายอย่างแท้จริง
เพราะว่าสิ่งทีจะนำเกิดหลังจากที่ได้ตายไปนั้นก็มีอยู่ ๒ อย่างสำหรับปุถุชน ได้แก่ อกุศล กับ กุศล  ในขณะจิตสุดท้ายนั้นจะเป็นสิ่งใดนั้นก็อยู่ที่การกระทำของคนนั้นว่าจะเป็นสิ่งใดใน ๒ สิ่งนี้
ถ้ากระทำชั่วอยู่เป็นนิจพอใกล้จะตายก็ด้วยความที่เคยชินในความชั่วก็มักจะนึกคิดแต่สิ่งที่ชั่วๆที่ได้เคยกระทำมา เมื่อเป็นเช่นนี้หนทางที่จะนำไปเกิดใน อบายภูมิ ๔ ก็เปิดกว้างสำหรับผู้นั้น
ในทางกลับกันถ้าหมั่นรักษาศีล ฝึกจิตและเจริญปัญญาอยู่เป็นนิจแล้ว ในขณะที่ใกล้จะตายก็จะระลึกถึงแต่สิ่งที่ดีตามแต่บุคคลนั้นจะกระทำได้เท่าใด ก็เป็นเหตุให้เกิดในมนุษย์บ้าง เทวดาชั้นต่ำบ้างสูงบ้าง รูปพรหมบ้าง อรูปพรหมบ้าง หรือสำหรับผู้ที่เจริญปัญญาได้สมบูรณ์ก็จะนิพพาน
แล้วก็ต้องหมั่นระลึกนึกถึงความตายให้บ่อยๆมากเท่าไรได้ยิ่งดี  บางคนนั้นมักจะเข้าใจว่าเป็นการแช่งคนที่เรารักนั้นให้ตายเป็นสิ่งที่ไม่เป็นมงคลเลย ความจริงแล้วมิได้เป็นเช่นนั้นหลอก แม้เรานั้นจะรักจะชื่นชม จะอวยพรให้เขานั้นมีอายุที่ยืนยาวทุกๆวันนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขารอดพ้นจากความตายไปได้เลย ในทางกลับกันเรานั้นระลึกถึงความตายให้มากๆเขานั้นก็ไม่รอดพ้นจากความตายไปได้  แต่ต่างกันตรงที่ว่าระลึกแบบไหนประมาท แบบไหนไม่ประมาท
การที่เรานั้นระลึกถึงความตายอยู่เสมอนั่นแหละเป็นการใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ยิ่งรักเท่าใดก็ยิ่งต้องระลึกให้มากเท่านั้นจะเป็นผลอันดียิ่งกับทั้งสองฝ่าย
เราท่านนั้นต่างก็มีบุคคลอันเป็นที่รักกันทั้งนั้น เรานั้นก็ระลึกถึงว่าถ้าพรุ่งนี้คนที่เรารักนั้นมาจากเราไปละเราจะทำอย่างไร เช่น พ่อ แม่
เมื่อเรานั้นคิดว่าพ่อ แม่ อาจจะตายในวันพรุ่งนี้ เราก็ต้องคิดอย่างผู้มีปัญญาด้วยว่า แล้ววันนี้เราจะทำอะไรให้พ่อดี จะทำอะไรให้แม่ดี  เมื่อมีความคิดเช่นนี้แล้วก็ลงมีทำในสิ่งที่จะทำให้พ่อ แม่นั้นมีความสุขมากเท่าที่เรานั้นจะมีกำลังจะทำได้ในเวลานั้นเลยโดยที่ไม่รอช้าไม่รอเวลาใดทั้งนั้นเพราะว่าเรานั้นมีความคิดอยู่แล้วว่าถ้าความตายนั้นมาถึงในวันพรุ่งนี้แล้วเราจะรอช้าไม่ได้แล้วอะไรที่หาได้ก็ต้องรีบหากันในขณะนั้นเลย
ในทางที่กลับกันพ่อ แม่ นั้นก็ระลึกถึงความตายของลูกอยู่เสมอว่าถ้าพรุ่งนี้ลูกตายจะทำอย่างไร เมื่อคิดได้ด้วยปัญญาแล้วก็ต้องคิดแล้วว่าเราจะต้องทำอย่างไรลูกจึงจะมีความสุขเท่าที่พ่อ แม่นี้จะหาให้ได้ แล้วต่างคนต่างก็ไม่รอช้าที่จะมอบสิ่งที่ดีๆให้กัน
แล้วก็มองย้อนถึงความตายของตัวเองก็ไม่ได้ต่างกัน เมื่อความตายนั้นใกล้ที่จะมาถึงแล้ว ในวันนี้เราก็ต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ พยายามทำจิตให้ตั้งมัน แล้วหมั่นเจริญปัญญาอยู่ตลอดทั้งวัน  เมื่อความตายมาถึงก็ย่อมไม่ได้รับความสะทกสะท้านเพราะการเตรียมตัวที่ดีนี่เอง
นี้ก็ลองพิจารณากันด้วยปัญญาเถิดว่าจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร จะเตรียมตัวอย่างไรกับความตายที่เรามองไม่เห็น  แต่มันจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน จึงอยากจะฝากไว้ให้ระลึกถึงความตายไว้ให้มากๆจะได้เป็นมงคลกับชีวิต
นำเที่ยวงานศพวันแรก
เป็นธรรมเนียมประเพณีอยู่แล้วว่าเมื่อเจ้าภาพให้เกียรติเชิญเราก็ต้องให้เกียรติโดยการมาร่วมงาน ในระหว่างที่เดินทางนั้นก็อย่าได้ปล่อยเวลาให้สูญเปล่าไป เราก็ต้องเตรียมตัวตายไว้ด้วย เพราะว่าการเดินทางมานั้นจะไปแน่เสียที่ไหนเรานั้นอาจจะเป็นศพเองก็ได้
ก่อนที่จะเข้ามางานนั้นก็คงจะเห็นไฟประดับประดาอยู่อย่างมากมาย หลากสีสันก็อย่าได้ไปหลงใหลในแสงสีนั้น พยายามตั้งสติโดยการหมั่นระลึกถึงความตายอยู่อย่าได้ลืมพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงที่ได้เห็นนั้นว่ามันเป็นเช่นใด มีความแน่นอนอะไรไหมในชีวิต มีอะไรที่เที่ยงแท้ไหม มีเงินซื้อชีวิตต่อไปได้ไหม แล้วเราละจะต้องตายอย่างนั้นไหม เป็นต้น
เมื่อเข้ามาในงานนั้นก็เป็นธรรมดาที่จะต้องทักทายเจ้าภาพ ถ้าได้เห็น ความโศกเศร้า รำไร คร่ำครวญเสียใจก็อย่าได้แปลกใจอะไร  พยายามใช้ปัญญาลองมองหาเหตุดูสิว่ามันเกิดมาจากอะไร  เมื่อพิจารณาแล้วก็จะเห็นได้ชัดเลยว่ามันเกิดมาจากความที่เขาเหล่านั้นรักและพอใจ  เมื่อรักและพอใจแล้วก็เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้น จึงทำให้ได้รับผล เป็นทุกข์อย่างที่เห็น  ถ้าในขณะนั้นเราจะเตือนสติอะไรได้เราก็ควรที่จะทำตามแต่ที่จะทำได้
ในระหว่างที่นั่งรอสวดพระอภิธรรมนั้นก็อย่าได้เสียเวลาเปล่า ลองพิจารณาดูศพนั้นว่าในขณะที่ตายนี้ก็คงจะไม่ต่ำกว่าวันหนึ่งแล้ว สภาพนั้นถ้าไม่ได้ฉีดยา
ผมของเขาที่คอยเข้าร้านเสริมสวยอยู่บ่อยๆ เปลี่ยนสีนั่นสีนี่ตามแฟชั่นที่ทันสมัย ใช้ครีมนวดบำรุงอยู่จนไม่สามารถที่จะนับขวดได้นั้นก็คงไม่หลงเหลือความงดงามแฉกเช่นสมัยยังมีชีวิตอยู่อย่างแน่แท้ ก็คงจะหลุดล่วงลงทรุดโทรมไปมากกว่าที่เคยหลุดล่วงในคราวที่มีชีวิตอยู่ 
ขนนั้นก็คงเป็นไปไม่ต่างกันนัก
เล็บนั้นที่เคยสวยงามที่คอยนั่งแต่งจนเสียเวลาตั้งหลายชั่วโมง ที่เคยเสียเงินไปมากมายนับตั้งแต่ที่ทำมาจนถึงวันตายนั้นก็เป็นจำนวนเงินที่มิใช่น้อย เดี๋ยวนี้ก็คงไม่เหลือร่องลอยของความงามนั้นอย่างแน่แท้ 
หนังนั้นที่คอยเฝ้าคอยทะนุถนอมด้วยโลชันที่มีราคาแพงเสียกว่าค่านมลูกเสียอีก เดี๋ยวนี้นั้นเห็นจะไม่สวยอย่างที่เคยเป็นอยู่อย่างแน่เทียวเป็นต้น
การฟังพระสวดอภิธรรมนั้นก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องถึงแม้ว่าจะเปลไม่ได้ก็ตาม
ขออย่าได้เข้าใจผิดว่าการที่พระสวดอภิธรรมนั้นเป็นการสวดส่งวิญญาณให้ผู้ที่ตายไปนั้นได้ไปสู่สวงสวรรค์ นี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างมากถ้าใครมีความคิดอย่างนี้อยู่นั้นโปรดเข้าใจเสียใหม่  ความเป็นจริงสมดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วว่าการที่ผู้ตายนั้นจะได้ไปเกิดที่ไหนนั้นย่อมเป็นไปตามการกระทำของผู้ตายเอง 
แล้วก็ขอทำความเข้าใจให้ถูกต้องอีกอย่างหนึ่งในเรื่องแห่งความตายนั้น เมื่อบุคคลหรือสัตว์ทั้งหลายนั้นจุติ หรือ ตาย ก็จะต้องปฏิสนธิทันที หรือเรียกว่า เกิดทันที จงอย่าได้เข้าใจผิดว่าเป็นวิญญาณล่องลอยอย่างที่ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิเขาคิดเห็นกัน  เราเกิดมาถือว่าเป็นผู้ที่มีกุศลดีแล้วที่เกิดมาได้พบพระพุทธศาสนาได้พบกับคำสอนที่ถูกต้อง ที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ  ก็จงอย่าได้เชื่อสิ่งที่ผิดๆอีกต่อไป
เมื่อเสร็จพิธีการต่างๆแล้วก็คงจะต้องถึงเวลาที่จะต้องเดินทางกลับ การเดินทางกลับนั้นก็ต้องอาศัยการพิจารณาอย่างเช่นที่ได้เดินทางมาเพราะจะมีสิ่งใดแน่นอนการเดินทางกลับในครั้งนี้นั้นอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ เพราะฉะนั้นจงยังสติให้เกิดอยู่เสมอเถิด จะได้ไม่ประมาทต่อสิ่งใดๆ  เหมือนกับในขณะที่เรานั้นกำลังเดินทางนั้นถ้าเราได้ระลึกถึงความตายอยู่เสมอนั้นเราก็จะมีระมัดระวังในการเดินทางอยู่ทุกๆขณะ เมื่อมีการระมัดระวังอยู่เรื่อยๆแล้วก็ไม่ผิดพลาด ทำให้ไม่ได้รับอุบัติเหตุ แล้วก็จะทำให้เดินทางกลับด้วยความปลอดภัย
เมื่อเดินทางกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้วทำธุระส่วนตัวเสร็จก่อนที่จะนอนหลับก็ระลึกทบทวนถึงความตายอีกสักรอบจะได้ไม่ประมาทเผื่อว่าหลับไปแล้วจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีก  เรานั้นก็ยังมีผลมีกำไรในชีวิตเพราะว่าเราได้ตายไปอย่างผู้มีสติ หรือจะเรียกว่าตายอย่างมีเกียรติก็ได้เพราะตายด้วยอำนาจของกุศล เมื่อปฏิสนธิต่อไปก็ไม่ตกลงไปถึงอบายภูมิ ๔
พิจารณาถึงเรื่องความตายอีกครั้งก่อนที่จะหลับ เราก็ได้ไปเห็นมาแล้วว่าความตายนั้นช่างเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเราเสียเหลือเกิน ความตายนั้นก็เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่ทุกคนนั้นต่างก็จะต้องได้เจอจะช้าหรือเร็วนั้นก็แล้วแต่เหตุปัจจัยซึ่งได้แก่ กรรม จิต อุตุ อาหาร ถ้าคนเรานั้นขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดเสียแล้วผู้นั้นก็จะต้องประสบกับความตายดังที่ได้เห็นในงานศพที่ได้ไปมา ความตายนั้นไม่มีใครที่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ทั้งนั้น 
ไม่ว่าคุณจะมีเงินทองมากมายจนใช้ไม่หมดก็ไม่สามารถที่จะรอดพ้นไปได้ แล้วก็ไม่สามารถที่จะนำติดตัวไปได้แม้แต่สตางค์แดงเดียว ในเมื่อสตางค์แดงเดียวก็ไม่สามารถที่จะนำติดตัวไปได้จะกล่าวไปใยกับเงินทองที่มากมายที่คนๆนั้นมี  เสื้อผ้าที่ใส่ติดตัวอยู่นั้นไม่ว่าราคาจะมากน้อยสักเพียงใดก็เหมือนกันไม่สามารถที่จะนำติดตัวไปได้  บ้านพร้อมที่ดินราคาจะสักเท่าใด แหวนเพชรจะราคาสักเท่าใด รถราคาจะสักเท่าใด สิ่งต่างๆที่เป็นทรัพย์สินทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะนำติดตัวไปได้เลย 
ไม่ว่าคุณนั้นจะมีชื่อเสียง หน้าที่การงานใหญ่โตสักเพียงใดก็ไม่เห็นจะมีใครที่จะรอดพ้นซึ่งความตายไปได้เลย  และก็ไม่สามารถที่จะนำติดตัวไปได้เลย แล้วความที่มีชื่อเสียงนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะปิดประตูอบายได้เลย  เมื่อความจริงเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่าชื่อเสียงนั้นก็ไม่ได้เที่ยงแท้แน่นอนนั้นนะสิ ชื่อเสียงนั้นก็เป็นเหมือนกับสิ่งที่หยิบยืมกันใช้เมื่อคนที่ตายใช้หมดแล้วต่อไปคนที่ยังอยู่นั้นก็ใช้ต่อไป ในเมื่อความเป็นจริงเป็นเช่นนี้แล้วเราก็อย่าได้ไปยึดมั่นถือมั่นในชื่อเสียงนี้เลย  หน้าที่การงานที่ใหญ่โตสักแค่ไหนนั้นตายไปก็เอาไปไม่ได้ผู้ที่ตายไปแล้วก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้แล้วก็ไม่ได้ต่างกันคือไม่สามารถที่จะปิดประตูอบายได้  ความมีหน้าที่การงานใหญ่โตนั้นก็เป็นเสมือนกับสิ่งที่หยิบยืมกันใช้เหมือนกันเมื่อใช้เสร็จคนที่อยู่ที่ยังไม่ตายก็รับหน้าที่นั้นแทน  ถ้าขณะที่ก่อนตายเรานั้นยึดมั่นถือมั่นอยู่กับความใหญ่โตของหน้าที่การงานนั้นก็ยิ่งจะทำให้เราตกไปสู่อบายภูมิ  เพราะฉะนั้นเรายังมีชีวิตอยู่ยังพอที่จะแก้ไขได้ก็อย่าได้เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในหน้าที่การงานนั้นเลย
ในเมื่อทุกคนนั้นเกิดมาต้องตายเราก็ต้องใช้ชีวิตที่มันมีอยู่นี้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  ใช้ทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์มากด้วยเช่นเดียวกันเพราะว่าของทั้งสองสิ่งนั้นไม่สามารถที่จะนำติดตัวไปได้  การสร้างประโยชน์นั้นก็ต้องสร้างทั้งแก่ตนเอง และผู้อื่น
การสร้างประโยชน์แก่ตนเองนั้นก็คือ การที่ต้องเป็นผู้ที่มีศีลที่สมบูรณ์ มีการรักษาจิตใจให้พร้อมแก่การงานที่เรียกว่าสมาธินั่นเอง แล้วก็หมั่นเจริญปัญญาโดยการเจริญไปตามมรรคที่ได้กล่าวไปแล้ว
การสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับผู้อื่นนั้น ก็ไม่ได้ยากถ้าเรานั้นสร้างประโยชน์แต่ตัวเราเองได้ดีแล้ว ศีลนั้นก็ป้องกันการทางกายวาจาที่จะไปสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นเป็นต้น  แล้วก็ช่วยเหลือสังคมตามแต่กำลังความสามารถ
อย่าได้เข้าใจผิดคิดว่ายังไงเราก็ต้องตายก็ต้องแสวงหาให้ได้มากที่สุด หาความสุขทางด้านกามารมณ์ให้มากที่สุด ดื่มกินให้มากที่สุด เที่ยวให้ได้มากที่สุด นั้นไม่ใช่หนทางที่จะทำให้ได้รับความสุขอย่างที่แท้จริง
ครั้นพิจารณาอยู่อย่างนี้หรือมากกว่านี้แล้วก็จะทำให้ตื่นนอนพร้อมกับสดชื่นจิตใจสบาย
นำเที่ยวงานศพวันที่สอง
ตามธรรมดาของงานศพทั่วๆไปส่วนใหญ่แล้วเจ้าภาพมักจะยังไม่เผาศพในวันแรกที่ตาย มักจะเก็บไว้อย่างน้อยก็คงจะประมาณสัก ๓วันหรือมากกว่านั้น นี่ก็เป็นเหตุที่จะทำให้ผู้ที่ได้รับการ์ดเชิญมาร่วมงานจึงต้องเดินทางมาร่วมงานอีก แล้วก็เป็นเหตุให้ได้นำเที่ยวกันอีกวัน 
บรรยากาศในงานนั้นก็คงจะไม่ได้ต่างกันมากนักกับงานวันแรก  เมื่อมาถึงงานนั้นสิ่งแรกที่จะต้องทำก็คือ จะต้องมีสติปัญญาสองสหายนี้อยู่เสมอเพื่อที่ว่าจะได้รับประโยชน์อย่างมากในการมางานศพ  การทักทายเจ้าภาพนั้นก็ได้กล่าวกันไปแล้วว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ดีที่เรานั้นจะต้องทำ  แต่สิ่งที่ได้เห็นจากตา หรือ อาการความโศกเศร้าเสียใจของเจ้าภาพนั้นก็คงต้องทำใจกันบ้าง เมื่อทักทายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็หาที่สงบนั่งพักผ่อนรวมถึงเป็นสถานที่ที่ไว้สำหรับพิจารณาด้วย  เมื่อได้ที่เหมาะแล้วก็ลองพิจารณาถึงสิ่งที่ได้เห็นมาคือ ที่เจ้าภาพหรือผู้ที่สนิทสนมกับผู้ตายนั้นเขาโศกเศร้าเสียใจกันนั้นเหตุมาจากสิ่งใด  แล้วจะทำอย่างไรเมื่อเรานั้นต้องสูญเสียอย่างที่เป็นอยู่นี้แล้วจะไม่ต้องมาโศกเศร้าเสียใจอย่างนี้
ความโศกเศร้าเสียใจที่ได้เห็นมานั้นมาจากบุคคลอันเป็นที่รักของเขานั้นได้ตายลงไปอย่างที่เห็นนี้เองจึงทำให้เขาเหล่านั้นต่างก็ได้รับผลเป็นความโศกเศร้าเสียใจ เป็นทุกข์กันขึ้นมา 
ความรักความพอใจในสิ่งๆนั้นทำให้เข้าไปยึดมั่นถือมั่น เมื่อมีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นๆแล้ว  ก็จะทำให้ได้รับผลเป็นความทุกข์
ถ้าไม่อยากได้รับผลเป็นทุกข์  ก็ต้องไม่รักไม่พอใจในสิ่งนั้นๆ  เมื่อไม่รักไม่พอใจ  ก็ไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นๆ  โดยการพิจารณาให้รู้ตามความเป็นจริงในสิ่งนั้นๆ ที่เรียกว่า ปัญญา
ปัญญานั้นไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆมันจะเกิดขึ้นมาได้ต้องอาศัยการเจริญอยู่เสมอปัญญานั้นจึงจะเกิด จึงจะรู้ตามความเป็นจริงขึ้นเรื่อยๆ จากการที่รู้ความจริงในสิ่งที่หยาบๆ เมื่อมีการเจริญอยู่อย่างเสมอก็จะรู้ตามความเป็นจริงที่ละเอียดมากขึ้น จนถึงปัญญาที่สมบูรณ์ที่จะใช้สำหรับดับทุกข์ได้
ปัญญาที่สมบูรณ์นั้นก็มาจากการเจริญมรรคมีองค์ ๘ ที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงสอนไว้เป็นอย่างดีแล้ว ได้สร้างทางที่จะไปถึงความดับทุกข์ไว้ดีแล้ว  และก็มีผู้ที่เดินทางไปถึงมากมายแล้วด้วย  ส่วนหน้าที่ของการเดินนั้นเป็นหน้าที่ของเราท่านทั้งหลาย
มรรคมีองค์ ๘ ดังนี้
สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ
สัมมาวาจา การกล่าววาจาชอบ
สัมมากัมมันตะ การกระทำทางกายชอบ
สัมมาอาชีวะ การประกอบอาชีพชอบ
สัมมาวายามะ การเพียรชอบ
สัมมาสติ การระลึกชอบ
สัมมาสมาธิ การตั่งมั่นชอบ
นี่เราก็ได้รู้หนทางดับทุกข์แล้วต่อไปก็คงจะต้องหมั่นเจริญทั้งองค์ ๘ นี้ให้ได้มากเท่าที่จะทำได้ต่อไป
เมื่อพิจารณาอยู่อย่างนี้แล้ว ในระหว่างนั้นเราก็ลองมองดูคนที่อยู่รอบๆตัวเราดูบ้าง เขานั้นสักวันหนึ่งก็ไม่ต่างกับคนที่นอนอยู่ในโรงศพนั้น แม้เรานั้นก็ไม่ต่างกัน นี้เห็นจะเป็นความจริงที่คนเรานั้นไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ หรือจะบังคับไม่ให้มันตายไปได้  ในเมื่อความเป็นจริงเป็นอยู่เช่นนี้เราก็อย่าได้เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในร่างกายทั้งของเรา และก็ของผู้อื่นเลย
ก็ลองพิจารณาดูก็ได้ว่าทำถึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
สิ่งที่อยู่ในโรงศพนั้นไม่ว่าเรานั้นจะรักจะผูกพันสักเพียงใดก็ไม่เห็นว่าจะมีใครที่จะนำไปอยู่ด้วยสักคน ให้ใครเอาไปอยู่ด้วยก็ไม่เห็นจะมีใครที่จะเอาไปอยู่ด้วยเลยสักคน ก็เพราะว่าเนื้อหนังของคนที่ตายนั้นมันก็ไม่ได้เป็นเหมือนกับที่เคยมีชีวิตอยู่ เมื่อตายวันแรกนั้นมันก็ยังที่จะพอดูได้อยู่แต่ให้กอดให้หอมแก้มหรือลูบไล้คงเห็นจะไม่มีใครทำ เมื่อตายมาถึงวันที่สองนั้นก็จะยิ่งกว่าวันแรกเสียอีก นี่ยังดีที่ว่ามีโรงปิดบังไว้ เราลองมานึกถึงถ้าไม่มีโรงปิดไว้ก็คงจะเต็มไปด้วยแมลงวันและก็สัตว์อื่นๆ  หรือถ้าไม่ได้ฉีดยากลิ่นนี้ก็คงจะเหม็นน่าดู  ผมที่เรานั้นต่างก็เคยได้หลงใหลกันอยู่นั้นมาถึงวันนี้แล้วก็ไม่ได้สวยเหมือนอย่างที่เคย  เมื่อภายนอกนั้นก็เป็นอยู่อย่างนี้แล้วภายในอย่างเช่น เนื้อที่มันหุ้มกระดูกอยู่นั้นมันเคยเป็นสันเป็นเนื้อที่แน่น  แต่มาถึงวันนี้แล้วมันก็เริ่มที่จะเน่าลงไปทุกที ตับ ไต ไส้ ม้าม ปอด เหล่านี้เป็นต้นก็เริ่มที่จะเน่าไปไม่ต่างกันกับเนื้อ  ก็ลองดูเถิดว่าน่ายึดมั่นถือมั่นหรือไม่
แสดงว่าสิ่งที่เราเห็นตอนมีชีวิตอยู่นั้นเป็นเพียงแค่มายาหลอกลวงเราเท่านั้นเอง ต่อเมื่อมันตายไปเราก็ได้เห็นธาตุแท้ของมันขึ้นมา  เพราะฉะนั้นเราต้องมีสติปัญญารู้เท่าทันเพื่อที่ว่าสิ่งที่เป็นมายานั้นจะมาหลอกเราไม่ได้
แล้วถ้าเรานั้นเห็นเจ้าภาพเอาข้าวมาวางแล้วเรียก คนที่อยู่ในโรงมากินก็อย่าได้เข้าใจผิดว่าเขาจะมากินได้ ก็ท่านนั้นก็ลองคิดดูเถิดว่าคนที่ตายไปแล้วนั้นกายก็ดับก็ตายไม่สามารถที่จะทำงานได้อย่างที่เคยเป็น จิตใจที่เคยสั่งงานให้ร่างกายนั้นทำงานมาถึงขณะนี้ก็ไม่สามารถที่จะทำงานได้เพราะว่ามันตายไปพร้อมๆกัน ไม่ได้ต่างอะไรกับท่อนไม้ หรือ ก้อนหินก้อนดินที่ใช้ประโยชน์อะไรได้เลย แล้วจะมากินข้าวได้อย่างไร และอีกอย่างหนึ่งเราลองคิดถึงตอนที่เราป่วยหนักถึงกระทั่งต้องให้น้ำเกลือ เราก็ลองเอาข้าวไปวางไว้ใกล้ๆแล้วจุดธูปบอกให้มากินคนนั้นจะกินได้ไหมลองคิดดูทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่แท้ๆยังกินไม่ได้เลยจะกล่าวไปใยกับคนที่ตายไปแล้ว หรือบางคนอาจจะคิดว่าดวงวิญญาณของจะมากิน นี้เป็นความเห็นผิดอย่างรุนแรง เพราะว่าวิญญาณที่มันร่องรอยอยู่นั้นมันไม่มี  แต่สิ่งที่ท่านนั้นเคยได้ยินได้ฟังหรืออาจจะได้เห็นว่าคนที่ตายมาปรากฏให้เห็น นั้นต้องเข้าใจว่านั่นเป็นชีวิตอีกชีวิตหนึ่ง ไม่ใช่ดวงวิญญาณที่ล่องลอยไม่มีญาติหรืออะไรต่างๆนานาที่ผู้ที่เข้าใจผิดแล้วคิดกันไป ต้องเข้าใจธรรมชาติอย่างหนึ่งก่อนว่าสัตว์นั้นรวมถึงคนด้วยถ้าจุติจะปฏิสนธิทันทีหรือตายแล้วเกิดทันที แต่จะปฏิสนธิที่ไหนนั้นก็แล้วแต่การกระทำของตนนั้นหรือที่เรียกว่าแล้วแต่กรรมของสัตว์นั้นๆ นี้แหละที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม แล้วศพที่อยู่ในโรงนั้นก็เหมือนกันในขณะที่จัดงานอยู่นั้นไปปฏิสนธิตั้งแต่ตายเสร็จแล้ว ก็ถึงได้ย้ำว่าในงานศพนั้นจะจัดงานอย่างใหญ่หรือเล็กก็ไม่ได้มีผลแก่ผู้ตายและการที่จะช่วยให้ผู้ที่ตายไปนั้นได้ไปเกิดที่สวรรค์วิมานอะไรทั้งนั้น ถึงจะนิมนต์พระมาสวดมากมายเท่าใดก็ไม่ได้ประโยชน์กับผู้ตาย
แต่ผู้ที่ได้รับประโยชน์จริงๆแล้วก็คือ บุคคลที่เป็นผู้ให้ทานแก่สงฆ์ การรักษาศีลที่ได้สมาทานกันไว้ การเจริญภาวนาของบุคคลที่พิจารณาในเมื่อมางานศพ นี้แหละเป็นสิ่งที่จะได้ในการจัดงานศพ
เมื่อเดินทางกลับมาถึงบ้านก่อนนอนก็ต้องหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาพิจารณาเพื่อเจริญปัญญากันก่อนนอน อย่างเช่น การพิจารณาถึงสิ่งที่จะช่วยให้ดับทุกข์ได้ก็คือ มรรคมีองค์ ๘
สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ หรือ ความเห็นที่ถูกต้อง 
การมีความเห็นที่ถูกต้องนั้นก็มีอยู่หลายระดับหลายขั้นเหมือนกัน ขั้นแรกนั้นเราก็ต้องมีความเห็นถูกกันในเรื่องกรรมเสียก่อน ว่าการกระทำดีนั้นย่อมที่จะได้รับผลเป็นสิ่งที่ดี การกระทำสิ่งที่ไม่ดีก็ต้องได้รับผลเป็นสิ่งที่ไม่ดีมีความเห็นที่ถูกต้องในสิ่งต่างๆที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งหรือที่เรียกว่า สังขารทั้งหลายเหล่านั้น  โดยเห็นเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ หรือ ความคิดที่ถูกต้อง ได้แก่
ความคิดที่จะออกจากกาม หรือ จะหมายความถึงการที่ไม่คิดเรื่องกามเลยก็ไม่ผิด
ความคิดที่ไม่พยาบาท ไม่อาฆาต ไม่แช่งชักหักกระดูกใครๆไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่ 
ความคิดที่ไม่เบียดเบียน สัตว์ทุกชนิด
ที่กล่าวมาทั้ง ๓ นั้น หมายถึงว่าไม่คิดเลยนะ แต่ว่าตามธรรมดาของปุถุชนเราท่านนั้นต่างก็มีความคิดเหล่านี้อยู่บ้างมากน้อยนั้นก็แล้วแต่การฝึกฝนของแต่ละบุคคลไป  แรกๆที่ยังไม่ได้เจริญสัมมาสังกัปปะมรรคนี้เป็นที่แน่นอนว่าจะต้องคิดถึงเรื่องพวกนี้อย่างมากเลยทีเดียว  เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเริ่มฝึกหัดกระบวนการคิดของเรานั้นให้เป็นไปในทางนี้ให้มากเท่าที่จะทำได้ในแต่ละวัน  แรกเริ่มนั้นอาจจะยากยิ่งนักแต่ต่อไปก็จะเจริญขึ้นไปเองอย่าได้ท้อแท้เลย
สัมมาวาจา การพูดชอบ ได้แก่
การไม่พูดเท็จ
การไม่พูดส่อเสียด
การไม่พูดสิ่งที่หยาบคาย
การไม่พูดเพ้อเจ้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาประโยชน์มิได้
สัมมากัมมันตะ การกระทำทางกายชอบ หรือ การกระทำทางกายที่ถูกต้อง ได้แก่
เจตนางดเว้นจากปาณาติบาต ก็คือ จะไม่พรากชีวิตของสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าสัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่ ไม่ว่าจะมีคุณหรือมีโทษต่อเรา โดยการฆ่าเอง หรือ ใช้ให้คนอื่นฆ่าเป็นต้น
เจตนางดเว้นจากอทินนาทาน คือ การไม่ถือเอาทรัพย์สินอันบุคคลอื่นหวงแหน
เจตนางดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร คือ การไม่ถือเอาหญิงหรือชาย ที่มีบิดา มารดา ญาติพี่น้องสามีหรือภรรยาเหล่านี้เป็นต้นหวงแหนอยู่
สัมมาอาชีวะ การประกอบอาชีพที่ถูกต้อง คือ การประกอบอาชีพที่เว้นจากกายทุจริต ๓ วจีทุจริต ๔ ที่เกี่ยวกับอาชะ  มีการโกง การล่องลวง การตลบตะแลง การทำอุบายโกง การเอาลาภต่อลาภเป็นต้น
สัมมาวายามะ การพยายามชอบ หรือ การพยายามที่ถูกต้อง หรือ ความเพียรที่ถูกต้อง  ได้แก่ การพยายามในสิ่งเหล่านี้
การพยายามละอกุศลที่เคยกระทำแล้ว
การพยายามไม่ให้อกุศลใหม่เกิด
การพยายามกุศลใหม่ให้เกิดขึ้น
และการพยายามให้กุศลนั้นเจริญรุ่งเรื่องยิ่งขึ้น
สัมมาสติ  การระลึกชอบ หรือ การระลึกถูกต้อง ได้แก่  การเจริญสติปัฏฐาน ๔ อย่างที่ในการนำเที่ยวงานศพนั้นก็เป็นการเจริญสติอย่างหนึ่งในสี่อย่างนี้ คือ การระลึกถึงความตาย หรือ เรียกว่า มรณัสสติ
สัมมาสมาธิ การตั้งมั่นชอบ
เมื่อเราพอจะรู้จะเห็นหนทางที่จะดับทุกข์แล้วก็พยายามกระทำให้ได้สิ่งใดที่พระผู้มีพระภาคทรงสอนให้เจริญทางกายก็พยายามเจริญทางกาย สิ่งใดที่ทรงสอนให้เจริญทางวาจาก็พยายามเจริญทางวาจา สิ่งใดที่ทรงสอนให้เจริญทางจิตใจก็พยายามเจริญทางจิตใจ สิ่งใดที่พระผู้มีพระภาคทรงสอนให้เจริญทางด้านของปัญญาก็พยายามเจริญทางปัญญา เมื่อเจริญได้สมบูรณ์แล้วสิ่งที่ปิดบังความเป็นจริงอยู่ก็หมดไป ความยึดมั่นถือมั่นก็หมด ทุกข์ก็ดับไป
นำเที่ยวงานศพวันที่สาม
ส่วนใหญ่แล้วงานศพนั้นก็จะจัดกันประมาณสามวัน หรือเรียกว่าเอาศพไว้แค่สามวันอย่างที่ได้เคยกล่าวไปแล้วว่าการจัดงานศพนั้นไม่ได้เป็นไปเพื่อจะทำให้ผู้ที่ตายนั้นได้ไปเกิดในที่ดีๆ หรือเพื่อที่จะให้ผู้ตายนั้นได้รับบุญกุศล บุญกุศลนั้นมีแต่ผู้ที่กระทำเท่านั้นจะเป็นผู้ได้ ในทางกลับกันการกระทำชั่วนั้นผู้ที่กระทำชั่วก็เป็นผู้ได้ไป พ่อแม่ลูกนั้นก็ไม่ได้รับด้วย จะเรียกกันว่ากรรมนั้นใครทำใครได้นี้จะชัดเจนกว่า เมื่อเห็นความจริงเป็นเช่นนี้แล้วจะจัดงานศพอย่างใหญ่โต หรืองานเล็กๆ หรือว่าจะไม่จัดเลย ก็ไม่มีผลต่อผู้ที่ตายไปแล้ว แต่จะมีผลต่อผู้ที่อยู่ผู้ที่กระทำนั้นดังที่ได้กล่าวไปแล้ว  ที่กล่าวซ้ำขึ้นมาก็เพื่อ อย่าได้มีความเห็นที่ผิดๆ อย่าได้สร้างค่านิยมที่ผิดๆ  ในเรื่องของงานศพ บางคนนั้นต้องกู้เงินเสียดอกเบี้ยมาก็เพื่อเพราะคิดว่าการจัดงานศพให้กับผู้ที่ตายไปนั้นจะทำให้ผู้ตายนั้นไปสู่สุคติ หรือโลกสวรรค์อย่างที่เข้าใจกันผิดๆ นี้ก็จะเห็นได้ชัดว่าต้องมาเป็นทุกข์กับหนี้สินที่กู้มา หรือบางคนนั้นก็จัดงานมาก็เพื่อสร้างความมีหน้ามีตาให้กับตนเอง หรือ บางครั้งก็ไม่สามารถที่จะแยกออกเลยว่าเป็นงานแฟชั่นเครื่องประดับหรือเปล่า หรือบางงานก็จัดเป็นเหมือนกับว่าเป็นสวนดอกไม้เลยก็มี นี้เป็นเหตุมาจากบุคคลนั้นไม่รู้จุดประสงค์ของการจัดงานศพ 
จะขอเตือนสติอีกครั้งในเรื่องของจุดประสงค์ของการจัดงานศพ งานศพนี้จัดขึ้นเพื่อให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นได้มาพิจารณาศพนี้แล้วมาเปรียบเทียบกับตัวเราว่าเรานั้นก็ไม่ได้ต่างกันเลย เกิดมาก็ต้องตายไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้เลย แม้แต่บุคคลที่อยู่ใกล้ตัวเรามีพ่อแม่ลูกเมียเป็นต้นนั้นก็ไม่ได้ต่างกันไม่มีใครที่จะหนีพ้นซึ่งความตาย ให้เห็นสังขารที่แท้จริงแล้วไม่ได้เที่ยงแท้อะไรเลยมีการเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป เมื่อร่างกายและจิตใจนี้ดับไปแล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรกับท่อนไม้ก้อนหินอะไรนั้น ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้หาแก่นหาสาระไม่ได้เลย ไว้เตือนสติเราไว้ว่าเรามีชีวิตอยู่นั้นก็รีบสร้างประโยชน์ทำตัวเองให้มีสาระมีแก่นสาร  แล้วก็ให้พิจารณาให้เห็นความเป็นจริงว่าร่างกายที่มันมีชีวิตอยู่นี้ก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่เข้าใจ สิ่งที่เห็นว่าเป็นความสวยงามนั้นก็มาจากความไม่รู้นั้นมาปิดบังไว้ไม่ให้เห็นความจริง ให้หลงยึดมั่นถือมั่นอยู่ได้ เมื่อเราได้เห็นศพก็พิจารณาเห็นได้ชัดเลยว่าสิ่งที่เรียกว่าร่างกายนั้นมันไม่ได้สวยงามอย่างที่เรานั้นได้เข้าใจผิด ความจริงมันเป็นสิ่งปฏิกูลทั้งนั้น ตั่งแต่ผมที่เรานั้นคิดว่ามันสวยงามเรานั้นต่างก็ทะนุถนอมกันอย่างดีเมื่อตายไปแล้วก็ไม่เห็นมันจะหลงเหลือความสวยงามนั้นให้เห็น ไม่ว่าคนที่ตายไปนั้นจะมีเงินทองมากมายสักเพียงใดก็ไม่สามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงความจริงตรงนี้ได้ แม้เทคโนโลยีจะก้าวไกลเพียงใดก็ยังไม่สามารถที่จะลบล้างความเป็นจริงได้ ที่พิจารณาอย่างนี้นั้นก็เพื่อที่จะให้ผู้ที่มีชีวิตอยู่นั้นอย่าได้ไปลุ่มหลงกับผมมากจนเกินความจำเป็น ถ้าทำมากเกินความจำเป็นก็จะเป็นทุกข์เพราะผมนั้นแหละ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ให้ดูแลรักษาเลยนั้นก็เป็นความเห็นที่ผิดอีก ความจริงนั้นเพียงแค่ให้เห็นความจริงเพื่อละความยึดมั่นถือมั่นในผมนั้นให้ลดน้อยลงไปแต่หน้าที่ในการที่รักษาไว้เพื่อไม่ให้เกิดความน่ารังเกียจเมื่อมีผู้พบเห็น ผิวหนังนั้นก็เหมือนกันเมื่อเห็นคนที่ตายแล้วก็พิจารณาโดยการเปรียบเทียบกับตัวเรา เมื่อเรานั้นตายลงไปก็ไม่ได้ต่างกัน เพื่อที่ว่าจะได้ป้องกันไม่ให้เรานั้นเห็นผิดว่ามันนั้นเที่ยงแท้ จะได้ไม่ไปเสียเงินเสียทองซื้อครีมราคาแพงต้องเข้าไปนวดหน้า เข้าคอร์ดอบผิว นี้เป็นต้น หรือเพื่อป้องกันการโดนหลอกว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้แล้วผิวจะไม่เหี่ยวไม่แก่ แล้วก็ให้มองเป็นสิ่งปฏิกูลไม่ใช่ของสวยงานน่ารักน่าใคร่หลอกก็ลองดูก็ได้ถ้าเรานั้นไม่ได้อาบน้ำสักสองสามวันเป็นไงกลิ่นนี้ก็คงจะแย่มากเลย  ไม่ใช่แต่ของเราไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายเหมือนกันหมดมีความเป็นของน่าเกียจเหมือนกัน เนื้อหนังนั้นเป็นแหล่งรวมของสิ่งสกปรกมามายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคที่เกิดทางผิวหนังมากมาย ที่เขาผลิตน้ำหอมขึ้นมานั้นก็เพื่อที่จะได้เอากลิ่นของมันมากลบความเหม็นของผิวหนังนั่นเอง ยิ่งใครที่มีกลิ่นผิวหนังที่เหม็นยิ่งเหม็นมากก็ยิ่งใช้น้ำหอมมาก  แล้วเมื่อเห็นคนที่ตายไปแล้วนั้นก็จะได้เห็นดังที่ได้กล่าวไปแล้วยิ่งถ้าตายหลายๆวันเข้าหนังก็เริ่มที่จะแตกจะเน่าเป็นอาหารของหมู่หนอนแมลงวันต่อไป ที่พิจารณาอย่างนี้ก็เพื่อป้องกันการที่จะทำให้เกิดความหลงใหลในเรื่องของเนื้อหนังทั้งของตนเองแล้วก็ผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดการประพฤติผิดในกามได้ก็เพราะความหลงใหลในเนื้อหนังนี้เอง  เล็บนั้นถ้าเราไม่ได้ทำความสะอาดอยู่เป็นประจำก็เป็นสิ่งที่น่าเกียจไม่ได้ต่างกันยิ่งถ้าเกิดเป็นของผู้ที่ตายไปแล้วยิ่งไม่หลงเหลือความสวยงามที่เคยได้ดูแลรักษามาด้วยเงินทองที่มากมาย เพราะฉะนั้นก็อย่าได้เข้าใจผิดว่ามันยั่งยืนถาวรเที่ยงแท้ การดูแลรักษานั้นก็เอาแค่ไม่ให้มันสกปรกไม่ให้เกิดความน่ารังเกียจยามเข้าสังคมก็พอแล้ว ถ้าดูแลเกินกว่าความจำเป็นก็เกิดความทุกข์ใจอีก ก็ลองคิดดูหรือลองถามคุณผู้หญิงดูก็ได้ว่าถ้าสักเพิ่งไปทำเล็บมาใหม่ๆแล้วเล็บนั้นถลอก หรือ หักไปเป็นอย่างไร นี้ก็มีเหตุมาจากการที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในเล็บนั้น เมื่อหมั่นพิจารณาอยู่อย่างนี้แล้วก็จะทำให้ลดความยึดมั่นถือมั่นลงได้บ้างตามแต่ความชำนาญของแต่ละคน  สิ่งต่างๆในร่างกายนั้นก็พิจารณาในแบบเดียวกัน
หรือว่าจะพิจารณาให้เห็นความจริงอีกอย่างก็เห็นสิ่งที่นอนตายเป็นศพนั้นเป็นเพียงแต่ธาตุ ๔ มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เมื่อพิจารณาโดยความเป็นธาตุเช่นนี้แล้วถามว่าเรานั้นจะร้องไห้เสียใจเพราะว่าธาตุหรือ ไม่มีใครตายทั้งนั้นสิ่งที่อยู่ในโรงนั้นก็เป็นแค่เพียงธาตุทั้ง ๔ แล้วถามว่าจะเสียใจทำไม แล้วก็มาพิจารณาดูตัวเองบ้างสิ่งที่ประชุมกันอยู่นี้ก็เป็นเพียงแค่ธาตุ ๔ เหมือนกันไม่ได้มีความเป็นสัตว์ไม่ได้มีตัวตน มันกำลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยตามธรรมชาติ แล้วธาตุทั้ง ๔ นี้ก็ไม่ได้เที่ยงแท้แต่อย่างใด มีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย  ธาตุ ๔ นี้ก็มีทั้งความเกิดขึ้น และความเสื่อม แล้วก็พิจารณาต่อไปยังบุคคลที่มาร่วมงานศพนี้ก็ไม่ได้ต่างกัน ล้วนประกอบด้วยธาตุ ๔ ทั้งนั้นมีความไม่เที่ยงแท้เหมือนกัน มีความเกิดขึ้นและก็มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้แล้วควรหรือมิควรที่จะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นโปรดพิจารณาด้วยปัญญาเถิด
หรือจะพิจารณาอีกอย่างหนึ่งก็ได้ลองระลึกถึงว่าถ้าผู้ที่ตายนั้นไม่ได้อยู่ในโรงศพที่ปิดบังไว้นั้น ไม่ได้ฉีดยาปล่อยไปตามธรรมชาติแล้ว เมื่อตายมาได้มาถึงสามวันนี้แล้วสภาพของสรีระนั้นก็คงจะขึ้นอืดพอง มีสีเขียวน่าเกลียด มีน้ำเหลืองไหลน่าเกลียดเป็นต้น แล้วก็หันมาพิจารณาดูตัวเราบ้างในสรีระนี้ก็เป็นของที่น่าเกลียด มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา แล้วพิจารณาถึงผู้ที่มาร่วมงานนั้นสรีระก็เต็มไปด้วยสิ่งที่น่าเกลียดเหมือนกันถึงแม้ว่าจะใส่เสื้อผ้าราคาแพงหรืองามขนาดไหนแต่สิ่งที่อยู่ภายในนั้นก็น่าเกลียด มีความเสื่อมเป็นไปตามธรรมชาติ  ถ้าทิ้งศพนี้ไว้ต่อไปก็คงเป็นอาหารให้แก่นก แร้ง สุนัข นี้ก็จะเห็นได้ชัดเลยว่ามันไม่ได้มีสาระแก่นสารในสรีระนี้เลย แล้วเห็นความเป็นอนัตตาได้อย่างชัดเจนเพราะว่าถ้าเป็นของเรา หรือเป็นเราตามที่ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิเห็นกันก็ต้องไม่ปล่อยให้เป็นอาหารของสัตว์ ต้องบังคับบัญชาได้แต่ความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อสรีระนั้นผ่านวันไปมากก็จะเป็นร่างกระดูก ที่เหลือจากการกินของสัตว์ต่างๆ มีเลือดติดอยู่ที่เนื้อบ้าง มีเส้นเอ็นหลุดบ้าง  เมื่อผ่านวันไปยิ่งนานเข้ากระดูก ก็เรี่ยรายกระจัดกระจายไปทั่ว เมื่อเวลาผ่านไปเป็นปีๆก็จะเหลือแค่เพียงเศษของกระดูกเท่านั้น ก็ไม่ได้ต่างกันผู้ที่มาร่วมงานทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้ต่างกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ควรหรือมิควรที่จะเข้าไปยึดมั่นถือมั่น
ก็จะเห็นได้โดยชัดว่าสิ่งที่เรียกว่าร่างกายนี้ก็ไม่ได้มีความเที่ยงแท้ล้วนแล้วแต่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่ได้เป็นเราเป็นของเรา นี้คือความเป็นจริงที่ไม่ว่าจะมีใครเข้าไปรู้หรือไม่ความเป็นจริงก็ยังคงเป็นอยู่เช่นนี้เพราะเหตุนี้เราท่านนั้นควรที่จะเห็นอะไรที่มันเป็นความจริง จงขจัดสิ่งที่มันปิดบังความจริงให้มันออกไปให้ได้
นำเที่ยววันเผาศพ
วันนี้เป็นวันที่แสดงให้เห็นถึงความไม่เที่ยงแท้ของสังขารได้เด่นชัดมากขึ้นกว่าทุกๆวัน  ถ้ามาถึงวันนี้ยังเห็นความจริงในเรื่องของสังขารแล้วก็คงจะแย่เต็มทีแล้ว เพราะว่ามันแสดงออกมาให้เห็นชัดว่าไม่ลงเหลือสภาพที่เคยสวยงามอย่างเช่นที่ยังมีชีวิตอยู่  แล้วก็เห็นความจริงขึ้นมาอีกอย่างว่าไม่มีผู้ตายคนใดเลยที่จะเอาทรัพย์สมบัติติดตัวไปแม้แต่สลึงเดียว  ก็เป็นจริงที่ว่าทรัพย์สมบัติต่างๆนั้นเป็นเสมือนของที่ขอยืมกันใช้พอผู้ที่ใช้หมดเวลาแล้วก็เหลือเป็นหน้าที่ของผู้ที่อยู่ต่อรักษากันต่อไปแล้วก็รักษากันต่อไปๆไม่สิ้นสุดเปลี่ยนมือกันไปเรื่อย  จุดประสงค์ที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมานั้นก็เพื่อที่จะให้เห็นความจริงในเรื่องของความตายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  เมื่อเห็นความจริงแล้วก็จะได้ลดละความยึดมั่นถือมั่นลงไปได้บ้างไม่มากก็น้อย 
งานวันเผานั้นท่านทั้งหลายนั้นก็คงจะเคยเห็นกันมาบ้างแล้ว เริ่มแรกจะนำเที่ยวไปในศาลาที่พระทำการสวดมาติกา
การสวดมาติกานี้ความจริงแล้วไม่ได้สวดให้คนที่ตายนั้นไปสู่สุคติอย่างที่บางท่านเข้าใจผิด แต่ความจริงแล้วเป็นธรรมะที่พระนั้นสวดให้คนที่มีชีวิตอยู่นี่แหละฟัง  ถ้าผู้ที่ต้องการจะทราบเนื้อความในการสวดนั้นเห็นทีจะต้องถามนักเรียนอภิธรรมเห็นจะได้ความกระจ่างมากกว่าจะให้ผู้เขียนนั้นอธิบาย  แต่ความคร่าวๆนั้นเป็นธรรมะที่แสดงกุศล อกุศล และก็แสดงความเป็นเหตุเป็นปัจจัยนี้เป็นต้น ซึ่งขอพูดกันตรงๆเลยว่าเหลือวิสัยที่ผู้เขียนนั้นจะเข้าใจได้เนื่องด้วยปัญญาที่อ่อนอยู่อย่างมาก 
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทุกท่านนั้นพอจะเข้าใจความหมายได้ แล้วก็ใช้สำหรับพิจารณาได้กันทุกคน  ก็ตอนที่จะมีผู้ที่นำกล่าว หรือ ที่เรารู้จักกันว่าทายกนั้นแหละ เขาจะนำกล่าวว่า
นามรูปํ อนิจฺจํ 
นามรูปํ ทุกฺขํ
นามรูปํ อนตฺตา
ท่านทั้งหลายอย่าได้ดูถูกคำเพียงสั้นๆเพียงแค่นี้นะ สามประโยคนี้จะเรียกว่า เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าใช้สอนมากที่สุดก็ว่าได้  แล้วสิ่งที่พระองค์ทรงสอนมากก็แสดงว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก  เพราะฉะนั้นเราท่านทั้งหลายจงให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเลยถ้าคิดที่จะพ้นทุกข์  เมื่อเราได้ยินอย่างนี้แล้วก็อย่าได้ปล่อยให้ทะลุผ่านหูออกไปเฉยๆ  ต้องพิจารณาตามไปด้วยเพื่อให้เห็นความจริง หรือเพื่อเจริญปัญญาให้มากขึ้นไป  โดยการพิจารณาที่ตัวนามและรูปนี่แหละ  นามและรูปนี้เรียกอีกอย่างว่า ร่างกายและจิตใจก็ได้เพื่อจะได้ใช้ในการพิจารณาได้ง่ายและเพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้น
ส่วนที่เรียกว่า รูป นั้นก็ได้แก่ตัวร่างกาย ส่วนที่เรียกว่า นามนั้น ก็เป็นส่วนของจิตใจไป  ในส่วนของร่างกายนี้มีความซับซ่อนน้อยกว่าในส่วนของจิตใจ เพราะในจิตใจนั้น ยังแบ่งแยกออกไปเป็น เวทนา สัญญา สังขาร และก็วิญญาณนี้เรียกว่า นามรูป หรือ ชีวิตๆหนึ่งก็ได้แล้วแต่จะเรียก แล้วของสองสิ่งนี้จะต้องอาศัยกันชนิดที่ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้เลย แม้แต่เกิดก็ต้องเกิดพร้อมๆกัน และดับก็ต้องดับพร้อมกันนี้เป็นต้น
ทีนี้จะขยายความเพื่อเติมจากที่ได้กล่าวไปแล้ว ที่ว่านามรูปํ อนิจฺจํ นี้ก็หมายความว่า นามรูป นี้ไม่เที่ยง  ก็ได้แก่ ส่วนของร่างกายก็ไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย มีการเกิดขึ้นดับไปเป็นธรรมดา มันก็ต้องเป็นไปอย่างนี้เอง  ก็ดังจะเห็นได้ในการที่เรามางานศพนี้ก็เป็นการพิสูจน์คำๆนี้ได้ดียิ่ง  ก็คงจะไม่มีใครที่จะเถียงความจริงเป็นแน่แท้  แล้วมาดูส่วนของร่างกายสิว่าเป็นอย่างที่ได้กล่าวไว้หรือ ไม่ว่าจิตใจที่มี เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณนี้ ก็อย่างที่เห็นอยู่ในโรงนั่นแหละมันดับไปตามพร้อมๆกับร่างกาย ก็ในเมื่อมันดับไปพร้อมกับร่างกายๆนั้นก็ไม่เที่ยงแล้วจะหาความเที่ยงของจิตใจมาจากที่ไหนกัน  นี้เราอาศัยศพที่นอนอยู่ในโรงนั้นพิจารณา
ทีนี้เราย้อมมามองดูมาพิจารณาตัวเราบ้างว่ามันเป็นอย่างนั้นหรือไม่  การที่เรามีชีวิตอยู่นี้ก็ไม่ได้เที่ยงเหมือนกัน ร่างกายของเรานั้นก็เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย เริ่มจากที่ตัวเรานิดเดียวมาถึงตอนนี้เราก็เปลี่ยนแปลงไปนี้จะเป็นความยั่งยืนก็หามิได้ นี้แหละจึงกล่าวได้ว่าในร่างกายที่อยู่นี้ก็ไม่ได้มีความเที่ยงแท้แต่อย่างใด  แล้วในจิตใจนั้นยิ่งเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนมาก
ก็ลองพิจารณาตัวเวทนาดู เวทนา นี้คือ การเสวยอารมณ์ มีสุข ทุกข์ และก็เฉยๆ ถ้าลองพิจารณาดูแล้วจะเห็นว่ามันไม่คงที่เลยมีการเกิดดับอย่างรวดเร็ว และก็จะต้องมีเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นกันจิตใจ แล้วมันก็เกิดขึ้นสลับสับเปลี่ยนกันไปตามแต่เหตุปัจจัยที่มากระทบ  นี้ต้องอาศัยการพิจารณาโดยแยบคายจึงจะเห็นความจริงในส่วนนี้ แล้วมันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไปอย่างรวดเร็วมากจึงต้องอาศัยความละเอียดอย่างมากทีเดียว แต่ว่าจะไปจ้องจับมันให้ได้ทุกขณะจิตนั้นอย่าได้ไปทำเลยเสียเวลาเปล่าเอาแค่เท่าที่จะพิจารณาได้ เพราะว่าผู้ที่จะรู้ได้จิตได้ทุกขณะจิตนั้นเป็นวิสัยของพระผู้มีพระภาคเท่านั้น  เมื่อพิจารณาอยู่อย่างนี้แล้วก็จะเห็นความไม่เที่ยงแท้ของตัวเวทนา
ทีนี้ก็พิจารณา สัญญา ซึ่งเป็นส่วนของจิตใจต่อไป สัญญา คือ จำ หรือว่า จำไว้ นี้อาจจะแปลกไปจากหนังสือเล่มอื่นๆก็ได้ แต่ความเป็นจริงแล้วก็เพียงแต่  การจำเอาไว้เท่านั้น เหมือนการถ่ายรูปนั้นเอง  ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจในเรื่องของภาษาเสียก่อนเพื่อที่จะได้เข้าใจความหมายได้ถูกต้อง สัญญานี้จำอย่างเดียวไม่สามารถที่จะทำหน้าที่อื่นๆได้เลย  ส่วนตัวที่ระลึกได้นั้นเป็นอีกตัวหนึ่งจะได้กล่าวต่อไปข้างหน้า  อย่าได้เข้าใจผิดว่าตัวสัญญานี้ทำให้เรานั้นไม่หลงลืมไม่ใช่นะอย่าได้เข้าใจผิด  สัญญานี้ถ้าพิจารณาดูแล้วก็เห็นความจริงชัดว่ามันไม่ได้มีความเที่ยงแท้เลย เพราะว่ามันจำทุกๆเรื่องที่เราได้เห็น ได้ยินเป็นต้น มันมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ตามธรรมชาติของมัน  ก็ลองนึกดูเถิดว่าถ้ามันไม่ดับไปแล้วมันจะรับหรือจะจำสิ่งอื่นอีกได้ไหมลอง พิจารณาด้วยปัญญาเถิด 
ทีนี้เป็นตัวที่สำคัญตัวหนึ่งของจิตใจ เพราะว่าตัวนี้เป็นตัวปรุงแต่ง ให้เป็นไปในกุศล หรือ อกุศล หรือว่าจะดับทุกข์หรือ จะเป็นทุกข์ตัวนี้ก็มีส่วนเหมือนกัน มันมักจะถูกเรียกว่า สังขาร
สังขารนี้มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปไม่ต่างกันกับ ส่วนอื่นๆที่ได้กล่าวมาแล้ว  มันมักจะปรุงแต่งไปในทางกุศลบ้าง อกุศลบ้าง แล้วในกุศลนั้นมันก็ไม่ได้เป็นกุศลตัวเดิมมันเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัยของสิ่งนั้น  อกุศลก็เช่นเดียวกัน  นี้คือความไม่เที่ยงของสังขาร  ถ้าต้องการทราบโดยละเอียดนั้นต้องพิจารณาจากจิตใจของท่านเองก็จะเห็นความไม่เที่ยงมากขึ้นและก็เข้าใจมากกว่าที่ผู้เขียนอธิบายไว้
วิญญาณ เป็นสิ่งหนึ่งที่อยู่ในจิตใจ วิญญาณนี้มีอยู่ด้วยกัน ๖ วิญญาณ คือ
จักขุวิญญาณ คือ การรู้อารมณ์ทางตา
โสตวิญญาณ คือ การรู้อารมณ์ทางหู
ฆานวิญญาณ คือ การรู้อารมณ์ทางจมูก
ชิวหาวิญญาณ คือ การรู้อารมณ์ทางลิ้น
กายวิญญาณ คือ การรู้อารมณ์ทางกาย
มโนวิญญาณ คือ การรู้อารมณ์ทางใจ
นี้พิจารณาได้ไม่ยากก็พิจารณากันดูในขณะที่ท่านเห็นพระขึ้นไปสวดมาติกานี้ จักขุวิญญาณเกิด ในขณะที่ท่านได้ยินพระสวดมาติกา โสตวิญญาณเกิดขึ้น นี้ก็เห็นความจริงเลยว่าเพราะจักขุวิญญาณนั้นมันต้องดับไปก่อนโสตวิญญาณจึงจะเกิดขึ้น ก็จะเห็นได้เลยว่ามันมีการเกิดดับเปลี่ยนแปลงไปตามแต่เหตุตามแต่ปัจจัย  นี้ต้องพิจารณาเองจึงจะเห็นได้โดยละเอียด  สรุปความแล้ววิญญาณนี้ก็ไม่เที่ยงเกิดขึ้นสลับสับเปลี่ยนกันไปวันหนึ่งๆนั้นไม่สามรถที่จะนับได้เลย นี้คือความไม่เที่ยง ก็สมกับคำกล่าวที่ว่า นามรูปํ อนิจฺจํ หรือ ร่างกายและจิตใจนี้ไม่เที่ยง  เมื่อท่านทั้งหลายทราบกันอยู่อย่างนี้แล้วควรหรือมิควรทีจะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นนี้ก็สุดแต่ความเห็นของท่านเถิด
นามรูปํ ทุกฺขํ  นามรูป นี้เป็นทุกข์ หรือว่าร่างกายและจิตใจนี้เป็นทุกข์  ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจให้ดีๆไม่เช่นนั้นแล้วจะเข้าใจผิด  คำว่าทุกข์นี้มันเป็นผลมาจาก ร่างกายและจิตใจนี้มันไม่เที่ยงมันจึงมีความเป็นทุกข์ตามมา ต้องใช้การพิจารณาให้เห็นความจริงว่ามันไม่เที่ยงมันจึงเป็นทุกข์ ไม่ใช่ว่าจะทำให้ร่างกายและจิตใจนี้เป็นทุกข์ มันเป็นธรรมชาติว่าสิ่งที่มีเหตุปัจจัยทั้งหลายทั้งปวงนี้ไม่เที่ยงอย่างที่ได้ทราบกันไปแล้ว แล้วก็พิจารณาดูเถิดว่าสิ่งที่ไม่เที่ยงนี้มันจะสร้างความสุขหรือความทุกข์
นามรูปํ อนตฺตา นามรูปนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา  นี้ก็ต้องทำความเข้าใจในคำพูดเสียก่อนว่าสิ่งที่แรกกันว่าเรา ที่เราท่านเรียกแทนตัวนั้นเป็นเพียงโวหารที่ชาวโลกเขาพูดกันเท่านั้นอย่านำมาปนกันเดียวจะยุ่ง
สิ่งที่ว่าร่างกาย และ จิตใจไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของเรานั้น หมายถึง ว่าในร่างกายนี้ไม่มีใครที่จะบังคับสั่งการให้ร่างกายเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้เลย ก็ลองพิจารณาดูเถิดว่ามีใครบ้างที่จะสั่งให้ร่างกายนี้ไม่ดับลงไปได้  ถ้าใช่เราถ้าเป็นของเราก็คงจะไม่เห็นบุคคลที่นอนอยู่ในโรงนี้อย่างแน่นอน โลกนี้ก็ไม่ต้องมีการตายถ้าเป็นเราเป็นของเราจริงๆ เราก็ต้องสั่งไม่ให้มันตายได้ แต่ว่าความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่  จิตใจก็เช่นเดียวกัน นี้แหละคือความจริงที่ว่า มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ที่เรียกว่า อนัตตา
เมื่อเราท่านนั้นหมั่นพิจารณาให้เห็นความจริงว่าร่างกายและจิตใจ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาอยู่อย่างนี้อยู่เป็นประจำแล้วก็จะทำให้ลดละความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายและจิตใจนี้ลงไปได้
การทอดผ้าบังสุกุล
การทอดผ้านี้สาระสำคัญนั้นอยู่ที่เราจะได้ยินพระท่านพิจารณาผ้าว่า “อนิจจา วะตะ สังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโน อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ เตสัง
วูปะสะโม สุโข” เราท่านนั้นก็ต้องพิจารณาตามไปด้วยเริ่มจากการที่พิจารณาจากศพที่เราได้เห็นนั้นให้เห็นความจริงว่าสังขารทั้งหลายนี้ก็ไม่เที่ยงหนอ มีการเกิดขึ้นแล้วเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีการเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา เมื่อเห็นความเป็นจริงอยู่อย่างนี้แล้วก็ไม่ควรที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสังขารนั้นก็เพื่อความอยู่เป็นสุข  แล้วก็มาย้อนพิจารณาที่ตัวเราด้วยว่าสังขารมีร่างกายและจิตใจเรานี้ก็ไม่ได้เที่ยงแท้เหมือนกัน มีการเกิดขึ้นแล้วเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีการเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา เมื่อเห็นความเป็นจริงอยู่อย่างนี้แล้วก็ไม่ควรที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสังขารนั้นก็เพื่อความอยู่เป็นสุข 
สุดท้ายก็มาถึงการประชุมเพลิง การพิจารณาในขณะที่ประชุมเพลิงนี้ก็ได้ประโยชน์อยู่มิใช่น้อย ก็จะได้เห็นกันอย่างง่ายๆเลยว่า สุดท้ายก็เหลือเพียงเศษกระดูก
แล้วการนำเที่ยวในงานศพนั้นก็จบลง  ตามความสามารถที่จะนำเที่ยวได้อาจจะได้ไม่มากเท่าใดนักนี้ก็ด้วยเหตุแห่งปัญญาที่ยังอ่อนอยู่โปรดให้อภัยแก่ผู้เขียนเถิด และถ้ามีสิ่งใดที่ผิดจากความเป็นจริงขอความกรุณาผู้มีปัญญาโปรดแนะนำเพื่อการแก้ไขต่อไป
ในที่สุดนี้จงระลึกถึงความตายไว้ให้มากเท่าที่จะทำได้เถิดก็เพื่อที่จะได้เตรียมตัวตายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น