K.W.E.
ดู Blog ทั้งหมด

รวมประวัติผลงานนิยายของผม

เขียนโดย K.W.E.

เคยคิดมานานแล้วล่ะครับว่าถ้ามีเวลาจะลองรวบรวมความเป็นมาของนิยายที่เคย แต่งทั้งหมด มาเป็นลิสต์ไล่ลำดับความเป็นมาเป็นไป อย่างน้อยก็รู้ถึงจุดเริ่มต้น มองมาปัจจุบัน และจะรู้ว่าสามารถเดินต่อไปในอนาคตได้ในทิศทางไหนดี

ถ้าดูจากผลงานโดยรวมใน My.iD ที่คลังนิยายใน Dek-d ( http://my.dek-d.com/digikwe ) แล้วจะเห็นว่าผมมีนิยายตอนยาวที่ผมแต่งเองอยู่ 7 เรื่องหลักๆคือ

1. ตำนานรักอามัตสึ
2. ตำนานรักอามัตสึภาค2 (The legend of descendant)
3. ตำนานรักอามัตสึภาค2 ตอนเสริม (side story)
4. ตำนานรักอามัตสึภาค2 ตอนเสริมพิเศษ (R story)
5. เรื่องสั้นสีเลือด
6. Touhou Fanfic

และน้องใหม่(ที่พึ่งจบไปหมาดๆ)คือ
7. เพื่อนผมเธอเป็นแวมไพร์ (จริงๆนะครับ...)

จากรายชื่อเหล่านี้ถ้าถามว่าเรื่องไหนเก่าแก่สุดคงไม่พ้นเรื่องตำนาน รักอามัตสึที่อยู่ลำดับแรกสุดครับ ก็ถือเป็นจุดกำเนิดการแต่งนิยายตำนานรักนักอามัตสึภาค 2 และส่วนเสริม ซึ่งจัดให้เป็นนิยายที่ยาวที่สุดในชีวิตผม และผมก็ยกให้เป็นนิยายแนวแฟนฟิคชั่นระดับมาสเตอร์พีสที่ผมตั้งใจทำมากที่ สุดเช่นกัน

ทีนี้ลองมาคิดเล่นๆกันนะครับ ว่าหากจะถามว่าตำนานรักอามัตสึคือนิยายเรื่องแรกของผมหรือไม่?
ท่านจะตอบว่าอย่างไรเอ่ย... ใช่หรือไม่...?
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ก็ขอเฉลยเลยละกันนะครับว่า 'ไม่ใช่'

ลองเดาต่อกันเล่นๆเอาสนุกนะครับว่าจนถึงทุกวันนี้ผมแต่งนิยายไปทั้งหมดกี่เรื่องแล้ว ?
แล้วจะมีเฉลยตอนท้ายครับ

สำหรับตอนนี้ขอกั๊กคำตอบแล้วบอกคร่าวๆว่า ผมแต่งไปหลายเรื่องครับ มากกว่าที่เห็นใน My.iD แน่นอน

ก่อนจะมาถึงผมได้แต่งนิยายมาเยอะเรื่องเลยทีเดียว แล้วก็ล่มทุกเรื่องเลยสิ ปากอ่าวบ้าง กลางมหาสมุทรก็มี
พูดแล้วเศร้า แต่นั่นก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเข้าสู่วงการนักเขียนจนทุกวันนี้ล่ะครับ

สมัยก่อนตอนประถมผมก็เคยวาดการ์ตูนเล่น ก็ง่ายๆ ตีกรอบเอาปากกาน้ำเงินวาดไปมาประสาเด็กๆ ก็สนุกไปวันๆล่ะครับ แต่ฝีมือคงเอาอะไรมากไม่ได้ วาดเอามันส์ แล้วตอนนั้นผมก็วาดไว้หลายเล่มเลยล่ะ
แต่ตอนนี้เล่มที่วาดก็ไม่รู้หายไปไหนแล้ว ใครมาเห็นเข้าก็คนอายน่าดู

แต่วาดเล่นก็คือวาดเล่นน่ะครับ ไม่ได้หวังอะไรเลย ผมเองก็พอจะรู้ตัวว่าไม่ค่อยมีหัวทางศิลปะการวาดภาพสักเท่าไหร่
ถ้าลอกแบบยังพอไหว วันว่างๆผมยังเคยเอาดินสอมาร่างวิวแถวบ้านอยู่เหมือนกัน ก็เอาสนุกอีกนั่นแหล่ะ แค่นี้ยังพอได้ แต่ถ้าให้ครีเอทขึ้นมาเลยอันนี้ไม่ไหวจริงๆ

ตอนนั้นผมยังไม่คิดจะเบนเข็มไปสร้างผลงานอะไรเลยสักนิด
จนกระทั่งเข้าสู่มหาวิทยาลัยปี 1 ได้รู้จักอินเตอร์เน็ตสังคมใหม่ และที่แสดงผลงานใหม่ นั่นคือเวปบอร์ด

จะว่าไปแล้วผมเองก็เป็นคนๆหนึ่งที่มีแรงกระตุ้นและแรงบันดาลใจเช่นกัน ซึ่งมากจนมีความรู้สึกอย่างสร้างผลงานและอยากแสดงออก
แต่ความที่รู้ตัวดีว่าไม่มีทักษะด้านการเขียน แล้วก็ไม่พร้อมที่จะเดินทางสายนี้ จวบกับตอนนั้นผมเองก็ติดหนังสือแนวเรื่องสั้นหักมุมของสรจักรเสียด้วย ก็เลยเกิดไอเดียว่าเรายังไม่เคยลองเขียนเลยนี่นา งั้นก็น่าจะลองดูสักหน่อยนะ

ซึ่งมานึกๆดูแล้วการเขียนนิยายนี่ก็เป็นเรื่องที่สะดวกและง่ายที่สุด ของเพียงมีคอมสักเครื่องโปรแกรมสำหรับเขียนก็มีติดมาอยู่แล้ว notepad นี่ล่ะครับง่ายๆและสะดวกที่สุด มีทุกเครื่อง ไปนั่งที่ไหนก็พร้อมเขียนเสมอ
ถ้าจะให้ดีมีเน็ตสักแค่ 56k ก็เพียงพอแล้วที่จะสามารถเปิดแสดงโลกจินตนาการของตัวเองได้แล้ว

สมัยนั้นผมเริ่มหัดแต่งเอาสนุกเป็นนิยายตอนสั้นๆในห้องคอมพิวเตอร์ในมหา'ลัย
พูดไปแล้วยุคนั้นพวก USB ไม่มีหรอกครับ ไปไหนก็พกแผ่น Disk A 3.5 นิ้วใส่กระเป๋าไปด้วย แต่งแล้วก็เอากลับมาเข้าคอมที่ห้อง สะดวกแต่ก็เสี่ยงไวรัสน่าดูยุคนั้นเวิร์มกำลังระบาดเลยเชียว

เอาล่ะ... ถ้าพูดถึงจุดเริ่มต้นมาถึงจุดที่กำลังยืนอยู่ทุกวันนี้ ผมเองก็เห็นพัฒนาการทางการแต่งของตัวเองได้ชัดเจนเลยครับ โดยผ่านทางผลงานนิยายหลายเรื่องหลายแนว

ว่าแล้วก็มาลองลำดับเหตุการณ์และความเป็นไปนิยายที่ผมแต่งกันดูนะครับ

.............................................................

เรื่องที่ 1 - เมื่อ Toki2 เกิดตรงข้าม - (ลงตอนแรกวันที่ 28 มิ.ย. 2543)
 
นี่เป็นนิยายเรื่องแรกที่ผมหัดแต่ง โดนช่วงนั้นผมคลั่งเกม Tokimeki Memorial2 อย่าง แรงเลย ช่วงหลังพอมี PS2 ก็ได้การช่วยเหลือเรื่องแผ่นจากพี่ Prite ก็ทำให้คลั่ง Toki3 ไปด้วย บางตัวละครก็มีส่วนน่าจับมาแต่งเหมือนกันครับ แต่เนื่องด้วยเลยช่วงพีคมาแล้วกอปรกับมีงานเขียนสองชิ้นเลยต้องละโปรเจ คนี้ไป

พูดถึงนิยายแฟนฟิคเรื่องนี้แล้ว ลักษณะนิยายก็ตรงตามชื่อเรื่องเลยครับ เป็นแนวแฟนฟิคที่เอาตัวละครในเกม Toki2 มายำ โดยเน้นจุดขายที่แนวรั่วๆขำบ้างไม่ขำบ้าง ลองเอานิสัยตัวละครมาพลิกให้ตรงข้ามดู
นิยายเรื่องนี้ไหลไปได้ที่ 25 ตอนเท่านั้นก็เป็นอันต้องปิดตัวลง ซึ่งในจุดนี้เองก็ทำให้ผมเห็นถึงจุดบกพร่องชิ้นใหญ่ของนิยายตรงที่ขาดการ วางโครงเรื่องที่ดี ขาดการกำหนดอิมเมจของตัวละครโดยละเอียด ดูแนวโน้มว่าจะไหลเกินกว่าจะลากให้ไปตามทางได้ไหว
แต่ถึงอย่างนั้นการแต่งก็ไม่ได้สูญเปล่าเสียทีเดียว เพราะเป็นการเปิดตัวผมในบอร์ดฟิค และทำให้ผมได้เรียนรู้วิธีการและสไตล์การแต่งอย่างมากจากนิยายเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับจากบทไดอาล็อคมาเป็นการบรรยายแบบเต็มตัว

หากใครเคยเป็นนักแต่งผมมั่นใจว่าทุกคนคงคุ้นกับการนำเสนอแบบบทไดอาล็อกดี ยกตัวอย่างเช่น
นายA - เป็นไงบ้าง Aถาม
นายB - สบายดีว่ะ แกล่ะเป็นไงบ้าง Bตอบ
นายA - ไม่สบายเลย การบ้านก็ไม่เสร็จงานก็สุมหัวอีก
นายB - สมน้ำหน้า ดันเอาเวลาไปจีบสาวดีนัก

อะไรทำนองนี้ล่ะครับ พอจะเห็นภาพกันไหมครับ
ผมเองที่เห็นแต่งแนวบรรยายสนุกมือก็มีจุดเริ่มต้นแบบนี้เหมือนกันนะครับ ไม่เชื่อก็ลองเอาชื่อเรื่องไป search ในกูเกิ้ลดูก็ได้นะครับ ผลงานเก่าๆยังคงอยู่ในบางบอร์ดเลย

พูดแล้วมันน่าอาย เหมือนคนเอารูปตัวเองตอนเด็กมาดูยังไงก็ไม่รู้ แต่ก็อย่างว่าล่ะครับถ้ามองในอีกมุมหนึ่งก็ถือเป็นก้าวแรกที่น่าจดจำไม่ น้อยเลยทีเดียว มองจุดยืนที่กำลังยืนอยู่แล้วหันกลับไปดูจุดเริ่มต้น แล้วเราจะเห็นว่าตอนนี้พัฒนาการเขียนเราเติบโตไปแล้วมาน้อยเพียงใด

.............................................................

เรื่องที่ 2 - The Abnormal Mutation - (ลงตอนแรกช่วงต้นปี 2544)

นิยายออริจินัลที่เกิดไอเดียมาตอนเรียนวิชาชีววิทยาเรื่องการกำเนิดโลก พ่วงกับเกม Bio Hazard
ก็ เป็นนิยายที่เรียกว่าฉีกแนวจากเรื่องแรกไปเลย โดยเรื่องแรกนั้นเป็นแนวคอมเมดี้อิงเลิฟ แต่เรื่องนี้ออกมาทางไซไฟ เทอร์เลอร์ กึ่งหักมุมเลย

สำหรับนิยายเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ผมจะพยายามกลบจุดอ่อนของนิยายเรื่องแรก โดยมีการวางโครงที่แน่นอนและชัดเจนตั้งแต่ต้นจนจบ
แต่การวางบทก็ผิดพลาดอีกจนได้ ตรงที่ผมวางโครงเรื่องไว้แน่นมากเกินไปจนขาดความยืดหยุ่น ยิ่งเป็นนิยายรับสมัครตัวละครด้วย ผลปลายทางคือจัดบทแล้วไม่สอดกับเนื้อเรื่อง จะว่าออกทะเลก็ได้ จะแถให้กลับมาก็คงไม่เหมาะ
ก็ลากยาวไปได้ที่ 16 ตอนก็ต้องเข้าโหลดองปิดผนึกไป

อย่างไรก็ตามการได้แต่งเรื่องนี้ก็ถือเป็นผลดีในการฝึกเรื่องการเล่นบท ซีเรียสเล่นกับอารมณ์คน รวมไปถึงการฝึกเขียนบทหักมุม เปลี่ยนแนวนิยายก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างดีครับ



.............................................................

เรื่องที่ 3 - Di Gi Charat Fantasy -the kiwi story- (ลงตอนแรกวันที่ 23 ก.ค. 2546)

สำหรับเรื่องนี้ตอนแรกที่ลงนั้นก็เอาฤกษ์เอาชัยดีมากครับ 23 ก.ค. 2546 ลงฉลองในวันคล้ายวันเกิดซะเลย
ก็จัดเป็นนิยายแฟนฟิคแบบสมบูรณ์ครับ พูดง่ายๆก็คือตัวละครทั้งหมดอิงจากเรื่องดิจิกะรัตครบถ้วน โดยเนื้อเรื่องก็ใช้เนื้อเรื่องในเกมดิจิกะรัตแฟนตาซีด้วย หากจะมีที่แตกต่างกันก็คือการเติมตัวเอกและผนวกเรื่องเข้าไปเท่านั้นเอง
แรงบันดาลใจคงไม่ต้องพูดถึงครับสำหรับเรื่องนี้ มีมากมายจนเป็นเวปเชียวล่ะ แต่ช่วงหลังก็ไม่ได้อัพเลย ตอนนี้ se-de ก็ล่มไปสลาย อารยธรรมก็เลยสลายตามไปด้วย

นิยายเรื่องนี้เดินไปถึงเพียงตอนที่ 10 ก็จำเป็นต้องพักเรื่องไว้ครับ ด้วยความที่ช่วงนั้นผมต้องระเห็จไปมาบ่อยมาก จนแทบไม่มีเวลาได้จับคอมจับเน็ตเลย
สำหรับเรื่องนี้แม้ว่าจะดองยาว แต่ก็ไม่ได้ปิดผนึกแบบสองเรื่องแรกหรอกนะครับ สำหรับเรื่องนี้โครงเรื่องไม่มีอะไรมากเลย มีก็แค่จุดเพิ่มเติมเท่านั้น จะเหลือก็เพียงลงให้จบๆไป ซึ่งคาดว่าน่าจะตกที่ตอน 25 บวกลบนิดหน่อย
ความที่ว่าตอนนี้ผมโหมกับนิยายใหม่เต็มที่จึงต้องพักเรื่องนี้ไว้ก่อน แต่ส่วนหนึ่งก็เคยคิดไว้เหมือนกันว่าแล้วถ้าว่างแล้วจะกลับมาลุยต่อให้จบๆ เหมือนกัน แต่ก็หาเวลาไม่ได้สักที นิยายใหม่ๆแรงๆก็ผุดออกมาเรื่อยๆ
ผลที่สุดสถานะนิยายเรื่องนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับกึ่งดอง เกลือน้ำลงไปในไหแล้วแต่เพียงไม่ได้ปิดฝาเท่านั้น... ก็ว่าดองก็แล้วกันนะ...

ถึงจะไม่พ้นการดอง แต่เรื่องนี้เองก็ถือเป็นเรื่องที่ฝึกให้ผมเขียนแบบเน้นการบรรยายภาพวงกว้าง บรรยากาศฉาก อารมณ์ตัวละคร
ผมรู้ได้เลยว่าการเขียนบรรยายรายละเอียดปลีกย่อยดูดีขึ้นเยอะ เมื่อเทียบกับผลงานก่อนหน้านี้ อาจเป็นเพราะธีมเรื่องเดินในธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชอบจินตนาการอยู่แล้วด้วยกระมัง



.............................................................

เรื่องที่ 4 - เรื่องสั้นสีเลือด - (ลงตอนแรกวันที่ 28 ธ.ค. 2546)

โดยตอนแรกใช้ชื่อว่า เกมส์ออนไลน์สีเลือด... เนื้อหาของเรื่องคือเน้นไปด่าที่กลุ่มผู้เล่นทรามๆ ซึ่งตัวเกมก็รู้จักกันดีครับ สมัยที่แต่งนั้นคำว่า 'เกรียน' ยังไม่แพร่หลายดีเลยครับ
ตอนที่เริ่มแต่งเรื่องนี้ต้องบอกว่าแรงบันดาลใจได้มาสดๆร้อนๆเลย เหตุการณ์โดนลากนั้นเจอมากับตัว ด้วยความเครียดผมก็เลยมาแต่งให้เป็นนิยายโหดซะ ซึ่งก็ได้รับตอบรับที่ดีเกินคาดเสียด้วย (อึ้งเหมือนกัน)
หลักจากนั้นก็แต่งเรื่อยๆล่ะครับ มีอะไรน่าด่าก็จับมาลงในนิยายให้หมด เรียกว่าแรงบันดาลใจของนิยายนี้มาจากความเครียดในสังคมครับ กว่าครึ่งของนิยายในซีรีส์นี้จึงถูกเรียกว่า 'เรื่องสั้นสะท้อนสังคม' ไป

ด้วยความที่แรงบันดาลใจมาจากสิ่งที่ว่า นิยายเรื่องนี้จึงไม่มีกำหนดออกแน่นอนครับ
มีประเด็นเครียดเมื่อไหร่ก็แต่งเมื่อนั้น ปัจจุบันจึงมีเพียงแค่ 9 ตอนเท่านั้น

การแต่งนิยายเรื่องนี้สอนให้ผมรู้อย่างว่าแม้แต่ตัวนิยายเองก็มีพลังในตัว ที่จะทำให้ผู้อ่านรู้สึกหวั่นไหวตามได้ ซึ่งสิ่งที่ใส่ลงไปให้เกิดพลังก็คืออารมณ์หนักๆของนิยายนั่นเอง แล้วถ้ามีการหักมุมตอนท้ายก็ยิ่งเยี่ยมเข้าไปใหญ่
แม้แต่เรื่องที่เป็นด้านลบของจิตใจก็ทำให้ผมได้เรียนรู้การดึงอารมณ์ในตัว ผู้แต่งมาลงในผลงาน ซึ่งถ้าอ่านแล้วจะรู้เลยว่าจิตใจผู้แต่งตอนสื่อนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ (ซึ่งก็เครียดนั่นล่ะ)

แล้วอีกอย่างที่ได้รู้จากเรื่องนี้ก็คือการวางโครงเรื่องที่ดีนั้นต้องมีความลึกซึ้งและลึกลับ
ยิ่งทำให้ผู้อ่านเดาฉากจบได้ยากเท่าไหร่ นิยายก็จะมีพลังดึงดูดและความน่าติดตามมากเท่านั้น

.............................................................

เรื่องที่ 5 - ตำนานรักอามัตสึ - (ลงตอนแรกวันที่ 6 พ.ค. 2547)

ในที่สุดก็มาถึงเรื่องหลักเสียที สำหรับตำนานรักอามัตสึตอนแรกนั้น ออกสู่สายตาในช่วงกลางปี '47
ไม่ได้มีความสำคัญในวันที่ลง เพราะเป็นเพียงฟิคระบายความชอบตอนสั้นเท่านั้นเองครับ ตอนแรกผมเองก็ไม่ได้หวังว่าจะมาไกลได้ถึงทุกวันนี้ด้วยซ้ำ

สำหรับแรงบันดาลใจในเรื่องนี้ต้องขอบอกว่าไม่ได้มาจากเกมหรอกครับ แต่มาจากภาพตัวละคร
ในช่วงที่แพชอามัตสึเข้า TRO นั้น หนังสือเกมต่างๆก็แห่กันลงภาพมิยาบิน่าดู ซึ่งเป็นอะไรที่ผมเองก็อธิบายไม่ถูกน่ะ คือเห็นแล้วมันรู้ว่า 'โดนใจ' มาก
ก็โดนแซวๆมาเหมือนกันนะครับ ตัวละครอื่นๆน่ารักมีเยอะแยะไหงไปชอบปีศาจ ถ้าเป็นอะไรแบบโซฮี หรืออลิซก็ว่าไปอย่าง (คล้ายคนมากกว่า)
ก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน มันชอบเองนี่นา (ฮะๆ) ถึงจะสองหน้าแต่ก็น่ารักนี่

อารมณ์เพลงของ ศิรศักดิ์ อิทธิพลพาณิชย์ ชุด Love Stories เพลงไม่ขอให้เป็นเหมือนใคร... รู้สึกเลยว่าใช่! ทั้งทำนองและเนื้อเพลงอธิบายชัดเจนที่สุดครับ
(http://www.youtube.com/watch?v=spQBF0cIKKY)

เป็นเพลงที่รู้สึกว่าเข้ากับเข้ากับอารมณ์พระเอกในภาคนี้มาก ก็เป็นนิยายที่แต่งในช่วงซึ้งๆ แต่ก็จบลงด้วยดี

ก็ถือเป็นอีกนิยายที่เน้นอารมณ์ความรู้สึกลงไปในบท พลังที่สื่อออกมาก็จะเป็นแนวรักๆนั่นล่ะครับ
จากนั้นมาอารมณ์สนุกผมเลยแต่งตอนสั้นๆเพิ่มมาอีก แต่ก็อยู่ในคอนเซฟอามัตสึเป็นส่วนใหญ่ จนผมมีความคิดที่จะแต่งภาคสองเลยคิดรวมตอนพิเศษเข้ากับตอนย่อย 4 ตอนแรก แล้วกำหนดชื่อเดียวกันไปเลยว่า ตำนานรักอามัตสึภาคแรก



.............................................................

เรื่องที่ 6 - Ragnarok Fiction - The legend of descendant - (ตำนานรักอามัตสึภาค 2) - (ลงตอนแรกวันที่ 14 ม.ค. 2548)

ตำนานรักอามัตสึภาค 2 เริ่มลงตอนแรกในวันไวท์เดย์เลย คราวนี้ตั้งใจลง เลยหาฤกษ์งามยามดีลงเสีย
หลังจากที่เว้นช่องมาเกือบปีในที่สุดก็มีภาค 2 มาจนได้ ก่อนที่จะวางโปรเจคภาค 2 นี้ ตอนแรกผมก็เคยถามผู้อ่านว่าถ้ามีภาคสองต่อจะดีไหม ซึ่งคำตอบก็ค่อนข้างเป็นแง่ลบครับ คือ 'อย่าเลย' ประมาณว่าเขาพอจะดักไต๋ออก

แต่ว่าใจส่วนลึกของผมมันก็ยังไม่ถอดใจ ห้วงความคิดก็ร่ำร้องอยู่ว่ายังไงก็อยากแต่งต่อให้ได้ อยากสืบสานต่อเรื่องความรักของตัวละครในนิยายภาคแรก เพราะความชื่นชอบในมิยาบินั้นยังไม่หมดลง
เช่นนั้นแล้วผมจึงเริ่มวางโครงเรื่องทันที แต่ก็ไม่ทิ้งคำแนะนำที่ได้รับมา ผมเลยตัดสินใจวางโครงเรื่องนี้ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าลึกลับหักมุมชนิดที่ผู้ อ่านดักไต๋ไม่ทัน หรือต้องไม่อิงภาคเก่าจนเกิดอารมณ์เอียน
ผลที่สุดก็เลยเป็นโครงเรื่องใหม่ไปเลย แต่ก็คงความเป็นตำนานรักอามัตสึภาคแรกโดยส่งผ่านนางเอกอย่างหมดจดเลย

นิยายเรื่องนี้เป็นการผสานประสบการณ์ทั้งหมดที่เคยทำมาไว้รวมกัน ถือเป็นนิยายที่ยาวที่สุดที่ผมเคยแต่งมา และตอนนี้ก็ยังคงแต่งต่อไปครับ



.............................................................

เรื่องที่ 7 - Ragnarok Fiction - The legend of descendant - Side Story - (ลงตอนแรกวันที่ 20 ม.ค. 2548)

เป็นเนื้อเรื่องเสริมที่เขียนมาตีคู่กับตำนานรักอามัตสึภาค 2 สังเกตได้ว่าช่วงเวลาจะใกล้เคียงกับที่ภาค 2 ออกมากเลยทีเดียว
การ เกิด Side Story ก็เป็นเพราะต้องการกลบจุดอ่อนของตัวละครที่ดูไม่น้ำหนัก ซึ่งการแยกออกมาเป็นอีกเนื้อเรื่องย่อยก็ส่งผลดีอย่างยอดเยี่ยมตรงที่ไม่ทำ ให้โครงเรื่องอัดแน่นเหมือนครั้งที่เคยแต่งเรื่อง The Abnomal Mutation
หมดปัญหาเรื่องTime Line เวลาย้อนอดีตไปเลย

ก็นับว่าเป็นการแก้ปัญหาได้เข้าท่าดี แล้วก็ทำให้มิติของตัวละครดูลึกขึ้นเยอะเลย โดยมากของซีรีส์นี้ผมจะบรรยายแบบมุมมองของบุคคลที่ 1 ครับ ก็ถือเป็นการฝึกแต่งในอีกมุมมองที่เข้าท่าใช้ได้เลย



.............................................................

เรื่องที่ 8 - Ragnarok Fiction - The legend of descendant - R Story - (ลงตอนแรกวันที่ 6 พ.ค. 2548)

ก็เป็นเนื้อเรื่องเสริมของตำนานรักอามัตสึภาค 2 อีกเช่นกัน แต่ที่ต้องเน้นว่าตอนเสริมพิเศษ ก็เพราะว่ามันเป็นเนื้อหาที่ลงลึกในเรื่องบทบาทความรักของตัวละครคู่นั้นๆ
ไม่แรงถึงเรทเอ็กซ์อะไรขนาดนั้นหรอกครับ สักอาร์นี่ล่ะ เหมือนการ์ตูนตาหวานทั่วไปที่เห็นตามแผงหนังสือเท่านั้นเอง

การเกิดเป็นเนื้อเรื่องนี้คงไม่มีเหตุผลอะไรมากครับ ไม่ได้เจตนาว่าจะขึ้นเตียงแล้วลุยแหลกอะไรเลย ก็แค่นึกสนุกอยากลองดูว่าแต่งแล้วจะทำให้ตัวละครมีมิติที่ลึกและดูมีพัฒนา การบ้างไหม จุดเริ่มต้นเป็นเช่นไร แล้วจุดลงเอยจะเป็นยังไง ต่อกันติดไหม หลังจากที่ปูพื้นมากับเนื้อเรื่องหลัก และขยายด้วย Side Story
ซึ่งก็ได้คำตอบว่าเกินคาดครับ... ตัวนิยายมีความต่อเนื่องและไหลลื่นเป็นเนื้อเดียวกันได้ดีมาก ส่วนไอ้เรื่องบทรักๆนั่นก็ถือเป็นผลพลอยได้ในการฝึกแต่งก็แล้วกัน (ฮาๆ)

.............................................................

เรื่องที่ 9 -Tohou Fanfic - (ลงตอนแรกวันที่ 20 มี.ค. 2549)

เป็นชื่อซีรีส์ของเกม Touhou Project ครับ จริงๆแล้วตั้งใจจะแต่งภาค 6-7 แต่พอดีเริ่มชอบภาค 7 เลยตั้งใจจะแต่งย้อนมาอีกที
ที่จริงแล้วโดนถามเหมือนกันว่าจะแต่งภาค 8 ด้วยไหม แต่ก็เห็นมีคนแต่งไปก่อนแล้วแล้วก็แต่งในรูปแบบอิงตามเกมแล้วมาเสริมอีกที คล้ายกันก็เลยคิดว่าดีเลย มีคนแบ่งเบาภาระแล้ว ผมก็เลยตั้งใจจะแต่งแค่ 6-7 ไปก่อนก็แล้วกัน ไว้แต่งเสร็จอะไรยังไงแล้วค่อยมาคิดอีกที
สำหรับฟิคโทโฮนี้จะตั้งชื่อภาคตามชื่อภาคในเกมครับ อย่างภาคนี้จะเป็น Touhou FanFic - Perfect Cherry Blossom Story แต่งเสร็จตอนต่อภาค 6 ก็จะใช้ชื่อ Touhou FanFic - Embodiment of Scarlet Devil Story

และแล้วนิยายโทโฮแฟคฟิคก็ถือว่าจบภาคลงอย่างงดงามเป็นเรื่องที่สองหลังจาก ที่ตำนานรักอามัตสึภาค 2 part1 ได้จบลงไปก่อนหน้านั้นไปเป็นเวลา 1เดือนกับอีก 23วัน
ปัจจุบันก็กำลังแต่งภาค 6 อยู่ครับ

การแต่งแฟนฟิคจากเกมโดยอิงเนื้อเรื่องหลักเป็นจุดยืนพื้นแบบนี้ก็ทำให้รับประสบการณ์เรื่องแรงกดดันในแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อนเหมือนกัน
โดยเฉพาะประเด็นในเรื่องข้อมูล ซึ่งมีขาดหกตกหล่นไปบ้าง หรือตั้งใจบิดเพื่อให้เข้าเนื้อเรื่อง จนกลายเป็นประเด็นที่ถูกผู้บางท่านอัดเอาเหมือนกัน เล่นเอาช่วงนั้นรู้สึกเฟลๆไปเลย

ก็ถือเป็นการเรียนรู้ที่ดีเหมือนกัน แล้วจะได้ระวังหรือหาทางป้องกันไว้ก่อนไม่ให้เกิดอีกซ้ำสอง





.............................................................

เรื่องที่ 10 - เพื่อนผมเธอเป็นแวมไพร์ (จริงๆนะครับ...) - (ลงตอนแรกวันที่ 22 ก.พ. 2551)

หลังจากที่แต่งนิยายมาหลายเรื่อง ที่สุดแล้วผมก็มีนิยายออริจินัลเรื่องแรกที่ฉีกจากแรงบันดาลใจที่เกาะแน่น จนได้นิยายที่มีความเป็นตัวตนหรือในรูปแบบของตัวเองออกมาจนได้
แรกเริ่มเดิมทีนั้นผมคิดมานานแล้วว่าอยากแต่งนิยายลึกลับบรรยากาศไทยๆออก แนวตลาดสักเรื่อง ซึ่งเป็นตอนยาวและมีช่วงที่เล่นกับอารมณ์ผู้อ่านได้ ผิดกับเรื่องสั้นสีเลือดที่จบในตอน
จวบจังหวะพอดีกว่าที่ช่วงนั้นมีการ์ตูนจากเกมเรื่อง แว่วเสียงเรไร หรือชื่อเต็มว่า Higurashi no Naku Koro ni ถือเป็นการ์ตูนที่ผมยอมรับเลยว่าครีเอทได้แหวกแนวสุดๆ แถมเอาอารมณ์สยองขวัญย้อนยุคมาร่วมได้อย่างลงตัว
แล้วในตอนนั้นก็เกิดมีโครงการประกวดนิยายของ Luckpim ด้วย แรงกระตุ้นทั้งหมดเลยมารวมตัวกันให้สร้างผลงานนิยายที่มีคอนเซ็ฟว่า สยองขวัญ หักมุม แนวตลาดและต้องมีสิ่งที่ให้บรรยากาศน่ากลัวเก่าๆแบบฉบับไทยๆ

จนในที่สุดหลังจากที่วางโครงเรื่องได้ลงตัวแล้ว ผมก็ลงมือแต่งนิยายเรื่องนี้ออกมาได้สำเร็จ

ตอนแรกผมตั้งใจแต่งไปประกวด ซึ่งจะได้ทดสอบฝีมือการแต่งไปในตัว แต่ว่าช่วงที่เริ่มแต่งนั้นก็กระชั้นเดดไลน์เหลือเกิน ผมมีเวลาแต่งเพียงแค่ไม่เกิน 3 เดือน ซึ่งน้อยเกินไปสำหรับนิยายตอนยาวที่มีความยาวกว่า 15-50 หน้ากระดาษ A4

ตอนนั้นผมเองก็ตั้งเป้าไว้ว่าจะเอาให้ครบโควต้าเลย
จะว่าไปแล้วผมเองก็เป็นนักเขียนที่เขียนเรื่องสั้นไม่ค่อยเก่งด้วยสิ คือเขียนทีไรยาวทุกที ก็ทำให้ทั้งเวลาและหน้ากระดาษเริ่มขยับมากขึ้นเรื่อยๆ
อีกอย่างคือหลังจากแต่งไปสัก 2 ตอนผมก็ชักรู้สึกอินกับนิยายเรื่องนี้เข้าให้ จะว่าหลงรัก ซึ่งก็รักมาแต่แรกแต่แต่งไปแล้วรักหลงจริงๆ ก็เคยคิดว่าไหนๆก็ไหนๆแล้ว ทำออกมาให้สมบูรณ์ มีอีเวนท์ที่สร้างความดึงดูด มีบทคลายปมให้มันเคลียร์ไปเลยดีกว่า
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าผมต้องขยายหน้ากระดาษออกไปอีกมาก และใช้เวลาแต่งอีกยาวนาน แต่ผมก็ตัดสินใจตามนั้น และถอนตัวออกมาจากความคิดที่จะส่งนิยายประกวดไป

ก็แต่งแบบผ่อนรับผ่อนสู้ จังหวะเดียวกับที่ต้องไปๆมาๆลำปาง ลำพูน ก็เลยแต่งสะสมแบบไม่เร่งรีบอะไร
จนในที่สุดนิยายเรื่องนี้ก็จบลงในตอนที่ 12 โพสวันนี้ 17 ก.พ. 2552 ปัดแล้วก็ใช้เวลาประมาณ 1 ปีเหนาะๆครับ
จำนวนหน้าจากที่ตอนแรกควรเป็น 50 +- 10 ราวๆนั้นก็ถูกขยายเป็นราว 220-230 หน้าจนได้... (ก็บอกแล้วแต่งสั้นไม่เป็น...)

ก็ถือเป็นนิยายออริจินัลที่เริ่มต้นได้สวย และจบลง(จนได้)อย่างงดงาม
ที่จริงแล้วผมยังมีโปรเจคไอเดียสำหรับภาค 2 และ 3 ของเรื่องนี้อยู่ครับ แต่ตอนนี้ขอกลับไปแต่งโทโฮก่อน แล้วก็ขอลุ้นหน่อยว่าจะมีโอกาสได้ตีพิมพ์ไหม ซึ่งเป็นอีกเหตุผลหนึ่งล่ะนะที่ผมเพิ่มแนวตลาดเข้าไปในเงื่อนไขตอนวางโครง ฮ่ะๆ



.............................................................

เรื่องที่ 11 - Ragnarok Fiction - Special Story - (ลงตอนแรกวันที่ 1 เม.ย. 2551)

หรือที่เรียกในชื่อภาคในไทยว่า บทการลงทัณฑ์กลาสต์เฮลม์
นี่ก็เป็นอีกซีรี่ส์ตอนยาวที่จัดรวมกับตำนานรักอามัตสึไปด้วย โดยเนื้อเรื่องจะเป็นการย้อนอดีตไปอีกที ถ้าจะเรียกว่าเป็นภาคต้นกำเนิดตำนานรักอามัตสึก็ไม่ผิดอะไร

จะว่าไปแล้วตำนานรักอามัตสึภาคแรกเกิดจากแรงบันดาลใจแล้วแต่งออกมาเป็นตอนสั้นๆ จากนั้นจึงขยับทีละนิดๆจนจบลงด้วยดี
จนกระทั่งมาเริ่มภาค 2 จึงได้มีการวางโครงแล้วพยายามหาจุดเชื่อมโยงร่วม จนสามารถผูกสองภาคเข้าด้วยกันได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังปมอีกเยอะที่ผมเคยผูกไว้ให้ดูเท่ในภาค 1 กับ 2

ไหนๆก็แต่งภาค 2 ออกมาได้ดี มีทั้งเนื้อเรื่องเสริมจนดูแน่นแล้ว ผมก็เลยรู้สึกว่าถ้าจะให้สมบูรณ์จริงๆ มันก็ควรมีจุดเริ่มต้นจริงๆด้วยสิ เหมือนกับเวลาดูหนังที่มีภาคมากๆแล้วมักมีภาค 0 หรือภาคเริ่มต้นเสมอ
เช่นนั้นแล้วผมก็เลยเซ็ทมาอีกภาค โดยให้ตัวเอกก็คือพระเอกตลอดกาลของซีรี่ส์นี้ อิมิค นั่นเอง

ความสนุกของการแต่งภาคนี้คือการเชื่อมโยงปมทั้งภาค 1 และภาค 2 มารวมกัน แล้วต้องสร้างความเกี่ยวพันเชื่อมโยงที่ลงตัวออกมาให้ได้ ก็ถือเป็นงานที่สนุกคิดงานหนึ่งเลยทีเดียว



.............................................................


โดยรวมที่ว่ามาก็สรุปได้ตามนี้เลยนะครับ

หลังจากที่ผมเริ่มแต่งนิยายมา ตอนนี้ก็ผ่านพ้นมาได้เกือบ 9 ปี
ผมแต่งนิยายไปได้ทั้งหมด 11 เรื่อง (ไม่รวมประเภทบทความ)

ความยาวคงนับไม่หวาดไม่ไหวล่ะครับ เอาเฉพาะช่วงที่ผมแต่งหนักสุดคือช่วง 3 ปีนี้ ผมเองก็ลุยนิยายไปได้กว่าสามพันหน้า A4 ได้แล้วกระมังครับ

เริ่มต้นจากความชอบเกมๆหนึ่ง แต่มาจนป่านนี้นิยายกลับเป็นงานอดิเรกที่เข้าไปในสายเลือดไปแล้วอย่างน่าเหลือเชื่อ

บางเรื่องเก่าเก็บลองไปหาในกูเกิ้ลก็ยังมีอยู่นะครับ ผมเองมาลองอ่านย้อนหลังยังขำเลย
แต่ก็อย่างว่านี่ล่ะครับคือสิ่งที่เรียกว่า 'จุดเริ่มต้น' ไม่มีใครแต่งนิยายเป็นมาแต่แรก การจะพัฒนาตัวเองได้นั้นสำคัญสุดคือคุณต้องไม่หยุดที่จะเขียนต่อไป
และการแต่งนิยายจนจบภาคได้ก็ทำให้ผมรู้ว่า แท้จริงแล้วสิ่งที่ยากที่สุดในการแต่งนิยายไม่ใช่เรื่องการบรรยาย ไม่ใช่การคิดเนื้อเรื่อง ไม่ใช่การผูกปมไขปม ไม่ใช่การทำอารมณ์ร่วม แต่สิ่งที่ผมว่ายากที่สุดของการแต่งนิยายตอนยาวก็คือ 'การแต่งให้จบ' ครับ
ยากสุดๆ โคตรยาก ช่วงหลังกระแสการแต่งนิยายเยอะขึ้นก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับวงการนักเขียน แต่นิยายที่แต่งจนจบ(ด้วยดี)นั้นก็น้อยมากครับ ส่วนใหญ่ที่เห็นก็คือ 'หมดไฟ' ไปก่อนทั้งนั้น

จากนิยายหลายเรื่องที่แต่งมาจะมีสิ่งหนึ่งที่เป็นประเด็นสำคัญครับ นั่นก็คือ 'ความชอบ'

ผมเองก็มีจุดเริ่มต้นจากการแต่งนิยายคือการที่จะระบายความในใจ การที่จะได้แสดงออกถึงความรักและความชอบในเรื่องนั้นๆ ชนิดที่ว่าแค่คิดก็คันไม้คันมือแล้ว
หากแต่ผมค่อนข้างไม่เอาอ่าวด้านการวาดภาพ เลยมาลองจับอะไรที่น่าจะทำได้ดีกว่า ซึ่งถ้าไม่วาดก็ต้องเขียน... ผลที่สุดแล้วผมจึงลองหันหน้าเข้าสู่วงการนิยาย ซึ่งในเวปบอร์ดสมัยนั้นมีห้อง Fiction อยู่ ผมเลยเลือกที่จะเดินสายนี้
ก็มีช่วงที่ผมห่างหายไปจากนิยายเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็กลับมาแต่งใหม่ เพราะถือว่าเป็นงานที่เคยทำมาแล้ว จึงมีความคุ้นเคยและไม่ต้องมาเริ่มต้นตั้งแต่ 1 ใหม่ เพียงแค่เรียนรู้ข้อผิดพลาด และกลับมาแก้ไขและเดินหน้าต่อไปเท่านั้น

ผมแต่งมาเยอะขนาดนี้แต่ก็ยังมีข้อผิดพลาดอยู่ร่ำไป แต่สิ่งหนึ่งที่มากขึ้นก็คือประสบการณ์
แต่งๆเข้าไปเถอะครับ ถ้าแต่งแบบถูกหลักการ ประสบการณ์มันจะผลักดันเราเอง ไม่ต้องกลัวผิดพลาดหรือล้มเหลว ถ้ามันมีปัญหาผมเชื่อว่าเราจะกลับมาใหม่ได้เสมอ แถมกลับมาในนิวเวอร์ชันที่ดีกว่าอีกด้วย

พูดถึงตำนานรักอามัตสึภาค 2 แล้วเชื่อไหมว่า ก่อนจะมาเป็นนิยายเรื่องนี้ ไอเดียหลายส่วนในเรื่องมาจากโปรเจคเกมหนึ่งที่ล่มไป
ตอนนั้นผมรับหน้าที่คิดโครงเรื่องกับบทพูดสำหรับไดอะล็อคทำเกมในกลุ่มขา การ์ตูนด้วยกัน แต่ด้วยความไม่พร้อมหลายๆประการที่สุดแล้วโครงการก็ถูกพับไป ไอ้ที่แต่งไว้ก็ถูกลอยแพไปด้วยเช่นกัน
แต่จังหวะนั้นผมเริ่มวางโครงจะแต่งตำนานรักอามัตสึภาค 2 ขึ้นก็เลยเกิดไอเดียว่า ของเก่าเราก็เคยคิดมาไว้แล้ว งั้นก็เอามาปัดฝุ่นแล้วตกแต่งใหม่คงจะดี
แล้วมันก็ดีจริงๆ โดยที่ไม่ต้องเค้นสมองอีกรอบ ซ้ำยังจัดการกับช่องโหว่ได้หมดจดอีกด้วย

เพราะงี้ล่ะครับผมจึงเชื่อว่าถ้ายังไม่เลิกแต่ง ต่อให้เป็นโปรเจคที่ล้มหรือลงโหลดอง มันก็สามารถเอากลับมาใช้ใหม่ได้อย่างดีเสมอๆ


นึกแล้วก็ไม่คิดเหมือนกันนะครับว่าจะแต่งนิยายมาได้ยาวนานจนถึงวันนี้ นับตั้งแต่ที่แต่งเรื่องแรกมาจนถึงวันนี้ก็เกือบเก้าปีแล้ว เวลามันก็ผ่านไปไวเหลือเกิน
การสนุกกับสิ่งหนึ่งทำให้ไม่รู้สึกเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นยาวนาน แม้แต่ตอนที่ผมแต่งนิยายตำนานรักอามัตสึภาค 2 บางครั้งก็อดนึกว่าพึ่งแต่งตอนแรกไปเมื่อไม่กี่วันก่อนบ่อยๆเหมือนกัน

จากที่แต่งเล่นๆเพื่อให้รู้ว่าชอบในสิ่งนั้นๆ ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าหลงไหลในโลกของการแต่งนิยายแบบเต็มตัวแล้วสิ มองในอีกมุมหนึ่งมันก็อาจจะเหมาะกับคนช่างเพ้อฝันอย่างผมก็ได้นะครับ ฮะๆ
เมื่อย้อนหันมาดูที่จุดเริ่มต้นแล้วก็พบว่าตัวเองก้าวเดินออกมาได้ไกลในจุด ที่ไม่คิดว่าจะมาได้ นี่ถ้าเกิดมีผลงานนิยายตีพิมพ์ได้สักเรื่องคงเป็นเรื่องดีไม่ย่อย เพราะจะว่าไปแล้วผมเองก็ไม่เคยคิดหรอกนะครับว่าจะมีงานอดิเรกเป็นการเขียน นิยาย แล้วก็ไม่คิดมาก่อนว่าจะเขียนนิยายออกมาได้เป็นพันๆหน้า เป็นหมื่นเป็นแสนคำ

มาถึงจุดนี้แล้วผมมองว่าการแต่งให้สนุกบางทีมันก็ไม่ได้เกิดพรสวรรค์เสมอไป หรอกครับ เห็นผู้แต่งใหม่หลายคนชอบตัดพ้อว่านิยายไม่มีคนอ่าน เราแต่งเป็นเราแต่งไม่เก่ง
ไม่ใช่หรอกครับ ก้าวแรกมันก็เป็นแบบนั้นกันทั้งนั้น จะไปเทียบระยะกับคนที่ออกวิ่งไปก่อนเป็นปีๆก็คงไม่ได้หรอกครับ
ถ้าจะได้ก็คือวิธีลัด ตุกติกอะไรบางอย่าง ซึ่งมันก็มีวิธีเยอะแยะไป แต่มันก็ไม่ดีหรอกครับ หลอกตัวเองเปล่าๆ สู้ทนวิ่งไปทีละก้าวอย่างมั่นคงดีกว่า

เพราะอย่างไรเสียผลงานที่ดีและจบลงได้นั้นมันควรจะเกิดมาจากใจรัก กอรปกับการอยากสร้างสรรค์ที่ต้องฝึกฝนไปเรื่อยๆครับ
รับคำวิจารณ์มาเป็นข้อมูล ปรับแก้มากน้อยก็แล้วแต่สมควร สำคัญคืออย่าหยุดที่แต่ง แล้วสักวันผลของเมล็ดที่เพาะลงไปนั้นก็จะงอกงามออกมาเองครับ
 

ว่าแล้วท้ายที่สุดนี้ผมเองก็ต้องขอขอบคุณท่านผู้อ่านที่ตามสนับสนุนเสมอมาด้วยเช่นกัน
และก็ขอสนับสนุนนักเขียนหน้าใหม่ที่มีความตั้งใจจะสร้างสรรค์ผลงานที่รักออกมาทุกท่านครับ

-----------------------------------------------------------------------

Hero Toki No Tobira - by Unknown

ความคิดเห็น

vivache
vivache 9 พ.ค. 52 / 18:44
ดีค่า.. ข้าพเจ้าเองก็เพิ่งเริ่มแต่งนิยายแนวแฟนตาซีได้ไม่นานเจ้าค่ะ.. ตอนแรกก็นึกท้อแล้วคิดว่าจะแต่งต่อดีมั้ย.. แต่มาเจอบล็อกนี้เข้าก็เลยนั่งอ่านจนจบ(แต่เยอะเหมือนกันนะคะเนี่ย).. จากที่อ่านมาก็ได้แนวคิดใหม่เยอะน่ะค่ะ.. ยังไงซะข้าพเจ้าจะต้องพยายามให้มากขึ้นเจ้าค่ะ!!
SilverVVing
SilverVVing 13 ก.ย. 52 / 19:38
แวะมาอ่านด้วยความบังเอิญ - -"

โอ้ว  นี่ล่ะที่กระผมต้องการ  ใช่เลย !

เส้รทางอันยาวไกลเนี่ยแหละ  สักวันผมจะตามไปให้ได้เลย !!
parutza
parutza 5 เม.ย. 53 / 09:58

เก่งจิงๆ คับ

engrave
engrave 3 ต.ค. 54 / 01:23
โห ก็พอเดาได้ครับว่าอามัตสึไม่ใช่เรื่องแรก ๆ ของไรเตอร์ แต่ว่านึกไม่ถึงว่ามันจะเยอะขนาดนี้

สู้ต่อนะครับคุณกีวี่
คิ้วเบ้มาแล้ว

ไม่หนีความจริง ไม่ทิ้งความฝัน

แม้ต้องสู้ทุ่มเททั้งชีวัน จะไม่หยุดจนฝันนั้นเป็นจริง

บทความของไรเตอร์เขียนได้ดีมากๆฮะ อ่านแล้วเป็นพลังใจสุดๆ
(การเรียบเรียงบทความเข้าใจง่าย โดนใจ ทั้งหมดคือสิ่งล้ำค่าจากการฝึกฝนสินะฮะ)
ปล. คงเป็นโชตชะตาที่ทำให้ได้มาเจอนักเขียนที่ทุ่มเทด้วยใจรักอย่างไรเตอร์ (ระหว่างหาเพลงrak ฮา)
ขอให้พี่มีความสุข แล้วสู้ต่อไปฮะ