ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Diary CM01/02

    ลำดับตอนที่ #8 : [ฤดูกาลที่ 6] เวทีพรีเมียร์ลีคปีที่ 2 เริ่มต้นการสร้างทีมในอุดมคติ

    • อัปเดตล่าสุด 19 พ.ค. 58


    เริ่มต้นการสร้างทีมในอุดมคติ - ฤดูกาล 2006/2007

     
    พูดถึงสไตล์การทำทีมแล้ว ผู้จัดการทีมแต่ละคนก็มีแนวทางที่แตกต่างกันไป
    ส่วนตัวผมนั้นจะมีรูปแบบในอุดมคติก็คือทีมมีนักเตะดีๆหมุนเวียนได้อย่างต่อเนื่องและไม่ขาดช่วง เน้นที่ปั้นมากกว่าทุ่ม หรือเน้นของถูกมากกว่าของแพง เน้นเซ็นต์นักเตะหมดสัญญามากกว่าจะเซ็นต์แบบฉีกสัญญา
     
    ใน CM ภาคนี้ จะจำกัดนักเตะในทีมได้ 50 คน ถือว่าน้อยไปหน่อยกับการปั้นเยาวชน (ถ้าเป็น FM2011 ทีมผมมีนักเตะรวมๆกว่าร้อยคนได้ จำเลขชัดเจนไม่ได้แต่คิดว่าเกิน 80 แน่นอนเพราะชุดหลักก็ปากว่า 25 คนแล้ว เยาวชนก็ซื้อมาตั้งแต่อายุ 15 และก็เข้ามาทุกปีน่าจะเกิน 30 แน่ๆ และชุดสำรองที่มีทั้งนักเตะเด็ก ยืมตัว และนักเตะอายุเยอะมากประสบการณ์ที่เอามาเป็นพี่เลี้ยง ทีมที่คุมนี่แทบจะเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่มากกว่าสโมสรฟุตบอลด้วยซ้ำไป

    ส่วนในภาคนี้เมื่อจำกัดที่ 50 คนก็ต้องบริหารชุดหลักมากกว่าปั้นกันไป ความสนุกในการฟูมฟักดาวรุ่งหายไป แต่ก็กำลังดีกับการจัดการเพดานค่าเหนื่อย


    ด้วยจำนวนนักเตะที่กำหนดมานี่เองทีมในอุดมคติผมจึงต้องการนักเตะในการแข่งขันจริงอย่างน้อย 22 คนได้
     
    แบ่งเป็น 11 ตัวจริงสำหรับทีมชุดแรก และ 11 ตัวโรเตชั่นสำหรับบอลถ้วย
    ชุดแรกจะเป็นกำลังหลักและนักเตะคนสำคัญ ชุดโรเตชั่นจะประกอบด้วยตัวเก๋า ตัวที่ผลงานไม่เด่นขนาดยืนตัวจริง แต่ก็เป็นตัวโรเตชั่นที่ดี และตัวดาวรุ่งรวมกัน
    ด้วยสองชุดที่ว่าจะทำให้ทีมสามารถขับเคี่ยวได้ลุ้นในทุกถ้วยรายการ และมีการดันดาวรุ่งขึ้นมา ปล่อยดาวโรยหรือเพิ่มทรัพย์ให้ทีมได้ 
     
    อย่างไรก็ดีการจะทำให้ได้เช่นนั้นต้องใช้เวลาและความพร้อมของสโมสรพอตัว ซึ่งพอกล่าวเช่นนี้ก็มาดูกันสักหน่อยว่าทีมพอจะมีนักเตะใกล้เคียงระบบอุดมคติเพียงใด โดยวัดจากนักเตะที่ฟอร์มเข้าตาแล้ว
    GK - ไม่มี
    DL - Kalogelas
    DC - Vagas และ MacDonald (ระดับทีมชุดสอง)
    DC - ไม่มี
    DR - ไม่มี
    DMC - Andrews และ  Binho
    MLC - ไม่มี
    MRC - Henderson (ระดับทีมชุดสอง)
    AMLC - ไม่มี
    AMRC - Roman (ระดับทีมชุดสอง)
    FC - Skalidis
     
    พอมาวิเคราะห์ดูแล้วจะเห็นได้ว่าทีมมีช่องโหว่อีกเพียบเลย ล้อกับผลงานปีที่แล้วว่ายิงกระจายแต่ไม่ได้แชมป์เพราะเสียประตูมากเกินไปเช่นกัน 
    สะท้อนถึงแผงหลังที่โหว่ไปสามตำแหน่ง (เซนเตอร์เองก็ยังไม่นิ่งพอ) แม้แต่ผู้รักษาประตูทีฟอร์มนิ่งๆก็ยังไม่มี กลางคุมเกมก็ไม่แน่นพอ กองหน้าตัวช่วย Skalidis ก็ไม่มี ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างที่เขาเจ็บ หรือนัดที่ฟอร์มฝืด

     
    ด้วยสภาพดังกล่าว ปีนี้จึงทำให้มีการซื้อตัวที่ถูกจุดมากขึ้น
    ปลายฤดูกาลก่อน จนถึงกลางฤดูกาลใหม่จึงมีการเสริมในจุดที่ขาดแบบจริงจัง
    ยอดค่าใช้จ่ายเลยสูงกว่าปีก่อนเกือบ 2 เท่าตัว

     
    แต่ยอดขายออกนั้นก็ได้มากกว่าปีก่อนเกือบ 3 เท่าตัวเช่นกัน
    ทั้งที่เป็นการปล่อยนักเตะออกไปแบบได้ค่าตัวแค่ไม่กี่คนเท่านั้น เริ่มอยู่ในทรงแบบทีมใหญ่ควรจะเป็นแล้ว คือขายได้ราคา
    มิกโคลี่คือคนที่ทำเงินที่สุดแม้ว่าทีมที่ยื่นซื้อจะขอแบบผ่อนส่ง 2 ปีก็เถอะ แต่ซื้อมา 1.4m แล้วปล่อยได้ 6.25m ก็ถือว่าคุ้มมากๆ ขณะที่ทีมฟิออเรนติน่าที่ซื้อไปก็น่าจะวินๆกับดีลนี้ เพราะมิคโลลี่เองก็ยิงเป็นดาวซัลโวประจำทีมคู่กันกับเบียงคี่ไปแล้ว

     
    มีเงินมาหมุนก็ทำให้ได้นักเตะที่ยกระดับให้ทีมได้ โดยตัวหลักๆที่คิดว่าเข้าตาและผลงานในครึ่งฤดูกาลแรกถือว่าสอบผ่านก็ได้แก่
    GK 2 คน
     
    คนแรกดาวรุ่งชาวเดนมาร์ค
    Kim Jocobsen
    อายุน้อย ได้มาก็ด้วยราคาน้อยๆ แค่ 575k แต่พลังเกินวัยไปมาก ตอนนี้ฟอร์มกำลังโอเคกับผลงานลีคเลย

     
    ส่วนอีกคนเป็นประตูชาวโปรตุเกส
    Hugo Pinheiro
    มาในราคาพอกันที่ 525k เช่นกันว่าพลังโอเคเลยเมื่อเทียบกับผู้รักษาประตูที่เคยใช้มา และก็สูสีกับ Kim 
    ก็เอามาโรเตชันได้ดี และผลงานโดยรวมก็ถือว่าเข้าเกณฑ์คือเสียประตูไม่มากไปกว่าจำนวนนัดที่ลง

     
    ต่อมาก็ยังคงเป็นการเสิรมจุดอ่อนที่เกมรับ ก็ได้ CB มาอีก 2 คน
    แน่นอนว่ากองหลังได้ลูกรักระดับเดียวกับ Skalidis ทั้งคู่
     
    คนแรกคือ
    Nikolaos Tobros
    กองหลังเทพ ผลงานเองก็เทพพอกัน แม้จะมีแกว่งๆ ส่ายๆไปบ้าง แต่ในนัดที่ต้องการผลงานเขาก็ทำได้
    สนนราคาที่จ่ายไปคือ 725k แต่ผลงานเกินคุ้มไปไกลแล้วล่ะ

     
    อีกคนก็ Anestis Anastasiadis
    พลังน้อยกว่า Tobros แต่รู้สึกว่าฟอร์มจะนิ่งกว่าครับ 
    ได้มาปลายฤดูกาลนี้ แต่ก็ไม่สายเกินไปหรอก เพราะมีรายการสำคัญให้โรเตชั่นอยู่ 
    ราคาหนักไปหน่อยที่ 5m จาก Walsall อย่างว่าล่ะนะ นักเตะในอังกฤษนี่ราคาก้าวพรวดๆ แต่อายุการใช้งานแล้วมีโอกาสได้เป็นตำนานทีมแน่ ถ้าไม่ย้ายไปไหนเสียก่อน 

     
    นอกจากนี้ก็ได้วิงแบ็ก ถึงกลางรุกขวามาอุดช่องโหว่ด้วย แบบไม่คาดคิด
    นั่นคือ Shaun Wright-Phillips ในราคาเพียงแค่ 1m เท่านั้น
    ถูกมาก แต่ว่าฟอร์มก็ยังดรอปอยู่ล่ะนะ แต่ตอนนี้ก็เริ่มเข้าที่เข้าทางล่ะ ไม่ใช่ลูกรักแต่ก็เป็นนักเตะที่เห็นฟอร์มกันอยู่ครับ พอราคาเท่านี้ก็ไม่ลังเลที่จะคว้ามาร่วมทีมเลย อย่างน้อยก็อุดช่องโหว่ได้ดีกว่าที่เคยมีมา อายุก็ยังแค่ 25 ปีเท่านั้น 
     
    กำลังรบชุดหลักที่ตั้งใจจะใช้ปีนี้ แล้วต่อไปถึงปีหน้าๆ น่าจะมีเพียงเท่านี้

     
    ส่วนที่เสริมเพิ่มในฐานะโรเตชั่นระยะยาวแล้วคิดว่ามีแวว ก็มีอีก 2 รายดังนี้
    คนแรกแบ็กซ้ายเอาไว้สำรองกรณี Kalogeras เจ็บ
     
    Meji นักเตะที่ชื่อเหมือนนมกล่อง แต่เป็นลูกครึ่งสเปน กับ เวเนซูเอล่า
    ยังไม่อาจสรุปว่าเก่งพอยืนระยะหรือไม่ แต่ในช่วงแรกๆคือว่าสอบผ่านนะ บางช่วงฟอร์มดีกว่า Kalogeras  เสียอีก ถ้าฟอร์มไม่ตกเสียก่อนอาจได้ร่วมทัพกันยาว 2-3 ปีได้

     
    มาต่อที่กองหน้าดาวรุ่งกันบ้าง
    Kris Brennan กองหน้าสัญชาตอังกฤษ จากสโมสร Middlesborough ในราคา 2.3 m
    ปกติแล้วผมไม่นิยมซื้อดาวรุ่งราคาแพงหลัก 2m ขึ้น ถ้าไม่มั่นใจในฟอร์ม แต่รายนี้นี่เห็นพลังแล้วอดใจไม่ไหวจริงๆ แถมผลงานกับทีมเก่าก็ใช้ได้ ลงไป 23 (+ 6สำรอง) นัด ยิงไป 11 ประตู จ่าย 2 แมนออฟเดอะแมชต์ 4 ครั้ง ในเวทีระดับพรีเมียร์แล้ว ดูมีแววมากๆ
     
    ซึ่งซื้อมาแล้วก็มีแววตามนั้นจริงๆ แม้ผมจะเน้นโรเตชั่น โดยให้โอกาสกับบอลถ้วยที่กดดันน้อยกว่า โอกาสสร้างผลงานมากกว่า แล้วเขาก็ทำได้จริงๆ ตอนนี้ยังไม่จบฤดูกาลดี แถมเจ็บอีก 1 เดือนเสียก่อน แต่ว่าฟอร์มก็ดีกว่าตอนอยู่ทีมเก่าไปแล้ว

     
    ส่วนที่อายุเยอะแล้วแต่มาเสริมทัพแก้ขัดอีก 2 รายก็ถือว่าสอบผ่าน
    คนแรกปีกซ้ายชาวกรีซ Zissis Vryzas ได้มาแบบฟรี
    ผลงานไม่เด่นนัก แต่ก็มีส่วนในประตูนัดสำคัญหลายครั้ง ในปีนี้ที่หน้าต่ำยังไม่ชัดเจน เขาก็มาเสริมได้ถูกที่ถูกเวลาดี

     
    อีกคนนี่ก็เป็นกองหน้าอายุ 34 แต่ราคา 1.2m จากแมนยู
    Elber กองหน้าประสบการณ์สูงจากบาเยิร์นมิวนิค ก่อนที่จะมาแมนยู แล้วไม่ได้โอกาสในปีก่อน
    พลังยังเด่นอยู่เลย เสียดายอายุเยอะแล้ว ผมมองว่าเป็นการเซ็นต์ที่น่าจะคุ้ม แม้ค่าเหนื่อยเขาจะทะลุเพดานไปถึง 41k ขณะที่แพงสุดก่อนหน้าคือ Vargas แค่ 29.5k เท่านั้น
     
    แต่ถ้าคิดว่าจะเก็บสตาร์ไว้ บางทีก็จำเป็นต้องยอมทุ่มกันบ้าง แต่เป็นการสะท้อนถึงความกระหายในการก้าวหน้าและเสริมทัพของทีมด้วย
    ซึ่งผลงานที่เขาทำก็ทำให้รู้สึกว่ากำไรเสียด้วยซ้ำ 11 ประตู ในทุกรายกาย 7 แอสซิสต์ในทุกรายการ ช่วยทำให้ทีมอยู่ในจุดที่ควรจะเป็น และก็ช่วยอุดรูโหว่ในนัดที่ Skalidis ไม่อยู่ด้วย
     

     
    สำหรับการเสริมทัพก็ขอกล่าวเพียงเท่านี้ ทีนี้ก็มาถึงฟอร์มการแข่งขันใน ปีที่ 2 ของเวทีพรีเมียร์ลีคกันบ้าง
     
    เนื่องจากปีก่อนทำผลงานได้ดีเลิศมา ถึงมาครั้งแรกก็คว้าที่ 4 ไปเลย แถมกวาดทั้งลีคคัพ ทั้งยูฟ่าคัพ
    ปีนี้จึงถูกตั้งความคาดหวังไว้สูง ยิ่งมีการเสริมทัพหนักกว่าเก่าแล้ว ความผิดพลาดอาจหมายถึงการถูกสับยับเลยก็ว่าได้
     
    แต่การสร้างทีมก็ไม่ใช่เพียงแค่ซื้อมาเสริมแล้วดีเลย แม้ว่าจะเป็นลูกรักที่รู้ใจรู้สไตล์ดีก็ตาม
    การเสริมนักเตะเองก็ยังต้องใช้เวลาในการปรับตัวและปรับจูน ช่วงแรกทีมจึงระส่ำระสายแบบแกว่งจนเกือบล้มทั้งยืน
     
    ช่วงเปิดฤดูกาล เป็นอะไรที่ดูย่ำแย่สุดๆจนผมเองก็ยังหงุดหงิด
    นัดแรกแม้จะชนะ Sparta Prague ใน UCL รอบ 3 ไปได้ แต่พอนัดต่อมาที่เปิดสนามในพรีเมียร์เท่านั้นก็เจอดีทันที...
     
    เสมอชาร์ลตัน 4-4 ในบ้านตัวเอง...
    ไม่รู้จะว่ายังไงดีกับนัดนี้ เรายิงแทบตายถึงได้มา 4 ลูก แต่อีกฝ่ายยิง 4 ลูกเข้ากรอบ 4 ลูก เป็นประตูหมด...
    น่าโมโหมากเพราะ Pinheiro ได้ฟอร์ม 5 เสียไป 3 ลูก ก็เลยเปลี่ยน Jacobsen มาลงแทน ก็เสียไปอีก 1 ลูก แล้วได้คะแนนไปแค่ 5 ไม่ต่างกัน
    ชักเกิดข้อสงสัยแล้วว่าสองคนนี้จะไปได้แค่ไหน นัดแรกมาก็ออกอาการแล้ว...

     
    เกมติดกันเจอกับ Sparta Prague นัดที่สองแข่งในบ้าน
    แต่ผลงานก็ยังคงแย่ จบที่เสมอ 1-1 
    และก็เช่นเคยว่าอีกฝ่ายยิง 1 เข้า 1
    หนนี้ Jacobsen ได้ 6 ดีกว่านัดก่อนหน่อย แต่ผลงานก็ยังดูแย่ โอกาสของเขาน้อยลงทุกทีถ้ายังไม่รีบปรับปรุงฟอร์ม
     
     
    แล้วทีมก็ยังประสบปัญหาไม่นิ่งต่อเนื่อง กับนัดบอลถ้วยในรายการ Super Cup ที่จะประกบทีมแชมป์ยูฟ่าคัพ มาชนกับแชมป์ UCL
    ทีมเราได้มาแข่งในฐานะแชมป์ยูฟ่าคัพ ส่วนอีกฝ่ายก็คือ Parma
    และทรงเกมก็แย่มาก ถูกยิงนำไปถึง 2 ลูกรวด
    ก็มีลูกฮึดเลยไล่มาเป็น 2-2 ได้ในครึ่งหลัง แต่ว่าท้ายที่สุดก็ถูกยิงประตูชัยไปในช่วงต่อเวลาพิเศษ แพ้แบบโกลด์เด้นโกล์ไป... 
     
     
    พอกลับมาเล่นในลีคเจอวูลฟ์ และเล่นในบ้าน งวดนี้ได้ลูกฮึดและใบแดงอีกฝ่ายตอนต้นครึ่งหลังเลยทำให้เก็บชัยมาได้ 3-0
    ดูเหมือนอะไรกำลังจะมา แต่พอเริ่มแข่ง UCL นัดจริงเท่านั้นล่ะ นัดแรกมาก็เจอมิลานเล่นงานเข้าอย่างจังเลย...
    คาบ้าน 0-3...

     
    เท่ากับว่า 6 นัดแรกของการแข่งขันอย่างเป็นทางการ ได้ฟอร์มคือชนะ 2 เสมอ 2 แพ้ 2 
    ไม่น่าจะเรียกว่าเป็นฟอร์มของทีมที่ถูกตั้งความหวังได้เอาเสียเลย...
     
    แต่ว่าฟอร์มเองก็ใช่ว่าจะตกไปตลอด ที่จริงแล้วมันมีทรงมาตั้งแต่นัดเจอวูลฟ์ล่ะ แต่ผิดจังหวะไปที่เจอมิลานเสียก่อน เพราะจากนั้นผลงานทีมก็สะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นอีกเลย
    ไล่ตั้งแต่  ชนะ W.B.A. ชนะแมนยู. (แบบจังหวะช่วย) ชนะนิวคาสเซิ่ลแบบหน้าคมโกล์เทพ 
    เหนียวทั้งคู่ นี่เองที่เริ่มเห็นแววประตูแล้วว่าน่าจะผ่านวิกฤตไปได้

     
    แล้วจากนั้นก็ผ่านได้ทั้งซิตี้ โบโร่ โบลตัน ก่อนที่จะมาหยุดเสมอกับวิลล่า
    ผลงานสุดยอด 10 นัด ชนะ 8 เสมอ 2... โกยไป 26 คะแนน จาก 30  
    ขึ้นที่ 1 ตั้งแต่นัดที่ 5 แล้ว
     
    แต่การแข่งขันยังเหลืออีก 33 นัด ฤดูกาลนี้ยังอีกยาวไกล หนทางได้แชมป์ก็ยังห่างไกลด้วยเช่นกัน
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×