ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Diary CM01/02

    ลำดับตอนที่ #4 : [ฤดูกาลที่ 4] ศึกดิวิชัน 1

    • อัปเดตล่าสุด 20 เม.ย. 58


    ช่วงเวลาแห่งการพิสูจน์ความเหมาะสม ดิวิชัน 1 - ฤดูกาล 2004/2005


    ดิวิชัน 1 นั้นเป็นอะไรที่สูงกว่าดิวิชัน 2 อยู่มาก เพราะทีมที่อยู่ในลีคนี้กว่าครึ่งหรืออาจมากกว่านั้นคือทีมที่เคยอยู่ระดับพรีเมียร์ลีคมาแล้ว ถ้าดูชื่อก็คุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งนั้น ... บางทีมไม่ดีพอสำหรับพรีเมียร์คือเล่นแล้วตกชั้น แต่ก็อาจดีเกินไปสำหรับดิวิชัน 1 พูดอีกอย่างคือไม่แกร่งพอจะยืนระยะในเวทีสูงสุดของลีคอังกฤษได้นั่นเอง

    ถ้าให้ความยากโดยประมาณแล้วล่ะก็ถ้าเต็ม 10
    นอกลีคจะประมาณ 2-3
    ดิวิชั่น 3 จะประมาณ 4
    ดิวิชั่น 2 จะประมาณ 6
    ดิวิชั่น 1 จะประมาณ 7-8 ได้เลย

    มันเป็นความโหดแบบก้าวกระโดด สังเกตได้จากนักเตะในทีมแต่ละทีมที่พลังจะหนาผิดกันมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงค่าเหนื่อยที่ตอนนอกลีคจะหลักร้อยถึงห้าร้อยปอนด์ต่อสัปดาห์ได้ ... แล้วจะสูงขึ้นเรื่อยๆ พอขึ้นดิวิชั่น 3-2 ก็จะขึ้นหลักพันถึงหลายพัน ... ในระดับดิวิชัน 1 แล้ว ค่าเหนื่อยจากหลักหลายพันถึงหลักหมื่นปอนด์ต้นๆไปแล้วครับ และถ้าเป็นพรีเมียร์ลีคล่ะก็ ขึ้นหมื่นและอาจสูงไปถึงหลักแสนกันได้เลย

    และบ่อยครั้งที่คุณภาพนักเตะก็สูงตามราคาค่าเหนื่อย

    ถ้าจะผ่านจุดนี้ไปได้ก็ต้องพัฒนาทีมอย่างต่อเนื่อง สำหรับผมแล้วปีนี้ตั้งเป้าจริงๆที่กลางตารางเท่านั้น เพราะอยากปรับสภาพทีมให้มีนักเตะที่แกร่งๆมากขึ้นสักชุด ปีต่อไปก็ค่อยหานักเตะมาโรเตชั่น

    ปีนี้ซื้อน้อยลงกว่าปีก่อนๆ แต่โดยรวมก็มูลค่าสูงขึ้นอย่างชัดเจนคือหลักล้านแล้ว


    ที่ซื้อมาแล้วดีมากก็มี 4 ราย
    คนแรกเป็นปีกดาวรุ่งสเปน Roman



    คนที่สองเป็นกองหลังมีอายุพอประมาณ Edge

    เล่นแบ็กซ้ายโอเคเลยในช่วงที่ทีมต้องการนักเตะโรเตชั่น แต่ว่าพอฤดูกาลต่อไปผลงานทรงๆแล้วมีตำแหน่งเต็ม ก็เลยต้องปล่อยให้วิลล่าไปด้วยราคา 1.4m ก็กำไรดีมาก (ซื้อมา 110k)


    และสุดท้ายคือกลางรุกดาวรุ่งทีมชาติสกอตแลนด์ Henderson

    ปัจจุบันเป็นกำลังหลักของทีมชาติสกอตแลนด์ไปเรียบร้อยแล้ว น่าจะเป็นเยาวชนตัวแรกที่ปั้นแล้วได้ดีในระดับประเทศ


    คนนี้เป็นกองหน้าควบกองหลัง ราคาแพงพอๆกับข้างต้น ผลงานไม่ได้เด่นเวอร์แต่เป็นตัวโรเตชั่นและใช้ปรับแท็กติกที่ดีมาก

    Phillips ยิงประตูสำคัญไม่ก็ยิงในช่วงที่กองหน้าตัวจริงได้พัก ทำให้ทีมยังเดินหน้าได้ไม่หยุด


    ส่วนนักเตะที่ปล่อยออกไปไม่ได้เน้นขายอีกเช่นเคย แต่ปล่อยเพื่อให้มีพื้นที่ซื้อนักเตะเพิ่ม

    ปีนี้เป็นปีที่ใช้งบขาดดุลอย่างมาก แต่เอาเถอะ สะสมเงินมาเสียขนาดนี้ไม่ใช้เสริมทีมก็กระไรอยู่


    ส่วนผลการแข่งขันนี่ต้องบอกเลยว่าเกินคาดสุดๆครับ
    ช่วงแรกก็ทำผลงานได้ประทับใจแล้ว

    กระชับมิตรก็เล่นดี เริ่มแข่งก็เล่นดี เล่น 6 นัดแรกชนะ 3 เสมอ 2 แพ้ 1 กับทีมที่แกร่งกว่า ผลงานถือว่าโอเคเลย


    แต่ว่าจากนั้นมาก็เริ่มโดนรับน้องแล้ว เพราะทีมมีเสมอกับแพ้มาเป็นระยะติดกัน



    ตอนแรกก็นึกว่าจะอยู่ในเป้าที่ว่าคือกลางตารางแน่ๆ แต่ว่าทีมก็กลับดีขึ้นเรื่อยๆ
    ยิ่งทียิ่งต้องยอมรับกับแผนนี้ เพราะพอได้นักเตะที่เข้ากับแผน และทีมจูนติด (มีช่วงกลางๆฤดูกาลนี่รู้สึกได้เลยว่าเล่นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่นักเตะก็ชุดเดียวกัน) ทีมก็โกยคะแนนต่อเนื่อง

    ผลงานในลีคนี่สะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นหลาดนัดเลยทีเดียว ซึ่งมันก็ทำให้ทีมถีบตัวเองจากกลางตารางขึ้นสู่อันดับ 1 แบบทิ้งห่างเลยด้วย


    และเมื่อครบ 46 นัดแล้ว ผลงานก็เป็นดังนี้

    จากที่เอากลางตารางแต่กลายเป็นว่าได้แต้มทะลุ 100 แต้มซะงั้น


    แน่นอนว่าทุบสถิติในหลายๆรายการของดิวิชั่น 1 ด้วย

    - แต้มรวมทั้งฤดูกาลมากที่สุด (111 แต้ม)
    - ยิงประตูมากที่สุด (116 ลูก)
    - ชนะติดต่อกันสูงสุด (19 นัดรวด)



    และจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยสำหรับฤดูกาลนี้ก็คือ การแข่งขัน League Cup ครับ

    เพราะว่าทีมเราคว้ามันมาได้!!

    เป็นการได้มาแบบที่ผมเองก็ยังคุยกับเพื่อนแบบงงๆเลยว่า ตูเอามาได้ยังไงฟะ?
    คือมันไม่น่าเชื่อว่าทีมระดับดิวิชัน 1 แถมเพิ่งขึ้นมาดิวิชัน 2 หมาดๆจะคว้าถ้วยใบนี้ได้

    จุดเริ่มต้นของรายการนี้
    ในรอบแรกก็เจอนกขมิ้น นอริช

    ชนะมาได้ด้วยสกอร์ 4-1


    นัดที่สองไปเยือนโอลด์แฮม

    แล้วก็เฉือนชนะมาได้ 2-1


    นัดที่สามเจอกับคาร์ดิฟฟ์

    เล่นในบ้านแต่ก็ไม่ง่ายเลย โดนยิงนำไปก่อน 2 ลูก ต้องไล่ตามกันอุตลุต ก่อนที่จะไปจบด้วยการยิงจุดโทษ


    รอบ 16 ทีมเจอโบลตัน...

    โดนใบแดงอีกต่างหาก เล่นบอกบ้านกับทีมใหญ่กว่าแต่ไม่รู้ยังไง นักเตะสู้ยิบตาชนะมา 3-0 แบบทึ่งกันเลย


    ในรอบ 8 ทีมก็ยังเจอทีมระดับพรีเมียร์ลีค เปิดบ้านรับทีมกุหลาบไฟ แบล็คเบิร์น

    เฉือนมาได้ 2-1 แบบรอดตายหวุดหวิดเลยทีเดียว เพราะเกือบแพ้ในเวลาแล้ว ดีที่ Gislason ซัดช่วยต่อลมหายใจในนาที 90 แล้ว Binho จะซัดอีกตูมช่วงต่อเวลาพิเศษให้ทีมทะลุไปได้อีกนัด


    และในรอบ 4 ทีมสุดท้าย ที่ 3 ทีมในนั้นคือทีมระดับพรีเมียร์ทั้งสิ้นครับ
    ทีมเราก็ได้เจอกับ แมนแชสเตอร์ซิตี้ แบ่งเหย้าเยือน

    นัดแรกเปิดบ้านก่อน ผลงานเรียกได้ว่าผีเข้าจริงๆ ผมเองยังตกใจเลยว่าเปิดมาซัดเปรี้ยงๆนำโด่งไวเลย ทำให้เกมเล่นง่ายขึ้น

    นำชิลๆ 4-1 ตุนไว้สำหรับนัดสอง


    นัดเยือนนี่ก็ไม่ได้ประมาทอะไรนะ แต่ซิตี้คงไม่ยอมให้จบง่ายๆ เปิดเกมมาเลยยิงใส่จนประตูรวมแทบจะเท่ากันแล้ว แต่ทางนี้ก็ซัดคืนไปลูก แล้วก็ยิงกลับมาอีก
    จบเกม 3-1 แต่ประตูรวมคือเราชนะไปที่ 5-4

    ก็จึงได้ทะลุไปเจอรอบชิงคือเชลซี


    นัดชิง League Cup ครั้งแรกที่เวมบลีย์ แม้จะเคยมาสนามนี้ก่อนกับรายการ Van Trophys แล้วก็เถอะ
    แต่ครั้งนี้เป็นอะไรที่กดดันกว่าเยอะ และเจอทีมที่แข็งกว่าเยอะ

    เปิดเกมมาเจอกดดันหนักก่อนเลยด้วยจุดโทษของ Petit ในนาทีที่ 2 ...
    ลางแพ้มาแต่ไกล แต่ว่านักเตะก็ยังไม่ยอมครับ อุตส่าห์สู้มาจนถึงตรงนี้ได้จะให้ม้วนเสื่อกลับไปง่ายๆได้ยังไง

    ในนาทีที่ 9 Hjort ก็โหม่งเข้าประตูคืนให้ทีมกลับมาตีเสมอไป และก็ทำให้เฮทั้งสนามด้วยประตูนำในนาทีที่ 36

    ครึ่งหลังต่างฝ่ายต่างทำอะไรไม่ได้ และเมื่อครบ 90 นาที...


    Northwich Victoria ก็คว้าถ้วยรางวัลใหญ่ถ้วยแรกแห่งประวัติศาสตร์สโมสรมาได้อย่างน่าประทับใจ
    สู้ตามกับทีมที่ใหญ่กว่า และสู้ในภาวะที่กดดันกว่า แล้วก็ผ่านมันมาได้อย่างยอดเยี่ยม


    เก่ง + เฮง
    ไม่รู้จะหาคำไหนมาอ้างอิงได้ดีเท่าคำนี้แล้วจริงๆ

    นอกจากได้เลื่อนชั้นแล้ว ก็ยังจะได้ไปแข่งรายการยูฟ่าคัพพร้อมกันด้วย อะไรจะก้าวหน้าเดินได้ไวแบบนี้
    ไม่รู้ว่าฤดูกาลหน้าจะเป็นเช่นไร แต่ฤดูกาลนี้ถือว่าสำเร็จเกินความคาดหมายจริง แล้วก็หวังว่ารายการยุโรปจะช่วยในการดึงดูดนักเตะให้มาเข้าร่วมทีมได้ไม่มากก็น้อยล่ะนะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×