คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : สััญญา
สวัสดีค่าาาา เปิดฟิคเรื่องแรกเลยยยยย (ตื่นเต้น)
ชื่อฟอลลี่นะคะ เรียกฟอลก็ได้ตามสะดวก
...
อันที่จริงฟอลอัพอันนี้เป็นครั้งที่ 2 แหละ
ฟอลเผลอกดไปโดนลบ
ฟอลขอโทษ (ฮือ)
...
เอาเป็นว่า~~~
เชิญชมค่าาาาาาาาาา (เย่ๆๆ)
ปล.เม้นต์ติชมตามสบายนะคะ ฟอลไม่กัดหรอกค่ะ :3
I Will Be Your Light – ตอนที่ 1 สัญญา
Kuroko no Basuke fan fiction
Author: Fally
Pairing: All x Kuro
Rating: PG
---------------------------------------------------------------------------------------------------
แสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านลงมาตามช่องว่างระหว่างใบพฤษาและกิ่งไม้ที่แผ่กระจายออกมาจากไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ซึ่งพวกมันถูกปลูกเรียงรายเลียบข้างถนนที่ไร้รถยนต์อย่างเป็นระเบียบ เงาบางๆ ทอดผ่านทางเดินเป็นทางยาวคล้ายผ้าที่ขาดวิ่น โดยมีรูเล็กรูน้อยเป็นแสงอาทิตย์ที่อ่อนแรงลงในยามบ่ายก่อนโพล้เพล้ตามปกติ เด็กหนุ่มวัยสิบสองปีเดินผ่านทางอันแสนสงบอย่างคุ้นชิน เสียงก้าวเท้าเดินเป็นจังหวะสม่ำเสมอบ่งบอกถึงบุคลิกใจเย็นของเขาเป็นอย่างดี เรือนผมสีฟ้าอ่อนไม่สั้นไม่ยาวปลิวไสวเบาๆ พร้อมกับที่เปลือกตานวลบนใบหน้าอันเสมือนสวมหน้ากากปิดบังอารมณ์ตลอดเวลาถูกปรือปิดลงเมื่อสายลมพัดผ่านอย่างอ่อนโยน เนื่องจากใบไม้ที่สั่นไหวเล็กน้อยได้ทำให้แสงแดดดูระยิบระยับจนสะท้อนเข้าตากลมโตของเขาเป็นบางครั้งบางคราว
ขาเรียวขาวพาร่างอันผอมบางของชายหนุ่มเลี้ยวเลาะถนนที่ไร้ผู้คนสัญจรไปมา ทั้งๆ ที่ถนนสายนี้มีต้นซากุระพันธุ์ดัง ซึ่งกำลังเบ่งบานอย่างงดงามอยู่แท้ๆ ทว่ากลับไม่มีใครมาชื่นชมความสวยงามของมันเลยแม้แต่คนเดียว
อาจเป็นเพราะผ่านเทศกาลฮานามิมาซักพักใหญ่แล้ว
หรือจะเป็นเพราะคนอื่นๆ กำลังเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันเปิดเทอมที่กำลังจะถึงนี้รึเปล่านะ เด็กหนุ่มคิดพลางมองกลีบดอกไม้จำนวนมากที่พากันร่วงหล่นตามๆ กันราวเกล็ดหิมะสีชมพูอ่อนเมื่อมีเพียงสายลมแผ่วบางพัดผ่านไป
นี่ก็คงออกดอกเป็นครั้งสุดท้ายของปีแล้ว
ถึงเขาจะได้เห็นความสวยงามของดอกซากุระทุกปีก็ยังอดความรู้สึกเสียดายไว้ไม่อยู่ ด้วยความงดงามเหล่านั้นกลับคงอยู่เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ ดั่งคำพูดที่เขามักจะได้ยินบ่อยครั้ง โดยเฉพาะเมื่อผู้สูงอายุคุยสนทนากัน
ระยะเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วกว่าความทุกข์เสมอ
แม้เขาจะอยากยืนชมเจ้าดอกไม้นี้ก่อนที่มันจะร่วงโรยลาจากไปเช่นเดียวกับฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะถูกแทนที่ด้วยฤดูร้อนแสนสดใสและอบอ้าวในไม่ช้า ทว่าหลังจากที่เด็กหนุ่มได้ชำเลืองสายตาสีฟ้าเฉกเช่นเรือนผมมองนาฬิกาเรือนเล็กอันเรียบง่ายไม่ต่างจากเสื้อสเว็ตเตอร์สีขาวกับกางเกงขายาวธรรมดาๆ บนข้อมือ เขาจึงตัดสินใจเดินต่อไปโดยไม่ลังเลพลางกระชับลูกบอลสีส้มในอ้อมแขนบางให้แน่นขึ้น
เด็กหนุ่มหยุดอยู่ตรงเบื้องหน้าประตูตาข่ายเหล็กที่ถูกทาสีด้วยสีเขียวเข้มเช่นเดียวกับรั้วรอบๆ สนามบาสขนาดมาตรฐานซึ่งตั้งอยู่ขนาบกับทางเดิน โดยถัดจากทางเดินนั้นก็เป็นถนนอันว่างเปล่าสายเล็กๆ แสนเงียบสงบสุข เสียงเสียดสีเอี๊ยดอ๊าดของสนิมเหล็กยามมือบางผลักประตูลูกกรงดังก้องกังวาลเป็นพิเศษเนื่องจากไม่มีเสียงใดๆ นอกจากเสียงของสายลมยามพัดผ่านอย่างแผ่วเบา แสงแดดจางๆ ฉาบลงบนพื้นปูนที่ถูกขีดเส้นแบ่งสนามอย่างเรียบร้อย เขาเดินไปยังพื้นที่ไม่ห่างจากห่วง ลูกบาสถูกเคลื่อนย้ายตำแหน่งจากอ้อมแขนเล็กมาอยู่ระหว่างมือบางทั้งสองข้างซึ่งยกสูงระดับอก
ตุบ ตุบ
เขาปล่อยเจ้าลูกบอลแข็งสีส้มลงบนพื้น ก่อนจะใช้มือกดมันลงไปอีกครั้งเมื่อมันกระเด้งกลับขึ้นมาอย่างเป็นจังหวะ เสียงลูกบาสกระทบพื้นดังก้องกังวาลเป็นพิเศษในสายตาของเขาเมื่อรอบข้างไม่มีใครแม้แต่เพื่อนสนิท
เช่นเดียวกับวันที่เขาก้าวเข้าสู่สนามบาสสาธารณะแห่งนี้เป็นครั้งแรกราวสองปีก่อน
กึง!!
เสียงลูกบาสกระแทกกับห่วงแป้นดังสนั่น เด็กชายเรือนผมสีฟ้าอ่อนมองเจ้าลูกบอลสีส้มที่กระดอนไปทางซ้าย ก่อนจะกลิ้งหลุนๆ ออกนอกสนามไปทางด้านหลังแป้น ขาที่เริ่มไร้เรี่ยวแรงพาร่างชุ่มเหงื่อไปยังตำแหน่งของลูกบาส
ทว่าแทนที่เด็กน้อยวัยประถมจะเก็บมันแล้วเริ่มเล็งให้เข้าห่วงอีกคราอย่างทุกที เด็กหนุ่มกลับหยุดอยู่ตรงหน้าลูกบาสโดยไม่ทำอะไรทั้งสิ้นนอกจากหอบหายใจความเร็วถี่เฉกเช่นเดียวกับหัวใจอันเต้นรัวสนั่น พลางปล่อยให้หยาดเหงื่อเม็ดน้อยๆ ไหลตามโครงหน้าขาวนวล ผ่านคางมน และหยดลงบนพื้นสนามราวน้ำตา
ก็ไม่ได้ท้อหรอก…
แค่เหนื่อยที่ความพยายามอันมหาศาลของเขาไม่สามารถพาไปถึงความสำเร็จได้สักที…
ฟึบ! ตุบ ตุบ
เสียงลูกบาสผ่านเข้าห่วงแทรกเข้าระบบประสาทการรับฟังทันที เขาหันกลับไปมองบริเวณหน้าแป้นก่อนจะพบเด็กชายเรือนผมสีน้ำตาลวัยไล่เลี่ยกันแต่สูงกว่าเขากำลังเก็บลูกบาสเก็ตบอลใต้ห่วงอย่างกระฉับกระเฉง
“นายก็เล่นบาสเหมือนกันเหรอ” ผู้มาใหม่ในสายตาของเด็กหนุ่มผมฟ้าเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร ทว่าผู้ถูกถามกลับเบิกดวงตาสีฟ้าอ่อนกว้างขณะกำลังก้มเก็บลูกบอลด้วยความประหลาดใจ
นี่เขาเป็นฝ่ายถูกทักงั้นเหรอ
เด็กชายถามตัวเองในใจพลางมองรอบๆ สนาม ก่อนจะพบว่ามีเพียงตนและเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอันเต็มไปด้วยประกายแห่งความดีใจซึ่งกำลังสะท้อนภาพของเขา
“ครับ” เสียงนุ่มเช่นเดียวกับริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อตอบ
“งั้นมาเล่นด้วยกันดีกว่า ฉันจะสอนนายเล่นเอง” เขายิ้มกว้างจนหลับตา ความเป็นมิตรแผ่ซ่านผ่านใบหน้าและน้ำเสียง “นายชื่ออะไรล่ะ”
เด็กหนุ่มผมฟ้าผงะไปเล็กน้อยจากการถูกชวนกึ่งบังคับของอีกฝ่าย แต่ด้วยความเป็นเด็กจึงไม่ได้คิดกังวลใดๆ ทั้งสิ้น ผนวกกับเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเล่นบาสเก็ตบอลที่ตนรัก เขาจึงไม่มีทีท่าปฏิเสธคำชวนนั้น
“อ่า…ฉันควรแนะนำตัวเองก่อนสินะ” เด็กชายผู้เป็นฝ่ายถามพูด แต่ดูเหมือนจะเป็นการบอกกับตัวเองเสียมากกว่าเมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ตอบทันที “ฉันชื่อ โองิวาระ ชิเงฮิโระ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” กล่าวเสร็จก็ยิ้มกว้างอีกครั้ง
ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่ทำให้อีกฝ่ายต้องยิ้มบาง
…ทั้งๆ ที่เคยมีคนบอกว่าเขาเป็นคนยิ้มยากแท้ๆ…
“ผมชื่อ คุโรโกะ เท็ตสึยะ ครับ” เสียงนุ่มเย็นเอ่ยด้วยคำพูดสุภาพ “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”
เด็กหนุ่มเรือนผมสีฟ้าอ่อนคนเดิมในอายุและความสูงที่เพิ่มขึ้นเปลี่ยนจากเลี้ยงลูกบอลมาประคองมันด้วยสองมือเล็กแทน เจ้าลูกบาสเก็ตบอลดูเก่าลงเมื่อมีร่องรอยทั้งเล็กใหญ่เด่นหราอยู่บนพื้นผิวสีส้มอันขรุขระ ซึ่งบ่งบอกว่ามันได้ผ่านการใช้งานจำนวนมหาศาลเช่นเดียวกับรอยขีดข่วนที่กระจายไปทั่ว คุโรโกะยกมันขึ้นมาถึงระดับสายตา ใช้ดวงตาเพ่งเล็งจากลูกบอลไปยังตัวแป้นตามที่ ‘โองิวาระคุง’ เคยสอนไว้ มือขวาส่งแรงไปยังตัวลูกบาส มือซ้ายที่ใช้ในการประคองรู้สึกได้ถึงผิวสัมผัสอันขรุขระผ่านฝ่ามือไปอย่างรวดเร็ว มันลอยโค้งแหวกอากาศโดยมีเป้าเป็นพื้นที่ในกรอบสี่เหลี่ยมซึ่งปรากฎอยู่บนตัวแป้น
ปึง! กึง
ทว่ามันกลับไปชนที่เส้นกรอบสี่เหลี่ยมเข้าอย่างจังแทน ก่อนจะตกลงบนขอบเหล็กและพื้นตามลำดับ มันกลิ้งปนกระเด้งไปทางด้านซ้าย ดวงตาสีฟ้าอ่อนใสจับจ้องไปยังลูกบอลสีส้มที่กลิ้งช้าๆ
เขามีการพัฒนา
แต่เป็นการพัฒนาที่ยังไม่ดีพอ
ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาจากเด็กหนุ่มแม้แต่เสียงถอนหายใจแห่งความท้อแท้ เขาทำเพียงก้าวเดินอย่างเป็นจังหวะ ก้มลงเก็บลูกบาสเก็ตบอลที่นอนแน่นิ่งอยู่นอกสนามและถือประคองมันด้วยสองมืออีกครั้ง ประกายแห่งความมุ่งมั่นปรากฎชัดบนแววตาสีฟ้าใสบริสุทธิ์แม้ว่าใบหน้าจะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ก็ตาม
ความฝันของเขาจะไม่มีทางหยุดอยู่แค่นี้หรอก
มะรืนนี้จะเป็นวันเปิดเทอมของโรงเรียนมัธยมต้นเทย์โควแล้ว หลายๆ คนอาจยังไม่ได้คิดหรือกังวลว่าจะเข้าชมรมอะไร มีสิ่งใดที่เหมาะกับตนบ้าง ผิดกับเด็กชายที่ตัดสินใจไว้อย่างแน่วแน่นับตั้งแต่หลังจากที่คำสัญญาได้หลุดออกมาจากริมฝีปากบางของตนในช่วงหนึ่งปีก่อน
…คำสัญญาระหว่างเขา และโองิวาระ…
เขาจะเข้าชมรมบาสเก็ตบอล
ในที่สุดวันเปิดเทอมก็มาถึงอย่างรวดเร็ว เหล่านักเรียนปีสองกับปีสามในชุดโรงเรียนมัธยมต้นเทย์โควแจกใบปลิวชมรมของตนเองแก่เด็กใหม่
เสียงตะโกนเชิญชวนดังแข่งกันจนแทบจับใจความไม่ออก คุโรโกะอยู่ปะปนกับกลุ่มชุลมุน ณ ลานโรงเรียน ดวงตากลมโตจับจ้องไปยังเนื้อหาของหนังสือเล่มโปรดที่ตนกำลังถืออยู่พลางเดินไปด้วย
“…ถ้าเธอทำ ฉันคงเล่นแมตช์นั่นไม่ได้แน่”
“นี่! หมายความว่าไงยะ!?” เสียงหวานแหวขึ้นโต้ตอบคำพูดสบประมาทของชายเสียงทุ้มต่ำ
ปึ้ก
“เหวอ!” เจ้าของร่างสูงกำยำผู้มีผิวสีแทนแนวนักกีฬาอุทานเมื่อบริเวณเหนือข้อศอกของเขากระแทกกับส่วนที่คาดว่าเป็นไหล่ของใครบางคนเข้า
“ขอโทษครับ” คุโรโกะกล่าวเสียงนิ่ง
“โทษที…เดี๋ยว!” เขารีบหันกลับไปมอง แต่บุคคลปริศนาคนนั้นก็หายตัวไปเสียแล้ว
“ไดจัง มีอะไรเหรอ” เด็กสาวผมยาวสลวยสีลูกท้อถามเมื่อเห็นอาการแปลกๆ ของเพื่อนสมัยเด็ก
“ไม่หรอก ก็แค่…ช่างเถอะ” อาโอมิเนะนึกทบทวนคำพูดและน้ำเสียงของคนที่ไม่เห็นแม้แต่ใบหน้า
‘ขอโทษครับ’
เป็นผู้ชายหรอกเรอะ!?
ทำไมตัวเตี้ยอย่างกับผู้หญิงเลยฟะ!
“เฮ้ นายชอบอ่านหนังสืองั้นเหรอ มาร่วมชมรมวรรณกรรมไหม” เสียงเชิญชวนเข้าชมรมจากรุ่นพี่ดังข้างๆ เขา ทว่าคุโรโกะกลับไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง
เพราะคนที่รุ่นพี่คุยด้วยคงเป็นคนข้างหลังเขาเสียมากกว่า
“ไม่ล่ะ นี่มันสมุดโทรศัพท์” เสียงนุ่มทุ้มให้อารมณ์เย็นชาตอบ
“สมุดโทรศัพท์ก็ได้…เอ๋!?” รุ่นพี่จ้องหน้าคนตอบ “ทำไมนายต้องเอาสมุดโทรศัพท์มาด้วยล่ะ!?”
หลังจากนั้นคุโรโกะที่เดินล่วงหน้าก็ได้ยินเป็นเพียงเสียงแว่วๆ ไกลๆ จากด้านหลัง
“มันเป็นลัคกี่ไอเทมของฉัน จากโอฮาอาสะ…”
และคำลงท้ายประโยคที่แม้แต่เขายังนึกฉงน
“…นาโนดาโยะ”
เด็กหนุ่มเก็บหนังสือในมือลงกระเป๋าสะพายข้าง ก่อนมือบางจะหยิบซองจดหมายที่ถูกเก็บไว้ในช่องพิเศษภายในกระเป๋าออกมา นิ้วเรียวเล็กฉีกปากซองเพื่อเปิดผนึกก่อนจะกางหน้ากระดาษเพื่ออ่านเนื้อความจดหมาย ดวงตากลมโตสีฟ้าอ่อนไล่อ่านตั้งแต่บรรทัดแรกจนถึงตัวอักษรสุดท้าย
โองิวาระคุงเข้าชมรมบาสเก็ตบอลแล้ว และจะพยายามเต็มที่เพื่อเติมเต็มคำสัญญานั้น
คุโรโกะหยุดอยู่ตรงหน้าซุ้มชมรมบาสที่เต็มไปด้วยผู้คน
“คุโรโกะ สัญญากับฉันนะ…”
ต่อให้ร่างกายของผมต้องแหลกสลาย ต่อให้ความหวังของผมถูกทำลายหลายต่อหลายครั้ง ผมจะทำให้คำสัญญาของพวกเราเป็นจริงให้ได้
ผมสัญญาต่อคำสัญญานั้นครับ โองิวาระคุง
ความคิดเห็น