คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : Chapter21 : พระเจ้าได้โปรดรับผมไปอยู่ด้วย
Chapter21 : พระเจ้าได้โปรดรับผมไปอยู่ด้วย
ยังไม่ทันที่จะได้ขึ้นไปนั่งบนขอบหน้าต่างลูกกระสุนสีเงินก็พุ่งเฉียดขาเยซองข้างที่กำลังปืนจนตกลงมากระแทกพื้นห้อง สายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดตวัดกลับไปมองที่ประตูก็พบกับคังอินยืนถือปืนจ่อมาที่เขาอยู่นั้น สีหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังโกรธจัด
“พี่อีทึกหนีไป!!” ตะโกนออกมาจนสุดเสียงเพื่อให้คนที่อยู่ด้านนอกได้ยิน
อีทึกชะงักเท้าที่กำลังจะเดินไปใกล้หน้าต่างทันที เพราะเสียงปืนเมื่อกี้ทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก มันเกิดอะไรขึ้นกับเยซองกัน
ได้ยินแบบนี้คังอินจึงรีบไปวิ่งไปที่หน้าต่าง อีทึกหันหน้ามาสบตากับคังอินก่อนจะรวบรวมกำลังที่มีรีบวิ่งหนีไปสุดชีวิต มือที่ถือปืนอยู่ถูกยกขึ้นมาเล็งยิงไปที่เป้าหมายซึ่งกำลังวิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ แต่แล้วคังอินกลับลดปืนลงซะดื้อๆ เขาทำไม่ได้ เขายิงอีทึกไม่ได้
“เกิดอะไรขึ้น!” ฮีชอลกับฮโยริเข้ามาภายในห้องสีหน้าตื่น ส่วนซองมินกับเรียวอุกนั้นตามหลังมาพร้อมกับอาหารและน้ำที่จะนำมาให้เชลยในเย็นนี้
“อีทึกหนีไปแล้ว” ตอบด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว หันหน้าเตรียมวิ่งออกไปจากห้องเพื่อไปตามคนที่เพิ่งวิ่งหนีไปกลับมา
“แล้วนายจะไปไหน” ฮีชอลรั้งแขนของคังอินเอาไว้ บีบไว้จนแน่นเพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้คังอินกำลังจะไปไหน และเขาจะไม่ยอมให้คังอินได้ไปสมใจแน่
“ไปตามอีทึก”
“ไม่ต้อง”
“นายไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉันฮีชอล” หันกลับมาตะคอกใส่ด้วยความโกรธจัด
“คังอิน!” ฮีชอลเองก็ดูจะโกรธไม่แพ้กัน แรงบีบที่ต้นแขนของคังอินนั้นเริ่มแน่นขึ้นเรื่อยๆ หากแต่ไม่ใครยอมลดให้ใครคงได้มีเรื่องกันอีกครั้งเป็นแน่
“ปล่อยเขาไปคังอิน อย่างน้อยเราก็ยังเหลือมันอีกคน” ฝ่ายสงบศึกคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากฮโยริ นายใหญ่ของบ้านเพยิดหน้าไปทางเยซองที่นอนกุมบาดแผลที่ขาอยู่ด้วยความเจ็บปวดหากแต่ไม่มีเสียงร้องใดๆออกมา มีเพียงสายตาเคียดแค้นเท่านั้นที่ส่งมาให้
คำพูดของฮโยรินั้นได้ผลเมื่อคังอินยอมเชื่อฟังแต่โดยดีไม่ตามอีทึกไปหากแต่กลับเดินกลับขึ้นห้องด้านบนไปแทน ฮีชอลจึงได้ตามมองตามไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“จัดการมันด้วย อย่าให้มันมาตายในนี้ ส่วนกลอนหน้าต่างก็ซ่อมให้มันเรียบร้อย” สั่งการเสร็จฮโยริก็เดินขึ้นห้องไป และหน้าที่นี้คงจะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากเรียวอุก
ฮีชอลหันไปมองสภาพเยซองในห้องอย่างสมเพชก่อนจะเดินขึ้นห้องตัวเองไปบ้าง เรียวอุกนั้นยืนกอดขวดกับแก้วน้ำที่ตัวเองถือว่าไว้แน่น ขอบตามันร้อนผ่าวขึ้นมาจนอยากจะร้องไห้เดี๋ยวนั้น และก็อดกลับไปโทษตัวเองไม่ได้ที่ต้องทำให้เยซองกลายเป็นแบบนี้
“เดี๋ยวพี่ไปเตรียมยากับของมาให้แล้วกันนะ นายเข้าไปดูเยซองเถอะ” ซองมินวางอาหารที่เตรียมมาให้อีทึกกับเยซองไว้ในห้องก่อนจะเดินไป
เรียวอุกยืนนิ่งอยู่ซักพักก่อนจะวางน้ำไว้ข้างๆกับอาหารที่ซองมินวางไว้แล้วเดินเข้าไปหาเยซอง คนตัวเล็กยกมือไปสัมผัสมือเยซองที่กุมแผลเอาไว้เบาๆ เลือดไหลเยิ้มออกมาเปื้อนมือเรียวเล็กหากแต่เรียวอุกกลับไม่ได้มีท่าทางรังเกียจเลยซักนิด
“เจ็บมากมั้ย....ผมขอโทษ” ก้มหน้าก้มตาพูดอย่างสำนึกผิด พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมา ไม่งั้นคงโดนกล่าวหาว่าโกหกเสแสร้งอีก
ไม่มีเสียงตอบรับอะไรจากคนเจ็บ เยซองปัดมือเรียวอุกออกเบาๆ ก่อนจะดันตัวเองให้ลุกขึ้นโดยที่ไม่แม้แต่จะเหลือบหันไปมองคนตัวเล็กเลยซักนิด
ซองมินเดินกลับมาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลและเครื่องมือที่จะใช้ซ่อมกลอนหน้าต่างก่อนจะวางมันไว้ข้างเรียวอุกแล้วเดินออกไปเงียบๆ หากแต่เรียวอุกกลับยังนั่งนิ่งไม่ยอมลงมือทำอะไรเสียที จนเลือดจากแผลเยซองไหลนองลงที่พื้นมาโดนกางเกงคนตัวเล็กที่ใส่อยู่เข้า
เรียวอุกหันไปมองเยซองที่นั่งหอบน้อยๆ ท่าทางเหมือนคนที่ใกล้จะหมดลมหายใจเข้าไปทุกที ถึงแม้ว่าบาดแผลครั้งนี้จะไม่ได้ลึกมาก แต่จากบาดแผลที่สะสมมานานจนเยซองไม่อยากจะทนอีกต่อไป เรื่องที่น่าเสียใจที่สุดคงจะมาถึงในเวลาอันใกล้นี้
กล่องปฐมพยาบาลถูกเปิดออก กางเกงของเยซองที่ถูกยิงจนเป็นรอยขาดถูกเรียวอุกฉีกออก คนตัวเล็กเทน้ำเกลือใส่ผ้าก๊อซก่อนจะเช็ดบริเวณรอบๆแผล หากแต่เยซองกลับชักขาหนีไม่ใช่เพราะเจ็บ แต่เป็นเพราะไม่อยากได้รับความอ่อนโยนจากเรียวอุกอีกแล้ว ทุกๆอย่างที่คนตัวเล็กทำ มันทำให้เยซองรู้สึกสับสนไปหมด
“ยอมให้ผมทำดีๆเถอะครับ อย่าให้ผมต้องบังคับพี่” คงเป็นครั้งแรกที่เรียวอุกพูดกับเยซองด้วยน้ำเสียงเชิงดุที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงอย่างมากมาย แต่เยซองกลับเห็นว่าคำพูดของเรียวอุกเป็นเรื่องตลก เหมือนเด็กที่บังอาจมาสอนผู้ใหญ่
“คิดว่าฉันจะตามทำนายหรือไง” เคยดื้อกับเรียวอุกยังไงเยซองก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น ถึงแม้จะขอร้องหรือบังคับก็ไม่ยอมทำตามง่ายๆ
“ผมไม่อยากใช้กำลังกับพี่นะครับ” เหมือนว่าความอดทนที่มีมากมายของเรียวอุกจะหมดลงเรื่อยๆกับความดื้อดึงของเยซอง ทั้งที่ไม่เคยคิดจะใช้กำลังบังคับเยซอง แต่ถึงตอนนี้เขาคงต้องทำ ไม่งั้นเยซองคงไม่ยอมให้ทำแผลดีๆแน่
“ก็เอาสิ” ท้าทายไปอย่างไม่เกรงกลัว คงเพราะคิดว่าเรียวอุกเห็นตัวเองไม่มีแรงจะสู้เลยพูดแบบนี้ออกมา แต่เยซองคงจะลืมคิดไปว่าเรียวอุกเป็นคนของครอบครัวลี และคงแปลกถ้าคนบ้านนี้จะไม่มีศิลปะป้องกันตัวอะไรติดตัวเลย ถึงแม้เรียวอุกจำทำหน้าที่แค่หาข้อมูลก็ตาม
“พี่อนุญาตผมแล้วนะ” ว่าแล้วเรียวอุกก็ใช้เศษผ้าจากกางเกงของเยซองมัดมือคนที่ท้าทายไว้ซะ ถึงแม้เยซองจะขัดขืนแต่ก็กลับสู้แรงของคนตัวเล็กไม่ได้
“ถ้าพี่ดื้อไม่ยอมให้ผมทำแผลอีกผมจะมัดขาพี่ไว้ด้วย” พูดขู่ไปอีกรอบก่อนจะรีบลงมือทำแผลอีกครั้ง เยซองได้แต่มองอย่างสมเพชตัวเอง แม้แต่เด็กตัวเล็กแค่นี้เขายังไมมีแรงจะขัดขืน
สุดท้ายแล้วเยซองก็ยอมนั่งนิ่งๆให้เรียวอุกทำแผลจนเสร็จ มือที่ถูกมัดไว้เรียวอุกได้แก้ออกตั้งแต่ที่เยซองยอมอยู่เฉยๆ แต่ปัญหาต่อมาคือคนดื้อไม่ยอมกินข้าวกินยา
“พี่ครับ” เสียงที่ฟังดูอ่อนใจของเรียวอุกดังขึ้นอีกครั้งหลังจากขอร้องให้เยซองทานข้าวทานยามากว่าหลายสิบนาทีแต่ก็ไม่สำเร็จ จะใช้กำลังบังคับเรียวอุกก็ไม่รู้จะใช้บังคับในรูปแบบไหน
“ยังไม่เสร็จอีกหรือไง” คงเพราะมันนานเกินเหตุฮีชอลที่เข้าไปดูเรียวอุกในห้องไม่เห็นกลับมาเสียทีจึงต้องลงมาตาม และภาพที่เห็นก็ทำเอาฮีชอลอารมณ์เสียขึ้นมาอีกรอบ น้องเขากำลังง้อมันอีกแล้ว
“เอ่อ...” เรียวอุกเกิดอาการอ้ำอึ้งขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าฮีชอลมา มือที่ถือจานข้าว ช้อนที่จ่ออยู่ที่ปากเยซองต้องวางลงกับพื้นเมื่อฮีชอลเดินเข้ามาใกล้
“ไม่ยอมกินก็ไม่ต้องกิน! พวกฉันไม่มีเวลามากพอจะมานั่งง้อคนอย่างแกหรอกนะ!” ฮีชอลเตะจานข้าวที่เรียวอุกเพิ่งวางลงเมื่อกี้จนกระเด็ดไปที่ผนังห้อง เรียวอุกสะดุ้งตัวด้วยความตกใจแต่ก็ต้องทำนิ่งเฉยไว้ ไม่งั้นฮีชอลคงได้อาละวาดหนักกว่าเดิม
เยซองจ้องหน้าฮีชอลเขม็ง ถึงแม้ว่าตอนนี้ร่างกายจะสู้ไม่ไหวแต่เยซองกลับไม่มีความเกรงกลัวฮีชอลเลยแม้แต่นิด
“ขึ้นไปนอนซะเรียวอุก มันอยากตายก็ปล่อยมันไป” หันไปสั่งเรียวอุกให้ขึ้นไปนอนก่อนจะเดินออกจากห้องไป เรียวอุกจึงหยิบน้ำมาเทใส่แก้วเอาไว้พร้อมกับจัดชุดยาแก้อักเสบวางไว้คู่กับน้ำ
“ผมวางยาไว้ให้ตรงนี้นะ พี่ต้องกินมันด้วยนะ” พูดเสร็จก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่ลืมล็อกกลอนไว้อย่างแน่นหนาดั่งเช่นทุกวัน ส่วนกลอนหน้าต่างเรียวอุกก็จัดการซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ความมืดปกคลุมดั่งเช่นทุกคืนเมื่อคนตัวเล็กออกไป เยซองเหลือบไปมองสิ่งที่เรียวอุกวางเอาไว้ให้แต่กลับไม่คิดจะแตะมันเลยซักนิด ถึงแม้ร่างกายจะเหนื่อยล้าแต่ตากลับข่มให้มันหลับไม่ลง ความทรมานทั้งกายและใจที่มีในตอนนี้มันบั่นทอนกำลังใจที่จะมีชีวิตต่อไป
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนล่วงเลยมาถึงวันใหม่ได้หลายชั่วโมงแล้ว หากแต่เยซองกลับไม่มีท่าว่าจะข่มตาหลับได้เลยแม้แต่นิด ความเจ็บปวดที่บาดแผลของทุกส่วนบนร่างกายยังคงสร้างความปวดร้าวให้อยู่ตลอดเวลา เขาต้องทนต่อความทรมานนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน
“พระเจ้าครับ ตอนนี้ผมทรมานเหลือเกิน” เสียงพึมพำดังออกมาจากปากของคนที่นอนหมดเรี่ยวแรง เยซองเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าที่แสนมืดมิดในเวลาใกล้เช้านี้ เช่นเดียวกับชีวิตของเขาที่ยังหาทางออกไม่เจอ
ลมหายใจที่เคยสม่ำเสมอตอนนี้กลับอ่อนลงเรื่อยๆ รอยยิ้มบางๆผุดขึ้นมาบนใบหน้านับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เยซองถูกจับมาอยู่ที่นี่ หากแต่รอยยิ้มนี้มันกลับเป็นรอยยิ้มแห่งความสมเพช สมเพชที่ตัวเองต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้
ในเมื่อตอนนี้เยซองช่วยอีทึกให้หนีออกไปได้แล้ว คงไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องทนอยู่กับความทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจแบบนี้
แก้วน้ำที่เรียวอุกเทน้ำเตรียมไว้ให้ทานยาถูกหยิบขึ้นมาปากระแทกกับพื้นจนแตกกระจาย เยซองหยิบเศษแก้วชิ้นใหญ่ขึ้นมา ดวงตาเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย
“ขอพระเจ้าคุ้มครองคุณฮยอนจินกับคุณคยูฮยอนด้วยนะครับ และได้โปรดรับผมไปอยู่กับท่านด้วย” สิ้นสุดคำพูดเศษแก้วที่อยู่ในมือก็ถูกกรีดลงที่ข้อมือ เยซองกัดฟันทนความเจ็บที่เขาจะได้รับมันเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมกับออกแรงกดให้รอยคมของเศษแก้วมันบาดลึกลงไปให้มากที่สุด
เลือดสีแดงสดไหลอาบข้อมือที่มีรอยแผลฉกรรจ์จนดูน่ากลัว เศษแก้วล่วงหล่นจากมือพร้อมกับร่างของเยซองที่ล้มลงกับพื้น สติที่เคยมีอันน้อยนิดไม่มีอีกต่อไปแล้ว ลมหายใจอ่อนแรงอยู่แล้วยิ่งบางเบาและจางหายไปเรื่อยๆ
กรี๊งงงงง!!!!!
นาฬิกาปลุกที่ส่งเสียงดังลั่นทำให้เรียวอุกตกใจตื่น ก่อนจะหันไปปิดเจ้านาฬิกาตัวปัญหาด้วยความงัวเงีย และเมื่อเห็นเวลาที่แสดงอยู่บนหน้าปัดก็ทำเอาคนตัวเล็กขมวดคิ้วมุ่น ตีห้าห้านาที เขาจำได้ว่าตั้งปลุกไว้ตอนหกโมงเช้านี่นา
เรียวอุกลุกขึ้นจากเตียงเดินเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ แต่แล้วก็ต้องหันกลับมามองในห้องอย่างรวดเร็วเมื่ออยู่ๆแก้วนมที่ดื่มไปเมื่อคืนซึ่งตั้งไว้ตรงหัวเตียงมันกลับตกลงมาแตกเสียดื้อๆ
ไฟในห้องน้ำถูกเปิดจนสว่างหมดทั้งห้อง เรียวอุกเดินไปหยุดนั่งมองเศษแก้วที่แตกกระจายอยู่บนพื้น อยู่ๆลางสังหรณ์ใจไม่ดีก็แวบเข้ามาในใจ แต่เรียวอุกกลับส่ายหัวเบาๆเพื่อสลัดมันออกไป มันก็แค่ลางสังหรณ์เขาไม่ควรจะเก็บมามันคิดให้ปวดหัวเล่นเบาๆ
เรียวอุกเดินไปยังที่เก็บไม้กวาดซึ่งอยู่ใกล้ๆกับประตู แต่แทนที่จะหยิบไม้กวาดแล้วมาทำความสะอาดเศษแก้วที่แตกนั่นซะ เรียวอุกกลับเอื้อมมือไปจับที่ลูกบิดประตูก่อนจะเปิดมันออก เพราะความรู้สึกบางอย่างมันบอกให้เขาทำแบบนี้
ความมืดยังคงปกคลุมไปทั่วทั้งบ้าน เพราะตอนเช้าตรู่แบบนี้คงยังไม่มีใครตื่น เรียวอุกกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างล่องลอย ทั้งที่คิดว่าจะเดินมาหยิบไม้กวาดแต่ทำไมเขาถึงเดินออกมานอกห้องแบบนี้ได้ สายตาเรียวเล็กหยุดโฟกัสที่ทางเดินเพื่อไปยังห้องเก็บของชั้นล่างของบ้าน คนตัวเล็กหายใจยาวพรืดออกมาด้วยความอ่อนใจเมื่อนึกถึงคนดื้อที่ไม่ยอมทานข้าวทานยาเมื่อตอนเย็น
“ป่านนี้จะเป็นไงบ้างนะ” พึมพำออกมาด้วยความเป็นห่วง และดูเหมือนการกระทำจะไวกว่าความคิดเมื่อเรียวอุกเดินลงบันไดตรงไปยังห้องเก็บของทั้งที่พูดยังไม่ทันจบประโยค
เรียวอุกหยิบกุญแจออกมาจากที่ซ่อนก่อนจะไขมันเข้าไปอย่างเบาที่สุดเพราะคิดว่าตอนนี้เยซองคงจะหลับอยู่แน่ๆ และก็เป็นอย่างคาด เมื่อเปิดประตูเข้ามาก็พบกับเยซองที่นอนหันหลังให้ประตูอยู่ คนตัวเล็กจึงเข้าไปใกล้เบาๆ เพื่อดูว่าคนดื้อของตนนั้นทานข้าวทานยาหรือยัง
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อเห็นว่าแก้วน้ำที่เคยวางไว้ข้างกับยาบัดนี้มันแตกละเอียดอยู่ที่พื้น เรียวอุกจึงรีบลุกขึ้นเดินไปเปิดไฟทันที อย่าบอกนะว่าเยซองอย่าละวาดปาดแก้วน้ำจนแตกแบบนี้น่ะ
แต่สิ่งที่เห็นกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เลือดมากมายจากข้อมือที่ถูกกรีดจนเป็นแผลลึกไหลเอ่ออยู่เต็มพื้นห้อง เรียวอุกตัวชาวาบหน้าซีดเผือดกับภาพที่เห็นตรงหน้า
“พี่เยซอง” ร้องออกมาเสียงสั่นก่อนจะรีบเข้าไปเขย่าตัวคนที่นอนแน่นิ่งอยู่เบาๆ น้ำตาหยดใสๆล่วงหล่นบนแก้มใสเป็นสายธารเมื่อเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ได้รับการตอบรับกลับมา
เรียวอุกยกนิ้วขึ้นอังที่จมูกของเยซอง มืออีกข้างที่ว่างจับจุดวัดชีพจรข้อมือที่ไม่มีบาดแผลของเยซองก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้องทันที
“พี่ฮีชอล! เปิดประตูที! พี่ครับ!” ประตูห้องของฮีชอลถูกทุบไม่ยั้งจนเจ้าของห้องที่กำลังนอนหลับสบายต้องรีบลุกขึ้นออกมาเปิดด้วยท่าทางที่ดูไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“อะไรกันเรียวอุก” ขมวดคิ้วถามด้วยท่าทางงัวเงีย แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของเรียวอุกก็ทำเอาฮีชอลตื่นเต็มตาทันที
“พี่ครับ เยซอง พี่เยซองเขา ลงไปช่วยพี่เขาที ขอร้อง นะครับ” คำพูดกับท่าทางที่ดูร้อนรนทำเอาฮีชอลฟังแทบไม่รู้เรื่องว่าคนตัวเล็กต้องการสื่อถึงอะไร
“ใจเย็นๆ เรียวอุก เกิดอะไรขึ้น”
“พี่เยซอง ไปช่วยพี่เยซองที” พูดไปเรียวอุกกลับยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม คนตัวเล็กรั้งข้อมือฮีชอลไว้รีบวิ่งลงไปยังห้องเก็บของจนแทบจะตกบันไดกันทั้งคู่ และคงเป็นเพราะเสียงของเรียวอุกจึงทำให้ซองมินที่อยู่ห้องข้างๆเปิดประตูออกมาดู ก่อนจะเดินตามลงไป
“มัน...ตายแล้วเหรอ” ฮีชอลเบิกตากว้างกับภาพที่เห็นตรงหน้า หยุดยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้อง บาดแผลที่ข้อมือทำให้รู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับเยซอง
“พี่ครับ พาพี่เยซองไปส่งโรงพยาบาลที” เรียวอุกวิ่งเข้าไปหาเยซองที่นอนจมกองเลือดอยู่ ร้องขอทั้งน้ำตาแต่ฮีชอลกลับยังคงยืนนิ่ง เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องช่วยศัตรูในเมื่อมันอยากหาที่ตายเอง
“พี่ฮีชอล ฮือ..ฮือ” เมื่อร้องขอไปแล้วไม่ได้ผลเรียวอุกกลับยิ่งสะอื้นหนัก เขาผิดเองที่เรียกฮีชอลมา ทั้งที่รู้ว่าฮีชอลอยากทำร้ายเยซองขนาดไหน คงไม่มีท่าที่จะช่วยอยู่แล้ว
“เรียวอุก...เยซอง!” ซองมินที่เพิ่งเดินมาถึงรีบถลาเข้าไปในห้องพร้อมกับช่วยเรียวอุกพยุงเยซองขึ้นมาโดยไม่ถามซักคำว่ามันเกิดอะไรขึ้นเยซองถึงได้มีสภาพเป็นแบบนี้
“พี่ซองมิน ช่วยพี่เยซองด้วยนะครับ” เรียวอุกขอร้องทั้งน้ำตาอย่างน่าสงสาร ซองมินจึงได้แต่พยักหน้าแล้วช่วยกันพยุงเยซองผ่านหน้าฮีชอลออกไปขึ้นรถเพื่อพาไปส่งโรงพยาบาล
คนที่เรียวอุกวิ่งไปขอความช่วยเหลือได้แต่มอง แต่ไม่ออกปากห้ามหรือคิดจะตามไปแต่อย่างใด ฮีชอลหันกลับไปมองกองเลือดที่อยู่ในห้องแล้วหัวเราะในลำคอเบาๆ ต่อให้มีหมอเทวดามารักษางานนี้เขาว่ายังไงเยซองก็ไม่รอดจนถึงฟ้าสว่างแน่
ทุกวันที่เคยมีแต่เรื่องไร้สาระเสเพแต่วันนี้สำหรับชเวซีวอนกลับเป็นวันที่เขาเคร่งเครียดและรีบร้อนที่สุดในชีวิต หลังจากที่ได้รับโทรศัพท์ว่าแม่ของเขาถูกยิ่งเมื่อวานนี้ แต่ลูกน้องตัวดีกลับเพิ่งโทรมารายงานทำเอาซีวอนอาละวาดผ่านหูโทรศัพท์จนลูกน้องกลัวหัวหดกันไปเป็นแถวๆ
ประตูห้องถูกเปิดออกอย่างแรงเพราะความเร่งรีบ แต่เท้าที่กำลังจะก้าวกลับต้องชะงักเมื่อสายตาเหลือบลงไปเห็นใครบางคนที่นอนสลบอยู่ที่หน้าประตูห้องของเขา
“พี่อีทึก!” ซีวอนทรุดตังลงนั่งอย่างรวดเร็ว ช้อนตัวอีทึกขึ้นมาในอ้อมกอด แต่แล้วก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นเลือดที่แห้งติดอยู่บริเวณลำคอ อีกทั้งร่างกายที่ดูโทรม ใบหน้าที่ซีดเซียว ใครทำอะไรอีทึกกัน
“พี่ครับ พี่อีทึก” ตบหน้าคนที่นอนไร้สติเบาๆแต่ก็ไม่ได้รับตอบรับแต่อย่างใด ซีวอนจึงช้อนตัวอีทึกขึ้นอุ้มลงลิฟต์ไปในทันที
ไม่รู้ว่าอีทึกมานอนสลบอยู่ที่หน้าห้องเขาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เรื่องที่เข้ามาที่คอนโดเขาได้นั้นเขาไม่สงสัยเพราะอีทึกเองก็มีคีย์การ์ดที่เขาให้ไว้ แต่ทำไมยามที่เฝ้าด้านหน้าถึงให้อีทึกที่มีสภาพแบบนี้เข้ามาได้ หรืออาจจะเป็นเพราะคุ้นหน้าอีทึกดีเลยไม่สงสัยอะไรปล่อยให้เดินเข้าทั้งๆที่มีเลือดติดอยู่ที่คอแบบนี้
เมื่อมาถึงรถซีวอนวางอีทึกไว้ที่เบาะหลังก่อนจะรีบขับรถออกไปทันที บาดแผลของอีทึกนั่นเขาไม่ได้สังเกตว่ามันลึกขนาดไหน แต่มีเลือดออกแห้งติดอยู่แบบนั้นมันทำให้เขาใจไม่ดี ทำไมคนรอบตัวตัวถึงเป็นอะไรไปกันหมด ทั้งแม่ของเขาและอีทึก
อีทึกถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลเดียวกับเยจิน ซีวอนยังคงรอฟังอาการของอีทึกอยู่ที่หน้าห้อง ใจหนึ่งก็อยากจะไปเยี่ยมแม่เร็วๆ แต่อีกใจก็เป็นคนห่วงคนที่ยังไม่รู้ว่าอาการจะหนักหนาสาหัสขนาดไหน เลยได้แต่เดินวนไปวนมาอย่างร้อนรน
ไม่นานนักประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับเตียงของอีทึกที่ถูกเข็นออกมา ซีวอนจึงรีบเดินตรงเข้าไปหาคุณหมอในทันที
“ตอนนี้ปลอดภัยแล้วครับ ตอนนี้ร่างกายของคุณอีทึกอ่อนแอมาก ขาดสารอาหารและพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่วนรอยแผลที่คอนั้นโดนของมีคมซึ่งผมคิดว่าคงจะเป็นมีดกรีดจนเป็นรอยแผลแต่ไม่ลึกมากและไม่เป็นอันตรายอะไรครับ” นายแพทย์ที่ดูมีอายุแจกแจงรายละเอียดจากการตรวจให้ซีวอนฟัง ซึ่งพอได้ฟังประโยคหลังนั้นทำเอาซีวอนถึงกับขมวดคิ้วจนแทบจะติดกัน เรื่องพักผ่อนไม่พอกับขาดสารอาหารนั้นเขาพอเข้าใจ คงเป็นเพราะอีทึกทำงานหนักจนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง แต่เรื่องที่โดนมีดกรีดที่คอนั่น มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
“ใช้เวลาพักฟื้นไม่นานก็จะหายดีแล้วล่ะครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ขอบคุณมากครับคุณหมอ” ค้อมศีรษะให้เล็กน้อยก่อนที่คุณหมอจะเดินจากไป
ห้องพักฟื้นของอีทึกนั้นอยู่ชั้นเดียวกับเยจินเพื่อให้สะดวกต่อการเยี่ยมไปมาหาสู่กัน หลังจากที่จัดการเรื่องห้องพักของอีทึกเรียบร้อยซีวอนจึงรีบมาที่ห้องของเยจิน โดยที่ห้องของอีทึกนั้นมีพยาบาลคอยดูแลอยู่อย่างดี
ประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมกับผู้มาเยือนคนใหม่ ซีวอนเดินตรงไปยังเตียงของเยจินด้วยใบหน้าที่ดูเคร่งเครียด ก่อนจะนั่งลงข้างๆคยูฮยอน เอื้อมมือไปจับมือผู้เป็นแม่เอาไว้แล้วบีบเบาๆ ถึงตอนนี้เขาจะรู้ว่าอาการของแม่เขาปลอดภัยดีแล้ว แต่ถ้ายังไม่เห็นแม่ฟื้นเขาก็ยังไม่วางใจอะไรทั้งนั้น
“ใครมันเป็นคนทำ แล้วทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้” ซีวอนวางมือเยจินไว้ที่ข้างตัวอย่างเบามือก่อนจะถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขากำลังโกรธ
“ครอบครัวลีครับ” เป็นอึนฮยอกที่ตอบคำถามนี้ออกมา เพราะฮยอนจินกับคยูฮยอนเอาแต่นั่งนิ่งไม่มีใครคิดจะพูดอะไรออกมาซักคน
“ครอบครัวลีงั้นเหรอ ทำไม นี่มันเรื่องอะไรกัน แล้วครอบครัวลีเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้” เพียงแค่ได้ฟังคำตอบของอึนฮยอกคำถามมากมายก็ผุดเข้ามาในหัว ซีวอนถามกลับไปอย่างไม่เข้าใจ ครอบครัวลี ครอบครัวของฮโยริอย่างนั้นเหรอ
ดูเหมือนว่าทุกคนจะโยนการตอบคำถามนี้ของซีวอน อึนฮยอกหันไปมองฮยอนจิน เพราะอยากให้คนที่รู้เรื่องราวตื้นลึกดีที่สุดเป็นคนเล่าให้ลูกชายคนโตของตัวเองฟังเอง
แล้วเรื่องราวทั้งหมดก็ถูกถ่ายทอดให้ซีวอนได้ฟังอย่างละเอียด ตั้งแต่เริ่มเกิดเรื่องลอบสังหารคนของโจกรุ๊ปขึ้น หลักฐานและข้อมูลที่สามารถทำให้อีทึกรู้ว่าใครคือคนที่ลอบปองร้ายโจกรุ๊ปอยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงเรื่องที่เยซองกับอีทึกโดนจับตัวไป และเรื่องที่อีทึกโดนคังอินข่มขืน
“ข่มขืน!” ซีวอนเน้นคำถามนี้กลับมาเสียงดัง เรื่องที่ฮยอนจินเล่ามาทั้งหมดนั้นเขาเองไม่อยากจะเชื่อเลยซักนิด ครอบครัวของฮีชอลลอบทำร้ายครอบครัวเขามาตลอด ซ้ำร้ายยังจับตัวเยซองไปและข่มขืนอีทึก ทำแบบนี้เพราะอะไรกัน
“ทำไม” ถามออกมาอีกครั้งเพราะยังไม่กระจ่างในเหตุผล ทำให้ฮยอนจินเกิดอาการอึกอักแต่ก็ยอมเล่าออกมาว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้ครบครัวลีต้องทำถึงขนาดนี้
จบคำบอกเล่าของเหตุผลทั้งหมดทั้งปวงห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ซีวอนนั่งนิ่งไม่ต่างจากคยูฮยอนที่ไม่ยอมพูดยอมจาอะไรกับใครเลยตั้งแต่ที่เยจินโดนยิงเมื่อวาน
“งั้นเหรอครับ” เงียบไปซักพักซีวอนจึงยอมพูดออกมา เขาไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะโทษใครว่าเป็นคนผิด สำหรับเขา พ่อเขาอาจจะเป็นคนผิดที่ทำให้เกิดความแค้นบ้าๆนี้ขึ้น แต่กับคำว่าเพื่อนแล้วเราจะโกรธแค้นกันจนถึงขั้นต้องฆ่ากันให้ตายเลยงั้นเหรอ ในตอนนี้ความแค้นของครอบครัวลีมันดูไร้เหตุผลมากๆสำหรับเขา
“พี่อีทึกน่ะ เขาหนีออกมาได้แล้วนะครับ” ซีวอนพูดต่อโดยที่ไม่มองหน้าใคร สายตาเอาแต่จ้องมองใบหน้าซีดเซียวของเยจิน เหมือนกำลังรอให้แม่ของเขาลืมตาขึ้นมา
“จริงเหรอครับ แล้วเยซองล่ะ” อึนฮยอกโผลงออกมาอย่างดีใจเมื่อซีวอนพูดจบ ถ้าทงแฮอยู่ที่นี่ได้ฟังข่าวดีนี้ด้วยก็คงจะดี เพราะที่โจกรุ๊ปไม่มีใครคอยคุมดูแลพวกลูกน้อง ฮยอนจินเลยสั่งให้เขากับทงแฮพลัดกันเฝ้าพลัดกันมาเยี่ยม
“ผมไม่รู้หรอกครับ เมื่อเช้าอีทึกมานอนสลบอยู่ที่หน้าห้องผมเลยพามาส่งโรงพยาบาล ตอนนี้พักฟื้นอยู่ที่ชั้นนี้แหละครับ ถ้าพี่อีทึกฟื้นเมื่อไหร่เราค่อยถามเรื่องจากเขาแล้วกัน”
“ผมขอตัวไปหาพี่อีทึกนะครับ” ไม่ต้องรอให้ใครอนุญาตอึนฮยอกก็ลุกเดินออกจากห้องไปทันที เพราะความเป็นห่วงพี่ชายที่โดนกระทำรุนแรงหลายต่อหลายอย่างมันจุกอกจนแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว พอรู้ว่าอีทึกหนีออกมาได้จึงไปดูว่าพี่ชายของเขาไม่เป็นอะไรมาก
เมื่ออึนฮยอกออกไปทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบเช่นเดิม และก็เป็นฮยอนจินที่ขอตัวออกไปดูอาการอีทึกบ้าง ภายในห้องจึงเหลือแค่สองพี่น้องอยู่ด้วยกัน
“พี่ขอโทษนะที่ไม่ได้ช่วยงานอะไรนายเลย ทั้งที่พี่ควรจะเป็นคนรับผิดชอบมัน” ถึงประโยคนี้จะพูดกับคยูฮยอน แต่ซีวอนกลับไม่ได้มองคู่สนทนาของตนเลยซักนิด ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะเรียกตัวเองว่าเป็นลูกชายคนโตของโจกรุ๊ปได้อยู่หรือเปล่า ความเป็นมาเป็นไปเกี่ยวกับครอบครัวหรือกิจการบริษัทเขาไม่เคยรับรู้มันเลยซักนิด
ไร้คำตอบใดๆออกมาจากปากของคยูฮยอน แต่ซีวอนก็ไม่คิดโกรธเคืองน้องแต่อย่างใด เขารู้ดีว่าคยูฮยอนต้องแบกรับภาระต่างๆไว้มากมายทั้งที่อายุยังน้อย ต่อไปนี้คงถึงเวลาที่เขาควรจะกลับมาทำหน้าที่ลูกชายคนโตของโจกรุ๊ปเสียที
-------------------------------
kr...Talk
สวัสดีจ้าเพื่อนๆทุกคน
มาอัพแล้วนะจ๊ะ ไม่เห็นต้องรอเป็นปีเลย
ผ่านมาแค่อาทิตย์เอง ฮ่าๆๆ
เห็นว่าช่วงนี้เนื้อเรื่องกำลังน่าลุ้น เลยไม่อยากให้คนอ่านต้องลุ้นตาย
ขอโทษสำหรับแฟนคลับพี่ทึก พี่เย่นะค่ะ ที่เขียนให้เจ็บปวดทรมาณกันไปหน่อย
แต่ไรเตอร์ไม่ได้กะจะรังแกพี่ๆนะ มันเป็นไปตามบทและอารมณ์
สำหรับแฟนคิมฮี อย่าไปโกรธเกลียดกันเลยนะ มันก็เป็นไปตามบทและคาแรกเตอร์อ่ะ
เจอกันใหม่คราวหน้านะ
ขอบคุณทุกคอมเม้นมากจ้า
ความคิดเห็น