คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : Chapter19 : ช่วงเวลาของความสุข
Chapter19 : ช่วงเวลาของความสุข
เชลยอีกหนึ่งคนที่ถูกครอบครัวลีจับมากลับดูมีความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อีทึกถูกดูแลอย่างดีโดยคังอิน นอนบนที่นอนนุ่มบนเตียงในห้องพักของแขก มีน้ำกับอาหารคอยเสิร์ฟเป็นเวลา แต่อีทึกก็ใช่ว่าจะสนใจซักเท่าไหร่ ทานบ้างไม่ทานบ้าง นอกเสียจากว่าจะโดนคังอินตื้อเข้ามากๆ จนเกิดความรำคาญจึงต้องทานเข้าไป
“ทานนี่หน่อยนะคุณ แม่บ้านเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ยังร้อนๆอยู่เลย” คังอินเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับถ้วยข้ามต้มควันฉุยกลิ่นหอมน่าทานเป็นยิ่งนัก แต่มันกลับไม่น่าทานเลยสำหรับอีทึก
“วางไว้ตรงนั้นแหละ” ยังดีที่วันนี้อีทึกยอมเอ่ยปากพูดกับคังอินดีๆ เพราะปกติจะนิ่งเข้าใส่ตลอดหรือไม่ก็หาเรื่องให้ต้องมีปากเสียงกันอยู่เป็นประจำ ถึงเรื่องที่คังอินได้ทำลงไปมันจะเป็นอะไรที่ตัวอีทึกคุ้นเคยดีอยู่ แต่กับคนที่ไม่ได้รู้จักกันอย่างลึกซึ้งมาก่อน แถมต้องมารู้ว่าคนๆนั้นเป็นใคร มันกลับสร้างรอยแผลขนาดใหญ่ในใจให้แก่เขา และที่ต้องมาทนเจอหน้าทุกวันแบบนี้มันยิ่งสร้างความทรมานให้อย่างมาก เขาเข้มแข็งแค่ไหนแล้วที่สามารถทนอยู่กับคังอินได้ทุกวันแบบนี้
คังอินไม่คิดจะเถียงหรือทำตัวเจ้ากี้เจ้าการให้อีทึกกินมันลงไป เขาวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียงแล้วเดินไปนั่งที่โซฟาหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน
“ทำไมไม่ออกไป” ถามเสียงขุ่นกับพฤติกรรมของคังอิน ถึงว่าคังอินจะทำแบบนี้เป็นประจำทุกวันก็ตาม วันๆไม่ไปไหน เอาแต่นั่งนอนอยู่ในห้องนี่ทั้งวัน
“ก็อยู่เฝ้าคุณไง”
“คิดว่าฉันจะมีปัญญาหนีออกไปหรือไง” ประชดออกไปพลางหัวเราะในลำคอด้วยความสมเพชตัวเอง ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งๆนอนๆอยู่ในห้องนี้ ถึงบาดแผลทางร่างกายในวันนี้มันจะหายไปแล้วก็ตาม แต่เขากลับไม่มีแรงจะทำอะไรหนักๆได้
“ไม่ได้กลัวว่าคุณจะหนี แต่กลัวว่าคุณจะเป็นอะไรไปต่างหาก” พับหนังสือพิมพ์เก็บวางไว้บนโซฟาเดินตรงเข้ามาหาอีทึกก่อนจะนั่งลงข้างเตียง
อีทึกเบียนหน้าหนีไม่อยากได้ยินประโยคแบบนี้ที่เอ่ยออกมาจากปากคังอิน ถ้าเขาไม่คิดอะไรลึกมากเกินไป แปลความหมายจากประโยคได้อย่างเดียวว่า เป็นห่วง
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกหลังจากนี้ อีทึกเอนตัวลงนอนเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงไว้ ส่วนคังอินก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน
เสียงออดที่ดังขึ้นหน้าบ้านทำให้เรียวอุกที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่นั่งรับแขกต้องละสายตาหันออกไปมอง วันนี้คนตัวเล็กอยู่กับคังอินเพียงแค่สองคนเท่านั้น ซองมินหายไปตัวไปตั้งแต่เมื่อวานที่ออกไปจัดการกับฮยอนจิน จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังติดต่อไม่ได้ ส่วนฮีชอลนั้นออกไปจากบ้านแต่ตั้งเช้ากับฮโยริ
“มีผู้ชายสองคนมาขอพบค่ะคุณเรียวอุก” แม่บ้านที่จ้างมาทำความสะอาดประจำวันเดินเข้ามาบอก เรียวอุกพยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปข้างนอกเพื่อไปดูว่าผู้ชายสองคนที่ว่านั้นเป็นใคร
“ฮันคยอง ชินดง” พึมพำออกมาเบาๆเมื่อรู้ว่าบุคคลที่มาหาถึงบ้านนั้นเป็นใคร เรียวอุกทำท่าจะเดินกลับเข้าไปในบ้านแต่ฮันคยองเรียกรั้งเอาไว้เสียก่อน
“ผมมาขอพบคุณฮีชอลน่ะครับ ให้ผมเข้าไปได้มั้ย”
“พี่เค้าไม่อยู่หรอกครับ วันนี้ผมอยู่บ้านคนเดียว” เรียวอุกชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปตอบ คิดว่าถ้าฮันคยองกับชินดงรู้ว่าเขาอยู่บ้านเพียงแค่คนเดียวคงจะยอมกลับไป
“ไม่เป็นไรครับ ผมคุยกับคุณก็ได้” ฮันคยองยังคงยืนยันจะเข้าไปในบ้านให้ได้ ทำเอาเรียวอุกเริ่มหนักใจ
“ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ด้วยนะครับ” แล้วชินดงก็เริ่มขู่ เรียวอุกไม่รู้จะทำยังไงจึงเดินไปเปิดประตูให้ฮันคยองกับชินดงเข้ามา
“นั่งรอตรงนี้ก่อนนะครับ” เรียวอุกเดินนำแขกทั้งสองไปยังห้องรับแขกก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อขึ้นไปหาคังอิน
หลังจากที่เรียวอุกเดินออกไปฮันคยองก็กวาดสายตาสำรวจไปทั่วบ้านว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ เมื่อตอนเช้าตรู่ที่เขากลับไปที่ห้อง เขาเค้นจนอึนฮยอกยอมบอกความลับบางอย่างกับเขามา และเหมือนกับว่าต้องการขอร้องให้เขาช่วยเสียด้วย
“แน่ใจเหรอว่าอีทึกกับเยซองถูกจับมาไว้ที่นี่จริงๆ” ชินดงถามขึ้นด้วยความสงสัย เมื่อเช้าจู่ฮันคยองก็โทรมาชวนให้มาที่บ้านของครอบครัวลี เพราะมีคนของโจกรุ๊ปถูกจับไว้ที่นี่สองคน แต่เขากลับคิดว่าถ้าหากเป็นอย่างที่ฮันคยองว่าจริงๆ คนบ้านนี้คงไม่ยอมปล่อยให้ตำรวจอย่างเขาเข้ามาแน่ๆ
“อึนฮยอกบอกฉันมาแบบนั้น ฉันคิดว่าเขาไม่น่าจะโกหก” ดูจากสีหน้าและน้ำเสียงตอนที่พูดแล้วเขาคิดว่าอึนฮยอกต้องพูดเรื่องจริง
ชินดงไม่เถียงอะไรฮันคยองอีก ไม่นานนักแม่บ้านก็เอาน้ำเข้ามาเสิร์ฟ ที่เหลือก็รอเวลาที่เรียวอุกจะลงมาเท่านั้น
เรียวอุกเคาะประตูห้องพักแขกที่คังอินอยู่กับอีทึกสองสามครั้งก่อนจะเปิดประตูเข้าไป คนตัวเล็กดูมีสีหน้าไม่ค่อยดีนักเดินเข้าไปหาคังอิน ก่อนจะกระตุกแขนเสื้อคังอินให้ออกห่างจากอีทึกเพื่อมาคุยกับตน
“ฮันคยองกับชินดงมาครับ เขาบอกมีเรื่องจะคุยกับพี่ฮีชอล” เรียวอุกพาคังอินมาคุยใกล้ๆกับประตูซึ่งห่างจากเตียงที่อีทึกนอนอยู่พอสมควร
“ไล่พวกมันกลับไป” ตอบไปแบบไม่ต้องคิด คังอินดูมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น เรื่องนี้พวกเขาไม่อยากให้ตำรวจเข้ามาวุ่นวายแต่ยิ่งเกลียดกลับยิ่งเจอ คงเป็นเพราะเมื่อวานฮันคยองกับชินดงเห็นฮีชอลอยู่ในที่เกิดเหตุ วันนี้ถึงได้มาหาถึงบ้านแบบนี้
ฝ่ายอีทึกที่นอนอยู่บนเตียงถึงจะทำเป็นไม่สนใจเรื่องที่คังอินคุยกับเรียวอุก แต่จริงๆแล้วกลับได้ยินเต็มสองหูว่าทั้งสองกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ถึงแม้จะได้ยินไม่ชัดมากนัก
เลขาคนสวยแห่งโจกรุ๊ปหันไปมองทั้งสองที่กำลังคุยกันสีหน้าเครียดโดยไม่มีท่าว่าจะสนใจเขาเลยในตอนนี้ อีทึกพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนอย่างเบาที่สุด เมื่อตั้งตัวได้จึงวิ่งไปที่ประตู ผลักเรียวอุกจนเซเข้าไปกระแทกกับคังอิน ก่อนจะใช้จังหวะนี้วิ่งหนีออกมาจากห้อง ถ้าฮันคยองรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ต้องช่วยเขากับเยซองออกไปได้แน่
“อีทึก!” คังอินตะโกนออกมาเสียงดัง ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปรั้งตัวอีทึกที่กำลังจะวิ่งหนีลงบันได
ฮันคยองกับชินดงที่นั่งอยู่ด้านล่างได้ยินเสียงโวยวายจึงเงยหน้าขึ้นมาดู เห็นคังอินกำลังฉุดกระชากลากถูกอีทึกไปกับตนเอง ขาทั้งสองข้างจึงสั่งการให้วิ่งไปที่บันไดเพื่อเข้าไปช่วย หากแต่คังอินกลับชักปืนออกมาขู่
“ก้าวมาอีกก้าวไม่รอดกลับไปแน่คุณตำรวจ” คังอินขู่เสียงต่ำ ผลักตัวอีทึกไปให้กับเรียวอุกที่ยืนอยู่ข้างๆ คนตัวเล็กจึงพาแม่เลขาตัวแสบกลับเข้าไปห้องไปในทันที
“เก็บปืนก่อนผมจะแจ้งข้อหาคุณเถอะครับ คุณคังอิน” ชินดงพูด มันเป็นอย่างที่ฮันคยองบอกจริงๆ อีทึกถูกจับตัวไว้ที่นี่ แล้วเยซองล่ะ
“ถ้าขืนยังมาปากดีบ้านผม คุณคงไม่มีสิทธิ์กลับไปแจ้งข้อหาอะไรให้ผมหรอกครับ” คังอินเดินลงมาจากบันไดช้าๆ ยังคงถือปืนไว้ในระดับเดิม เขาไม่น่าประมาทปล่อยให้อีทึกวิ่งหนีออกมาจากห้องได้ เพราะมัวแต่คุยกับเรียวอุกจนลืมคนอันตรายอีกคนไปเสียสนิท
“ผมว่าเราคุยกันดีๆ ดีกว่านะครับ” ฮันคยองพยายามเกลี่ยกล่อม เขารู้ว่าชินดงเป็นคนใจร้อนกว่าเขา และค่อนข้างเคร่งครัดในหน้าที่มากกว่าเขา คงไม่อยากปล่อยให้คนผิดลอยนวลอยู่อย่างนี้ แต่ในสถานการณ์นี้พวกเขาไม่ควรเสี่ยง ดีไม่ดีไม่ได้งานอาจจะเสียงานอีกต่างหาก
“กลับไป!” คังอินยื่นคำขาด เดินเข้ามาใกล้มากขึ้น กระบอกปืนถูกจ่อยิงเข้ามาในระยะประชิด หากไม่ยอมกลับดีๆคงได้มีการปะทะกันแน่
ด้วยความไม่สบอารมณ์ชินดงเลยทำท่าจะชักปืนออกมาบ้าง แต่ฮันคยองห้ามไว้ก่อน เขาไม่อยากให้เกิดเรื่อง ไม่งั้นเรื่องเล็กๆมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่จนอาจจะแก้ไขไม่ได้
“กลับไป!” บอกคำเดิมเสียงดังอีกครั้ง ฮันคยองเลยยอมทำตามแต่โดยดี
“กลับเถอะชินดง” รั้งแขนเพื่อนให้เดินตามออกไปด้วยแต่ดูเหมือนชินดงจะไม่ยอมกลับง่ายๆ ฮันคยองเลยต้องลากออกไป
หลังจากที่จัดการไล่นายตำรวจทั้งสองคนกลับไปแล้วคังอินก็ขึ้นไปดูอีทึกบนห้อง บัดนี้คนฤทธิ์มากถูกเรียวอุกใช้โซ่กับกุญแจล็อกมือข้างหนึ่งไว้กับหัวเตียง จะได้หนีออกไปไหนไม่ได้อีก
“ขอบใจมากเรียวอุก” จบคำขอบคุณจากคังอินเรียวอุกก็ยิ้มบางๆก่อนจะเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้คนที่ดูแลเค้าเคลียร์กันเอง
“ต่อไปนี้คงต้องคุมเข้มกว่าเดิมซะแล้วล่ะมั้ง” พูดเสร็จก็เดินไปนอนอ่านหนังสือที่โซฟาไม่ได้มีท่าทางโมโกหรือโกรธอย่างที่อีทึกคิดเอาไว้
คังอินเหลือบมามองอีทึกที่ยังคงนั่งอยู่ท่าเดิมตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในห้องแล้วก็หันกลับไปสนใจหนังสือพิมพ์เช่นเดิม ถูกเรียวอุกล่ามโซ่ไว้แบบนั้นคงหนีไปไหนไม่ได้แล้วล่ะคราวนี้
ดอกไม้สีขาวดอกเล็กถูกวางลงด้านหน้าป้ายหินคู่กับดอกที่คยูฮยอนเอามาวางไว้ก่อนหน้านี้ ซองมินจ้องมองสิ่งที่อยู่ด้านหน้าด้วยสายตาที่มีแต่ความเศร้า รอยยิ้มที่มีแต่ความคิดถึงผุดออกมาบางๆ ขอบตาเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ รู้แต่เพียงว่าตอนนี้เขาอยากร้องไห้มากที่สุด ร้องไห้กับความทุกที่เกิดขึ้นไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียที
“เราออกไปเดินเล่นกันมั้ยครับ” ก่อนที่น้ำตาจะได้ไหลลงมาคยูฮยอนก็มอบอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นให้แก่ซองมินพร้อมกับคำชวน เขาไม่อยากเห็นซองมินทำหน้าเศร้า ถ้าได้ออกไปผ่อนคลายบ้างมันคงจะดีขึ้น
ซองมินไม่ได้ตอบอะไรกลับมาแต่ซุกหน้าลงกับแผ่นอกของคยูฮยอนเหมือนต้องการที่พักพิง อยากจะขอบคุณที่พาเขากลับมาหาพ่ออีกครั้ง อยากจะขอบคุณที่มอบความอบอุ่นและคอยดูแลเขา แต่เขาคงไม่สามารถตอบรับสิ่งที่คยูฮยอนให้มาได้
“ที่หมู่บ้านที่ตลาด เราไปเดินกันนะครับ” คยูฮยอนลูบหลังซองมินเบาๆพร้อมกับเอ่ยชวนอีกครั้ง
“อืม” พยักหน้ารับเบาๆก่อนจะผละออกมา
คยูฮยอนเอื้อมมือมากุมมือซองมินไว้ก่อนจะเดินนำหน้าออกไปด้วงท่าทางที่ดุค่อนข้างร่างเริงต่างกับอีกคน ซองมินเงยหน้ามองคยูฮยอนจากด้านหลังก่อนจะผุดยิ้มขึ้นมาบางๆ ทำไมกันนะ ทั้งที่รู้ว่าเขาเลว ชั่วร้ายขนาดไหน แต่ก็ยังทำดีด้วย ทำไมนายถึงยังทำดีกับคนที่คิดจะฆ่าพ่อนายกัน
เดินมาตามทางไม่ไกลนักก็ถึงส่วนของหมู่บ้าน และเดินต่อไปอีกก็จะเจอกับตลาดภายในหมู่บ้านที่ชาวบ้านเอาของออกมาขายกันในยามเย็นๆแบบนี้ คยูฮยอนพาซองมินเดินไปในล็อกของของกินเพื่อหาอะไรทาน เพราะตั้งแต่เมื่อคืนวานเขาทั้งสองยังไม่ได้ทานอะไรกันเลย
“พี่อยากกินอะไรครับ” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสดใสเมื่อเห็นร้านของกินที่เรียงรายอยู่ตรงหน้า มันทำให้ท้องร้องขึ้นมาแทบจะในทันที แล้วเขาคิดว่าซองมินก็คงจะเป็นเหมือนกัน บอกได้คำเดียวว่าตอนนี้หิวสุดๆ
“อะไรก็ได้...ขออิ่มๆ” พูดประโยคแรกแล้วเว้นวรรคไว้ก่อนจะพูดประโยคที่สองตามออกมา รู้สึกเหมือนกับว่าตอนนี้ซองมินจะกลายเป็นคนวางฟอร์มกับคยูฮยอนไปเสียแล้ว
“งั้นเป็นรามยอนแล้วกันนะครับ” แล้วคยูฮยอนก็จูงมือซองมินไปยังร้านรามยอนที่มีคนไม่เยอะมากัก เพราะหากไปต่อร้านที่มีคนเข้าคิวกันเยอะพวกเขาคงเป็นลมกันก่อนได้กินมันแน่
เมื่อเข้ามาในร้านคยูฮยอนก็เป็นจัดการสั่งทุกอย่างจนซองมินแทบไม่ต้องพูดอะไรรอกินอย่างเดียวเท่านั้นพอ ไม่นานนักของที่สั่งไปก็มาเสิร์ฟ ต่างคนก็ต่างจัดการในส่วนของตัวเองโดยความหิวโดยไม่มีใครพูดคุยอะไรเลยแม้แต่คำเดียว นอกจากเสียงดูดเส้นเท่านั้น
“อิ่มจัง” กินเสร็จก็ทำท่าลูบท้องตัวเองป้อยๆ ทำเอาซองมินอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้
“เราไปดูของตรงอื่นต่อกันนะครับ” คยูฮยอนเรียกคนมาเก็บเงินก่อนจะพาซองมินออกเดินดูของต่อ จะว่าไปที่นี่ก็ทำให้เขารู้สึกดีไม่น้อยเลย หากได้ย้ายมาอยู่ที่นี่ก็คงดี สงบสุข อยู่อย่างพอมีพอใช้ ไม่ต้องไปเดือดร้อนใคร
เดินดูของไปเรื่อยเปื่อยทั้งสองคนก็มาหยุดที่ร้านขายนาฬิกา คยูฮยอนหันไปมองที่ข้อมือซองมินซึ่งยังคงสวมนาฬิกาข้อมือที่เขาซื้อให้อยู่ ก่อนจะหยิบนาฬิกาอีกเรือนหนึ่งขึ้นมา
“พี่ว่านาฬิกาเรือนนี้สวยมั้ย” หันไปถามซองมินพลางหมุนมันไปมา นาฬิกาเรือนนี้มันคล้ายกันนาฬิกาที่ซองมินใส่อยู่มาก ต่างกันแค่สีกับราคาเท่านั้น เพราะในหมู่บ้านเล็กๆแบบนี้คงไม่มีใครเอาของแพงๆมาขาย
“อืม” พยักหน้าเห็นด้วยเบาๆ ซองมินเองก็คิดว่ามันคล้ายกันเรือนที่คยูฮยอนซื้อให้ จนเขาคิดว่านาฬิกาเรือนนี้สวยกว่าเรือนที่เขาใส่อยู่เสียอีก ของเขานั้นเป็นสีเงิน แต่ที่คยูฮยอนถืออยู่นั้นเป็นสีดำตัดทำให้เห็นคริสตัลที่ติดอยู่รอบหน้าปัดได้ชัดเจนขึ้น
“เอาไว้ถ้ามีโอกาสผมจะกลับมาซื้อมัน....กับพี่” เว้นจังหวะไว้ก่อนจะเอ่ยถึงบุคคลที่คยูฮยอนหวังจะกลับมาที่นี่ด้วยกันอีกครั้ง ในเวลานี้เขาเดาไม่ถูกเลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซองมินจะเป็นไปในทางไหน เรื่องทุกอย่างมันจะจบความสัมพันธ์มันจะดีขึ้น หรือทุกอย่างจะต้องจบสิ้น มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ต้องจากไป ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ต้องการแบบนั้น
“เราได้กลับมาที่นี่แน่ แต่จะในสถานะไหนเท่านั้น” ก้มหน้าพูดออกมาเบาๆ ฐานะที่บอกมาเขาไม่ได้หมายถึงสถานะความสัมพันธ์ที่อาจจะแตกหักหรือดีเหมือนเดิม แต่หมายถึงสถานะเป็นหรือตาย เพราะหากเขาตายเขาก็อยากมาอยู่กับพ่อที่นี่
“เวลามันเป็นเรื่องของอนาคต แต่ในเวลาปัจจุบันนี้ผมกำลังมีความสุข เราหยุดพูดเรื่องที่จะทำให้ความสุขของเราหายไปเถอะครับ” ทั้งที่เป็นเริ่มเรื่องนี้เอง คยูฮยอนจึงต้องเป็นคนจบเรื่องนี้เอง จะกลับมาในสถานะไหนก็ช่าง แต่ตอนนี้เขาต้องทำให้ช่วงเวลานี้มีค่ามากที่สุด
ซองมินไม่ได้ตอบอะไรกลับมา คยูฮยอนจึงยิ้มให้บางๆก่อนจะพาเดินดูของไปเรื่อย ร้านนู้นทีร้านนี้ที
“รอตรงนี้แปบนึงนะครับพี่” เดินมาได้ซักพักคยูฮยอนก็หยุกเดินซะดื้อแล้วก็วิ่งหายไป ซองมินได้แต่ยืนงงอยู่ตรงนั้น แต่ก็ยืนรอตามที่คยูฮยอนบอก
ไม่นานนักคนที่หายไปก็กลับมากับน้ำผลไม้สองแก้ว คยูฮยอนยืนแก้วหนึ่งให้ซองมินถือ และใช้มืออีกข้างที่ว่างมากุมมือเล็กไว้เหมือนเดิม
ความสุขและความอบอุ่นทำให้ทั้งสองลืมไปเลยว่าเคยมีความทุกอะไรเกิดขึ้นมาบ้าง ลืมไปเลยว่าใครที่ตนกำลังมีความสุขด้วยนั้นหมายปองที่จะทำร้ายครอบครัวของตน และคยูฮยอนก็คงไม่ทันคิดว่าการที่ตัวเองหายออกมาแบบนี้ทางบ้านจะรู้สึกเป็นห่วงมากแค่ไหน
“คยูฮยอน” อยู่ซองมินก็ชะงักไปแล้วหยุดเดินซะดื้อๆ ดวงตากลมโตจ้องมองไปยังชายชุดดำด้านหน้าสี่ห้าคนที่เดินกระจายอยู่ด้านหน้า เขาจำได้แม่นเลยว่าพวกนี้คือคนของโจกรุ๊ป
คยูฮยอนเองก็ดูจะตกใจไม่แพ้กันเมื่อเห็นลูกน้องของตนเดินเกลี่ยนกลาดอยู่เต็มตลาด ขาทั้งสองข้างสั่งการให้วิ่งก่อนที่พวกนั้นจะหันมาเห็น แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว
“เฮ้ย! คยูฮยอน!” หนึ่งในลูกน้องคนหนึ่งหันมาเห็นก่อนจะวิ่งตามซองมินกับคยูฮยอนมา และวิ่งลูกน้องอีกกว่าสี่คนที่วิ่งตามหลังมาอีก
ซองมินปาแก้วน้ำที่คยูฮยอนซื้อมาให้ใส่พวกมันก่อนจะแย่งแก้วจากคยูฮยอนมาปาใส่อีก ขาทั้งสองข้างออกแรงวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต คยูฮยอนจับมือให้ซองมินวิ่งตามมา เมื่อหนีพ้นออกมาจากเขตหมู่บ้านซองมินกลับหยุดวิ่งแล้วชักปืนออกมา
“อย่าครับพี่!” คยูฮยอนตกใจเข้าไปแย่งปืนซองมิน ถ้าเกิดมีการยิงกันต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ แถมลูกน้องกลุ่มนี้เกลียดซองมินยิ่งกว่าอะไรดีเพราะเพื่อนของมันโดนลอบฆ่าไปหลายคน หากซองมินยิงพวกมันไปมันคงไม่ปล่อยซองมินให้รอดไปแน่
“อย่าเอาแต่หนีสิคยูฮยอน” เถียงกลับอย่างไม่ยอมจะแย่งปืนกลับมาให้ได้
“แต่ตอนนี้เราต้องหนี!” ยื่นคำขาดก่อนจะกระชากข้อมือซองมินให้วิ่งตามมาอีกครั้ง เพราะคนของโจกรุ๊ปตามเข้ามาใกล้มากขึ้นแล้ว
คยูฮยอนพาซองมินวิ่งเข้าป่าข้างทางเพื่อลัดไปที่โบสถ์ซึ่งทำให้ตามได้ค่อนข้างยาก เพราะทางที่ค่อนข้างลำบาก มันมีทางสำหรับคนเดินต้องเหวกหาทางผ่านไปเองเท่านั้น
กว่าจะผ่านทางเส้นนี้มาได้ก็ทำเอาลำบากพอสมควร คนของโจกรุ๊ปวิ่งกันให้วุ่นทั่วพื้นที่เมื่อวิ่งตามออกมาแล้วไม่เห็นเจ้านายของตนอยู่กับศัตรูอย่างที่ควรเป็น จึงออกกระจากกันตามหา ส่วนคนที่เป็นหัวหน้าก็โทรรายการโจฮยอนจินเรื่องที่เห็นคยูฮยอนพาซองมินหนี
รอยขีดข่วนขึ้นเป็นรอยแดงตามขนและขาเมื่อซองมินกับคยูฮยอนหนีหลุดออกมาจากป่า เนื่องจากโดนกิ่งไม้ใบหญ้าข่วนเอา แต่ทั้งสองกลับไม่ได้สนใจรอยแผลหรือความเจ็บปวดเล็กๆน้อยๆนี้เลย
“เราต้องรีบหนีไปจากที่นี่” คยูฮยอนว่าเสียงเครียดพลางเดินไปที่รถ เขาต้องพาซองมินหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดก่อนที่คนของโจกรุ๊ปจะตามมาเจออีก
“อย่าหนีอีกเลยคยูฮยอน ยังไงเราก็หนีไม่พ้นหรอก” ยืนมองคยูฮยอนที่ทำท่าทีร้อนรนแล้วพูดออกมาเบาๆ ถึงจะให้หนีไปไกลแค่ไหนถ้าฮยอนจินรู้ว่าคยูฮยอนอยู่กับคงไม่มีทางปล่อยไปแน่ สู้กลับไปสู้กันตรงๆจะดีกว่า
“แต่พี่ครับ...ทำไม” หันกลับมาถามเสียงอ่อนด้วยความไม่เข้าใจ
“ไม่อยากหนีอีกแล้ว พาพี่กลับบ้านได้มั้ย และโทรไปบอกพ่อนายด้วยว่าให้คนเลิกตามหานายซะ นายจะกลับไปเอง” สรุปเสร็จสรรก็เดินเข้าไปนั่งรอในรถ คยูฮยอนได้แต่มองตามด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องยอมซองมินอยู่ดี มันคงไม่มีประโยชน์อะไรจริงๆที่จะหนีต่อไป
คยูฮยอนยืนนิ่งอยู่ซักพักก่อนจะตัดสินใจทำตามที่ซองมินบอก ต่อโทรศัพท์หาที่บ้านและบอกว่าจะกลับไปภายในคืนนี้ให้คนหยุดออกตามหา และเป็นที่แน่นอนแล้วว่าหากคยูฮยอนกลับไปบ้านคงต้องโดนคุ้มกันมากกว่าเดิม
การเดินทางกลับสู่ความเป็นจริงมันเร็วเกินกว่าที่คยูฮยอนคิดเอาไว้ เส้นทางข้างหน้ากำลังนำเขากลับไปสู่ความทุกข์อีกครั้ง คนที่นั่งอยู่ข้างๆเขาตอนนี้จะกลายเป็นศัตรูอีกเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้นเมื่อรถคันหรูเคลื่อนเข้าสู่เขตเมืองหลวง
และแล้วการเวลาของการเดินทางก็สิ้นสุดลง คยูฮยอนจอดรถเทียบกับฟุตบาทที่หน้าบ้านของซองมิน ตลอดทางกว่าสองชั่วโมงที่เดินทางกลับมาไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
ตอนนี้เวลาห้าทุ่มกว่าๆ ทุกคนคงเข้านอนกันหมดแล้ว ซองมินหันออกไปมองนอกหน้าต่าง มองเข้าไปภายในรั้วบ้านห้องตนเอง ไม่มีไฟดวงไหนในบ้านเปิดอยู่เลยซักดวง เขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนในบ้านจะรอการกลับมาของเขามากแค่ไหน
“อย่าลงไปได้มั้ยครับ” เอ่ยถามเสียงสั้นเพียงแค่ซองมินเอื้อมมือจะไปเปิดประตูเท่านั้น เขาไม่อยากกลับสู่ความเป็นจริง ไม่อยากให้ซองมินกลับไปเป็นฆาตกรที่จ้องจะทำร้ายพ่อและครอบครัวของเขาอีก ไม่อยากให้เราต้องกลับไปเป็นศัตรูกันอีก
แต่คำขอคยูฮยอนกลับไม่เป็นผลเมื่อซองมินเปิดประตูก้าวลงจากรถไป จบลงแล้วกับช่วงเวลาที่มีความสุข ต่อจากนี้ไปคงถึงเวลาที่จะต้องเผชิญหน้ากันอย่างจริงจังเสียที
-----------------------------------
ความคิดเห็น