ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SJ] Furious for Love...แค้นนี้ เพื่อรัก [KyuMin]

    ลำดับตอนที่ #7 : Chapter6 : ผู้มาเยือน

    • อัปเดตล่าสุด 9 ธ.ค. 52



    Chapter6
    : ผู้มาเยือน
     
     
     
     
                    “รอนานไหมแฮงอุน ขอโทษนะที่มาช้า เอ่ยขึ้นทันทีที่เดินมาถึงโต๊ะที่คนตัวเล็กนั่งอยู่ เยซองหอบเล็กน้อยเพราะรีบจัดเนื่องจากเมื่อคืนเขาทำงานจนดึก ตอนเช้าเลยตื่นสาย
     
                    ไม่เป็นไรครับ พี่เยซองนั่งลงก่อนสิ นี่ครับน้ำ ผมสั่งไว้ให้แล้ว ยิ้มรับอย่างไม่ถือโทษโกรธอะไรพร้อมกับดันแก้วทรงสวยไปด้านหน้าของเยซอง
     
                    “Ice Mocha” หย่อนตัวนั่งลงตรงกันข้าม อุทานออกมาเบาๆเมื่อเห็นเครื่องดื่มที่วางตรงหน้า เยซองยิ้มบางๆ ก่อนจะยกแก้วกาแฟสดขึ้นมาดื่มอย่างช้าๆ แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าคนตัวเล็กด้านหน้านี้รู้ว่าเขาชอบเครื่องดื่มชนิดนี้หรือว่าแค่เดาแล้วสั่งมาเท่านั้น
     
                    ชอบมั้ยครับ ผมสั่งให้พี่เลยนะ เรียวอุกยิ้มกว้างเมื่อเห็นท่าทางของเยซอง จริงๆแล้วเรื่องแค่นี้มันเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับเขาที่ควรจะรู้ ไม่ว่าเป็นประวัติส่วนตัวหรือความชอบเขารู้หมด เว้นก็แต่ข้อมูลทางด้านความรู้สึกนึกคิดเท่านั้นที่เขายังไม่รู้
     
                    รู้เหรอว่าพี่ชอบ เยซองเลิกคิ้วถามเหมือนกับว่าจะรู้ทัน  เรียวอุกไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่ยิ้มบางๆเท่านั้น
     
                    ผมว่าเรามาสั่งอาหารกันดีกว่าครับ เรียวอุกเปลี่ยนประเด็นบทสนทนาโดยการหยิบเมนูขึ้นมาดู สายตาไล่ไปตามรายชื่ออาหารนับสิบรายการ ก่อนจะยิ้มบางๆเมื่อเจอชื่ออาหารที่ถูกใจ
     
                    เรียวอุกลดเมนูที่ถืออยู่ลงเพื่อให้มองเห็นเยซองที่กำลังดูเมนูอาหารอยู่ คนตัวเล็กกวักมือเรียกพนักงานของทางร้านก่อนจะสั่งอาหาร ทำให้เยซองที่กำลังดูเมนูอยู่เงยหน้าขึ้นมาทันที
     
                    พี่เยซองสั่งอะไรดีครับ เมื่อสั่งอาหารของตัวเองเสร็จเรียวอุกจึงหันไปยิ้มให้เยซอง
     
                    เอาเท่าที่แฮงอุนสั่งก็พอครับ เยซองยื่นเมนูคืนให้กับพนักงาน ยิ้มตอบกลับไปให้คนตัวเล็กที่นั่งอยู่ด้านหน้า ที่เขาตอบออกไปแบบนี้เพราะรายการอาหารที่แฮงอุนสั่งไปนั้นมันมากพอแล้ว ที่สำคัญมีแต่เมนูที่เขาชอบทั้งนั้น
     
                    ครับ เรียวอุกยิ้มรับแล้วยื่นเมนูให้กับพนักงาน
     
                    ไม่นานรายการอาหารมากมายก็ทยอยออกมาเสิร์ฟ เรียวอุกเอาแต่ตักนู้นตักนี่ให้เยซองจนแทบจะล้นจานออกมา
     
                    พอแล้วครับแฮงอุน มันเยอะแล้ว เยซองร้องห้ามเมื่อคนตัวเล็กทำท่าจะตักอาหารใส่จานเขาอีก
     
                    อ่า ขอโทษครับ เรียวอุกมีสีหน้าสลดลงเล็กน้อยขณะพูด ทำแก้มป่องจนเยซองต้องอมยิ้มตามไปด้วย
     
                    ตักให้พี่อยู่แบบนี้แล้วแฮงอุนจะได้กินเหรอ อ่ะ พูดจบก็ตักอาหารใส่จานของคนตัวเล็กบ้าง จะได้หายกันและจะได้ลงมือรับประทานอาหารมื้อนี้ซักที
     
                    เรียวอุกอมยิ้มตอบกลับและเริ่มลงมือกินอาหารที่เยซองตักให้ กินไปซักพักก็ตักอาหารใส่จานเยซองอีก พูดเสียงเจื้อยแจ้วว่าอันนู้นอันนี้อร่อย ซึ่งมันดูน่ารักมากในสายตาของเยซอง
     
                    พี่เยซองทำงานอะไรเหรอครับ ผ่านไปได้ไม่นานเรียกอุกก็เริ่มชวนเยซองคุย ถึงเขาจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเยซองนั้นเป็นใครมาจากไหน แต่สำหรับคนที่เพิ่งจะเริ่มทำความรู้จักกันก็ควรถามเรื่องพื้นๆเสียก่อน
     
                    เอ่อ.... ได้ฟังคำถามเยซองกลับอึกอักที่จะตอบ เงยหน้าขึ้นสบมองดวงตาใสที่จ้องมองเขาอย่างอยากรู้คำตอบแล้วก็ไม่รู้ว่าจะตอบไปว่าอะไร จะบอกว่าเขาเป็นคนคุมบ่อนการพนันอย่างนั้นเหรอ มันคงจะดูเหมือนเขากลายเป็นคนไม่ดีในสายตาของคนตัวเล็กนี่ล่ะมั้ง
     
                    ว่าไงครับ พี่ไม่อยากตอบผมเหรอ ถามย้ำอีกครั้งด้วยเสียงที่เบาลง รอยยิ้มที่เคลือบอยู่บนริมฝีปากหายไปกลายเป็นใบหน้าเรียบเฉยแทน  
     
                    เปล่าครับ แต่มันไม่ใช่งานดีเลิศอะไร แฮงอุนไม่ต้องรู้หรอกครับ เยซองบอกปัดไปพร้อมกับก้มหน้าทานอาหารต่อ
     
                    ไม่ดีเหรอครับ แต่วันที่พี่มาช่วยผมพี่ขับรถหรูมากเลยนะ
     
                    รถเจ้านายน่ะ ไม่ใช่รถพี่หรอก การช่างสังเกตของคนตัวเล็กทำเอาเยซองเริ่มหนักใจ จนเขาต้องโกหกออกไป
     
                    เหรอครับ เรียวอุกยอมรับคำแต่โดยดี เขารู้ดีว่ารถคันนั้นน่ะมันเป็นของเยซอง
     
                    เยซองพยักหน้ารับแล้วก้มหน้าทานอาหารต่อ ถึงคนตัวเล็กนี่จะเป็นคนที่ดูร่าเริง ใครๆคงอยากจะเข้าใกล้ทั้งนั้น แต่ก็คงเป็นคนที่สังเกตมากทีเดียว และอาจจะเดาใจคนเก่งด้วยก็เป็นได้ เพราะเรื่องเครื่องดื่มกับอาหารที่คนตัวเล็กสั่งมาเขาเองก็ยังแปลกใจอยู่
     
                    ถ้าว่างๆผมจะชวนพี่ออกมาทานข้าวด้วยกันอีกได้ไหมครับ เรียวอุกเปลี่ยนข้อหัวสนทนาเมื่อเห็นว่าถามยังไงเยซองก็คงไม่ตอบเขาอยู่ดี
     
                    เอ่อ....ก็ได้ครับ เยซองใช้ความคิดซักพักจึงตอบตกลง แต่มากินข้าวด้วยกันนานๆครั้งคงจะไม่เป็นอะไร ที่สำคัญคนตัวเล็กนี่ก็เป็นแค่เด็กธรรมดาคงจะไม่มีผลกับงานที่เขาทำอยู่แล้ว
     
                    งั้นถ้าวันหลังระ...เอ่อ แฮงอุนว่างจะโทรไปหาแล้วกันนะครับ ด้วยความที่ดีใจเกินเหตุเรียวอุกเกือบจะเผลอหลุดชื่อจริงของตัวเองออกไป แต่ก็ยังคงตีสีหน้าสดใสเหมือนเดิม
     
                    ครับ
     
                    เมื่อตกลงกันได้จึงเริ่มรับประทานอาหารกันต่อ พูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยเพราะเรียวอุกมักจะหาเรื่องอะไรมาถามเยซองเสมอ ส่วนคนโดนถามก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้างตามความเหมาะสม
     
                    เวลาสิบเอ็ดโมงเกือบเที่ยงเยซองกับเรียวอุกจึงออกมาจากร้านเยซองอาสาจะไปส่งเรียวอุกก่อนแต่คนตัวเล็กปฏิเสธโดยให้เยซองไปส่งที่ป้ายรถประจำทางแทน เมื่อเรียวอุกขึ้นรถไปแล้วเยซองจึงขับรถกลับไปที่บ่อน
     
     
     
     
     
     
     
                    ซองมิน
     
                    ครับแม่ บุคคลที่ยืนอยู่ด้านหน้าทำให้ซองมินต้องละสายตาจากหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าวันนี้เพื่อหันไปสนทนาด้วย นานๆทีแม่ของเขาจะออกมาพบเขาแบบนี้คงต้องมีเรื่องสำคัญอะไรแน่ๆ
     
                    บ่ายวันนี้เราจะไปเยื่ยมคุณฮยอนจิน ไปบอกฮีชอลและเตรียมตัวได้แล้ว ลีฮโยริ มารดาของซองมินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เธอจำได้ดีว่าวันนี้เป็นวันอะไร และมันนานมากแล้วที่เธอไม่ได้ไปอวยพรเพื่อนเก่าคนนี้เลย
     
                    ชื่อที่ซองมินได้ยินทำให้เขาเงียบไปพักหนึ่ง โจฮยอนจิน คนที่แม่แสนจะเกลียดและเครียดแค้นขนาดนั้น แล้วจะไปเยี่ยมมันเพื่ออะไรกัน ที่สำคัญแม่กลับเรียกมันว่า คุณฮยอนจิน
     
                    เนื่องในโอกาสอะไรเหรอครับ
     
                    วันนี้เป็นวันเกิดของเขา ที่สำคัญตอนนี้คุณฮยอนจินกำลังล้มป่วย ที่สำคัญลูกจะได้ไปทำความรู้จักกับเพื่อนเก่าหน่อยไง ไม่ได้เจอกันตั้งนานไม่ใช่เหรอไง
     
                    แม่เลิกเรียกมันว่าคุณฮยอนจินเถอะครับถ้ามันฝืนใจ แล้วมันจำเป็นมากหรือไงครับที่เราต้องไป ซองมินแย้งขึ้นด้วยความที่ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่นัก
     
                    อย่าขัดใจแม่เลยซองมิน ไปเตรียมตัวและบอกฮีชอลซะ ส่วนคำพูดคำจาขอให้สุภาพกว่านี้ ให้เวลาครึ่งชั่วโมง แม่จะนั่งรอตรงนี้ สั่งความเสร็จฮโยริก็หย่อนตัวนั่งลงที่โซฟาตัวยาวตรงข้ามกับซองมิน
     
                    ในเมื่อขัดคำสั่งของแม่ไม่ได้ซองมินจึงต้องเดินขึ้นไปชั้นบน บอกเรื่องที่เขาคิดว่ามันเป็นข่าวร้ายกับฮีชอล และเข้าห้องเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเยือนบ้านศัตรู
     
                   
     
                    รถของครอบครัวลีเลี้ยวเข้ามาภายในบ้านอันใหญ่โตมโหฬารของตระกูลโจในเวลาบ่าย ซองมินเบ้ปากทันทีที่ได้เหลื่อมล้ำเข้ามาในบ้านที่อาจจะเรียกได้ว่าคฤหาสน์หรือราชวังดีๆนี่เอง ฮีชอลได้แต่ท้าวคางมองพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างขึ้น ถ้าลีซองวอนไม่เสียชีวิตไปเสียก่อนครอบครัวของพวกเขาคงจะมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้
     
                    เมื่อรถเคลื่อนมาจอดที่หน้าประตูมีสาวใช้หลายคนของตระกูลโจออกมาต้อนรับ พร้อมกับคุณหญิงประจำบ้านและลูกชายอีกสองคน
     
                    ลีฮโยริก้าวลงจากรถมาเป็นคนแรก ใบหน้าสวยที่ดูไม่เปลี่ยนไปเลยเมื่อห้าปีก่อนแย้มยิ้มรับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันเสียนานพร้อมกับตรงเข้าไปกอดด้วยความรู้สึกที่เสแสร้งเต็มที ต่างกับชเวเยจินที่รู้สึกดีใจจนแทบอยากจะร้องไห้ออกมาที่ได้เจอกับเพื่อนรักที่หายหน้าหายตาไม่ติดต่อกลับมาเลย
     
                    ฮีชอลกับซองมินก้าวลงมาจากรถและเดินไปยืนข้างฮโยริ ซีวอนที่ยืนอยู่ด้านหลังแม่ตัวเองเบิกตากว้างเมื่อเห็นฮีชอล สายตาคมจับจ้องอยู่ที่หนุ่มหน้าสวยหวานที่เขาเพิ่งปล้นสวาทไปเมื่อไม่นานมานี้ ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือตาฟาดกันแน่ แต่เมื่อฮีชอลหันมายิ้มให้ คราวนี้ซีวอนจึงแน่ใจเลยว่าคนๆนี้คือคิมฮีชอลอย่างแน่นอน
     
                    ทักทายคุณน้าเยจินสิลูก เมื่อผละออกมาจากกันแล้วฮโยริจึงหันมาบอกฮีชอลกับซองมิน
     
                    สองหนุ่มโค้งทักทายผู้ที่ถือเคยนับถือกันเป็นน้าหลานแล้วยิ้มบางๆออกมา  จากนั้นเยจินจึงเชิญแขกคนสำคัญเข้าบ้าน
     
                    อาการของฮยอนจินเป็นยังไงบ้าง ฮโยริเอ่ยถามไปตามเรื่องตามราว เพราะที่เธอมาวันนี้ก็เพื่อมาเยี่ยมอาการป่วยของฮยอนจินและถือเป็นการมาอวยพรวันเกิดไปด้วยในตัว
     
                    อยู่ที่ห้องนอนน่ะ เริ่มแก่แล้วร่างกายเลยไม่ค่อยแข็งแรง ช่วงนี้หมอให้พักผ่อนมากๆ คยูฮยอนเลยต้องดูแลบริษัทแทนไปก่อนเยจินตอบกลั้วหัวเราะในช่วงแรก ก่อนจะหันมามองคยูฮยอนที่เดินตามหลังมา
     
                    ทั้งสองครอบครัวนั่งรวมตัวกันอยู่ที่ห้องรับแขก สองเพื่อนเคยรักพูดคุยถามสารทุกข์สุขดิบกันไปตามภาษา ส่วนลูกหลานก็ได้แต่นั่งมองหน้ากันไปมาเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มคุยกันยังไง จนฝ่ายผู้ใหญ่ต้องเป็นคนเริ่มบทสนทนาให้เสียเอง
     
                    “จำซองมินได้มั้ยลูก ตอนเด็กๆพ่อเคยพาลูกไปเล่นด้วยบ่อยๆ เยจินหันไปถามลูกชายทั้งสองของตน ก่อนจะหันกลับไปยิ้มให้ซองมินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
     
                    ครับ คยูฮยอนพยักหน้าตอบรับเบาๆ ส่วนซีวอนนั้นดูจะสนใจอีกคนที่มาด้วยเสียมากกว่า
     
                    ส่วนนี่ฮีชอลจ๊ะ เป็นหลานชายของป้า ฮโยริแนะนำตัวให้ฮีชอล เพราะเห็นท่าทางลูกชายคนโตของเยจินจะสนใจหลานชายเขาอยู่
     
                    ครับ ผมทราบแล้ว ซีวอนตอบกลับมายิ้มๆ
     
                    ว่าแต่ซองมินจำน้องได้หรือเปล่า เห็นนั่งเงียบเชียว เยจินที่เห็นซองมินเงียบผิดปกติเลยถามขึ้น
     
                    คนถูกทักเงยหน้าขึ้นมายิ้มตอบพร้อมกับส่ายหน้าเชิงว่าไม่มีอะไร เวลานี้เขาคงไม่มีอารมณ์จะมาพูดคุยดีๆด้วยได้หรอก อยากจะฆ่าล้างตระกูลเลยมากกว่า
     
                    จำได้สิครับ ซองมินตอบออกมาสั้นๆ รอยยิ้มที่มีให้เยจินนั้นหายไปทันทีที่หันไปสบตากับคยูฮยอน
     
                    เมื่อเห็นปฏิกิริยาของลูกชายที่แสดงออกมากจนเกินไปฮโยริจึงเตือนสติโดยการลูบหลังซองมิน ลูกชายคนเดียวของครอบครัวลีหันมามองผู้เป็นแม่ที่กำลังสื่อความหมายบางอย่างผ่านทางสายตา แล้วจึงหันกลับไปยิ้มแย้มให้กับครอบครัวโจ
     
                    พวกเราจะขอขึ้นไปเยี่ยมฮยอนจินได้มั้ยเยจิน ฮโยริถามขึ้น
     
                    ได้สิ ป่านนี้คงจะตื่นแล้วล่ะ เพื่อนเก่ามาเยี่ยมทั้งทีฮยอนจินต้องดีใจมากแน่ๆ เยจินตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นเดินนำไปที่บันได
     
                    ฮโยริกับซองมินเดินพร้อมกันโดยมีคยูฮยอนเดินตามหลัง ส่วนซีวอนนั้นรีบตรงเข้าไปหาฮีชอลทันทีเมื่อฮีชอลลุกขึ้นยืน
     
                    ฮีชอล ทำไมวันนั้น....
     
                    ตอนนี้ไม่ใช่เวลาของเรา ฉันขอตัวก่อนนะ ฮีชอลแทรกขึ้นก่อนที่ซีวอนจะได้ถามจบและเดินตามน้าและน้องชายไปทันที
     
                    ซีวอนเดินตามฮีชอลไปช้าๆและเริ่มจะรู้สึกสับสนกับความคิดของหนุ่มหน้าสวยคนนี้ หลังจากที่ฮีชอลทิ้งเขาไว้ที่โรงแรมเขาก็โทรไปตามเบอร์โทรศัพท์ที่ทิ้งไว้ให้ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับจนมาถึงวันนี้ และไม่นึกว่าฮีชอลจะเป็นคนที่ใกล้ตัวเขาแค่นี้เอง
     
                    เยจินพาครอบครัวลีมาที่ห้องของฮยอนจิน เมื่อคนป่วยรู้ว่ามีคนเข้ามาจึงยันตัวลุกขึ้นนั่งโดยมีคนรับใช้คอยช่วยพยุง คยูฮยอนนั้นเดินนำหน้าเข้าหาพ่อตัวเองและช่วยพยุงอีกแรง
     
                    ฮโยริ ฮยอนจินเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่แหบพร่าเมื่อรู้คนที่มาเยี่ยมเป็นใคร ความรู้สึกผิดที่ยังคงมีเหลืออยู่วิ่งพล่านไปทั่วตัว ห้าปีที่ผ่านมาที่เขาไม่ยอมติดต่อกับครอบครัวลีก็เพราะเหตุผลนี้
     
                    เป็นยังไงบ้างฮยอนจิน ฮโยริยิ้มรับก่อนจะเดินไปที่ข้างเตียง ของฝากมากมายที่เธอนำมาฝากถูกคนรับใช้ยกขึ้นมาไว้เรียบร้อยแล้ว
     
                    ดีขึ้นมากแล้วล่ะ เสียงที่ตอบกลับมานั้นยังคงเจือด้วยความรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย ฮยอนยิ้มให้ภรรยาของเพื่อนรักบางๆ
     
                    วันนี้วันเกิดนาย ฉันขออวยพรให้นายหายจากอาการเจ็บโดยเร็วนะ และมีสุขภาพแข็งแรงเหมือนเดิม ใบหน้าถูกปั้นให้ยิ้มแย้มอย่างจำใจ คำอวยพรทั้งหมดนั้นล้วนไม่มีความจริงใจปนอยู่เลยแม้แต่นิด
     
                    ขอให้หายไปจากโลกนี้เร็วๆน่ะสิ เมื่อได้ฟังคำที่แม่พูดออกมาซองมินก็เบ้ปากทันที แต่กลับโดนฮีชอลตีที่แขนเข้าให้
     
                    เงียบซะซองมิน!” ฮีชอลดุออกเบาๆเพราะซองมินพูดสิ่งที่ไม่ควรจะพูดออกมาตอนนี้ ดีที่ว่าเขาทั้งสองคนยืนอยู่ห่างจากคนอื่นๆ ไม่งั้นคำพูดของซองมินเมื่อกี้คงมีใครได้ยินเป็นแน่
     
                    ขอบคุณนะฮโยริ ฮยอนจินเอ่ยออกมาเบาๆ สายตามองข้ามไปด้านหลังซึ่งมีเด็กหนุ่มสองคนยืนอยู่ เขารู้ว่าคนหนึ่งคือลีซองมินลูกชายของซองวอนกับลีฮโยริ แต่อีกคนนั้นเขาไม่รู้
     
                    ซองมินกับฮีชอลลงไปข้างล่างกันก่อนนะ ฮโยริหันไปบอกลูกชายและหลานทั้งสองคนพยักหน้ารับและเดินออกจากประตูไป
     
                    เช่นเดียวกับซีวอนและคยูฮยอน เมื่อเยจินพยักหน้าให้ทั้งสองคนจึงเดินตามฮีชอลกับซองมินออกไป เธอคิดว่าฮโยริคงอยากจะคุยกับเพื่อนเก่าแค่ตามลำพังเท่านั้น
     
                   
     
                    หลังจากที่โดนไล่ออกจากห้องมาอย่างสุภาพ ลูกและหลานทั้งสี่คนก็มานั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่น คนที่ดูมีความสุขที่สุดคงจะหนีไม่พ้นซีวอน ตอนแรกที่เขาจะเข้าไปคุยกับฮีชอลนั้น ฮีชอลบอกว่าไม่ใช่เวลาซึ่งเขาคิดว่าคงจะเป็นเพราะมีผู้ใหญ่อยู่ด้วย แต่ตอนนี้เหลือแค่พวกเขาเท่านั้น
     
                    ตอนนี้ซองมินเรียนอยู่ที่ไหนเหรอ ซีวอนเห็นว่าบรรยากาศมันดูเงียบเกินไปเลยเริ่มชวนคุย โดยเริ่มจากซองมินก่อน เพราะอย่างน้อยก็เคยรู้จักกันมาก่อนแล้ว
     
                    วิทยาลัยศิลปะโซลน่ะครับ ซองมินตอบกลับและยิ้มบางๆ
     
                    ใกล้ๆกับมหาลัยคยูเลยนี่....แล้วฮีชอลล่ะครับเรียนที่ไหนหรือว่าจบแล้ว เมื่อได้คำตอบซีวอนก็เปลี่ยนเป้าหมายไปยังอีกคนทันที
     
                    รู้จักกันด้วยเหรอครับ ซองมินเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย ฮีชอลรู้จักซีวอนคงไม่แปลก แต่ที่แปลกคือซีวอนรู้ชื่อฮีชอลได้ยังไงกัน ทั้งที่ยังไม่เคยเจอกันซักครั้ง
     
                    “นิดหน่อยน่ะ ฮีชอลหันไปตอบคำถามของซองมิน เขาไม่คิดจะปิดเรื่องที่เขารู้จักกับซีวอนแต่เขาก็ไม่คิดบอกเหมือนกัน
     
                    ซองมินทำท่าว่าจะถามต่อแต่ก็โดนสายตาของฮีชอลห้ามไว้ ถ้าอยากจะรู้เรื่องเขาก็จะเล่าให้ฟังทีหลัง ซึ่งไม่ใช่ตอนนี้และเวลานี้
     
                    งั้นพี่ขอตัวฮีชอลไปคุยกันที่สวนนะครับ ซีวอนทำทีเป็นขออนุญาต แต่กลับลุกขึ้นเดินมาหาฮีชอลพร้อมกับพาตัวออกไปทันที
     
                    คนที่มีศักดิ์เป็นน้องได้แต่มองตามโดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ซองมินกับคยูฮยอนเท่านั้น สำหรับซองมินคนที่เกลียดแค้นแทบอยากจะฆ่า จะให้มานั่งคุยกันดีๆมันก็ไม่ใช่เรื่อง แต่ในสถานการณ์แบบนี้มันก็คงต้องเป็นแบบนั้น
     
                    นายดูโตขึ้นเยอะเลยนะ คำถามที่ดูจะจับสาระอะไรไม่ได้เลยถูกถามออกไป เพราะซองมินเองก็ไม่รู้ว่าจะชวนคนๆนี้คุยเรื่องอะไร ถ้าลุกขึ้นมายกปืนจ่อหัวกันยังจะรู้สึกดีกว่ามาเยือนถึงบ้านทั้งทีน่าจะจัดการซะให้เรียบ ฆ่าคนที่ฮยอนจินรักมันน่าจะรู้สึกเจ็บกว่า จะได้รู้ว่าถ้าสูญเสียคนที่รักไปจะเป็นยังไง
     
                    ครับ พี่สบายดีนะครับ คยูฮยอนยิ้มตอบกลับมาและถามต่อ ถึงเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนซองมินก็ไม่มีท่าทีว่าจะเปลี่ยนไปเลย ดวงตากลมโตที่ดูน่าหลงใหลนั่น ทั้งริมฝีปากและจมูก ยังเหมือนกับพี่ซองมินที่เขาเคยเจอเมื่อเจ็ดปีที่แล้วไม่มีผิด
     
                    สบายดีสิ ว่าแต่นายเถอะ สีหน้าดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยนะต้องดูแลบริษัทแทนพ่อก็คงจะเครียดไม่น้อยเลยสินะซองมินถามออกไปพร้อมกับยิ้มบางๆ
     
                    ครับ เพราะพี่ซีวอนไม่ยอมรับช่วงต่อ ผมเลยต้องลำบากแบบนี้ไง สายตาของคยูฮยอนมองตามไปยังเส้นทางที่พี่ชายเพิ่งจะเดินจากไปขณะที่ตอบ เผยรอยยิ้มที่ดูเหนื่อยเต็มทีออกมา
     
                    ซองมินไม่ได้ตอบอะไรออกมาหลังจากนั้น จะบอกว่าสะใจที่เห็นคยูฮยอนเป็นแบบนี้มันก็ไม่ถูกเสียหมด อย่างน้อยพวกเขาก็ยังเคยมีความผูกพันกันตั้งแต่เด็ก ถึงมันจะนานมากแล้วก็ตาม แต่ความแค้นก็คือความแค้น ครอบครัวเขาต้องประสบกับความทุกข์อะไรมาบ้างเขาก็อยากให้ครอบครัวโจได้รับรู้ถึงความทุกข์นั้นเช่นกัน
     
                    พาพี่เดินชมบ้านนายหน่อยได้มั้ย นานๆได้มาซักที เงียบไปซักพักซองมินจึงพูดต่อ พร้อมกับลุกขึ้นทำทีมองไปรอบๆบ้าน
     
                    ได้สิครับ...เชิญทางนี้เลย คยูฮยอนตอบรับด้วยรอยยิ้ม ลุกขึ้นยืนเดินนำหน้าซองมินไปยังส่วนต่างๆของบ้าน เพื่อพาพี่ชายหรือเพื่อนในสมัยเด็กชมคฤหาสน์หลังงานของครอบครัวโจและถือเป็นการขุดคุ้ยเรื่องราวเก่าๆมาพูดคุยกันไปด้วยในตัวเหมือนเป็นการฟื้นความทรงจำ
     
     
     
     
                    คุณไม่เห็นบอกผมเลยว่ารู้จักครอบครัวผมด้วย ที่สำคัญเบอร์ที่คุณให้ไว้ โทรไปก็ไม่มีคนรับ เมื่ออยู่กันสองคนซีวอนก็พร่ำสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกมาทันที
     
    พอฮีชอลได้ฟังก็หัวเราะร่าออกมาทันทีเพราะสีหน้าและท่าทางของซีวอนตอนนี้ไม่เหมือนคนเจ้าชู้เลยซักนิด เหมือนคนที่แฟนหนีไปไหนซักแห่งแล้วไม่ติดต่อกันมาเป็นเวลานานซะมากกว่า
     
    ก็ฉันไม่ว่างนี่นา แล้ววันนั้นเราก็เพิ่งเจอกัน เรามีเวลาที่จะเล่าเรื่องส่วนตัวให้กันและกันฟังหรือยังไง คุณเองก็ไม่ได้เล่าอะไรให้ฉันฟังเหมือนกันนะ ฮีชอลกอดอกพูดพร้อมกับอมยิ้มไปด้วย แต่พอประโยคหลังๆกลับหุบยิ้มแล้วทำหน้าจริงจังขึ้นมา
     
    แต่อย่างน้อยคุณก็น่าจะโทรกลับมาบ้างนี่ครับ ซีวอนพูดเสียงอ่อย รู้สึกเหมือนตัวเองชักโอนอ่อนตามฮีชอลเข้าไปทุกที เพราะปกติแล้วเขาไม่เคยต้องง้อผู้หญิงหรือแม้แต่ผู้ชายคนไหนที่เขานอนด้วยมาก่อน
     
    ไม่โทรกลับ แต่ก็มาหาถึงบ้านเลยนี่ไง กระตุกยิ้มมุมปากตามแบบฉบับ ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้บริเวณสวนของบ้านตระกูลโจ
     
    ฮีชอลกวาดสายตามองไปรอบๆบ้าน ทั้งบรรยากาศและการเป็นอยู่มันช่างดูน่าอิจฉา เขาคิดว่าหากใครได้มาเห็นสภาพแวดล้อมแบบนี้ต่างก็อยากจะอยู่ที่นี่กันทั้งนั้น
     
                    ต่อไปเราคงได้เจอกันบ่อยขึ้นใช่มั้ยครับ ซีวอนถามพร้อมยิ้มกรุ่มกริ่ม ดวงหน้าสวยหวานที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าทำให้เขารู้สึกอยากเจอคนๆนี้อยู่ตลอดเวลาเลยจริงๆ
     
                    ได้เจอสิ ฮีชอลตอบแล้วยิ้มหวาน ยังไงก็ได้เจอกันแน่ชเวซีวอน
     
     
     
     
     
    -------------------------------------------------- 
     

    kr...Talk
     
    มาอัพตอนล่าสุดให้แล้วหลังจากที่หายไปนาน
    ที่ไรเตอร์หายหัวไปนานเกือบเดือนนั้นเพราะกำลังปั่นฟิคให้รีดเดอร์ทุกๆคนอยู่
    และช่วงนี้เป็นอะไรที่ยุ่งมากๆๆๆๆ ผสมกับความขี้เกียจเล็กน้อยๆ
    แต่ยังไงจะพยายามมาอัพให้บ่อยๆนะ
     
    ตอนนี้คยูมินได้เจอกันแล้ว มันเริ่มจะดูเหมือนฟิคคยูมินขึ้นมาบ้าง
    แต่ดูเหมือนตอนนี้มันไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่นะ ฟิคไม่คืบหน้าเลย
    แอบน้อยใจคนอ่านเรื่องนี้ทำไมมันน้อยเหลือเกิน หนีไปอ่านหอกันหมด
     
    จะเป็นการดีมากถ้ารีดเดอร์ทุกคนอ่าน 1 ตอน ต่อ 1 คอมเม้น เพื่อเป็นกำลังใจให้ไรเตอร์
     
    ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการอ่านน้า~
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×