ลำดับตอนที่ #56
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #56 : [SF] Spring, Love Song-yeryeo
Title :: Spring, Love Song
Character :: Yesung Ryeowook
Author :: “kr
”
----Spring, Love Song----
ฤดูกาลเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ แต่น้องชายยังคงไม่ยอมตื่นจากความฝัน
ชีวิตของพี่ชายเลยต้องเผชิญกับความเป็นจริงต่อไป...ความจริงที่โหดร้าย
ความจริงที่มันควรจะดีกว่านี้...แต่ผมกลับเป็นคนทำลายด้วยตัวผมเอง
-------------------------
“นายมาสายอีกแล้วนะอนยูเป็นหัวหน้าวงภาษาอะไรเนี่ย!....คีย์! นี่นายอย่าเพิ่งมาเล่นนี้สิ อัดเสียงให้เสร็จก่อน...แทมิน!!” ซาวด์เอนจิเนียประจำค่ายเพลงชื่อดังอย่าง SM Entertainment กำลังวุ่นอยู่กับการลากเหล่าลิงน้อยๆทั้งห้าคนเข้าห้องอัดเสียง ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ใช่ผู้จัดการวง แต่เป็นเพราะผู้ดูแลวงหรือผู้จัดการ Shinee นั้นดันติดงานด่วนและงานนี้เป็นงานที่เร่งรีบเลยทำให้เขาต้องทำหน้าที่นี้ไปด้วย
“ทำไมพวกนายไม่เฟอร์เฟ็คเหมือนดงบันชินกิบ้างนะ” เยซองยังคงบ่นไม่เลิกและยังเดินวนเวียนอยู่แถวนั้น ยิ่งใกล้เวลาที่จะต้องโปรโมทเท่าไหร่ งานของเขาก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากลากเหล่าลิงน้อยทั้งห้าเข้าห้องอัดได้การทำงานก็เริ่มขึ้น เวลาเป็นงานเป็นการเหล่าเด็กๆก็ดูจะตั้งใจกันมากขึ้น แต่ทุกอย่างมักจะไม่ราบรื่นเสมอ เกิดปัญหาต่างๆมากมายระหว่างการทำงาน แต่สุดท้ายมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี
เวลาผ่านไปกว่าสี่ชั่วโมงกว่างานจะเสร็จเรียบร้อย เข็มนาฬิกาตอนนี้บอกเวลาห้าโมงเย็น เยซองหันไปบอกลาเพื่อนร่วมงานแล้วจึงรีบออกไปจากบริษัททันที เพราะเขายังมีอีกหนึ่งกำลังใจในการทำงานของเขารอที่อยู่คอนโด
เยซองขับรถมาถึงคอนโดแล้วกำลังถอยรถเข้าที่จอดรถของตัวเองแต่โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่เบาะข้างๆดันร้องลั่นขึ้นมาซะก่อน เจ้าตัวเลยเอื้อมไปหยิบทั้งที่กำลังถอยรถอยู่ จึงไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีคนกำลังเดินผ่านหน้าท้ายรถของตัวเองอยู่
“ครับๆ...ได้ครับ...เฮ้ย!!” เยซองที่มัวแต่วุ่นวายกับโทรศัพท์เงยหน้าขึ้นมามองกระจกหลังจึงรีบเหยียบเบรกกะทันหัน ทำให้หน้าผากของเขากระแทกกับพวงมาลัยเต็มๆ
“นี่นายเดินไม่ได้ดูรถเลยหรือไง!!” ด้วยความโมโหเยซองจึงเปิดประตูเดินลงจากรถไปทันที แล้วตะโกนว่าคนที่ทำให้เขาต้องเจ็บตัวปาวๆ แต่ดูเหมือนคนๆนั้นจะไม่ได้สนใจเยซองเลยแม้แต่นิด กลับยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
“ฉันกำลังถอยรถอยู่!! นายไม่เห็นหรือไง!! ถ้าเกิดฉันชนนายขึ้นมาจะทำยังไง!” เยซองยังคงบ่นไม่เลิก เขารู้สึกโมโหที่คนตรงหน้าไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไรกลับมาเลย หรือไม่ก็น่าจะขอโทษเขาซักนิด
“แล้วทำไมถึงไม่ชนให้ตายไปเลยล่ะ” ชายหนุ่มคู่กรณีของเยซองพูดขึ้นเบาๆเหมือนว่านั่นเป็นคำพูดที่ไม่ได้หวังให้ใครได้ยิน เป็นแค่การพูดกับตัวเองเท่านั้น
ใบหน้าที่เรียบเฉยหันมามองเยซองเพียงเล็กน้อยแล้วจึงเดินจากไป เยซองได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น คำพูดเมื่อกี้เขาได้ยินเต็มสองหูเพราะที่นี่มีเพียงเขากับคนๆนี้เท่านั้น ที่จริงอยากจะพูดหรือด่ากลับไป แต่มันกลับเอ่ยคำพูดไม่ออกซักคำ
“ท่าจะบ้า” เยซองพึมพำขึ้นกับตัวเอง แล้วเดินกลับไปขึ้นรถของตัวเองเพื่อถอยรถเข้าที่ให้เรียบร้อย และคุยโทรศัพท์ให้เสร็จภารกิจเป็นอย่างๆไป จะได้ขึ้นไปหาฮยอกแจน้องชายของเขาที่รอเขาอยู่ข้างบน
เยซองขึ้นลิฟต์มาที่ชั้นแปดซึ่งเป็นที่พักของเขากับน้องชายถึงแม้จะพักอยู่คนละห้องกันก็ตามที เยซองเปิดประตูเข้าไปในห้องของฮยอกแจกับฮันคยองอย่างคุ้นเคยเพราะเข้าออกเป็นประจำ เมื่อเข้ามาก็เห็นหมอหนุ่มฮันคยองกำลังจะเช็ดตัวให้ฮยอกแจพอดี
“สวัสดีครับพี่ฮันคยอง กำลังจะเช็ดตัวเหรอครับ” เยซองเห็นฮันคยองกำลังวางกะละมังใบเล็กๆลงข้างเตียงจึงรีบเดินเข้าไปหาทันที เวลาที่ผ่านมานั้นทำให้ความสนิทสนมของทั้งสองคนนั้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และบางทีเยซองก็อยากจะช่วยดูแลน้องชายของตัวเองบ้าง
“ครับ” ฮันคยองหันมาตอบยิ้มๆ แล้วจึงหันไปสนใจฮยอกแจที่ยังคงนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง
“ให้ผมช่วยนะครับ” เยซองนั่งลงข้างเตียงข้างๆกับฮันคยอง เมื่อแพทย์ประจำตัวของฮยอกแจพยักหน้าเป็นการอนุญาตจึงเริ่มเช็ดตัวให้ฮยอกแจอย่างเบามือ
“นั่นหน้าผากไปโดนอะไรมาครับ” ฮันคยองหันไปเห็นสิ่งผิดปกติที่หน้าผากของเยซองเลยถามขึ้น รอยแดงนั่นทั้งบวมและมันก็เริ่มจะปูดออกมา
“นี่น่ะเหรอครับ” เยซองทำตาเหลือบมองขึ้นไปเหมือนจะมองให้เห็นหน้าผากของตัวเองแล้วก็หันมายิ้มให้ฮันคยอง
ฮันคยองพยักหน้าเล็กน้อยแล้วจึงมองต่อด้วยความสงสัย รอว่าเมื่อไหร่ที่เยซองจะพูดอะไรออกมา
“เมื่อกี้มีเด็กคนหนึ่งเดินตัดหลังรถผมตอนกำลังถอยรถน่ะครับ ผมเลยต้องเบรกกะทันหันจนหน้าผากชนกับพวงมาลัย มันเลยบวมอย่างนี้ แถมตอนนี้ผมลงไปว่าเขายังทำหน้าเฉยชาใส่ผมอีก แล้วยังพูดว่า....” เยซองเล่าเหตุการณ์ที่เขาได้รอยปูดบวมนี้มาให้ฮันคยองฟัง แต่พอเล่ามาถึงตอนสุดท้ายเสียงของเยซองกลับเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน เขาไม่อยากพูดว่าคนๆนั้นพูดอะไรออกมา เพราะมันเป็นคำที่ไม่น่าฟังเอาซะเลย
“ครับ คงเจ็บแย่” ฮันคยองตอบกลับมายิ้มๆ
“ช่างเถอะครับ” เยซองวางผ้าขนหนูในมือที่เพิ่งเช็ดตัวให้ฮยอกแจลงบนขอบกะละมังแล้วเดินไปที่ระเบียง มองดูต้นไม้ของฮยอกแจที่ไม่ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่ยอมผลิใบออกมาซักที
“ทำไมไม่ไผลิใบซักทีนะ” เยซองมองดูต้นไม้นั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นที่ระเบียงข้างๆ ใบไม้ใบเล็กๆกำลังล่วงหล่นลงไปยังพื้นด้านล่าง บางใบก็ลอยละล่องอยู่ในอากาศ ปลิวว่อนเต็มไปหมด
เยซองหันไปมองที่ระเบียงห้องข้างๆห้องของฮยอกแจก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเด็ดใบไม้ทิ้งอยู่อย่างสนุกมือ ถึงแม้ว่าคนๆนี้จะไม่ได้หันหน้ามาให้เขาเห็นได้เต็มๆ เขาก็เริ่มรู้สึกไม่ชอบการกระทำของคนๆนี้ซะแล้ว
สำหรับใบไม้ทุกใบนั้นมันสำคัญสำหรับเยซองอย่างมาก เขาอุตส่าห์รอคอยแต่ฤดูใบไม้ผลิ แต่คนๆนี้กลับเด็ดใบมันทิ้งทั้งที่มันกำลังผลิใบออกมาอย่างสวยงาม ต้นไม้เพียงต้นเล็กๆในกระถางถ้าหากยังเด็ดอยู่อย่างนั้นใบคงหมดต้นภายในไม่ช้า เขาอิจฉาต้นไม้พวกนั้น แล้วทำไมต้นไม้ของฮยอกแจถึงไม่ผลิใบออกมาเสียที
“ต้นไม้มันอยู่ของมันดีๆ ไปเด็ดใบมันทำไม” เยซองหันไปต่อว่าคนที่กำลังเด็ดใบไม้เหล่านั้น เขาไม่ได้ใช้น้ำเสียงที่ฟังดูรุนแรงอะไรมากนักเพราะคิดว่ามันคงไม่สมควร เพราะไม่ใช่คนรู้จัก
ชายหนุ่มหันมามองเยซองแล้วก็เบิกตากว้าง ฝ่ายเยซองเองก็แปลกใจอยู่เหมือนกันและมันก็ทำให้เขาตั้งรับกับคนๆนี้ไม่ทัน
“คุณนี่เอง! เมื่อกี้ผมขอโทษด้วยนะครับที่เดินตัดท้ายรถแบบนั้น ผมนี่มันไม่ระวังเลย ขอโทษจริงๆนะครับ!! คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ!” ชายหนุ่มละล่ำละลักคำพูดออกมาแทบไม่ทัน เมื่อเห็นว่าเยซองคือคนที่เขาทำกริยามารยาทไม่สุภาพด้วยเมื่อกี้
“เอ่อ....” เยซองเกิดอาการงงและเอ๋อไปชั่วขณะที่โดนทักกลับมาแบบนี้ เขาไม่รู้จะพูดอะไรออกไปหรือตอบคำถามอะไรดี
“มีแผลด้วยเหรอครับ ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับ” ชายหนุ่มก้มหัวขอโทษเยซองซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อเห็นรอยแดงที่หน้าผากของเยซอง จนตอนนี้ตัวเยซองเองชักเริ่มจะรำคาญ
แต่ยังไม่ทันที่เยซองจะได้พูดอะไรออกไป ชายหนุ่มที่อยู่ระเบียงห้องข้างๆก็หายเข้าไปในห้องซะแล้ว
“อะไรของเขา” เยซองพึมพำกับตัวเองเป็นรอบที่สองสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้ชายคนนี้ แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมากับนิสัยแปลกๆของผู้ชายคนนี้
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูหน้าห้องที่ดังไม่หยุดหย่อนทำให้ฮันคยองต้องรีบออกไปเปิดเพราะกลัวว่าคนที่มาจะมีธุระด่วน และเมื่อเปิดประตูออกก็พบกับสีหน้าที่ดูตื่นตระหนกของชายหนุ่มคนหนึ่งที่พยายามมองเข้ามาภายในห้อง
“มาหาใครเหรอครับ” ฮันคยองเอ่ยถามตามมารยาท ผู้ชายคนนี้คือคนที่เพิ่งย้ายมาอยู่ห้องข้างๆเขาได้ไม่นาน จริงๆจะเรียกว่าไม่รู้จักกันเลยก็ได้
“ผมมาหาผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงระเบียงน่ะครับ”
“คุณเยซองน่ะเหรอ.....เข้ามาก่อนสิ” ฮันคยองมองไปที่ระเบียงแล้วจึงเปิดประตูให้ชายหนุ่มได้เข้ามา ก่อนจะเดินไปหาเยซองที่กำลังเดินเข้ามาภายในห้องพอดี
“คุณเยซองมีคนมาหาครับ” ฮันคยองเบือนหน้าไปทางชายหนุ่มตัวเล็กที่ยืนอยู่ด้านหลังแล้วจึงเดินเลี่ยงไปนั่งข้างเตียงของฮยอกแจ
“นาย!” เยซองได้แต่ชี้หน้าและเบิกตากว้างเท่าที่จะทำได้เมื่อเห็นบุคคลที่มาหา
“ผมรยออุกครับ ขอโทษนะครับ คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ มาทำแผลก่อนนะครับ” ชายหนุ่มที่ชื่อรยออุกลากเยซองไปนั่งที่เกาอี้แล้วเดินหากล่องยาจนทั่วห้องจนดูวุ่นวาย เดือดร้อนฮันคยองต้องเป็นคนไปหยิบกล่องยามาให้
เมื่อได้กล่องยามาอยู่ในมือรยออุกก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรอีก ลงมือทำแผลให้เยซองทันที ส่วนคนโดนกระทำก็ชักจะทำอะไรไม่ถูก วินาทีแรกที่พบกันกับวินาทีนี้ ทำไมคนๆนี้ถึงได้ดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ผมต้องขอโทษอีกครั้งนะครับที่เดินไม่ระวัง ทำให้คุณต้องเจ็บตัว” หลังจากทำแผลเสร็จรยออุกก็ลุกขึ้นยืนโค้งให้เยซองเพื่อเป็นการขอโทษอีกครั้ง
“ครับ ไม่เป็นไร” เยซองได้แต่พยักหน้าหงึกหงักเพราะไม่รู้ว่าจะตอบอะไรออกไปมากกว่านี้ เขารู้สึกตั้งตัวไม่ติดเมื่อเจอคนๆนี้จริงๆ
“คุณชื่ออะไรครับ” รยออุกถามออกมาด้วยรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มแรกที่เยซองได้เห็นมัน ซึ่งทำให้คนๆนี้ดูน่ารักไม่หยอกเลยทีเดียว
“เยซองครับ”
“ผมรยออุกนะครับ นี่ห้องของคุณเยซองเหรอครับ” รยออุกแนะนำตัวอีกรอบก่อนจะมองไปรอบๆห้อง แล้วสายตาก็ไปสะดุดยังบุคคลที่นอนแน่นิ่งหายใจอย่างสม่ำเสมออยู่บนเตียง
“ไม่ต้องเรียกคุณก็ได้นะ ฉันไม่ถือ ส่วนห้องนี้น่ะเป็นห้องของน้องชายฉัน” เยซองเดินไปนั่งข้าง
ฮันคยองที่นั่งอยู่ข้างเตียงของฮยอกแจก่อนจะส่งรอยยิ้มอันอบอุ่นไปให้น้องชายเหมือนอย่างที่ชอบทำ
“น้องชาย” รยออุกมองไปที่ฮยอกแจแล้วก็ยิ้มจางๆออกมาเมื่อเพิ่งสังเกตเห็นคุณหมอหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆไม่ห่าง ทำให้รยออุกรู้ได้ไม่ยากว่าจริงๆแล้วนั้นน้องชายของเยซองเป็นอะไร ตอนนี้เขาเพียงแค่คิดว่าถ้าหากเขาเป็นอย่างน้องชายของเยซองมันน่าจะดีกว่านี้ ไม่ต้องรู้สึกอะไรและไม่ต้องรับรู้อะไร
“ขอโทษนะครับที่มารบกวน” รยออุกค้อมหัวเล็กน้อยให้เยซองกับฮันคยอง จากนั้นจึงเดินกลับห้องของตัวเองที่อยู่ข้างๆ
เมื่อประตูห้องปิดสนิทร่างเล็กของรยออุกก็ทรุดลง แผ่นหลังบางเอนผิงบานประตูเอาไว้ อยู่ๆก็เริ่มมีความรู้สึกเจ็บบริเวณลำคอ และตามด้วยอาการไออย่างหนัก
รยออุกยกมือขึ้นปิดปากขณะที่ไอ ของเหลวสีแดงเข้มเปรอะเปื้อนเต็มฝ่ามือเล็กเมื่อรยออุกยกมันขึ้นมาดู ริมฝีบากบางเผยยิ้มให้กับตัวเองด้วยความสมเพช พร้อมกับน้ำตาที่อยู่ๆก็ไหลอย่างไม่มีสาเหตุ
เสียงประตูห้องของฮยอกแจถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของเยซองที่เดินออกมาหลังจากที่รยออุกออกมาไม่นานนัก เสียงแปลกๆที่ดังออกมาจากห้องข้างๆ ทำให้เยซองหยุดฟังมันแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
เยซองเดินไปยังห้องของตัวเองที่อยู่ตรงข้ามกับของห้องรยออุก เขายังคงยืนอยู่หน้าประตูของตัวเองเพราะเสียงที่ดังมาจากห้องตรงข้ามยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเสียที
“คงจะเป็นหวัดล่ะมั้ง” เยซองพึมพำขึ้นกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องไป เพื่อจะได้พักผ่อนบ้าง บางทีเขาก็ไม่ควรจะยุ่งเรื่องของคนอื่นจนมากเกินไป โดยเฉพาะคนที่เพิ่งรู้จักกันอย่างรยออุก
----Spring, Love Song----
เช้าวันใหม่ของชีวิตที่ยุ่งเยิงและมีแต่การทำงานของเยซองเริ่มขึ้นอีกครั้ง วันนี้เขาต้องออกไปทำงานแต่เช้า ทำให้เช้านี้เขาไม่มีเวลาพอที่จะเข้าไปหาฮยอกแจได้ ถึงแม้ห้องของฮยอกแจจะอยู่ใกล้แค่นี้ก็ตาม
เยซองเปิดประตูห้องออกมาก็พบกับรยออุกและครอบครัว เช้านี้สีหน้าของรยออุกนั้นดูหม่นหมองมากกว่าเมื่อวาน และสีหน้าคุณพ่อคุณแม่ของรยออุกก็ดูจะเป็นห่วงไม่น้อย
“อย่าลืมทานยานะลูก แล้วก็ใช้เสียงน้อยๆ ที่สำคัญห้ามร้องเพลงเด็ดขาดเลยรู้มั้ย” คุณแม่ของรยออุกบอกสีหน้าเครียด เธอกลัวว่าลูกชายคนเดียวของเธอจะขัดคำสั่ง เพราะที่ผ่านมารยออุกมักจะชอบทำในสิ่งที่ตัวเองชอบนั่นคือการร้องเพลงมากกว่าเชื่อฟังคำสั่งของคนเป็นแม่อย่างเธอ ซึ่งมันยิ่งทำให้เธอเป็นห่วงลูกมากขึ้นกว่าเดิม
“ครับ” รยออุกพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อเป็นการตอบรับ
“งั้นพ่อกับแม่ไปทำงานก่อนนะลูก ยาลืมทานยาล่ะ” สิ้นเสียงของผู้เป็นพ่อ ผู้ปกครองทั้งสองก็เดินจากไป
รยออุกมองตามพ่อกับแม่ไปจนสุดสายตาก่อนจะเหลือบไปเห็นเยซองที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องของตัวเอง
ปัง!
เสียงปิดประตูที่ดังขึ้นทำให้เยซองสะดุ้งเล็กน้อย รยออุกหันมามองที่เยซองด้วยสายตาที่เรียบเฉยก่อนจะปิดประตูใส่ ซึ่งมันทำให้เยซองชักเริ่มรู้สึกมึนงงกับอารมณ์ของคนๆนี้อีกครั้ง
“เป็นอะไรของเขา ไม่สบายหนักขนาดเพี้ยนไปเลยหรือไง” เยซองทำได้แค่พึมพำเบาๆกับตัวเองก่อนจะเดินไป
รยออุกนั้นทำให้เยซองรู้สึกแปลกใจทุกครั้งที่เจอกัน ทั้งการแสดงออกทางสีหน้า และท่าทาง แถมยังคำพูดที่ฟังดูแปลกๆของพ่อกับแม่ของรยออุกนั่นอีก
“นายนี่ดูลึกลับจริงๆ” เยซองบ่นขึ้นอีกรอบระหว่างเดินไปยังที่จอดรถของตัวเอง ทุกเรื่องของรยออุกที่เขาได้รับรู้ มันเริ่มทำให้เขาคิดถึงเรื่องของคนๆนี้ไม่หยุดเลยจริงๆ
----Spring, Love Song----
เมื่อเยซองมาถึงบริษัทก็ถูกหัวหน้าเรียกเข้าไปพบทันที เพื่อคุยเกี่ยวกับเรื่องการจัดแข่งขันประกวดร้องเพลง งานนี้เป็นงานใหญ่ของบริษัทที่จะเฟ้นหานักร้องเสียงดีเข้ามาเป็นศิลปินในสังกัด ซึ่งจะจัดขึ้นในทุกๆปี แต่ละปีจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ซึ่งปีนี้จัดตรงกับฤดูใบไม้ผลิ และจะจัดขึ้นในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า
“นี่รายละเอียดของงานนะ แล้วนี่ก็ใบปลิว เอาไปให้พี่ๆน้องๆญาติๆดูก็ได้เผื่อมีใครสนใจ จะได้มาสมัคร” หัวหน้าฝ่ายงานของเยซองยื่นรายละเอียดและใบปลิวให้ หลังจากที่ได้ประชุมและตกลงเรื่องงานที่จะจัดเมื่อวานนี้
“ครับ” เยซองรับของที่หัวหน้าให้ทั้งหมดมาแล้วอ่านรายละเอียดอย่างคร่าวๆ
“ถ้านายรู้จักใครที่เสียงดีชวนมาก็ได้นะ ไปทำงานต่อได้แล้วล่ะ เดี๋ยวฉันต้องไปทำงานเหมือนกัน”
หลังจากคุยกันเสร็จต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป เยซองเดินอ่านรายละเอียดจนมาถึงโต๊ะทำงานของตัวเอง ต้องรีบอ่านไว้ก่อนเพราะอีกไม่กี่นาทีที่จะถึงนี้ งานที่แท้จริงของเขาก็จะเริ่มขึ้นแล้ว
----Spring, Love Song----
เวลาตอนนี้ใกล้จะหนึ่งทุ่มแล้ว ตามทางเดิมเริ่มเปิดไฟเพื่อให้แสงสว่างแก่ผู้คน เยซองขับรถไปตามทางเรื่อยๆ จนใกล้จะถึงที่หมาย ก็เห็นแผ่นหลังคุ้นตาของใครคนหนึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อแล่นเข้าไปใกล้เรื่อยๆ เยซองจึงจอดรถเทียบกับฟุตบาทเมื่อรู้ว่าคนที่เขาเห็นคือรยออุก
“รยออุก ไปด้วยกันมั้ย” เยซองเอ่ยถามรยออุกที่ยืนอยู่บริเวณริมฟุตบาท จากทางตรงนี้ถึงคอนโดถึงจะไม่ไกลมากนัก แต่ยังไงเขากับรยออุกก็เป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว ควรจะมีน้ำใจต่อกันบ้าง
“อีกนิดเดียวเองครับ เดี๋ยวผมเดินไปเองก็ได้” เรียวอุกหันมาตอบยิ้มๆ
“ไม่เป็นไรหรอก นายถือของเยอะขนาดนี้คงหนัก ขึ้นมาสิ จะได้ไม่ต้องเดินให้เมื่อย” เยซองมองเห็นของที่เรียวอุกถืออยู่เต็มมือ ดูแล้วมันคงจะหนักไม่น้อย ที่จริงซุปเปอร์มาร์เก็ต ก็อยู่ไม่ห่างจากคอนโดมากนัก แต่ถ้าซื้อของเยอะแบบนี้นั่งรถไปมันน่าจะดีกว่า
“ก็ได้ครับ” รยออุกตอบตกลงแล้วเดินอ้อมไปขึ้นรถ เพราะไม่อยากให้เยซองเสียน้ำใจที่ชวนเขา
“ทำไมไม่ขึ้นรถแท็กซี่ล่ะ ของเยอะขนาดนี้” เยซองออกรถแล้วเริ่มชวนรยออุกคุย เพื่อไม่ให้บรรยากาศดูอึมครึมเกินไป
“อยู่ใกล้กันแค่นี้เองครับ ขึ้นรถแท็กซี่มันเปลือง” รยออุกตอบออกมายิ้มๆ แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นใบปลิวที่วางอยู่ในลิ้นชักรถที่เปิดไว้
“แต่ของมันเยอะนี้.....หืม? สนใจเหรอ” เยซองหันไปมองรยออุกเห็นว่ากำลังจ้องที่ใบปลิวงานประกวดร้องเพลงของบริษัทเลยร้องถาม แล้วหยิบใบปลิวไปให้รยออุกอ่าน
“เปล่าครับ” รยออุกส่ายหน้าปฏิเสธเบาๆ แต่ก็รับใบปลิวนั้นมาและอ่านมันอย่างตั้งใจ
“อีกสองสัปดาห์จะมีการประกวดร้องเพลง ถ้าสนใจก็ไปสมัครได้นะ”
“ไม่ดีกว่าครับ” รยออุกวางใบปลิวนั้นไว้ที่เดิม อย่างเขาน่ะร้องเพลงไม่ได้หรอก ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่เขารัก แต่เขากลับทำในสิ่งที่รักไม่ได้
เยซองไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเพียงแค่หันมายิ้มให้ก่อนจะเลี้ยวรถเข้าไปยังที่จอดรถของคอนโดและจอดในที่ประจำของตัวเอง
“ขอบคุณมากนะครับ” เมื่อลงมาจากรถรยออุกโค้งให้เยซองเล็กน้อยก่อนจะเดินถือของทั้งหมดเดินเข้าตัวคอนโดไป
“เดี๋ยวฉันช่วยถือ” เยซองล็อกรถเสร็จหันมาอีกทีรยออุกก็เดินไปแล้วจึงรีบวิ่งไปหาและแย่งของบางส่วนมาถือไว้เอง
“ขอบคุณครับ” รยออุกบอกแล้วหันไปยิ้มให้เยซอง
เยซองเดินไปส่งรยออุกที่หน้าห้องแล้วกลับเข้ามาในห้องตัวเอง แต่เพียงไม่นานที่ได้ก้าวเข้ามาในห้องเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาซะก่อน
“รยออุก” เยซองมองผู้มาเยือนด้วยความแปลกใจ เพราะเขากับรยออุกเพิ่งจะจากกันเมื่อกี้นี้เอง
“ขอโทษนะครับที่มารบกวน พอดีว่าแก๊สที่ห้องหมดน่ะครับ แล้ววันนี้พ่อกับแม่ผมก็กลับดึก เลยจะมาขอทานข้าวเย็นด้วย ได้หรือเปล่าครับ” รยออุกแจ้งจุดประสงค์การมาของตัวเองให้เยซองฟัง แล้วจึงขออนุญาต
“อืม เข้ามาสิ...แต่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไรกินดี” เยซองเปิดประตูกว้างเพื่อให้รยออุกได้เข้ามาแล้วจึงเดินตรงไปที่ห้องครัว
“ขอดูของในตู้เย็นหน่อยนะครับ แล้วผมจะทำให้กิน”
“ตามสบายเลย”
เมื่อได้รับคำอนุญาตจากเยซอง รยออุกก็ตรงไปที่ตู้เย็นทันที หยิบนู้นหยิบนี้ออกมา แล้วก็เริ่มลงมือทำอาหารโดยมีเยซองคอยมองดูอยู่
“เสร็จแล้วครับ” รยออุกยกอาหารมื้อค่ำที่เพิ่งทำเสร็จมาวางที่โต๊ะทานข้าวที่เยซองนั่งรออยู่ กลิ่นหอมของอาหารส่งกลิ่นฟุ้งไปทั่ว
“หอมจัง” เยซองชะโงกหน้าเข้าไปสูดกลิ่นอาหารหอมๆ แล้วหันไปยิ้มให้รยออุกที่มองดูเขายิ้มๆ
“ทานกันเลยมั้ยครับ เดี๋ยวจะเย็นซะก่อน” รยออุกยกจานชามมาไว้ให้เสร็จสรรพ แล้วทั้งสองก็เริ่มรับประทานอาหารมื้อเย็นที่สุดแสนอร่อย
“ไม่ได้กินอาหารอร่อยๆแบบนี้มานานแล้วนะเนี่ย” เยซองพูดไปก็ตักนู้นตักนี่กินไปเรื่อย เพราะอาหารที่เขาทำกินเองส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นอาหารสำเร็จรูป หรือพวกบะหมี่ถ้วย
“งั้นก็ทานเยอะๆนะครับ”
“ว่าแต่นายอายุเท่าไหร่เหรอ ฉันว่าต้องเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ใช่มั้ย” เยซองเริ่มชวนรยออุกคุยถึงเรื่องส่วนตัว เมื่อดูจากหน้าตาและท่าทางของรยออุกแล้ว น่าจะเด็กกว่าเขาอยู่เยอะทีเดียว
“ตอนนี้ผมอายุยี่สิบเอ็ดแล้วล่ะครับ แต่เพิ่งเรียนอยู่ปีหนึ่ง เพราะสาขาที่เคยเรียน เรียนแล้วไปไม่รอดเลยต้องลาออกมาทั้งที่ใกล้จะจบอยู่แล้ว” รยออุกพูดไปแล้วก็ยิ้มไป โดยไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นเยซองได้ยินแค่เพียงประโยคแรกเท่านั้น เพราะประโยคต่อๆมา เยซองเห็นแค่เพียงปากของรยออุกขยับ แต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมาเลย
“ขอโทษนะ คือเมื่อกี้ฉันไม่ได้ยินที่นายพูดน่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า เห็นนายพูดแค่ไม่มีเสียง”
“เปล่าหรอกครับ แค่ไม่สบายนิดหน่อย” รยออุกนิ่งไปซักพักก่อนจะตอบคำถามออกมา
“งั้นก็รักษาสุขภาพด้วยนะ เมื่อวานฉันได้ยินเสียงนายไอด้วย”
“เอ่อ...ครับ” รยออุกยิ้มบางๆให้เยซองแล้วก้มหน้าก้มตาทานอาหารโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก
เยซองมองอาการของรยออุกด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปอีก เพราะรยออุกคงไม่อยากให้ใครมารับรู้ก็เป็นได้ หากเจ้าตัวอยากจะพูดอะไรเมื่อไหร่คงจะพูดออกมาเอง อีกอย่างเขากับรยออุกเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน
เพียงเวลาไม่นานอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะก็หมดไป เยซองนั่งลูบท้องด้วยความอิ่ม ส่วนรยออุกก็เตรียมเก็บจานชามไปล้าง
“นายนี่ทำอาหารเก่งจัง ถ้านายมาทำให้กินทุกวันนะ ฉันคงอ้วนเป็นหมูแน่เลย” เยซองพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะลุกขึ้นไปช่วยรยออุกเก็บโต๊ะอาหารและเก็บจานไปล้าง
“ถ้าวันไหนที่พ่อกับแม่ผมกลับดึก ผมจะมาหาแล้วกันนะครับ” รยออุกหันมายิ้มให้ก่อนจะลงมือล้างจานด้วยน้ำยาและส่งให้เยซองล้างน้ำเปล่า
หลังจากที่ล้างจานกันเสร็จแล้ว เยซองก็มานั่งหน้าคอมพิวเตอร์ทำงานของตัวเองต่อ ส่วนรยออุกนั่งอยู่ที่โซฟาข้างๆ เพราะยังไม่อยากกลับห้องเลยขออยู่กับเยซองจนกว่าพ่อกับแม่จะกลับมา
เยซองเปิดเพลงสากลคลอไปเบาๆระหว่างที่กำลังทำงาน มันเป็นเพลงเก่าที่เขาชอบมากๆ และเคยใช้เพลงนี้ในการประกวดร้องเพลงที่อิตาลี แต่เพราะสำเนียงเขาไม่ได้เลยไม่ผ่านเข้ารอบ
รยออุกนั่งมองเยซองทำงานด้วยอารมณ์ที่เพลิดเพลินและขยับปากร้องตามเพลงที่เยซองเปิดคลอไปด้วยเบาๆ ดูมีความสุขจนเยซองมองแล้วยังแปลกใจ
“เพลงเก่าขนาดนี้ยังร้องได้อีกเหรอ ปกติคนเกาหลีไม่นิยมฟังเพลงสากลหนิ” เยซองมองไปที่รยออุกแล้วเอ่ยถาม เพราะท่าทางที่ดูมีความสุขนั่นมันทำให้เขารู้สึกมีความสุขไปด้วยอย่างบอกไม่ถูก
“ที่จริงผมชอบร้องเพลงนะ ผมเคยเป็นนักร้อง แต่....” รยออุกพูดขึ้นด้วยความภาคภูมิใจแต่แล้วก็เงียบไป ถึงเขาจะชอบร้องเพลงหรือเคยเป็นนักร้องมาก่อน แต่มันก็เป็นแค่อดีตเท่านั้น
“เคยเป็นนักร้องด้วยเหรอ งั้นช่วยร้องเพลงให้ฉันฟังหน่อยสิ เผื่อว่าจะได้ช่วยดันให้ไง ฉันทำงานที่ SM นะ” เมื่อเยซองได้ฟังก็มีท่าทีกระตือรือร้นขึ้นมาทันที อยากจะฟังเสียงของรยออุกว่าจะเพราะขนาดไหน
รยออุกนิ่งไปซักพักเหมือนกำลังใช้ความคิดแล้วจึงยิ้มออกมา ริมฝีปากบางกำลังจะเอนเอ่ยคำร้องของเพลงที่จะร้องออกมา แต่ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขัดขึ้นซะก่อน
“ขอโทษนะครับ แม่ผมโทรมา ท่าทางคงจะกลับมาแล้ว งั้นผมขอตัวก่อนแล้วกันนะครับ ขอบคุณสำหรับอาหารครับ” รยออุกยกโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของแม่ตัวเองที่โชว์อยู่หน้าจอ จึงบอกลาเยซองและลุกขึ้นเดินไปยังประตูห้อง
“รักษาสุขภาพด้วยแล้วกันนะ ถ้าว่างๆก็มาร้องเพลงให้ฉันฟังด้วยล่ะ” เยซองตะโกนบอกรยออุกที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูแล้วยิ้มไปให้ รยออุกยิ้มตอบกลับมาแล้วจึงเดินออกจากห้องไป
----Spring, Love Song----
เป็นเช้าที่เร่งรีบอีกวันของเยซองที่เขาแทบจะไม่มีเวลาไปหาฮยอกแจเลย เช้านี้เลยได้เข้าไปหาแค่เพียงไม่นานแล้วก็ต้องไปทำงานต่อ เมื่อเยซองขับรถมาถึงที่ทำงานก็รีบหยิบของที่จำเป็น ระหว่างที่กำลังจะลงจากรถสายตาของเขาก็ไปสะดุดที่สิ่งๆหนึ่งซึ่งหล่นอยู่ที่พื้นบริเวณเบาะข้างคนขับ
เยซองก้มลงไปเก็บมันขึ้นมาดู มันเป็นถุงยาของโรงพยาบาลประจำมหาวิทยาลัยแพทย์ เยซองหยิบถุงที่อยู่ด้านในออกมาดูก็ทำให้รู้ว่าถุงยานี้เป็นของใคร
“คิมรยออุก” เยซองอ่านที่ฉลากหน้าถุงยา มันมีเพียงแค่ชื่อกับชื่อยาเท่านั้น ไม่มีสรรพคุณของยาหรือวิธีใช้ที่ชัดเจน
“สงสัยทำตกเมื่อวานล่ะมั้ง” เยซองบ่นพึมพำอยู่กับตัวเองก่อนจะเก็บถุงยาของรยออุกใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อแล้วรีบขึ้นไปทำงาน
----Spring, Love Song----
หลังเลิกงานเยซองเจอรยออุกอีกครั้งที่เดิมเวลาเดิม และชวนรยออุกขึ้นรถมาด้วยกัน สามครั้งแล้วที่เยซองเจอรยออุกในช่วงเวลานี้ คิดว่ามันน่าจะเป็นเวลาประจำของรยออุกที่จะออกไปซื้อของ เพราะมักจะเห็นรยออุกถือถุงหิ้วของซุปเปอร์มาร์เก็ตกลับมาด้วยประจำ
“จริงสิ เมื่อวานนายทำถุงยาตกไว้” เยซองนึกขึ้นได้เลยค้นหาถุงยาของรยออุกในรถแต่เขากลับลืมมันไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน
“สงสัยฉันจะลืมมันไว้ที่ทำงาน เดี๋ยวไปส่งนายที่คอนโด แล้วจะกลับไปเอาให้ก็แล้วกันนะ” เยซองบอกแล้วยิ้มบางๆ ยังไงเขาก็คงต้องกลับไปเอาให้ เพราะยามันสำคัญ บางทีรยออุกอาจจะป่วยอยู่ ถ้าไม่ได้กินยาอาการมันก็จะแย่ลง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เป็นแค่ไข้หวัดธรรมดาเอง ยาแก้หวัดผมยังมีอยู่ เยซองครับ ผมอยากรู้เกี่ยวกับงานประกวดน่ะครับ” รยออุกรีบพูดขึ้นทันทีที่เยซองพูดจบ เพราะไม่อยากให้ใครเข้ามาวุ่นวายกับโรคของตัวเอง และก็เปลี่ยนเรื่องคุยทันที
“สนใจเหรอ เมื่อวานดูเหมือนไม่เห็นสนใจเลย” เยซองพูดเหมือนจะแหย่เล่นๆ
“ผมแค่อยากรู้น่ะครับว่าใครเป็นคนตัดสิน แล้วการคัดเลือกมันยากหรือเปล่า” ท่าทางของรยออุกที่ถามนั้นดูให้ความสนใจเรื่องนี้มากกว่าเมื่อวานมาก ทั้งสีหน้าและท่าทางดูมีความสุขต่างจากทำพูดที่ปฏิเสธว่าไม่อยากรู้
“ฉันก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการเหมือนกันนะ ถ้าถามว่ายากมั้ย มันก็ไม่ยากหรอก ถ้าเสียงดี บุคลิกได้ มันก็ไม่มีอะไรยากหรอก สนใจจะลงบ้างมั้ยล่ะ” เยซองเลี้ยวรถเข้ามาภายในคอนโดพอดีที่พูดจบ ถ้ารยออุกอุกสนใจจะลงสมัครเขาก็อยากจะช่วยเต็มที ถึงจะยังไม่เคยฟังเสียงก็ตาม
“ไม่ครับ แค่อยากรู้เฉยๆ” รยออุกยังคงปฏิเสธเหมือนเดิม ทั้งที่ใจจริงแล้วก็สนใจอยู่ไม่น้อย แต่ตอนนี้เขาร้องเพลงไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เขายากจะรับได้จริงๆ
“จริงสิ! เมื่อวานจำได้มั้ย นายยังไม่ได้ร้องเพลงให้ฉันฟังเลยนะ” พูดถึงเรื่องงานประกวดแล้วเยซองก็นึกไปถึงเรื่องเมื่อวานตอนที่รยออุกกำลังจะร้องเพลงให้เขาฟัง แต่ดันมีโทรศัพท์ดังขัดขึ้นมาซะก่อน
“เยซองร้องให้ผมฟังก่อนสิครับ แล้วผมถึงจะร้องให้ฟัง” รยออุกต่อรองโดยการให้เยซองร้องเพลงให้ เพราะเขาร้องเพลงไม่ได้ แล้วจะร้องให้ฟังได้ยังไง
“เอางั้นเหรอ งั้นจะร้องแล้วนะ” เยซองลองถามเป็นเชิงไปก่อน เพราะเขาก็ไม่ค่อยได้ร้องเพลงจริงๆจังมานาน ไม่รู้จะเพี้ยนหรือเปล่า
รยออุกพยักหน้าขึ้นลงเบาๆ เป็นการตอบรับ เยซองเผยยิ้มบางๆ ออกมาแล้วจึงเริ่มร้องเพลงที่เขาชอบที่สุด
“Although loneliness has always been. A friend of mine
I'm leaving my life in your hands. People say I'm crazy and that I am blind
Risking it all in a glance. How you got me blind is still a mystery
I can't get you out of my head. Don't care what is written in your history
As long as you're here with me
I don't care who you are. Where you're from
What you did. As long as you love me
Who you are. Where you're from
Don't care what you did. As long as you love me”
เยซองร้องไปยิ้มไปอย่างยิ้มความสุข เช่นเดียวกับรยออุกที่ยิ้มไม่หุบเช่นกัน
“แค่นี้พอนะ” เยซองหันไปยิ้มให้รยออุก แล้วทั้งสองก็ออกมาจากรถ
“ทำไมถึงชอบเพลงนี้ล่ะครับ” เมื่อเริ่มออกเดินเพื่อไปยังห้องพักรยออุกก็เริ่มถาม
“ที่จริงฉันเคยใช้เพลงนี้เข้าประกวดที่ต่างประเทศแต่ไม่ชนะ เพราะสำเนียงภาษาอังกฤษฉันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ตอนที่เข้าประกวด แต่ตอนนี้ฉันเก่งภาษอังกฤษแล้วนะ ฉันอยากจะใช้เพลงนี้เข้าประกวดอีกสักครั้ง แล้วก็ต้องชนะด้วย แต่มันคงไม่มีโอกาสแล้วล่ะ ในเมื่อฉันได้มาทำงานในที่ตรงนี้แล้ว โทษทีนะบ่นยาวไปหน่อย พร้อมจะฟังหรือยัง” เยซองพร่ำเพ้อออกมาอย่างมีความสุข ถึงความหลังของตัวเอง แต่ดูท่าทางแล้วรยออุกก็ดูมีความสุขเหมือนกันที่ได้ฟังเยซองเล่าเรื่องของตัวเอง
“น่าเสียดายจังนะครับ ผมเองก็อยากจะทำความฝันให้เป็นจริงเหมือนกัน” รยออุกพูดแล้วยิ้มเจือนๆ เขาคงจะทำให้มันเป็นจริงไม่ได้หรอก ความฝันของเขาน่ะ
“ถึงตานายร้องบ้างแล้วนะ” เยซองทวงสัญญาที่รยออุกให้ไว้ว่าจะร้องเพลงให้เขา แต่ตอนนี้เขาทั้งสองเดินมาถึงหน้าห้องเรียบร้อยแล้ว
“เอาไว้วันหลังแล้วกันนะครับ ผมต้องไปทำอาหารเย็นอีก ขอบคุณมากนะครับที่รับมาด้วย” รยออุกยิ้มให้เยซองก่อนจะตัวกลับเข้าห้องไป เป็นอันว่าวันนี้เยซองก็ไม่ได้รยออุกร้องเพลงอีกครั้ง
“แล้วเมื่อไหร่จะได้ฟังนายร้องเพลงล่ะเนี่ย” เยซองบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะเดินเข้าห้องตัวเองไป เขาคงไม่มีบุญจะได้ฟังรยออุกร้องเพลงล่ะมั้ง ถึงมีโอกาสเมื่อไหร่ก็พลาดทุกที
----Spring, Love Song----
หลังจากที่แยกกับเยซอง รยออุกก็เข้ามาหมกตัวอยู่ในห้องคนเดียว ไม่ได้ทำอาหารเย็นอย่างที่บอกกับเยซองไว้ รยออุกเดินไปรื้อแผ่นเพลงเก่าๆของตัวเองออกมา และมันก็มีเพลงที่เยซองเพิ่งร้องให้ฟังอยู่ด้วย
รยออุกปัดฝุ่นที่หน้าปกซีดีก่อนจะยิ้มบางๆ ออกมา นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับวงการเพลง เกือบปีแล้วล่ะมั้ง ไม่รู้เครื่องเสียงที่อยู่ในห้องจะเสียไปหรือยัง เพราะไม่เคยได้ใช้งานเลย ตั้งแต่ที่ออกจากวงมา
รยออุกใส่แผ่นเพลงลงไปในเครื่องเล่น ยังดีที่เครื่องเล่นไปเสีย พอเปิดเสร็จก็มานอนฟังอยู่ที่เตียง และมันก็เป็นที่น่าแปลกใจสำหรับคนในบ้านมากๆ เพราะนานมากแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงเพลงออกมาจากห้องของรยออุก
แม่ของรยออุกที่เพิ่งกลับมาจากที่ทำงานเดินมาเคาะประหูห้องลูกชาย เธอกลัวว่ารยออุกจะขัดคำสั่งของเธอและร้องเพลง ซึ่งนั่นมันเป็นผลเสียกับรยออุกอย่างมาก
“เปิดประตูให้แม่หน่อยรยออุก” เธอตะโดนเรียกรยออุกอยู่หน้าห้อง ไม่นานประตูก็เปิดออก
“มีอะไรครับ” รยออุกเปิดประตูให้แม่เข้ามาภายในห้อง และหรี่เสียงเพลงลง มันคงแปลกมากที่เขาเปิดเพลง แม่ถึงต้องมาหาแบบนี้
“ทำไมวันนี้ถึงเปิดเพลงฟังล่ะ” เธอลองถามเป็นเชิงไปก่อน เพราะเธอเองก็ไม่อยากว่าอะไรลูกชายมากนัก รยออุกโตแล้วน่าจะฟังคำพูดของเธอมากกว่าขัดคำสั่ง
“ผมแค่อยากฟังน่ะครับ”
“ถ้าฟังก็แล้วไป แต่ห้ามร้องเด็ดขาดเลยรู้มั้ย ลูกรู้ใช่มั้ยว่าถ้าลูกร้องเพลงผลมันจะเป็นยังไง แม่ไม่อยากให้ลูกเป็นแบบนั้น แม่เป็นห่วงลูกนะ เพราะฉะนั้นลูกก็ต้องเป็นห่วงตัวเองบ้าง” เธอเตือนรยออุกอีกครั้ง และคิดว่าลูกชายของเธอก็คงจะเบื่ออยู่เหมือนกัน รยออุกเป็นมะเร็งกล่องเสียงตั้งแต่เมื่อช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง และถ้ารยออุกร้องเพลงจะไม่สามารถพูดได้อีก ทั้งที่รยออุกรักการร้องเพลงแต่ก็ต้องเลิก และออกจากวงมาเพื่อทำการรักษา
“ครับ” รยออุกตอบออกมาเพียงเท่านี้ เพราะเขารู้สังขารของตัวเองดี แต่รู้มั้ย ทีแม่พูดกับเขาทุกวันแบบนี้ มันยิ่งทำให้เขาอยากจะร้องเพลงมากขึ้น
“แล้วกินยาหรือยัง”
“เอ่อ...ทำตกที่ไหนไม่รู้ครับ” รยออุกเงียบไปซักพักก่อนจะตอบออกมา เขาคิดอยู่ว่าควรจะบอกว่าทานแล้วหรือจะบอกความจริง แต่บอกความจริงไปน่าจะดีกว่า
“ทำตก! วันไหน!” เมื่อได้ยินรยออุกบอกออกมาแบบนี้เธอเกือบจะตวาดใส่ ยาเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยเยียวยาอาการของรยออุกได้ แต่รยออุกกลับบอกว่าหายโดยไม่มีท่าทีที่ทุกข์ร้อนอะไร
“ผมไม่รู้ครับ”
“พรุ่งนี้ไปหาหมอกับแม่ตอนเช้าแล้วกัน!!” เธอพยายามจะระงับความโกรธที่รยออุกดูไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเลย เธอพูดใส่รยออุกเสียงดังก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
“เฮ้อ~” รยออุกถอนหายใจออกมายาวพรืด ทำไมไม่ทำให้เขาตายๆไปจากโลกนี้เลย ทำไมต้องมาทนรับรู้สิ่งที่ทรมานแบบนี้
....ถ้าเขาไม่อยู่แล้วแม่คงไม่ต้องมาพูดเตือนเขาทุกวันให้เสียเวลา
....ถ้าเขาไม่อยู่แล้วเขาก็คงไม่ต้องทนเจ็บอยู่ทุกวันแบบนี้
....ไม่ต้องทรมานเวลาได้เห็นคนอื่นทำในสิ่งที่ชอบ ไม่ต้องทรมานที่ต้องรับรู้ว่าอยู่ไปก็เปล่าประโยชน์
----Spring, Love Song----
ช่วงสายของวันนี้รยออุกต้องออกไปโรงพยาบาลกับแม่แต่เช้าเพราะต้องไปขอยามาใหม่ พอไปถึงแม่ของรยออุกก็บ่นให้คุณหมอฟังเป็นชุดเรื่องที่รยออุกดูไม่ค่อยสนใจเรื่องโรคของตัวเอง รยออุกเลยโดนคุณหมอสวดไปตามระเบียบ
“อย่าทำหายอีกล่ะ” แม่ของรยออุกออกปากเตือนลูกชาย เมื่อทั้งสองกำลังจะเดินไปขึ้นรถ
“ครับ....แม่ครับ แม่กลับไปก่อนเลยก็ได้นะครับ ผมมีธุระกับเพื่อนนิดหน่อย”
“กับใครที่ ที่ไหน” พอได้ฟังแม่ของรยออุกก็ถามสวนขึ้นทันที
“เพื่อนที่มหาวิทยาลัย ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้ไปเรียน เพื่อนจดเล็คเชอร์ไว้ให้ บอกให้ผมไปเอา”
รยออุกโกหกออกไปคำโต จริงอยู่ที่เขาไม่ได้ไปมหาวิทยาลัยหลายวันแล้ว แต่ธุระที่เขาว่ามันไม่ใช่เรื่องนี้
“งั้นรีบกลับนะ แม่เป็นห่วง” เธอบอกลูกชายแล้วยิ้มบางๆออกมา ก่อนจะเดินไปขึ้นรถและขับออกไป
พอรถของแม่แล่นไปจนสุดสายตารยออุกก็รีบโบกแท็กซี่ทันที
“ไป SM Entertainment ครับ” รยออุกบอกกับคนขับแท็กซี่แล้วก็หันไปมองด้านหลังเป็นพักๆ ว่าแม่จะไม่ตามเขามา
เมื่อมาถึงที่หมายรยออุกก็ตรงเข้าไปยังประชามสัมพันธ์ของบริษัททันที เขารู้ว่าที่นี่เป็นที่ทำงานของเยซอง แต่หวังว่าจะไม่เจอเยซองที่นี่นะ
“ผมจะมาขอใบสมัครประกวดร้องเพลงประจำฤดูใบไม้ผลิน่ะครับ”
“ค่ะ ติดต่อที่ชั้น 11 เลยค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
รยออุกขึ้นไปติดต่อขอใบสมัครและกรอกข้อมูลส่งใบสมัครจนเสร็จเรียบร้อย ดีอย่างที่ว่าไม่มีรอบออดิชั่น ใครที่สมัครแล้วคนคัดเลือกจะดูจากผลงานและประสบการณ์ถึงจะสามารถเข้าไปถึงรอบชิงได้
เมื่อเสร็จภารกิจทุกอย่างแล้วรยออุกจึงขึ้นแท็กซี่กลับ แต่เขาไม่ได้ลงที่คอนโด กลายเป็นเรื่องประจำไปแล้วที่เขามักจะชอบแวะที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต เพราะปกติเขาต้องไปหาหมอบ่อยๆ และจะชอบแวะซื้อของกินเล็กๆน้อยๆไปประจำ
รยออุกเดินวนไปวนมาบริเวณที่ขายของหวาน พวกช็อกโกแลต ลูกอม ลูกกวาด แต่ก่อนเขาชอบกินของพวกนี้อยู่พอสมควร แต่ตอนนี้ต้องเลือกกินมากขึ้น เขากินอะไรที่มันกลืนลำบากไม่ได้ ทุกวันเลยชอบซื้อพวกลูกอมไปเก็บใส่โหลไว้ดูต่างหน้า
เวลาตอนนี้เกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว มันเกือบจะกลายเป็นเวลาปกติที่เขาจะมาที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต และไม่รู้ว่าวันนี้จะเจอเยซองอีกหรือเปล่า
รยออุกเดินไปตามทางที่จะไปคอนโดเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงคอนโด คิดว่าวันนี้คงจะผิดเวลาเลยไม่เจอเยซอง แต่ทำไมมันถึงได้รู้สึกผิดหวังขึ้นมาก็ไม่รู้ สงสัยจะกลายเป็นความเคยตัวไปแล้วเหมือนกัน ทั้งที่เพิ่งเคยขึ้นรถมากับเยซองเพียงแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น
----Spring, Love Song----
ผ่านมาเกือบสองสัปดาห์แล้วที่เยซองกับรยออุกเริ่มสนิทสนมกัน วันไหนที่พ่อแม่ของรยออุกกลับบ้านช้า รยออุกก็มักจะไปขลุกอยู่ที่ห้องของเยซองและทำอาหารเย็นทานด้วยกันเป็นประจำ รวมไปถึงวันนี้ด้วย
เย็นนี้รยออุกมาทำกับข้าวให้เยซองที่ห้อง แต่รยออุกกลับทานด้วยไม่ได้มากนัก ช่วงนี้คุณหมอเริ่มเข้มงวดกับเรื่องอาหารมากขึ้น เลยทำได้แค่กินอะไรที่มันกลืนง่ายๆเท่านั้น เพราะอาการเจ็บคอเริ่มกลับมากำเริบอีกครั้ง แถมช่วงนี้ยังไอหนักกว่าปกติ
“จำครั้งแรกที่เราเจอกันได้มั้ย” เยซองชวนคุยเรื่องความประทับใจแรกที่ได้เจอกัน ซึ่งมันไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่นัก
“ครับ” รยออุกยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้าน้อยๆ จริงๆแล้วเขาไม่อยากจะคุยเรื่องนี้ซักเท่าไหร่ ครั้งแรกที่เจอเยซอง ตอนนั้นเขากำลังหมดหวังเรื่องโรคของเขาอยู่ และมันก็ทำให้เขาไม่อยากจะพูดอะไรกับใคร
“วันนั้นฉันได้ยินนาย....ฉันเห็นนายเด็ดใบไม้ทิ้ง ฉันแปลกใจมากเลยรู้มั้ย” ตอนแรกเยซองคิดว่าจะถามถึงประโยคแรกที่เขาได้ยินรยออุกพูด แต่คิดว่ามันคงไม่ดีเท่าไหร่นัก เลยเปลี่ยนเรื่องคุยใหม่
เมื่อรยออุกได้ฟังสิ่งที่เยซองพูดก็เงียบไปทันที เขาก้มหน้าลงมองพื้น ความรู้สึกที่เหมือนไม่มีทางออกเริ่มกลับเข้ามาครอบงำจิตใจอีกครั้ง ฤดูใบไม้ผลิ เขาเกลียดฤดูนี้ที่สุด สิ่งที่มันควรจะดีขึ้น แต่ทุกอย่างในชีวิตเขามันกลับแน่ลง
“ฉันอยากรู้มากเลยว่าทำไมนายต้องเด็ดใบไม้พวกนั้นทิ้ง ฉันนะอยากให้ใบไม้พวกนั้นผลิใบออกมา อยากให้ต้นไม้ของน้องชายฉันผลิใบออกมาเหมือนต้นไม้ของนายบ้าง” เยซองพูดไปใบหน้าก็เศร้าลงเรื่อยๆ เรื่องที่เศร้าที่สุดในชีวิต ก็คือเรื่องของน้องชายของเขา เรื่องของฮยอกแจ และมันก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขาด้วย
แม้เยซองจะพูดอะไรออกมารยออุกก็ไม่แม้แต่จะพูดตอบเลยซักคำเดียว คนตัวเล็กชันเข่าขึ้นมาและซุกหน้าลง เยซองชอบใบไม้พวกนั้นแต่เขากลับเกลียดมันที่สุด ทำไมเขาถึงไม่เป็นอย่างฮยอกแจน้องชายของเยซองบ้าง เขาอิจฉาคนๆนั้นจริงๆ
“เงียบเลย เป็นอะไรหรือเปล่า” เยซองเห็นรยออุกไม่พูดอะไรตอบกลับมาบ้างเลย เลยถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
รยออุกเงยหน้าขึ้นมามองเยซองด้วยสายตาและใบหน้าที่เรียบเฉย และลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องทันที สร้างความตกใจให้เยซองเป็นอย่างมาก
เยซองลุกขึ้นตามรยออุกไป แต่พอไปถึงหน้าห้องก็เห็นแค่เพียงประตูห้องของรยออุกปิดลงอย่างแรง
“เป็นอะไรของเขา” เยซองขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ เขาพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นเหรอ รยออุกถึงได้มีอาการเปลี่ยนไป
เยซองยืนมองประตูห้องรยออุกซักพักก่อนจะเดินกลับเข้าห้องไป เขาไม่กล้าพอที่จะเดินเข้าไปเคาะประตูและถามว่า รยออุกนายเป็นอะไร ถึงช่วงแรกๆที่รู้จักกันเขาจะไม่ได้สนใจนักที่รยออุกมักจะทำหน้าเย็นชาใส่ แต่ตอนนี้เขากลับอยากรู้และไม่อยากละเลยมันไป แต่เขากลับไม่กล้าพอที่จะถาม
----Spring, Love Song----
ในที่สุดวันประกวดร้องเพลงประจำฤดูใบไม้ผลิก็มาถึง เยซองดูยุ่งมากเมื่อสองวันที่ผ่านมา มันทำให้เขาไม่มีเวลาเขาไปเยี่ยมฮยอกแจมากนัก และเขาก็ไม่ได้เจอกับรยออุกเลย
เวที แสง สี และเสียงถูกจัดไว้อย่างดี คณะกรรมการสามคนนั่งอยู่หน้าเวทีเพื่อคัดเลือกหานักร้องที่ดีที่สุด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเยซองด้วย
ผู้เข้าประกวดแต่ละคนต่างเอาความสามารถในด้านการร้องเพลงของตัวเองมาประชันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร จนคณะกรรมการเองก็เริ่มจะหนักใจอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่ผู้เข้าประกวดคนที่หนึ่ง จนตอนนี้คนที่สี่ก็ยังไม่สามารถหาผู้ที่ดีกว่ากันได้เลย
ภายในห้องแต่งตัวของผู้เข้าประกวดรยออุกกำลังนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ เพลงในโทรศัพท์ถูกเล่นวนซ้ำไปซ้ำมาเพลงเดียวอยู่หลายรอบ เขาฟังเพื่อให้เกิดความมั่นใจ เพราะไม่ได้ร้องเพลงมานาน และมันจะต้องออกมาดีที่สุด
เมื่อเช้าตอนที่ออกมาจากห้องรยออุกลืมบัตรสำหรับผู้เข้าประกวดไว้บนโต๊ะในห้อง ดีที่เจอพี่สตาร์ฟตอนที่ไปสมัครพี่เขาเลยจำหน้าได้และทำบัตรให้ใหม่ เขาไม่กล้ากลับไปเอาที่บ้านถ้าเจอแม่เข้าเขาอาจจะไม่ได้ออกมา และเขาไม่ได้บอกแม่ว่าจะออกไปไหน เขาไม่ได้อยากให้แม่รู้ว่าเขามาทำอะไร ถ้าหากโชคร้ายแม่เข้าไปในห้องและเห็นบัตรนั่นเข้า เขาเองก็คงต้องเลิกประกวด
“หวังว่าแม่คงไม่เข้ามาเห็นนะ” รยออุกบ่นพึมพำอยู่กับตัวเองพลางยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู ใกล้เวลาจะถึงคิวเขาแล้ว ความตื่นเต้นที่ห่างหายไปนานมันได้กลับมาอีกครั้ง
รยออุกเดินออกไปดูบริเวณหลังเวที เสียงร้องเชียร์ผู้เข้าประกวดดังก้องไปหมด บรรยากาศเก่าๆในความทรงจำตอนที่เขาประกวดวงดนตรีกับเพื่อนๆเริ่มกลับเข้ามาอีกครั้ง
รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของรยออุกโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว เขารู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเพลง และได้ร้องเพลง ถึงว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของเขา แต่เขาจะไม่เสียใจเลยหากได้ทำมัน ถึงมันจะทำให้เขาไม่สามารถพูดได้เหมือนอย่างแต่ก่อนก็ตาม
----Spring, Love Song----
“รยออุก! ไม่อยู่หรอกเหรอ” คุณแม่ของรยออุกเคาะประตูห้องเรียกลูกชายอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา จึงเปิดเข้าไปดูก็พบแต่ความว่างเปล่า
“ไปไหนของเขานะ” เธอเดินวนไปวนมาอยู่ในห้อง วันนี้รยออุกไม่ได้บอกเธอว่าจะออกจากบ้าน แต่เธอกลับไม่เห็นตั้งแต่เช้า ไม่รู้ว่าจะแอบหนีไปทำอะไรหรือเปล่า
“บัตรประจำตัวผู้เข้าประกวดร้องเพลงประจำฤดูใบไม้ผลิ” กระดาษแข็งใบเล็กๆที่วางอยู่บนโต๊ะถูกหยิบขึ้นมาอ่าน เมื่อแม่ของรยออุกเดินเข้าไปเห็น
เมื่ออ่านสิ่งที่เขียนอยู่ในบัตรจบ กระดาษแข็งใบน้อยก็ร่วงลงสู่พื้นห้องทันที แม่ของรยออุกรีบวิ่งออกจากห้องของรยออุก เธอหยิบของที่จำเป็นเท่านั้นแล้วออกจากห้องพักไป
สิ่งที่เธอกลัวที่สุดกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่เธอเฝ้าบอกกับลูกชายทุกวันว่าอย่าทำ แต่วันนี้มันกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว
แม่ของรยออุกรีบออกรถจากคอนโดเพื่อไปยังสถานที่ประกวด อีกมือก็กดโทรหารยออุก หวังว่ามันจะยังไม่สายเกินไปหรอกนะ
----Spring, Love Song----
อีกแค่เพียงคนเดียวเท่านั้นก็จะถึงคิวของรยออุก เขาถอดหูฟังออกจากหูแล้วเก็บโทรศัพท์มือถือใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายโดยตั้งระบบสั่นไว้ ก่อนจะเดินไปหาสตาร์ฟเพื่อสแตนบาย โดยที่ไม่รู้เลยว่าโทรศัพท์มือถือที่เขาเพิ่งใส่ไว้ในกระเป๋านั้นมันสั่นขึ้นเพียงแค่ก้าวแรกที่เขาเดินไป
“ต่อไปเป็นผู้เข้าประกวดคนที่สิบเอ็ดแล้วนะครับ ขอเสียงปรบมือให้กับคิมรยออุกด้วยครับ” สิ้นเสียงของพิธีกรประจำงาน ก็มีเสียงปรบมือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แล้วเสียงทุกอย่างก็เงียบกริบ
“คิมรยออุกเหรอ” เยซองถามเพื่อนกรรมการนั่งอยู่ข้างๆ พร้อมกับหยิบประวัติของผู้เข้าประกวดคนนี้มาดู ซึ่งเป็นคิมรยออุกที่เขารู้จักจริงๆ แล้วทำไมเขาถึงไม่รู้ล่ะว่ารยออุกเข้าประกวดด้วย
รยออุกยิ้มให้กับตัวเองอีกครั้งก่อนจะก้าวขึ้นไปบนเวที ไม่มีเสียงร้องเชียร์เหมือนกับผู้เข้าประกวดคนอื่นๆ เพราะในที่นี้ไม่มีคนรู้จักเขา และเขาก็ไม่ได้บอกใครเรื่องนี้ด้วย คงจะมีเพียงเยซองคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าเขาเป็นใครและมาจากไหน
“มาเข้าประกวดทำไมไม่บอกกันมั้งล่ะเนี่ย” ถึงจะบ่นแต่ปากก็ยิ้มไปด้วย เยซองถือประวัติของรยออุกไว้อย่างนั้นและส่งยิ้มไปให้ วันนี้เขาจะได้ฟังรยออุกร้องเพลงแล้วสินะ
เยซองยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินเสียงเพลง มันเป็นเพลงที่เขาเคยร้องให้รยออุกฟัง และก็เป็นเพลงที่เขาเคยใช้ประกวดที่ต่างประเทศ เขารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่รยออุกเลือกเพลงนี้มาร้อง
รยออุกเดินมาด้านหน้าเวทีและส่งยิ้มไปให้เยซอง มันเป็นรอยยิ้มที่ดูความสุขซึ่งเยซองไม่เคยเห็นมันมาก่อน เหตุผลที่รยออุกลงประกวดครั้งนี้เพื่อทำให้ความฝันของตัวเองเป็นจริงซักครั้ง และเขาก็อยากจะเป็นตัวแทนความฝันของเยซองถึงได้เลือกเพลงนี้ ตอนนี้เขากำลังทำความฝันของเขาและเยซองให้เป็นจริงพร้อมๆกัน
“Although loneliness has always been
A friend of mine
I'm leaving my life in your hands
People say I'm crazy and that I am blind
Risking it all in a glance”
เสียงที่รยออุกเปล่งออกมานั้นถึงจะฟังดูขาดๆหายๆไปซักนิด แต่มันก็เพราะจับใจคนฟัง สีหน้าและการแสดงออกทางท่าทางของรยออุกดูเป็นธรรมชาติอย่างมาก กรรมการอีกสองคนที่นั่งข้างเยซองพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ส่วนเยซองก็ขยับปากร้องตามไปด้วยอย่างมีความสุข
“How you got me blind is still a mystery
I can't get you out of my head
Don't care what is written in your history
As long as you're here with me”
เมื่อร้องมาถึงท่อนนี้สีหน้าที่ดูมีความสุขเมื่อกี้กลับหม่นหมองลง รยออุกหลับตาลง น้ำตาหยดใสๆไหลผ่านแก้มลงมา ความเจ็บแสบที่คอมันกำลังทรมานเขา เสียงที่จะเปล่งออกมาก็รู้สึกว่ามันยากลำบากมากขึ้น เขาไม่ได้ร้องไห้เพราะความเจ็บปวดที่ร่างกาย แต่ร้องไห้เพราะความเจ็บใจ เจ็บใจที่จะต้องพ่ายแพ้ต่อความอ่อนแอของตัวเอง
“I don't care who you are
Where you're from
What you did
As long as you love me
Who you are
Where you're from
Don't care what you did
As long as you love me”
น้ำตาของรยออุกยังคงไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคน เยซองหยุดร้องเพลงและหันไปให้ความสนใจกับรยออุกที่อยู่บนเวทีแทน เขาไม่เข้าใจว่ารยออุกเป็นอะไร ทั้งที่เมื่อกี้ดูความสุข แต่ตอนนี้กลับแสดงสีหน้าที่เจ็บปวดออกมาพร้อมกับน้ำตา
“Every little thing that you have said and done
Feels like it's deep within me
Doesn't really matter if you're on the run
It seems like we're meant to be”
เสียงเพลงยังคงบรรเลงต่อไป แต่กลับไร้ซึ่งเสียงของรยออุกทั้งที่ปากเจ้าตัวยังขยับอยู่ มีเพียงเสียงแหบๆที่เล็ดลอดออกมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น
เยซองลุกขึ้นยืนมองไปยังบนเวทีด้วยสีหน้าที่ดูเป็นกังวลและเป็นห่วงอย่างมาก ตอนนี้เขาอยากจะขึ้นไปบนนั้นซะด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่ารยออุกเป็นอะไรกันถึงได้ร้องไห้ และเสียงก็หายไปแบบนั้น
“นั่งรอเยซอง” คณะกรรมการอีกคนที่นั่งข้างเยซองดึงแขนให้เยซองนั่งลงซะ เพราะนี่กำลังอยู่ในระหว่างการแข่งขัน ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นอะไรถึงได้ร้องไห้ แต่มันก็ดูไม่สมควรที่เยซองจะทำท่าเป็นห่วงขนาดนี้
“แต่ว่ารยออุก....”
“นั่งลงซะ!” เสียงของคนคณะกรรมการที่อาวุโสที่สุดพูดขึ้น เยซองเลยต้องยอมนั่งลงแต่โดยดี ได้แต่มองดูรยออุกด้วยความเป็นห่วงเท่านั้น
เยซองแทบจะนั่งไม่ติดที่เมื่อเสียงของรยออุกมันหายไปจนไม่ได้ยินแล้ว ตั้งแต่วันที่รยออุกเดินออกไปจากห้องเขาวันที่เขาพูดเรื่องครั้งแรกที่เขาได้เจอกับรยออุก เขาทั้งสองก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย แถมยังบทสนทนาแปลกๆที่เขาได้ยินแม่ของรยออุกพูดอีก
‘ที่สำคัญห้ามร้องเพลงเด็ดขาด’ เยซองนึกถึงคำพูดของแม่รยออุกวันนั้นที่เขาบังเอิญได้ยินแล้วก็รู้สึกใจหายแปลกๆ แม่ของรยออุกจะห้ามไม่ให้ร้องเพลงทำไมกัน แล้วตอนนี้พ่อกับแม่ของรยออุกอยู่ที่ไหนกันล่ะ
“I've tried to hide it so that no one knows
But I guess it shows
When you look into my eyes
What you did and where you're coming from
I don't care, as long as you love me, baby”
รยออุกยังคงร้องเพลงต่อไปโดยไม่สนใจเลยว่าใครจะได้ยินเสียงของเขาหรือไม่ อาการเจ็บแสบที่คอก็เริ่มทวีความรุนแรงเรื่อยๆ ถึงเพลงนี้จะไม่ได้ใช้เสียงที่หนักหนาอะไรมากมายก็ตาม
เสียงรยออุกดังออกมาอย่างแผ่วเบาแค่เพียงประโยคสุดท้ายเท่านั้น ก่อนที่เปลือกตาจะปิดลงด้วยความหนักอึ้ง รยออุกดึงไมค์ออกห่างจากริมฝีปาก อาการไอของเขาเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จากที่ไอธรรมดาก็กลับไอเป็นเลือด จนผู้คนที่เห็นอาการของรยออุกนั้นเริ่มแตกตื่น
“รยออุก!!” เยซองวิ่งขึ้นไปบนเวทีอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นรยออุกไอหนักขึ้น และตามด้วยสตาร์ฟอีกสองสามคนที่ขึ้นมาช่วย
“เป็นอะไรรยออุก!! นายเป็นอะไร!!” เยซองจับไหล่รยออุกให้หันมามองตนเอง รยออุกเพียงแค่หันมายิ้มให้เล็กน้อยเท่านั้น แล้วก็ไอเป็นเลือดออกมา
“ฉันจะพาเขาไปโรงพยาบาลนะ” เยซองบอกกับสตาร์ฟก่อนจะอุ้มรยออุกออกไปจากที่ประกวด ท่ามกลางความตื่นตระหนกและความมึนงงของผู้คน
“แล้วเราจะเอายังไงต่อดี” หนึ่งในคณะกรรมการพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเครียดๆ เยซองออกไปแล้ว แถมยังเกิดเหตุการณ์ไม่ดีขึ้นอีก สถานการณ์ตอนนี้จะเรียกว่างานล่มได้หรือเปล่า
“จัดการประกวดต่อ” คณะกรรมการที่อาวุโสที่สุดพูดขึ้น พร้อมกับเรียกสตาร์ฟมาเพื่อสั่งการ และการประกวดก็ยังคงดำเนินต่อไป
----Spring, Love Song----
ใช้เวลาพอสมควรกว่าแม่ของรยออุกจะขับรถมาถึงสถานที่ที่ใช้ในการประกวด เธอรีบวิ่งเข้าไปด้านในทันทีที่มาถึง เสียงร้องเชียร์และเสียงเพลงดังกระหึ่มทั่วทั้งห้อง เธอกวาดสายตามองหารยออุกและเดินเข้าไปด้านในเรื่อยๆ ในมือก็ถือโทรศัพท์มือถือโทรหารยออุกอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ออกจากบ้าน
“ขอโทษนะคะ ผู้เข้าประกวดที่ชื่อรยออุกอยู่ไหนเหรอคะ” เธอถามสตาร์ฟคนหนึ่งออกมาด้วยท่าทางที่รีบร้อน เธอไม่อยากถามว่ารยออุกร้องเพลงไปหรือยัง เพราะเธอไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น
“รยออุกเหรอครับ เพิ่งร้องไปเมื่อกี้เองครับ แต่รู้สึกเค้าจะไม่สบายมั้งครับ”
“ร้องไปแล้วเหรอคะ!! แล้วตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหนคะ!! บอกฉันมาเร็วๆสิคะ!” เธอสวนขึ้นมาทันที่ฟังจบและเขย่าตัวสตาร์ฟอย่างแรง เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นเพราะเธอหรือรยออุกกันแน่ ทั้งที่เธอพยายามทุกอย่างเพื่อรักษารยออุกไว้ แต่รยออุกกลับเป็นคนทำลายตัวเองด้วยตัวเอง เธอคงเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องเลยสินะ ลูกชายแค่คนเดียวถึงดูแลไม่ได้
“มีคนพาไปส่งโรงพยาบาลแล้วครับ แต่ผมไม่รู้ว่าที่ไหน” สตาร์ฟคนนี้รีบตอบออกมาด้วยความตกใจ และคิดว่าเธอคนนี้คงจะเป็นญาติกับรยออุกแน่ๆ
แม่ของรยออุกรีบวิ่งไปยังที่จอดรถทันทีเมื่อได้คำตอบ ถึงจะไม่รู้ว่ารยออุกถูกพาไปที่โรงพยาบาลไหน แต่มันก็คงไม่ไกลจากที่นี่มากนัก ตอนนี้เธอได้แต่ภาวนาให้รยออุกปลอดภัยเท่านั้นพอ
----Spring, Love Song----
เยซองพารยออุกมายังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด รยออุกถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินทันทีที่มาถึง เพราะรยออุกสลบไปตั้งแต่อยู่บนรถ ทำให้เยซองรู้สึกเป็นห่วงเป็นอย่างมาก เขาไม่รู้ว่ารยออุกเป็นอะไร แต่อาการแบบนี้คงจะไม่ใช่แค่หวัดธรรมดาแน่นอน
เยซองเดินวนไปมาอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน เขาอยากจะติดต่อกับพ่อหรือแม่ของรยออุกแต่ก็ไม่มีทางไหนที่จะสามารถติดต่อได้เลย ในตัวรยออุกก็ไม่มีแม้แต่โทรศัพท์มือถือหรือบัตรประชาชน เพราะทุกอย่างถูกเก็บไว้ในกระเป๋าสะพายที่อยู่ในห้องแต่งตัว
เสียงฝีเท้าคนที่วิ่งไปมาวิ่งมาทำให้เบนความสนใจจากเยซองไป เขาหันไปมองที่ทางเดินซึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูท่าทางเร่งรีบ เหมือนเธอกำลังมองหาอะไรอยู่ซักอย่าง และเขาก็รู้สึกคุ้นตากับเธอเป็นอย่างมาก
เธอหันมามองทางเยซองแล้ววิ่งมาหา แต่เธอกลับวิ่งผ่านหน้าเยซองไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องฉุกเฉิน ใบหน้าของเธอมีน้ำตาไหลออกมาอยู่ตลอดเวลา
“รยออุกอยู่ในนี้ใช่มั้ยคะ” แม่ของรยออุกหันมาถามเยซองทั้งน้ำตา ตอนที่เธอมาถึงเธอก็วิ่งเข้าไปถามประชาสัมพันธ์ เจ้าหน้าที่บอกว่ามีผู้ป่วยถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินเมื่อยี่สิบนาที และเธอก็แน่ใจว่าต้องเป็นรยออุกแน่นอน พอวิ่งเข้ามาก็เห็นเยซองยืนอยู่ มันก็ยิ่งทำให้เธอมั่นใจมากขึ้น เพราะเธอจำได้ว่าเยซองอยู่ห้องตรงข้ามกับเธอและรยออุกมักจะไปหาบ่อยๆ และเยซองก็คงจะเป็นคนที่พารยออุกมาส่ง
“ครับ” เยซองตอบออกมาสียงแผ่วเมื่อเห็นน้ำตาของแม่รยออุกที่ไหลออกมาไม่ขาดสาย ทำให้เขายิ่งใจเสียเข้าไปใหญ่ ตกลงรยออุกเป็นอะไรกันแน่
เมื่อได้ฟังคำตอบแม่ของรยออุกก็ร้องไห้หนักมากกว่าเดิมและทรุดลงตรงหน้าประตูจนเยซองต้องรีบเข้าไปพยุงให้มานั่งที่เกาอี้
“รยออุกเป็นอะไรเหรอครับ” เยซองถามออกมาในสิ่งที่ตัวเองสงสัย แต่พอแม่ของรยออุกได้ฟังกลับร้องไห้ไม่หยุด
“รยออุกเขา...เขาร้องเพลงใช่มั้ยคะ....ฮึก...เขาร้องเพลงไปแล้วใช่มั้ย” เธอถามออกมาด้วยความยากลำบาก การที่จะทำใจเพื่อรับรู้ในสิ่งที่รู้ว่ามันจะต้องทำให้ตัวเองเจ็บปวดนี่มันทรมานจริงๆ
“ครับ รยออุกร้องเพลง” เยซองพยักหน้าขึ้นลงเบาๆ นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้ยินแม่ของรยออุกพูดถึงการร้องเพลง และเขาก็คิดว่าที่รยออุกเป็นแบบนี้อาจจะเกี่ยวกับการร้องเพลงก็เป็นได้
“เขาร้องเพลงไม่ได้....รยออุกร้องเพลงไม่ได้...ฮึก...รยออุกเป็นโรคมะเร็งกล่องเสียง....เขาร้องเพลงไม่ได้....ฮึก....” เมื่อแม่ของรยออุกได้ฟังเธอก็หลับตานิ่งพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา เธอเงียบไปนานซักพักเหมือนเป็นการทำใจก่อนจะพูดออกมา
“มะเร็งกล่องเสียง” เยซองพูดออกมาเสียงเบาหวิว ทำไมรยออุกถึงไม่เคยบอกเขาเรื่องนี้มาก่อนเลย หรือเขาไม่เคยกับสนใจกับอาการของรยออุกกันแน่นะ
ครั้งแรกที่เจอกัน กับคำพูดแปลกๆ เหมือนกับว่ารยออุกไม่อยากจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว และอีกหลายอย่างที่เขาได้เห็นอาการแปลกๆ ของรยออุก แต่ทำไมเขาถึงไม่สนใจมันและปล่อยให้เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้
หลังจากนั้นเยซองกับแม่ของรยออุกก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก พ่อของรยออุกถูกเรียกตัวมาใน ทั้งสามคนต่างรู้สึกเศร้าเสียใจกับเรื่องที่มันเกิดขึ้น จนเวลาผ่านไปกว่าสองชั่วโมงประตูห้องฉุกเฉินจึงเปิดออก เยซองกับแม่ของรยออุกรีบลุกขึ้นเดินตรงไปหาคุณหมอทันที
“ลูกชายของฉันเป็นยังไงบ้างคะ” แม่ของรยออุกถามด้วยความร้อนรน น้ำตาของเธอเหือดแห้งไปแล้วเหลือแค่เพียงคราบที่เปรอะเปื้อนบนใบหน้าเท่านั้น ส่วนเยซองและพ่อของรยออุกเองก็รอฟังคำตอบอยู่เช่นกัน ท่าทางของทั้งสองคนนั้นไม่ได้ต่างจากแม่ของรยออุกเลย
“ผมเสียใจด้วยนะครับ ลูกชายของคุณไม่สามารถพูดได้อีกต่อไปแล้ว”
----Spring, Love Song----
“หนึ่งปีแล้วสินะที่นายไม่ได้พูดอะไรกับฉันเลย” เยซองในชุดสูทสีเทาพูดขึ้นมาแล้วยิ้มบางๆออกมา ในมือของเขามีช่อดอกไม้ช่อใหญ่ สายลมเย็นที่พัดผ่านไปมาทำให้รู้สึกสบายเป็นอย่างยิ่ง และเขาหวังว่ารยออุกจะรู้สึกสบายเมื่อได้อยู่ที่นี่
“ฉันมาหานายแล้วนะรยออุก สบายดีใช่มั้ย” เยซองวางช่อดอกไม้ไว้หน้าป้ายหินที่มีตัวอักษรเขียนว่า คิมรยออุก เขายืนขึ้นและยิ้มออกมาอีกครั้ง
รยออุกจากไปตอนปลายฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว หลังจากที่รยออุกรู้ว่าตัวเองไม่สามารถพูดได้แล้วเพียงแค่สองเดือนเท่านั้น ไม่ใช่ว่ารยออุกไม่สู้ แต่เพราะเนื้อร้ายมันรุกลามไปยังอวัยวะอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนรยออุกสู้ไม่ไหว จากไปในที่สุดซึ่งเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิพอดี
เยซองเดินเล่นอยู่แถวนั้นซักพักจึงเดินมานั่งหลบแดดอ่อนๆใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆหลุมศพของรยออุก เขาหยิบไอพอดขึ้นมาเปิดเพลงฟัง แต่กลับใช้หูฟังแค่ข้างเดียวเท่านั้น
“ฉันว่านายคงจะชอบเพลงนี้นะ” เยซองพูดแล้วมองไปที่หูฟังอีกข้างที่เขาไม่ได้ใช้ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ เพลงที่รยออุกใช้ในการประกวดวันนั้น เขาหวังว่ารยออุกคงจะชอบเหมือนเขานะ
ฟังเพลงไปเยซองก็ยิ้มไปดูมีความสุข เขามักจะมาที่นี่ทุกครั้งที่มีเวลา และจะมีช่อดอกไม้ช่อใหญ่มาทุกๆ ครั้งที่วันเวลาเริ่มฤดูใหม่ แต่ครั้งนี้ดูจะพิเศษมากกว่าครั้งอื่น เพราะตอนนี้คือฤดูใบไม้ผลิ เวลาที่เขาเกิดความรู้สึกดีๆกับคนๆหนึ่ง ถึงทุกอย่างมันจะเกิดขึ้นรวดเร็วจนเขาไม่สามารถตั้งตัวได้ทัน แต่ความรู้สึกดีๆเหล่านี้ก็ไม่เคยจางหายไปจากใจเขาเลย
“ถ้าเวลาของเรามีมากกว่านี้ก็ดีสินะ” คำพูดที่เอ่ยกับสายลมเหมือนมันเป็นการขอร้องกับเทพเจ้าซะมากกว่า ถ้าได้เจอกันเร็วกว่านี้มันคงจะดีกว่านี้ ถ้าเยซองคนนี้สนใจรยออุกกว่านี้ เรื่องร้ายๆก็คงจะไม่เกิดขึ้น
“จะช้าไปมั้ยนะ ถ้าฉันจะบอกว่ารักนายเข้าซะแล้วรยออุก”
----Spring, Love Song----
I don't care who you are
Where you're from
What you did
As long as you love me
Who you are
Where you're from
Don't care what you did
As long as you love me
ฉันไม่สนใจหรอกว่าคุณเป็นใคร
ไม่เคยสนใจว่าคุณจะมาจากไหน
ไม่สนใจว่าคุณจะเคยทำอะไร
ตราบนานเท่าที่คุณรักฉัน
----Spring, Love Song----
ฤดูกาลผ่านพ้นฤดูใบไม้ผลิไป และจะเริ่มเข้าสู่ช่วยฤดูร้อนอีกครั้ง
สิ่งที่ผมทำลงไป ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรใหม่ได้ ถ้าผมรู้อะไรมากกว่านี้เรื่องร้ายๆคงไม่เกิดขึ้น
แต่มันจะช้าไปมั้ยถ้าฉันจะบอกว่ารักนาย ถึงแม้นายจะไม่ได้อยู่กับฉันแล้วก็ตาม
---------The End---------
ตอนสุดท้ายของ4ฤดูแล้วนะจ๊ะเพื่อนๆ
เห็นมีคนถามหา ไรเตอร์เกือบลืมไปซะแล้ว
เอามาคั่นความสุขด้วยความเศร้าก่อนฟิคจะจบ
อย่าร้องไห้จนน้ำตาท่วมบ้านนะ
ตอนสุดท้ายของ4ฤดูแล้วนะจ๊ะเพื่อนๆ
เห็นมีคนถามหา ไรเตอร์เกือบลืมไปซะแล้ว
เอามาคั่นความสุขด้วยความเศร้าก่อนฟิคจะจบ
อย่าร้องไห้จนน้ำตาท่วมบ้านนะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น