Chapter 37 : ลาออก
ในเวลาเที่ยงวันที่แสงแดดร้อนระอุ นักศึกษามากมายเดินขวักไขว่ในโรงอาหารต่างจากบรรยากาศบริเวณหอพักที่ค่อนข้างเงียบสงบ จะมีนักศึกษาเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กลับมาที่หอหรืออาจจะไม่มีชั่วโมงเรียนในเวลาอันใกล้นี้ เช่นเดียวกับฮีชอลที่เดินอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัดบริเวณหอสิบสามที่อยู่ด้านในสุด ไม่ใช่เพราะไม่มีเรียนหรือคิดอยากกลับหอแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะฮีชอลเพิ่งกลับจากบ้านหลังจากหยุดเรียนและขาดการติดต่อกับเพื่อนๆไปกว่าสามวัน
ฮีชอลขึ้นลิฟต์เพื่อไปยังห้องพักอย่างคนไร้ชีวิตชีวา เปิดประตูเข้าไปพบเพียงความว่างเปล่าเพราะซีวอนก็คงออกไปเรียนปกติเหมือนอย่างทุกวัน และพอนึกถึงไอ้โรคจิต รูมเมทที่ตนตั้งสมญานามให้เส้นเลือดที่สมองมันก็เต้นตุบๆ รู้สึกเครียดขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าถ้าเกิดซีวอนกลับมาแล้วจะปั้นสีหน้าหรือทำตัวยังไง ที่กลับมาไม่ใช่ว่าพร้อมที่จะสู้ปัญหา แต่รู้สึกว่าหนีไปมันก็เท่านั้นไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้นมาเลยสักนิด
กระเป๋าสะพายใบเล็กถูกโยนไว้ข้างเตียงก่อนที่ฮีชอลจะล้มตัวลงนอนตามด้วยความรู้สึกอ่อนเพลีย ถึงแม้ว่าสามวันที่ผ่านมาฮีชอลจะพักอยู่ที่บ้านแต่มันกลับไม่เหมือนการพักผ่อนเลยสักนิด เขาเอาแต่คิดเรื่องของครอบครัวจนไม่เป็นอันกินอันนอน ส่วนนาราก็พาลแต่จะโมโหอยู่เรื่อยเมื่อเขาพูดว่าให้สารภาพความจริงออกไป อีวานเองก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากคอยห้ามปรามเวลานาราใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
นอนหลับตาจากความเหนื่อยล้าได้ไม่นานนักฮีชอลก็เผลอหลับไปโดยลืมไปเลยว่าประตูห้องนั้นยังเปิดแง้มไว้อยู่ ดวงตาคู่คมคู่หนึ่งโผล่พ้นช่องว่างจากประตูที่เปิดแง้มไว้ สีหน้านั้นตีเรียบนิ่งเช่นเดียวกับแววตาที่ทอดมองไปยังร่างบอบบางที่นอนสงบนิ่งอยู่
ยืนมองอยู่หน้าประตูห้องได้พักใหญ่ประตูที่แง้มเอาไว้ก็ถูกเปิดออกจนกว้าง ร่างสูงใหญ่ของซีวอนก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆด้วยความเงียบ รายงานที่ต้องส่งในคาบวิชาต่อไปซึ่งวางอยู่บนโต๊ะถูกหยิบใส่กระเป๋า เนื่องจากลืมหยิบไปเมื่อเช้าทำให้ต้องเสียเวลากลับมาเอาในเวลาพักเที่ยงแบบนี้
ซีวอนหันหน้ากลับมายังร่างฮีชอลที่นอนหลับอยู่บนเตียง สายตาจ้องมองสีหน้าที่ดูเหนื่อยล้าแม้ยามหลับใหล ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าที่ฮีชอลหายไปถึงสามวันเจ้าตัวเขาไปเจออะไรมาบ้าง แต่ตอนนี้ก็คงต้องปล่อยในนอนพักผ่อนไปก่อน อีกอย่างเขาไม่มีเวลาจะมานั่งสอบสวนอะไรตอนนี้ด้วย
เสียงถอนหายใจดังออกมาเบาๆอย่างรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก ซีวอนกดยิ้มบางๆก่อนจะเดินออกไปจากห้องและไม่ลืมล็อกประตูให้เรียบร้อย แม้รู้อยู่เต็มอกก็เถอะว่าฮีชอลหลอกลวงครอบครัวของเขาและมันคงเป็นการกระทำที่ไม่น่าให้อภัย แต่ก็ยอมรับเลยว่าที่เห็นฮีชอลกลับมาแบบนี้มันทำให้รู้สึกโล่งใจไม่น้อย
“กลับมาซักทีนะ” ซีวอนพึมพำขึ้นมาเบาๆที่หน้าประตูห้องก่อนจะเดินตรงไปยังลิฟต์เพื่อกลับไปให้ทันคาบบ่ายที่กำลังจะเริ่มขึ้นอีกไม่ช้านี้
“ดงแฮเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมช่วงนี้ดูเงียบๆ” ฮยอกแจเอ่ยถามดงแฮที่นั่งกินข้าวกลางวันอยู่ตรงข้ามกัน
“เปล่าหรอก ไม่ได้เป็นไร” ส่ายหน้าตอบคำถามแล้วตักข้าวเข้าปากเหมือนอย่างคนที่ไม่อยากกินมันเข้าไปสักนิด
“เหรอ แล้วคิบอมล่ะ เดี๋ยวนี้ไม่เห็นมารับไปกินข้าวด้วยกันเลย” เรียวอุกที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยถามขึ้นเมื่อรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับรูมเมทคู่นี้มาสักพักหนึ่งแล้ว
พอถามถึงคิบอมปุ๊บดงแฮก็ปั้นหน้าบึ้งใส่ทันที แถมไม่ตอบคำถามเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทานอาหารของตัวเองอย่างเดียว
ฮยอกแจกับเรียวอุกหันไปมองหน้ากันแล้วยักไหล่อย่างไม่รู้จะทำยังไงดีในเมื่อเจ้าตัวเขาไม่ยอมตอบ แต่ดูจากท่าทางแล้วยังไงร้อยทั้งร้อยคงต้องมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นระหว่างสองคนนี้แน่ๆ
“ทะเลาะกันเหรอ” เรียวอุกถามลองเชิง ซึ่งดูเหมือนมันจะได้ผลเกินคาด
ได้ยินคำถามนี้ดงแฮยิ่งหน้าบึ้งไปกันใหญ่แถมยังเบือนหน้าหนีไม่พูดไม่จาอีกต่างหาก เพราะพอได้ยินชื่อคิบอมแล้วความรู้สึกน้อยใจมันก็พุ่งปี๊ดขึ้นมาทันที ก็ช่วงนี้คิบอมชอบคุยโทรศัพท์บ่อยๆ แถมคุยแล้วยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ดูเหมือนไม่ค่อยสนใจเขาเหมือนเดิม พอถามว่าคุยกับใครก็ตอบเหมือนกั๊กเอาไว้แล้วยิ้มลูกเดียว และที่ช่วงนี้เขาไม่ได้กินข้าวกลางวันกับคิบอมเพราะเขาเป็นคนสั่งไว้เองว่าไม่ต้องมารับไปกินข้าวอยากกินกับเพื่อนๆมากกว่า แต่ที่จริงแล้วไม่อยากอยู่ทนเห็นคิบอมคุยโทรศัพท์มากกว่าถึงตอนกลางวันจะไม่ได้คุยอะไรมากมายก็เถอะ แต่ช่วงนี้เขาก็คิดว่าคิบอมคุยโทรศัพท์บ่อยเกินไปอยู่ดี
“ใช่แน่ๆเลย” ฮยอกแจหันไปพึมพำกับเรียวอุกสองคน
“นายคิดว่าเรื่องอะไรอ่ะ” เรียวอุกกระซิบถามกลับโดยที่ดงแฮไม่ได้ทันสังเกตเห็นเลยสักนิดว่าโดนเพื่อนแอบนินทาอยู่
“ไม่รู้สิ นายคิดว่าไงล่ะ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คิดว่าคิบอมคงทำอะไรให้ดงแฮงอนแน่ๆเลย” เรียวอุกเดาสุ่มไปตามที่ตัวเองคิด เพราะดูจากอาการแล้วจะเป็นดงแฮคนเดียวมากกว่าที่แสดงอาการผิดปกติออกมามากที่สุด
“คุยอะไรกันน่ะ” ดงแฮที่เพิ่งสลัดเรื่องของคิบอมออกจากสมองได้หันกลับมาถามฮยอกแจกับเรียวอุกที่แทบหันกลับมายิ้มให้ไม่ทัน
“เรื่องงานที่คณะน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” ฮยอกแจตอบโกหกออกไป พร้อมยกมือขึ้นโบกไปมาเป็นท่าประกอบ
“อืม งั้นฉันไปก่อนนะ อิ่มแล้วจะกลับไปทำงานที่คณะต่อ” พูดจบดงแฮก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากโรงอาหารทันที
ฮยอกแจกับเรียวอุกได้แต่หันมามองหน้ากันอย่างสงสัยอีกครั้งแต่พวกเขาก็ไม่ได้คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรมากมายถ้าหากมันไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆ คิดว่าปัญหาแค่นี้ดงแฮกับคิบอมคงจัดการกันได้เอง อีกอย่างพวกเขาสองคนก็ยังไม่รู้แน่ชัดด้วยว่าดงแฮกับคิบอมมีปัญหาอะไรกันแน่
กว่าจะตื่นขึ้นมาอีกทีก็ปาเข้าไปสี่โมงเย็นเสียแล้ว ฮีชอลลุกขึ้นนั่งด้วยความงัวเงียก่อนจะลุกเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตา ไม่ได้ทันสังเกตหรอกว่าในห้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือเปล่าทั้งที่ก่อนหน้านี้ตัวเองไม่ได้ปิดประตูเอาไว้แต่ตอนนี้มันกลับล็อกไว้อย่างดี
น้ำเย็นๆที่กระทบผิวหน้าทำให้รู้สึกดีไม่น้อย ฮีชอลเงยหน้าขึ้นมองตัวเองในกระจกแล้วรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก แต่พอตื่นมาไม่เจอซีวอนอยู่ในห้องแบบนี้มันก็ช่วยทำให้ใจชื่นได้ขึ้นมานิดหนึ่งที่การเผชิญหน้ายังมาไม่ถึง ฮีชอลฉีกยิ้มบางๆ เพราะอยากให้ความรู้สึกที่ไม่ดีมันหายออกไปจากใจบ้าง แต่มันก็เท่านั้น ยังไงก็ฝืนยิ้มไม่ได้อยู่ดี
ถอนหายใจออกมายาวๆซักหนึ่งทีก่อนฮีชอลจะออกมาจากห้องน้ำ แต่แล้วเท้ากลับต้องชะงักเมื่อสายตาปะทะเข้ากับร่างสูงๆของรูมเมทรูปหล่อที่ยืนทำมาดขรึมหน้านิ่งแสนบึ้งตึงอยู่ตรงหน้าประตู
“กลับมาแล้วเหรอซีวอน” ฮีชอลทักออกไปอย่างนึกคำพูดไม่ออก ริมฝีปากบางฝืนยิ้มจางๆส่งไปให้
“คำพูดนั้นฉันควรเป็นคนพูดมันมากกว่านะ” ซีวอนสวนกลับมาเสียงเรียบทำเอาฮีชอลหุบยิ้มแทบไม่ทัน คนตัวสูงสาวเท้าเข้ามาในห้องก่อนวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะ
“ขอโทษนะ” เอ่ยออกมาเสียงเบาหวิว ฮีชอลเดินก้มหน้าหวังจะออกไปนอกห้องเพื่อลดบรรยากาศที่เริ่มจะอึดอัดขึ้นทุกที และตอนนี้เขาเองก็ยังไม่พร้อมจะปะทะคารมกับซีวอนเสียด้วย
“จะไปไหน เรื่องของนายฉันยังไม่ได้เคลียร์เลยนะ แถมยังขับรถฉันหนีไปอีก” ก่อนที่ฮีชอลจะได้เดินหนีไปซีวอนก็คว้าแขนเรียวเอาไว้ดึงให้หันกลับมาประจันหน้ากัน สีหน้าและสายตาของซีวอนนั้นยังเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง
จบคำพูดของซีวอนต่างฝ่ายก็ต่างเงียบ ซีวอนเพียงแค่จับข้อมือของฮีชอลไว้หลวมๆหากจะสลัดออกคงหลุดได้โดยง่ายแต่ฮีชอลก็ทำเพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ สายตาของทั้งคู่สบกันนิ่งเหมือนอยากจะสื่อความหมายให้กันและกันรับรู้ หากแต่สายตาของซีวอนตอนนี้นั้นกลับเรียบนิ่งจนไม่สามารถอ่านออกได้เลย ต่างกับสายตาของฮีชอลที่เต็มไปด้วยการร้องขอ สายตาที่เต็มไปด้วยความอ้อนวอน
“ฉันควรจะบอกเรื่องที่ครอบครัวนายทำให้ครอบครัวฉันฟังดีมั้ย” ซีวอนถามออกมาเสียงเรียบ สายตาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของฮีชอลที่เริ่มสั่นไหวเมื่อได้ยินคำขู่จากปากของเขา
“ซีวอน อย่าเลยนะ ฉันขอร้อง” เอ่ยออกมาเสียงแผ่ว ฮีชอลหลบสายตาของซีวอนที่เหมือนจะฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็นโดยการก้มหน้าลง ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนล่ะก็ต่อให้มีเรื่องกับซีวอนเขาคงจะเถียงหรือสู้ใจขาดดิ้น แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ เพราะตอนนี้เขาเป็นลองอย่างมาก ชนิดที่ว่าคงพลิกกลับมาเอาชนะไม่ได้เลย
“ฉันควรจะทำตามคำขอของนายหรือไง” มือที่จับแขนเรียวอยู่ปล่อยออก ซีวอนจ้องมองฮีชอลไม่ละสายตา ถ้าหากเป็นคนอื่นล่ะก็ป่านนี้เขาคงจับเข้าคุกไปแล้ว แต่นี่เป็นฮีชอลเขาถึงยอมละเว้นไว้ ใจดีมากแค่ไหนแล้วที่เขายังไม่บอกเรื่องนี้กับครอบครัว เพราะอยากจะรู้เหมือนกันว่าฮีชอลจะทำยังไงต่อไป จะแก้ปัญหาที่ยืนยันหนักหนาว่าตัวเองไม่ได้อยากทำยังไง
“ขอร้องล่ะนะซีวอน นายอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับครอบครัวนายเลยนะ ฉัน...ฉันไม่อยากย้ายที่อยู่ไปไหนอีกแล้ว ฉันอยากอยู่ที่นี่ อยากเรียนที่นี่ อยากมีเพื่อนที่ดีแบบนี้” ฮีชอลเงยหน้าขึ้นมาสบตากับซีวอนตรงๆอีกครั้ง อยากให้ซีวอนรับครู้ถึงความจริงใจและใจจริงของเขาผ่านทางแววตาคู่นี้ เพราะถึงพูดให้ปากเปียกปากแฉะยังไงก็คงไม่มีทางรับฟังกันอยู่ดี
“เพื่อนที่ดีเหรอ แล้วนายคิดว่านายดีพอที่จะเป็นเพื่อนกับทุกคนแล้วหรือไง” จบประโยคที่สุดแสนทำร้ายจิตใจทำเอาฮีชอลนิ่งอึ้งไปทันที ซีวอนเหลือบมองเพียงหางตาก่อนจะเบือนหน้าหนี รู้ว่าสิ่งที่ตนพูดออกไปมันรุนแรงและทำร้ายจิตใจของฮีชอลมากแค่ไหน แต่ซีวอนก็ยังยอมรับการกระทำของฮีชอลไม่ได้อยู่ดี ถึงแม้เจ้าตัวจะย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ได้เต็มใจทำก็ตาม
ฮีชอลยืนนิ่งไม่ไหวติง เบือนหน้าหนีไปอีกทาง คำพูดของซีวอนมันวิ่งวนอยู่ในสมองตอกย้ำให้รู้สึกแย่เสียเหลือเกิน ยิ่งพาลทำให้น้ำตาที่ไม่คิดว่าจะร้องไห้ตอนนี้มันต้องไหลออกมาเสียดื้อๆ ฮีชอลยกมือขึ้นเช็ดมันออกอย่างรวดเร็ว เพราะถ้าซีวอนเห็นคงโดนหาว่าบีบน้ำตาอีกแน่
“ฉันรู้ว่าฉันยังดีไม่พอ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะมีดีกันไปหมดทุกอย่าง ฉันเองพอเจอเพื่อนดีๆก็อยากคบกันไปนานๆ หรือนายไม่ต้องการแบบนั้นกันล่ะ” ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็ฮีชอลคงตวาดใส่ด้วยความโมโหไปแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับทำได้แค่พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนเท่านั้น
ซีวอนไม่ตอบอะไรกลับมา ไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามองด้วยซ้ำ ตอนนี้เขาพยายามทำอารมณ์ให้อยู่ในสภาวะปกติเพื่อหาข้อตกลงที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่ายแต่ไม่รู้ว่าผลสรุปมันจะออกมาเป็นยังไง เรื่องเงินนั้นคนอย่างเขาไม่ได้คิดมากอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เสียไปคือความรู้สึกและมันคงกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ง่ายๆเสียด้วย
“ขอร้องเถอะนะซีวอน อย่าบอกครอบครัวนายเลยนะ ฉันจะทำทุกอย่างให้พ่อแม่ฉันถอนตัวออกมาให้ได้ จนกว่าจะถึงวันนั้นถ้าพ่อแม่ฉันเอาเงินมาจากครอบครัวนายเท่าไหร่ฉันจะหามาคืนให้เอง” ฮีชอลเสนอข้อแลกเปลี่ยนออกไปด้วยความตั้งใจจริงว่าเขาคิดและจะทำอย่างที่พูดไว้ให้ได้หากซีวอนยอมรับข้อเสนอ
“นายคิดว่าจะขอกันง่ายๆแบบนี้เลยหรือไง มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกน่า!” ซีวอนเริ่มใช้เสียงที่ดังขึ้น ถึงแม้ไม่ถึงขั้นตวาดแต่ก็ทำให้ฮีชอลสะดุ้งจนเผลอถอยหลบไปหนึ่งก้าว ตัวซีวอนเองนั้นไม่คิดว่าสิ่งที่ฮีชอลพูดมันจะทำได้ง่ายๆ พูดว่าจะหาเงินมาใช้แล้วมันด้วยวิธีไหนกันล่ะ คงจะไปหลอกลวงคนอื่นมาอีกล่ะสิ
“ฉันพูดจริงแล้วก็ทำจริงด้วย” ยืนยันให้ซีวอนฟังด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น แต่ซีวอนกลับแค่นยิ้มแล้วส่ายหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ ทำเอาความมั่นใจของฮีชอลหดหายไปทีละนิด
“คนอย่างนายมันเชื่อไม่ได้หรอกฮีชอล” พูดย้ำเตือนให้มันฟังลึกลงไปในใจคนฟัง
ฮีชอลยืนกำหมัดนิ่งอย่างข่มอารมณ์ ความรู้สึกหลากหลายมันพุ่งปี๊ดขึ้นมาจุกอก ทั้งโกรธและโมโหที่โดนว่าโดนดูถูก ทั้งน้อยใจและเสียใจที่ความเป็นเพื่อนไม่ทำให้ซีวอนเข้าใจในตัวเขาขึ้นมาสักนิด ทั้งที่เขาพยายามขอร้องและสรรหาข้อแลกเปลี่ยนที่ดีที่สุดมาเสนอแต่กลับไม่เป็นผล และแล้วการพูดคุยกันวันนี้คงไม่มีประโยชน์เลยล่ะสินะ
“ก็ได้ถ้านายต้องการอย่างนั้น” จบคำพูดตัดพ้อ ฮีชอลเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายของตนเองเดินตรงไปที่ประตูก่อนจะใส่รองเท้า เปิดประตูห้องแล้วเดินจากไป
เสียงประตูห้องที่ปิดลงดัง ปัง! ทำให้ซีวอนหันไปมองก่อนจะหันกลับมาแล้วถอนหายใจเบาๆ รู้สึกไม่ชอบใจตัวเองอยู่ไม่น้อยที่ทำให้เรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้ ทั้งที่คิดว่าจะพยายามรับฟังแต่กลับคุมอารมณ์ไม่อยู่และไม่ยอมรับฟังอะไรสักอย่าง มีแต่คำพูดทำร้ายจิตใจที่หลุดออกมาจากปาก ยิ่งทำให้เกิดความไม่เข้าใจผิดกันมากกว่าเดิม แต่ถึงยังไงเขายังไม่คิดจะบอกเรื่องของฮีชอลให้ครอบครัวรับรู้อย่างแน่นอน
“อ้าว! ฮีชอล กลับมาแล้วเหรอ ไปเที่ยวกับครอบครัวสนุกมั้ย” ซองมินที่เพิ่งเดินออกมาจากลิฟต์ทักขึ้นเมื่อเห็นฮีชอลกำลังเดินมาทางตนเองพอดี
คนถูกทักไม่แม้แต่จะหันไปมองด้วยซ้ำ ฮีชอลก้มหน้าก้มตาเดินเข้าลิฟต์แล้วกดปิดประตูทันที ซองมินกับคยูฮยอนเลยได้แต่มองตามไปด้วยความสงสัย หายไปตั้งสามวันแต่ทำไมกลับมาถึงทำท่าแปลกๆแบบนี้ ทั้งที่น่าจะอารมณ์ดีมากกว่าที่ได้ไปเที่ยวกับครอบครัว หรือว่าบางทีอาจจะอารมณ์เสียเรื่องอะไรมา
“เป็นอะไรของเค้าน่ะ” ซองมินพึมพำขึ้นเบาๆ ก่อนจะหันไปหาคยูฮยอนเพื่อขอความเห็น แต่แฟนหนุ่มก็ได้แต่ส่ายหน้ากลับมา
แต่ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหน ประตูห้องของดงแฮกับคิบอมก็เปิดออกพร้อมกับร่างเล็กของคนขี้อ้อนที่เดินหน้ามุ่ยออกมาสวนกับซองมินและคยูฮยอนพอดิบพอดี
“ดงแฮ จะรีบไปไหนน่ะ” ยังไม่ทันที่ซองมินจะถามจบดงแฮก็เดินลงบันไดหายไปแล้ว เลยได้แต่หันกลับมามองหน้าคยูฮยอนด้วยความสงสัยเช่นเดิม
คยูฮยอนส่ายหน้าอีกครั้งเพราะไม่รู้จะตอบอะไรเหมือนกัน แต่พอจะเดินกลับห้องตัวเองที่ประตูห้อง 1349 ก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มเดินออกมาแล้ววิ่งลงบันไดไปด้วยท่าทางที่รีบร้อน ซองมินที่กะว่าจะถามคิบอมเลยต้องปิดปากเงียบเพราะดูเหมือนเจ้าตัวจะรีบเสียเหลือเกิน
“สองคนนั้นเค้าเป็นอะไรกันหรือเปล่านะ ดูท่าทางแปลกๆ” ซองมินสันนิษฐานขึ้นด้วยความสงสัย
“ช่างเถอะน่า ไหนว่าจะรีบกลับไปทำการบ้านวิชาอังกฤษไง” คยูฮยอนช่วยพูดหยุดความสงสัยของแฟนหนุ่มไว้เพียงเท่านี้ก่อนจะโอบไหล่ซองมินให้เดินกลับห้องไปด้วยกัน
เรื่องความผิดปกติของดงแฮกับคิบอม คยูฮยอนคิดว่าเพื่อนหลายคนคงสังเกตเห็น แต่ก็ไม่มีใครคิดจะเข้าไปวุ่นวาย เรื่องของคนสองคน คงต้องปล่อยให้คนสองคนเขาจัดการกันเอง
“ดงแฮเดี๋ยวก่อนสิ!” คิบอมที่วิ่งตามดงแฮลงมาคว้าแขนรูมเมทขี้อ้อนไว้ก่อนจะเดินหนีกันไปไกลกว่านี้
“อะไรอีกล่ะ คุยโทรศัพท์อยู่ไม่ใช่หรือไงก็คุยไปสิจะมาสนใจทำไม” ดงแฮหันมาตวาดใส่ด้วยท่าทางเคืองๆ ก็เมื่อกี้เห็นมัวแต่คุยโทรศัพท์ เขาถามว่าจะกินข้าวเย็นกับอะไร ตอนไหน จะได้ไปซื้อมาไว้ก็ไม่ยอมตอบ แล้วแบบนี้จะวิ่งตามกันมาทำไม
“ขอโทษนะ” พูดออกมาได้เพียงเท่านี้โดยไร้คำอธิบายดงแฮเลยสะบัดหน้าหนีทำท่าจะเดินหนีไปอีก
“ถ้าจะพูดแค่นี้ก็ไม่ต้องพูดหรอกนะ” สิ้นเสียงดงแฮก็จ้ำหนีอีกรอบ คิบอมเลยต้องรีบคว้าข้อมือเอาไว้
“ดงแฮอยากรู้อะไรก็ถามมาสิ”
“ฉันไม่อยากรู้แล้ว ตอนนี้ฉันโกรธนาย คิบอม!” ประกาศกันให้รู้ไปเลยว่าโกรธ ดงแฮสะบัดข้อมือเพื่อหลุดออกแต่มันกลับไม่เป็นอย่างใจนึก เลยได้แต่ส่งสายตาว่าเคืองสุดขีดไปให้ขีดบอม
คนโดนงอนมองแล้วกลับอมยิ้ม หน้าตาอย่างดงแฮถึงให้ทำหน้าโหดแค่ไหนก็คงไม่มีใครกลัว ว่าแล้วคิบอมก็จัดการลากเจ้าเด็กบ๊องขี้อ้อนกลับขึ้นไปบนห้องเพื่อเคลียร์กันให้รู้เรื่อง
เสียงโวยวายของดงแฮดังขึ้นตลอดทางขึ้นบันไดที่คิบอมพาเดินกลับขึ้นมาแต่โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีนักศึกษาคนอื่นอยู่จึงไม่เป็นจุดสนใจของใครต่อใคร กลับขึ้นมาบนห้องได้คิบอมก็จัดการล็อกประตูห้อง ปล่อยมือดงแฮออกแล้วเดินอมยิ้มไปนั่งอยู่บนเตียงมองหน้าคนขี้งอนที่ทำหน้าบึ้งตึงอยู่ตรงหน้าประตูไม่ยอมเดินเข้ามา
“จะยืนอยู่ตรงนั้นเหรอ” คิบอมถามลองเชิงก่อนเริ่มปฏิบัติการง้อ ทั้งที่เขาเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิดมากมายเพียงแค่คุยโทรศัพท์นานไปเท่านั้นเอง
ดงแฮได้ฟังก็ทำท่าเดินปึงปังกลับมานั่งกอดอกอยู่ที่เตียงของตัวเอง นึกแล้วก็อดโมโหไม่ได้ ไม่รู้ทำไมช่วงนี้คิบอมถึงชอบทำให้เขาเคืองบ่อยนัก และทุกเรื่องก็เป็นเรื่องที่คิบอมมักจะคุยโทรศัพท์บ่อยๆ แต่ละครั้งก็นานเสียเหลือ คุยไปก็ยิ้มไป แถมถามอะไรก็ไม่ค่อยชอบตอบ ถึงไม่อยากจะถามมากเพราะกลัวว่าจะละเมิดเรื่องส่วนตัว แต่มันก็อดเคืองไม่ได้อยู่ดี รู้สึกเหมือนตัวเองไม่สำคัญยังไงก็ไม่รู้
“โกรธเรื่องที่คุยโทรศัพท์นานอีกแล้วใช่มั้ย” คิบอมเดินมานั่งข้างดงแฮ ถามไปอย่างนั้นเองทั้งที่รู้อยู่ว่าแล้วโกรธเรื่องอะไร
“รู้แล้วยังจะถามอีก” หันมาส่งสายตาเคืองๆใส่ก่อนจะสะบัดหน้าหนี
คิบอมไม่ได้ตอบอะไรแต่กลับอมยิ้มกว้าง ก็อาการโกรธเคือง น้อยใจแบบนี้ มันแสดงให้เห็นว่าดงแฮเห็นเขาเป็นคนสำคัญและอยากให้สนใจในตัวของดงแฮมากกว่านี้ ถ้าไม่ติดที่ว่าความสัมพันธ์มันยังดูคลุมเครือล่ะก็คงตีความหมายได้ว่าดงแฮหึงเขาเป็นแน่
“ฉันไม่ได้อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของนายหรอกนะคิบอม แต่ฉันก็อยากรู้ว่านายคุยอะไรกับใคร ทำไมถึงต้องคุยกันนานขนาดนั้น แล้วทำไมต้องยิ้มตลอดเวลาที่คุยด้วย เวลาฉันถามอะไรนายก็ควรจะตอบฉันด้วย อย่าทำเหมือนฉันไม่มีตัวตนแบบนั้นสิ ฉันก็อยากให้นายสนใจเหมือนกันนะ” เมื่อไม่ได้ยินคำพูดใดๆออกมาจากปากคิบอม ดงแฮเลยใช้โอกาสนี้พูดความรู้สึกของตนเองออกมาเสียเลย คิบอมจะได้รู้ๆกันไปเลยว่าเขารู้สึกยังไง และมันน่าน้อยใจแค่ไหนที่โดนเมินแบบนี้
“เรื่องแค่นี้เองไม่เห็นต้องโกรธจนเดินหนีออกไปเลยนี่นา” คิบอมแสร้งทำเป็นว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทั้งที่รู้ดีว่าสำหรับดงแฮแล้วมันเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหน
“แค่นี้งั้นเหรอคิบอม!” ดงแฮแทบจะปี๊ดแตกหันกลับไปตวาดใส่คิบอม พูดแบบนี้ก็เหมือนไม่เข้าใจที่เขาพูดมาเลยน่ะสิ
“ก็มันใช่เรื่องที่ควรเอาเก็บมาคิดที่ไหนกันล่ะ” คิบอมยกมือขึ้นลูบผมดงแฮเบาเพื่อเป็นการทำให้คนขี้อ้อนใจเย็นลง สงสัยเขาคงจะพูดจี้จุดเกินไปล่ะมั้ง
“งั้นก็บอกมาสิว่าคุยกับใคร”
“เพื่อนเก่าน่ะ”
“เก่าขนาดไหน ผู้หญิงผู้ชาย แล้วทำไมต้องคุยกันนานขนาดนั้นด้วย” พอได้ถามดงแฮก็รัวคำถามใส่เป็นชุด
“สมัยม.ต้น เป็นผู้หญิง ส่วนทำไมต้องคุยฉันก็ไม่รู้สิ ฝ่ายนั้นเขาโทรมาคุย จะไม่คุยก็เสียมารยาท” คิบอมตอบตามความจริงที่เป็นและรู้สึกทุกอย่าง
“แล้วชื่ออะไรบอกได้มั้ย” พอได้รู้คำตอบดงแฮก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก จากหน้าที่บึ้งตึงตอนนี้เริ่มคลายกังวลลงเป็นหน้ายามปกติที่ดูน่ารักน่าชังเช่นเดิม
“ส่วนเรื่องนี้ยังบอกไม่ได้หรอกนะ”
ได้ยินคำตอบนี้ทำเอาดงแฮปั้นบึ้งอีกรอบ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ ถ้าไม่บอกก็จะไม่ถามแล้วต่อไปนี้ จะไม่เก็บมาคิดให้รกสมอง แต่ก็ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า
“เชอะ! ไม่บอกก็ไม่ต้องบอก” ทำเป็นเชิดหน้างอนใส่จนคิบอมต้องง้อกันอีกรอบ แต่เนื้อหานั้นเริ่มออกนอกลู่นอกทางของสาเหตุเรื่องที่ทำให้ดงแฮเคืองไปเรื่อยๆ ก็ใครจะโง่วนกลับไปเรื่องเดิมให้ฉนวนมันถูกจุดขึ้นมาอีกรอบกันล่ะ
หลังจากกลับมาได้ที่หอเมื่อวานก่อน วันนี้ฮีชอลเดินทางมาที่มหาวิทยาลัยพร้อมกับซองเอกสารเพื่อเตรียมมาทำเรื่องลาออกจากมหาวิทยาลัย ในเมื่อตกลงกับซีวอนไม่ได้ก็คงมีทางเดียวที่ทำได้ หลังจากกลับจากหอฮีชอลเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้นาราและอีวานฟังว่าเป็นรูมเมทกับซีวอน ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างความตกใจให้ทั้งสองไม่น้อยจนต้องรีบปรึกษากันหาทางออก และมันก็เป็นทางออกเหมือนอย่างเช่นทุกครั้งคือการหนี หนีออกไปให้ไกลที่สุด
“เฮ้อ~” เป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วไม่รู้ที่ฮีชอลถอนหายใจแบบนี้ ดวงตาที่เคยเปล่งประกายสดใสบัดนี้กลับบวมช้ำจากการร้องไห้อย่างหนัก ตอนนี้นาราเข้าใจแล้วว่าฮีชอลผูกพันและรักที่นี่มากแค่ไหน แต่ในเมื่อความแตกครอบครัวของเขาก็ไม่อาจอาศัยอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป
ขณะที่กำลังเดินมุ่งหน้าไปยังกองอำนวยการนักศึกษาฮีชอลก็เจอกับอีทึกและคังอินเข้า ฮีชอลชะงักเท้าเล็กน้อยอยากจะเดินหนีแต่คงทำไม่ได้เพราะอีทึกส่งยิ้มมาให้แต่ไกล เลยต้องเดินไปเผชิญหน้าเท่านั้น
“กลับมาแล้วเหรอ” อีทึกเอ่ยทักเสียงใส
ฮีชอลพยักหน้าตอบ พยายามจะหันหน้าหลบเพื่อไม่ให้อีทึกกับคังอินเห็นใบหน้าที่สุดโทรมของตัวเองแต่ก็ทำไม่ได้ ตอนนี้เลยได้แต่ฝืนยิ้มให้เท่านั้น
“ทำไมตาบวมแบบนี้ล่ะ นายไปทำอะไรมา” เอ่ยถามอีกครั้งอย่างสงสัย อีทึกเดินเข้าไปประชิดตัวฮีชอลแล้วเปิดผมที่ปรกหน้าออกเพื่อดูหน้าเพื่อนให้ชัดๆ
ฮีชอลส่ายหน้าเป็นคำตอบและไม่ได้คิดจะปิดบังอะไรจึงยืนเฉยๆให้อีทึกได้สำรวจใบหน้าตนเอง ตอนนี้สภาพเขาสุดแสนจะโทรมก็ต้องยอมรับว่ามันดูย่ำแย่มากๆ
“ไปทำอะไรมาถึงดูโทรมขนาดนี้เนี่ย อย่าบอกนะว่าเที่ยวหนักไปหน่อยน่ะ แล้วนี่นายจะไปไหนน่ะ” อีทึกพูดติดตลกก่อนจะถามต่อ สายตามองไปยังซองเอกสารที่ฮีชอลถืออยู่
“ไปกองอำนวยการนักศึกษาน่ะ”
“กองอำนวยการนักศึกษา นายจะไปที่นั่นทำไม” ขมวดคิ้วถามกลับทันทีอย่างสงสัย
“ลาออก”
-----------------------------------------------------
kr
Talk
ลงครบ100%แล้วนะจ๊ะ และก็เป็นตอนสุดท้ายในเล่ม2ด้วย
ขอให้ทุกคนอ่านอย่างสนุกสนานนะ
ความคิดเห็น